ความคิดเห็นที่ 1 จริงๆแล้วน่าจะลองไปหาหนังสือมาอ่านนะคะ เห็นสงสัยเรื่องที่ล้วนแต่มีหนังสือ บันทึกบอกไว้อยู่ มีหลายเล่มที่กล่าวถึงชีวิตในวังสมัยรัชกาลที่ห้า ละเอียด ชัด (เราชอบไปยืนอ่านฟรี) ห้องเหลืองนั้นมีจริง จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหนแต่เป็นจุดที่จะเสด็จผ่านออกไปฝ่ายหน้า บรรดาฝ่ายใน และเจ้าจอมที่ไม่โปรด ไม่มีหน้าที่ตำแหน่ง ก็มักไปชุมนุมหมอบเข้าเฝ้าระหว่างเสด็จพระราชดำเนินผ่าน พระองค์ก็จะมีพระราชปฏิสันธานพอสมควร เห็นคุณเขียนบล็อกอยู่ก็ขอให้ค้นข้อมูลจากตำราก่อน แล้วเรียบเรียงเขียน +อ้างอิงให้ถูกต้องนะคะ  แยกเรื่องเล่า เรื่องลือ ข่าวซุบซิบออกจาก fact ด้วย (แป๋มอ่อนกว่าคุณบ๊องบ๊องหลายปีมาก) จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 18:49:47

ความคิดเห็นที่ 2 หาอ่านบรรยากาศของห้องเหลืองได้จากเรื่อง สี่แผ่นดินครับ จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 19:34:34

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่แน่ใจว่า หนังสือ เจ้าจอมก๊กออ ก็น่าจะมีนะคะ ลองหาอ่านดูค่ะ จากคุณ : Blackforest26 เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 22:12:44

ความคิดเห็นที่ 4 ทำไมถึงกลายเป็นเจ้าจอมที่ไม่โปรดได้อ่ะครับ น่าสงสารจัง แต่ในบรรดาคุณจอม ผมสงสารคุณจอมสดับมากๆอ่ะ จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 00:32:17

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่เป็นที่โปรดปรานนั้นก็หลากหลายเหตุผลค่ะ ก็เป็นที่ความห่างเหิน ห่างไกล คนเราเองถ้าไม่มีอะไรที่จดจำได้ง่าย มีเหตุให้ต้องได้พบก็ยังไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ยิ่งไม่ทำให้สนิทสนมสนิทใจ เจ้าจอมที่โปรดปรานก็จะเป็นผู้ที่ทรงพอพระราชหฤทัย ว่ามีอัธยาศัย ความสามารถ เช่นทำเครื่องเสวย อ่านหนังสือถวายได้ มีความรู้ภาษาอังกฤษ รู้จักคิดประดิษฐ์ ก็คือมีผลงานนั่นเอง ที่สำคัญคือ ต้องมีตระกูลที่ดี เพราะเจ้าจอมแต่ละท่านก็คือตัวแทนสายตระกูลที่สำคัญ โดยเฉพาะบุนนาคที่เป็นเจ้าจอมที่โปรดปราน สาเหตุไม่โปรดก็มี  ต้องเข้าใจว่าเจ้าจอมมีมาก คนนำลูกสาวหลานสาวมาถวายตัวก็มาก โดยนำมาฝากฝังไว้ในสำนักเจ้าจอมที่คุ้นเคย แล้วเจ้าจอมท่านก็ฝึกสอนความรู้แขนงที่ท่านถนัด เมื่อมีโอกาสวาสนาถึงได้ยกฐานะเป็นเจ้าจอมได้ เมื่อมีคนมากมาย จะให้โปรดปรานใครไปทุกคนก็คงยาก ใครจะเข้าถึงพระองค์ก็ยิ่งน้อย คนเราสามัญมีคนที่รู้จักนับร้อยจะได้พูดคุยเห็นหน้ากันทุกวันหรือก็เปล่า จะได้พบพูดคุยเพียงคนที่ได้สนิท หรือมีเหตุที่เราจะจดจำได้ คุณจอมสดับเป็นคนเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจริงๆ ท่านเลือกแล้วก็ทำได้ดังที่ตั้งใจด้วย จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 01:29:22

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าเรื่องคุณจอมสดับ ยังสงสัย คือว่าคุณจอมท่านนี้คืนเครื่องเพชรไปหลังสิ้นรัชกาล ที่อยากทราบคือ คืนเครื่องเพชรเพราะกลัวเสียงนินทา ทำไมไม่คืนให้ท่านองค์เล็กครับ ในเมื่อท่านองค์เล็กก็เป็นพระญาติอาวุโสใกล้ชิด แถมน่าจะมีบารมีพอที่จะกันเสียงนินทาได้อยู่แล้ว หรือจะถวายคืนให้สมเด็จหญิงน้อย เพราะก็ถือว่าเป้นสมบัติของพระราชบิดา เสียงนินทาแค่จากคุณจอมด้วยกันก็คงเงียบลงได้แล้ว ผมคิดว่า เสียงนินทาไม่ได้มาจากคุณจอมด้วยกัน แต่มาจาก.......... ที่ใหญ่พอที่จะบีบคุณจอมสดับ และบีบกระทั่งท่านองค์เล็กด้วยมากกว่า ก็เห็นว่าคุณจอมสดับไม่ได้ตามเสด็จไปยุโรป ก็จาก....... นีด้วยเหมือนกัน หรือยังไงครับ จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 01:51:26

ความคิดเห็นที่ 7 เจ้าจอม มรว สดับ นี่ผมได้ยินมาหลายที่แล้วว่าต้องคืนเครื่องเพชร  แต่เพราะอะไรไม่ทราบได้ คืนทำไม เจ้าจอมคนอื่นๆ ไม่เห็นต้องคืน หรือว่า สาวสุด สวยสุด  เลยโดนเขม่นเป็นพิเศษ แต่ของที่พระราชทานมันก็น่าจะเป็นของส่วนตัวนะครับ จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 06:58:53

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องเจ้าจอมสดับที่ท่านถวายเครื่องเพชรคืนนั้นเพราะต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจมมากกว่าครับ ตอนรัชกาลที่ 5 สวรรคต ท่านได้รับพระราชทานเครื่องเพชรมากมาย เนื่องจากเป็นเจ้าจอมที่โปรดปรานและเห็นว่าท่านอายุยังน้อย จึงมีข้อครหานินทากันว่าท่านยังสวย รวยทรัพย์อีก ก่อนหน้าจะถวายคืนนั้นถ้าจำไม่ผิดท่านเองก็ได้ปรึกษากับพระวิมาดาแล้ว นอกจากนี้ก่อนหน้าจะถวายคืนสมเด็จพระพันปี ท่านได้ถวายคืนรัชกาลที่ 6 แล้วด้วยครับ แต่รัชกาลที่ 6 พระองค์ท่านไม่ทรงรับเพระเห็นว่าเป็นของที่ รัชกาลที่ 5 พระราชทานให้เป็นการส่วนพระองค์ ท่านจึงถวายคืนสมเด็จพระพันปีหลวงเพื่อนำไปประมูลยังต่างประเทศนำเงินมาสร้าง รพ จุฬาลงกรณ์ครับ จากคุณ : Anesthesiologist เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 08:51:42

ความคิดเห็นที่ 9 ประเด็นตรงนี้ก็คือ....ต้องเข้าใจว่าในรั้ววังนั้นย่อมมีแบ่งพวกแบ่งเหล่ากันไป ก็เป็นธรรมดามิแปลกของการอยู่ร่วมกัน เจ้าจอมสดับนั้นถูกครหามากตามประสาผู้ที่ได้ดี เป็นธรรมดาอีกว่าคนที่ได้ดีย่อมมีผู้ที่ริษยา เจ้าจอมสดับมีรูปโฉม มีสกุล ก็เป็นไปได้มากว่าจะมีชายมาปอง นางในหลายคนก็ลาออกไปมีครอบครัวก็มากแม้บรรดาเจ้าจอมจะครองตัวกันต่อไป เรื่องเครื่องเพชรนั้น ก็นับว่าท่านแสดงความเด็ดเดี่ยว ของเหล่านี้ล้ำค่านักแต่สิ่งที่ล้ำค่ากว่าคือน้ำพระราชหฤทัยที่มีต่อผู้หญิงตัวเล็กๆ ของเหล่านี้มีค่ามากพอที่เจ้าจอมจะได้มีชีวิตสบายเพราะเจ้าจอมนั้นยังเด็กนัก ไม่มีใครให้พึ่งพาได้เหมือนเจ้าจอมมารดาซึ่งสามารถออกไปอยู่วังกับพระองค์เจ้า เจ้าจอมบุตรีพระยา เจ้าพระยา หรือเจ้าสัวก็ดี หรือเจ้าจอมที่พอมีความสามารถเอาตัวรอดต่างๆนานา ส่วนหนึ่งก็สามารถอาศัยจากที่ดินพระราชทานซึ่งทรงแจกจ่ายเป็นสินทรัพย์แก่บรรดาเจ้าจอมทั้งหลายเพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายหากไม่มีพระองค์ท่าน เจ้าจอมสดับท่านดูเป็นคนซื่อๆ ยังเด็กนัก แต่ก็เด็ดเดี่ยวมาก น่าชื่นชมอย่างว่าท่านตัดใจได้เด็ดขาด ถวายคืนเครื่องเพชรนั้นเป็นการแสดงความจริงใจว่าจะไม่อาศัยความรวยทรัพย์ และตัดสินใจครองตนเคร่งครัด ไม่ได้คิดออกจากวังอย่างเจ้าจอมอื่นๆ จนเหลือแต่กำไลมาศที่สวมติดกายไปตลอด เครื่องเพชรเป็นของส่วนตัว (เพราะปกติเครื่องของต่างๆหากพระราชทานแล้วไม่ได้ระบุว่าให้เป็นสิทธิ์ขาดก็จะต้องส่งคืนพระคลังในภายหลังเพื่อให้มีหมุนเวียน มิให้สมบัติตกไปอย่างไร้ค่าไร้ความหมาย คงเหลือแต่เกียรติและความภูมิใจแก่ผู้ได้รับพระราชทาน ซึ่งมีค่ามากกว่า) รัชกาลที่หกไม่ทรงรับเพราะเป็นพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ห้า ทางออกจึงเป็นการดำเนินงานเพื่อการกุศลคือส่งประมูลเมืองนอกให้ได้ทุนสำหรับสร้างโรงพยาบาลเป็นอนุสรณ์ จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 12:28:35

ความคิดเห็นที่ 10 เจ้าจอมห้องเหลือง เป็นคำเปรียบเยาะเย้ย ของชาววังฝ่ายใน เรียกบรรดาเจ้าจอมที่นั่งหมอกกราบอยุ่ในห้องนี้ ดังที่นำภาพมาให้ชม ได้ลงสีไว้เพื่อให้เข้าใจ คือ ด้านบนคือห้องน้ำเงิน รองมาเป็นห้องเหลือง และห้องเขียวตามลำดับ ทั้งสามห้อมอยู่ในหมู่พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ห้องเหลือง เดิมเป็นห้องกว้าง อยู่หลังท้องพระโรงหลัง จึงจะสวกแก่การต้อนรับแขกต่างประเทศ และเป็นห้องกลางสำหรับเสด็จไปยังห้องน้ำเงิน และห้องเขียว ดังนั้นบรรดาเจ้าจอมที่สูงวัยแล้ว หรือ เจ้าจอมที่ตกอับ ก็มักจะมารวมกันในห้องนี้ มาเข้าเฝ้า จึงเป็นที่มาแห่งคำเย้ยหยัน ดังกล่าว จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 19:25:37

ความคิดเห็นที่ 11 พ่อแม่ส่งมาให้ชีวิตฝากไว้กับผู้ชายเพียงคนเดียว ช่างอาภัพนัก จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 20:03:27

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ^ ^ ผู้ชายคนเดียวที่เป็นพระมหากษัตริย์... และเจ้าชีวิตของคนไทยทั้งปวง .. จากคุณ : รู้น้อยไปหน่อย เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 21:14:35

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ เอ่อ คห 11 ไม่ค่อยจะรื่นหูรื่นตาเลยนะครับ จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 21:45:13

ความคิดเห็นที่ 14 #13 เราเขียนไม่ค่อยจะรื่นหูรื่นตายังไงเหรอ Harem ที่ไหนๆ ก้อเหมียนกันหมดแหละ demand & supply ไม่สมดุล คนที่ไม่ได้รับเลือกก็โดนดูถูกสารพัดโดยผู้หญิงด้วยกันเอง ในนั้นก็แออัด สุขอนามัยแย่ หน้าฝนก็เฉอะแฉะ หน้าร้อนก็ร้อนซะตับแตก แต่ก็ต้องอยู่ในนั้นจนกว่าจะตาย ไม่ว่าจะมองมุมไหน ทั้งเจ้าตัวเองและคนนอก ไม่พ้นเป็นคนอาภัพ ไม่รื่นหูตรงไหน จะให้เรียกว่า มีวาสนาเหรอคะ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 01:17:33

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ วาสนา การเข้าไปอยู่แบบนั้น อาจเป็นความเต็มใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสก็ได้ เราซึ่งเป็นคนในยุคปัจจุบัน จึงยากที่จะเข้าใจ จากคุณ : nukanka เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 04:50:30

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่อง เจ้าจอมห้องเหลืองจะมีวิถีแบบไหน ไม่ใช่ประเด็นที่ผมตินะครับ แต่ประเด็นคือประโยคที่ว่า "ฝากชีวิตไว้กับผู้ชายเพียงคนเดียว" ซึ่ง ณ ที่นี้ เจ้าจอมห้องเหลือง คือ เจ้าจอมในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งจะกล่าวคำพูดแบบนั้น ดูไม่ค่อยเหมาะสมน่ะครับ แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับชายทั่วไปที่มากมายด้วยอนุภรรยานั่นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ... จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 21:58:39

ความคิดเห็นที่ 17 .... แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 52 23:45:40 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 52 23:11:28 จากคุณ : Aeykun เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 23:09:21

ความคิดเห็นที่ 18 # 16 ไม่มากไปหน่อยเหรอ เวลาเขียนเนี่ย ต้องคลานเข่าด้วยรึเปล่า ร.5 ท่านเลิกทาสไปนานแล้วนะ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 17:16:42

ความคิดเห็นที่ 19 ครับ ร.5 ประกาศเลิกทาส แต่เวลาเข้าเฝ้าก็ยังต้องมีหมอบคลานอยู่นี่ครับเท่าที่ทราบมา..............เจ้าจอมห้องเหลือง คือ เจ้าจอมในพระเจ้าแผ่นดิน ดังนั้น ผมก็มองว่า การที่คุณเอเธนา ใช้คำเปรียบเทียบว่า "มาฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนเดียว" ซึ่ง ณ ที่นี่ "ผู้ชายคนเดียว" หมายถึงใครไปไม่ได้ นั่นก็คือ ล้นเกล้าของชาวไทย ซึ่งเป็นการไม่สมควรซักเท่าไหร่ ที่จะเปรียบเทียบแบบนั้น แต่คุณเอเธนา จะเข้าใจอย่างเดียวกับผมหรือไม่นั้น ก็สุดคาดเดาครับ... จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 21:22:49

ความคิดเห็นที่ 20 #19 "มาฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนเดียว" ในแง่ข้อเท็จจริงทางชีววิทยา ก็แล้วไม่จริงตรงไหนคะ ในแง่หมิ่น ไม่มีเจตนาหมิ่นแม้แต่น้อย ก็แล้ว หมิ่นตรงไหนคะ นักกฎหมายช่วยทีสิ หรือต้องใช้คำราชาศัพท์ ความเป็นผู้ชาย ควรใช้คำแบบไหนคะ ดิฉันไม่ชำนาญราชาศัพท์ ไม่สมควรเขียนอะไรในนี้เหรอคะ ดิฉันให้ค่ากับความจริงมากกว่าค่ะ ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราไม่พูดความจริง นานๆ เข้ามาที่นี่ ไม่นึกว่าเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ในนี้ จะมี "สำนึกทาส" นะ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 09:56:19

ความคิดเห็นที่ 21 เหอ วิชาการ กับ จารีตประเพณี บางทีต้องทำความเข้าใจบางนะครับ ว่ามันต่างกันตรงไหนอะ ยังไงซะ เราคนไทยก็ยังต้องมีจารีตประเพณีที่ดีงาม  แค่นี้คงเข้าใจเนอะ จากคุณ : okeky เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 21:05:03

ความคิดเห็นที่ 22 ความจริงสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ครับ แต่สำเนียงและกิริยาเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล และเราสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความจริงกับคนที่มีสำเนียงและกิริยาเฉพาะบุคคลที่เราต้องการได้ครับ สำเนียงและกิริยาบางอย่าง แม้จะมีความรู้ท่วมหัวและความจริงมากมายก็อาจจะทำให้คู่เสวนารู้สึกว่าเสียเวลาเอาได้ ... ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้ว่าใคร.. เวลาเห็นใครอวดอ้างว่าตัวเองเป็นคนพูดตรงๆ ภาษาของฉันก็ห้าวๆ ห้วนๆ มะนาวไม่มีน้ำอย่างนี้แหละ จริงๆ แล้ว คนพูดตรงๆ กะคนปากเสียมองเผินๆ แล้วเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะคนปากเสียที่มักเข้าข้างตัวเองว่าเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ... ส่วนผมยอมรับโดยดุษฏีครับว่าเป็นคนปากเสีย จากคุณ : Aeykun เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 00:55:50

ความคิดเห็นที่ 23 .... เข้ามาแล้วตกใจมากจริงๆค่ะ หรือว่าตัวเราจะหลงยุค? จากคุณ : รอยคำ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 03:52:37

ความคิดเห็นที่ 24 เพิ่มเติมข้อมูล(ลอยๆ)ว่า ณ ปัจจุบัน แม้การ "ก้าวเท้า" เข้าไปในพระตำหนัก หรือ ที่ประทับทุกแห่ง ผู้เข้าเฝ้าจะเพื่อถวายงาน หรือทำหน้าที่ใดๆก็ตาม ก็จะ"ต้อง"หมอบคลาน เดินเข่า ค่ะ ออกไปด้วยอาการหนักใจ เป็นห่วงอนาคตของวัฒนธรรมไทยอย่างยิ่ง ..เฮ้อ.. จากคุณ : รอยคำ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 04:02:05

ความคิดเห็นที่ 25 ประเทศไทย มีจารีต ประเพณี และวัฒนธรรมอันงดงาม ซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมา แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป ถ้าคนไทย ยังคงรักษาสิ่งเหล่านี้ที่ไม่มีชนชาติใดเหมือนกับชาติเรา เพราะเรามีรากเหง้า ที่มาที่ไป สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ให้คนไทย ได้ชื่นชมต่อไป   การศีกษาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ดี น่าชื่นชม ยิ่งสมัยนี้ เยาวชนคนรุ่นไอที หาได้ยากที่จะศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ของบ้านเกิดเมืองนอน น่าเป็นห่วงว่า ถ้าคนรุ่นเก่าๆล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ประเทศไทยเราจะเป็นเช่นไร จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 08:30:33

ความคิดเห็นที่ 26 รากเหง้าของคนไทยคือความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเห็นอกเห็นใจคนตกทุกข์ได้ยาก เป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้  คนต่างชาติแต่ครั้งอดีต และปัจจุบันล้วนชื่นชมสิ่งนี้ แสดงว่าเป็นรากเหง้าที่แท้จริง ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด คนไทยมีคุณสมบัตินี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ต้องห่วงว่า เด็กรุ่นใหม่ไม่ดี ถามตัวเองก่อนเถอะ เข้าถึงแก่นแท้สักแค่ไหน กิริยาภาษาผู้ดีจัด ดัด...แต่ไร้น้ำใจ จะเรียกว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรมไทยนั้นมิได้ จารีตเป็นแค่เปลือก ที่เหมาะสมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป จารีตก็ต้องโรยรา ไม่งั้น คนไทยคงถอดเสื้อเดิน มองเจ้าไม่ได้ ก้มหัวแนบพื้น ถ้าผู้ชายมีภรรยามากแล้ว ยังคิดว่าการมีภรรยามาก เป็นสิ่งที่ดี รัฐก็คงไม่กำหนดให้มีทะเบียนสมรสหรอก ลองนึกถึงหัวอกลูกผู้หญิงดูสิ จะเจ็บปวดสักแค่ไหน ความเห็นอกเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน ไม่สมควรแสดงออก เพียงเพราะผู้ชายคนนั้นเป็น..... ถามว่าใครเป็นผู้สั่งให้เลิกจารีตประดิตประด๋อยเหล่านี้ ผู้สั่งให้เลิกย่อมทราบดีว่า ล้าสมัย และที่สำคัญไม่ใช่รากเหง้า ไม่ใช่แก่น แต่เป็นเพียงกระพี้ จะชื่นชมในจารีตบางอย่าง ก็เป็นเรื่องส่วนตัว อนุรักษ์สุดขั้ว หรือหัวก้าวหน้า แล้วแต่ความชอบ แต่การที่จะมาใช้ความชอบของตัวไปปรามคนอื่นว่า อย่าพูด อย่าทำ อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วนำจารีตมาอ้าง มีแต่ทาสที่ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเอง ถึงทำกันเช่นนี้ ถ้าจะเป็นผู้รู้วัฒนธรรม ก็รู้เพียงแค่ "กลัว" เงาแห่งอดีต มิน่า ถึงได้กลัวความจริงกันนัก จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 13:35:42

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากครับ ที่มาให้ความรู้... จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 14:23:52

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ เอเธนา ผมคิดว่าการนำเอาบรรทัดฐานปัจจุบัน มาตัดสินเหตุการณ์ในอดีต เป็นการไม่ถูกต้องครับเพราะจะทำให้มุมมองผิดจากความเป็นจริงไป เพระาการมีภรรยามากของผู้ชายในอดีดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในอดีต หากเอาบรรทัดฐานคนละเวลามา ตัดสินเหตุการณ์ต่าง ๆ โลก นี้ก็คงจะผิดไปหมดล่ะครับ จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 19:03:35

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยกับรีบน เหอๆๆ ไม่พูดต่อดีกว่า คนเราถ้ายอมรับว่าพูดไปโดยไม่มีเจตนา ก็ไม่มีเค้าทักท้วงหรอกเนอะ จากคุณ : okeky เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 20:57:18

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณ คุณชุมพรนอนกรุงเทพเช่นกันค่ะ คุณokeky นี่ ก้อ เฮ้อ! ปัญหาของคุณอยู่ที่หูและสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณนะ   คุณวังเหนือคะ ดิฉันพยายามเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้หญิงกลุ่มนั้น ณ ช่วงเวลานั้น จากคำดูถูกที่ได้รับโดยผู้หญิงด้วยกัน คำตัดพ้อต่อชะตากรรมของตัวที่เคยอ่านพบเจอ เช่น เรื่องเจ้าจอมคบชู้ เรื่องอนุญาตให้เจ้าจอมลาออกได้ เรื่องการเล่นเพื่อน เรื่องหญิงสูงศักดิ์ท้องกับพระภิกษุ และอื่นๆ มีทั้งหลักฐานงานเขียน และเป็นเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เชื่อถือได้   ประมวลเข้าด้วยกัน จึงสรุปได้ว่าเจ้าตัวเขา สมเพชตัวเอง ค่ะ มิได้เอาบรรทัดฐานปัจจุบันไปตัดสินแต่อย่างใดค่ะ ใช้ความเข้าใจแบบผู้หญิงสามัญนี่แหล่ะ มีธรรมชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะยุคใดสมัยใหม่ ก็เห็นด้วยว่า น่าสมเพช จริงๆ นั่นแหละ แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 23:41:40 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 52 23:36:39 จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 23:29:59

ความคิดเห็นที่ 31 หญิงไทยในอดีต กับ หญิงในปัจจุบัน จากคุณ : ศิวโมกษ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:44:48

ความคิดเห็นที่ 32 หญิงไทยในอดีต กับ หญิงในปัจจุบัน จากคุณ : ศิวโมกษ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 17:46:57

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านไปอ่านมา คิดว่า ผมไม่สนใจเรื่องถาษาที่ใช้หรอก   การที่บอกว่า มาฝากชิวิตไว้กับ ผู้ชายคนเดียว นะ  มันก็จริงอยู่นะครับ แต่มุมมองมันอยู่ตรงนี้ 1 พ่อแม่ของแต่ละคนนำมาถวายเอง  ท่านไม่ได้ไปขอ ไม่ได้เดินตามบ้านไป เคาะประตู 2 สมัยก่อนนะ  นี่คือการลงทุนของฝ่ายหญิง นะครับ  ประดุจการเล่นหุ้น  มองในมุมอีกมุม ตัวเองและพ่อแม่ตัวเองต่างหากหล่ะ ที่ ตัดสินใจหันหน้ามาเก็งกำไรในวังหลวง  บางคน ประสบผลสำเร็จ บางคนไม่สำเร็จ เพราะงั้นว่าฝ่ายชายไม่ได้หรอก  ต้องว่าตัวเองที่ในเมื่อเค้าไม่เอา แล้วยังจะมานั่งห้องเหลืองทำไม  ไปหาไรทำดีกว่า เช่น เล่นเพื่อน เป็นเจ้ามือไพ่ หาของนอกมาขาย  ร่าเริง ไปวันวัน แต่ผมรู้สึกว่า เจ้าจอมมารดาบางคน  อาจจะมีโอกาสได้ถวายงานในหลวงแค่ครั้งเดียว  แล้วอาจจะท้องเลยก็ได้  ก็โชคดีไป ส่วนเจ้าจอมบางคนถวายงานไปครั้งเดียว แล้วไม่ได้ถวายอีกเลย  อันนี้ถือว่า การลงทุนครั้งนี้ fail เช่นกัน มันอยู่กะฝีมือการตีราคาค่าหุ้น เพราะทุกคน ตัดสินใจเข้ามาขอแบ่ง market share ทั้งนั่นแหล่ะ  แต่ไม่มีใครมร exit strategy ที่ดีก็เลย อยู่ในห้องเหลือง จนคางเหลืองไง จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 15:37:32

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ #33 มองในมุมเศรษฐกิจ ผู้หญิงเป็นสินค้าเลยนะ ฮือๆๆ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 17:38:15