ความคิดเห็นที่ 1 คงไม่ทำให่การพูดดีขึ้นหรอกครับ เมื่อเร็วๆนี้ก้อมีคนพูดแล้วก้อมาแก้ตัวว่าภาษาอังกฤษไม่แข็ง ทำให้ความหมายแปลไปคนละแบบ กร๊ากกกกกกกก มั่วได้ใจ จากคุณ : ลูกชายแม่ค้า เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 04:12:56

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้ารู้จักคบเพื่อนต่างชาติ รับรองภาษาดีขึ้นแน่ๆ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 05:10:14

ความคิดเห็นที่ 3 ผมมีเพื่อนคนหนึ่งไปเรียนที่อเมริกา 4 ปี ก่อนไปพูดภาษาอังกฤษ grammar ผิดทุกประโยค พอครบ 4 ปีกลับมาเมืองไทยก็ยังพูดภาษาอังกฤษ grammar ผิดทุกประโยคเหมือนเดิม เพียงแต่พูดคล่องขึ้นเร็วขึ้นเท่านั้น สำคัญคือก่อนไปเมืองนอกพื้นฐาน grammar ภาษาอังกฤษควรแน่นพอสมควร เมื่อไปเมืองนอกแล้วภาษาอังกฤษจะดีขึ้น แต่ถ้าก่อนไป grammar ไม่ได้เรื่อง ถึงไปเมืองนอกหลายปี grammar ก็ยังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมแหละ จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 05:26:12

ความคิดเห็นที่ 4 ทำที่มีให้ดีที่สุด มีโอกาสไปต่างประเทศก็พยายามฝึกฝน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ทำไมต้องอาย คนใครจะได้แค่ไหนก็แค่นั้น  ไม่จำเป็นต้องไปห่วงเขา จากคุณ : หนุ่ยนะครับ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 07:41:18

ความคิดเห็นที่ 5   ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ พื้นฐานเดิมเป็นอย่างไร อยู่ที่เมืองนอกใช้ชีวิตอย่างไร คนที่กลับมาเก่งขึ้นผิดหูผิดตาก็มีแยะ ที่ไม่ต่างจากเดิมเท่าไร ก็เห็น ๆ อยู่มาก จากคุณ : ก็แล้วแต่ เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 08:52:46 A:58.8.168.4 X: TicketID:106200

ความคิดเห็นที่ 6   อยู่เมืองไทยก็เหมือนเมืองนอกได้ ถ้าอยู่ในองค์กรที่มีคนเนทีฟ อิงลิช สปีกเกอร์อยู่เยอะ จากคุณ : ชาต เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 09:29:35 A:61.90.30.185 X: TicketID:201623

ความคิดเห็นที่ 7 Speaking skill...ถ้าไม่มีการพูด speaking skill จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเอาแต่อ่านอย่างเดียว อีกทั้งการพูดก็ต้องมีการพัฒนาควบคู่กันไปด้วย  ทั้งเรื่องของการใช้ไวยากรณ์ และการเลือกใช้ภาษา เมื่อครั้งที่ผมไปอยู่ใหม่ๆ ก็มีเพื่อนร่วมห้องที่เป็นเพื่อนไปจากเมืองไทย ไปโรงเรียนก็ฟังครูพูดและฟัง เพื่อนร่วมห้องพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับใคร พอกลับบ้านก็จ้อภาษาไทยกับเพื่อน เวลาไปไหนก็ ใช้ภาษาพื้นๆ จนกระทั่งมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็คงไปไหนไม่รอด เลยแยกตัวออกมา และเพื่อ ไม่ให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของเพื่อน ก็เลยย้ายเมืองไปเลยครับ...ออกจาก London ไปเลย ไปอยู่ทางเหนือของอังกฤษโน่น แรกๆก็อึดอัด พออยู่ไปซักพักก็ชิน สนุกด้วย แถมยังได้รู้วิถีชีวิตจริงๆของคนอังกฤษเพิ่มอีกด้วย จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 09:59:17

ความคิดเห็นที่ 8 อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าค่ะ ถ้าเล่นไปเรียนแล้วก้มหน้าก้มตาเรียน เวลาที่ต้องพรีเซ็นต์ก็ท่องไป ไม่สมาคมกับชาวต่างชาติ ไม่ไปหาอาจารย์ เอาแต่จำกัดอยู่กับคนไทย อย่างไรก็ไม่เก่งขึ้น แป๋มเรียนภาคภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ป.โทนะคะ ป.ตรี จากเด็กโรงเรียนไทย 100% เลย พูดแต่ไทยๆๆๆๆๆๆ มาทั้งชีวิตนอกจากคาบภาษาอังกฤษ กับตอนไปคุยกับคนต่างประเทศ ต้องเจอเพื่อนคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษ และเพื่อนคนต่างชาติ ไม่ถึงปีหรอก สามเดือน speaking skill แป๋มดีขึ้นอย่างมากๆ เพราะเราต้องฟัง พูด ถก เถียง อำ ล้อ ด่า โต้แย้ง แซว บอกกล่าว อธิบาย ฯลฯ ใต้สถานการณ์บังคับว่า เพื่อนส่วนใหญ่เข้าใจอังกฤษมากกว่าไทย ผ่านมาสี่ปีหลายทีที่เวลาไปเดินห้างกับเพื่อนคนญี่ปุ่นแล้วแป๋มแปลสิ่งที่คนขายพูดให้เพื่อนฟัง คนขายเขาถามว่าแป๋มเป็นคนชาติอะไร ทำไมพูดได้คล่องและสำเนียงดี ก็ตอบว่าคนไทยแท้ๆแหละค่ะ แต่สถานการณ์บีบให้เราต้องถีบตัวให้ทันเพื่อน เพื่อนคุณมีโอกาสแต่ไม่แสวงเอง แป๋มเรียนอินเตอร์ไทยแท้ๆ มีแต่เด็กไทย ภาษาไทย แต่เขาพูดอังกฤษกันเพราะเป็นพวกเรียนโรงเรียนอินเตอร์แต่เล็ก แป๋มสมาคมกับเด็กจากทั้งสองฟาก อยู่บ้่านก็พูดไทย พูดอังกฤษแต่กับเพื่อน จากเดิมที่ต้องจดเวลาจะพรีเซนต์ก็เลิกแล้ว พูดจากความเข้าใจมากกว่า คิดเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ต้องมี native speaker หรอกค่ะ แค่ได้ใช้ให้บ่อย ทักษะต่างๆก็จะเก่งขึ้นเอง สำเนียงมันก็มาเพราะไม่อยากรู้สึกแปลกๆ เพื่อนเราคนญี่ปุ่นมาอยู่ไทยสี่ปี พูดเขียนอ่านไทยปร๋อแล้ว เพราะเขาหมั่นใช้ภาษาไทยถ้ามีโอกาส เขาไม่ยิ่งหนักกว่าหรือ ไม่เคยเรียนมาก่อนเหยียบย่างบนแดนไทย!! ไม่มีญาติ เพื่อนพ้อง ทุกวันนี้พูดอ่านเขียนได้ดีทีเดียว ถ้าคุณไปเรียนแล้วทำแบบเพื่อนคุณ ไงๆก็ไม่รุ่ง ซ้ำจะไม่ได้ประโยชน์มากกว่า คุณต้องสมาคมกับคนท้องถิ่นเขาด้วย ครูเอย เพื่อนเอย คนขายอาหาร คุยกับเขาไปเถอะ เพื่อนคุณเราว่าไปแบบไม่มั่นใจ ไม่มีคณะจำพวกอ่านหนังสืออย่างเดียวจนทำให้ไม่มีเวลาพูดหรอก เขาให้อ่านแล้ววิเคราะห์ไม่ใช่หรือ ก็ต้องรู้จักไปคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนบ้าง ไปสอบถามจากผู้รู้บ้าง ครูบาอาจารย์ หรืออย่างน้อยๆก็คือ "เลิกพูดไทยกับคนไทย" จำกัดกันบ้าง หรือบอกไปเลยว่าขอฝึกภาษาเถอะ เอาไว้กลับไทยค่อยคุยไทยกันได้ (เราอยู่กับเพื่อนๆไทยก็พูดอังกฤษถ้าไม่ใช่ว่าจะพูดไทยกัน ยิ่งมีต่างชาติอยู่ก็จะพูดอังกฤษหมด) จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 10:01:55

ความคิดเห็นที่ 9 ... หรืออย่างน้อยๆก็คือ "เลิกพูดไทยกับคนไทย" จำกัดกันบ้าง หรือบอกไปเลยว่าขอฝึกภาษาเถอะ เอาไว้กลับไทยค่อยคุยไทยกันได้ (เราอยู่กับเพื่อนๆไทยก็พูดอังกฤษถ้าไม่ใช่ว่าจะพูดไทยกัน ยิ่งมีต่างชาติอยู่ก็จะพูดอังกฤษหมด) จากคุณ : kurika ------------------ ใช่แล้วครับ ตอนที่ผมฝึกภาษาอังกฤษ ก็ใช้วิธีแบบนี้แหละ นอกชั้นเรียน เพื่อนผมมันพูดไทย แต่ผมพูดอังกฤษ มันว่าผมบ้า แต่ผมไม่สนว่ะ 555 ลุยลูกเดียวเลย เมื่อเรียนจบ เข้าทำงานจนปัจจุบันเกษียณแล้ว ผมเคยเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติหลายครั้ง เวลาผมพูดใครๆ ก็เข้าใจ เวลาผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นพูด ผมก็ฟังออกหมด เพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าสมัยที่ยังเรียนหนังสือและต้องการฝึกภาษาอังกฤษนั้น ผมลุยแหลก เจอหน้าอาจารย์ที่เป็นชาวอเมริกัน / อินเดีย / พม่า หรือแม้กระทั่งอาจารย์ที่เป็นคนไทย ผมก็หาเรื่องเข้าไปคุยด้วยเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด นี่เป็นวิธีฝึกทักษะการฟัง และการพูดไปด้วยพร้อมกันครับ อยู่เมืองไทยก็ฝึก Speaking Skill ได้เช่นกันครับ ไม่จำเป็นต้องไปเมืองนอกเมืองนาหรอก เพียงว่า คุณพร้อมที่จะลุยหรือยัง? จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 10:35:09

ความคิดเห็นที่ 10 ้เอ่อแปลกแฮะ กรณีของเรามันตรงข้ามกับรุ่นพี่ จขกท เลยอ้ะ นั่นก็คือวันๆหนึ่งเราไม่เอาถ่านตอนเด็กๆเราเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเพราะมี iq ที่ต่ำกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า วันๆเราได้แต่ออกนอกบ้านไปคบกับเพื่อนฝรั่งแล้วเที่ยวเตร่ บางทีไปนั่งดูดกัญชาที่ beach party กัน เราเลยฟังกับพูดคล่องภายในเวลาอันสั้นๆมากๆ แต่เราอ่านหนังสือยากๆไม่รู้เรื่องแล้วก็เขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นภาษาคนเลยหละ... ้เรากลับมาเมืองไทยเรามีความรู้ภาษาอังกฤษแค่ภาษาพูดเท่านั้นเอง แต่เผอิญเราตกงาน เราเลยต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองในเมืองไทยนี่แหละ ให้อ่านภาษาอังกฤษยากๆได้และเขียนได้ จนกระทั่งเรามีความรู้พอที่จะออกไปสอนภาษาอังกฤษได้ และทำงานแปลเอกสาร แปลหนังสือได้ ตลอดระยะเวลาหลายปี่ที่อยู่เมืองไทย เราพยายามจะฝึกสมาธิและลมปราณ และกินอาหารปลอดสารพิษเพื่อเปลี่ยน cells ในสมองเราให้ฉลาดขึ้น มันดีขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ดีสุดยอด แต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านไปนี้ หลังจากอ่านหนังสือ The Secret เรากลับไปฝึกกำลังภายในใหม่ เรากลายเป็นส่งกำลังไปตามสายลมปราณต่างๆได้คล่องกว่าเดิม ประกอบกับเราไปคิดศาสตร์เร้นลับในการขับสารพิษออกจากระบบเราได้ดีเยี่ยม มันเลยกลายเป็น cells ในร่างกายและสมองเราเปลี่ยนไปมากๆเลยหละ นอกจากหน้าตาเราจะเด็กมากขึ้นแล้ว เรายังเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งๆที่เราก็ยังขี้เกียจเรียนภาษาอังกฤษแบบออกแรงมากๆ คือแทนที่จะกัดฟันนั่งเรียน syntaxให้เขียนประโยคภาษาอังกฤษแม่นยำไม่มีผิดพลาด เรากลับเรียนลัดโดยการ "เอาหนังสือภาษาอังกฤษที่นักเขียนฝรั่งระดับอัฉริยะมาอ่าน (เอามาเป็น ebooks) แล้วจับประโยคที่มี sentence structure types ที่น่าสนใจเข้าไปวางไว้ใน software แล้ว organize มัน แล้วเอาประโยคพวกนั้นไปหัดเขียนพลิกแพลงในหลายๆรูปแบบให้มันมีความหมายเหมือนๆกัน มันกลายเป็นว่าเราเรียนเขียนได้เร็วกว่าเดิม และดีกว่าเดิมจนเพื่อนๆนักแปลเห็นงานแปลไทยเป็นอังกฤษเราต้องเอ่ยปากชมว่าเรียนเขียนอังกฤษได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆในช่วง 2-3 ปีนี้จริงๆ นี่เรากะว่าจะลองกัดฟันกลับไปเรียนเรื่อง syntax แบบยากๆใหม่อีกรอบหนึ่ง จะลองพยายามฝึกพวก sentence diagramming และพยายามฝึกทักษะอื่นปลีกย่อยอีกหลายๆทักษะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขยันพอหรือไม่ เพราะว่าหมูนี้นะ วันๆหนึ่งเรา download เอา video clips โป๊มาดูจนขึ้นสมองแล้วหละ...555++...สลัีบกับการ download software ต่างๆมาทดสอบเรื่อยๆอย่างเมามัน สงสัยตอนจบเราจะไม่ใช่เซียนภาษาอังกฤษหรอก แต่จะกลายเป็นเซียนคอมพิวเตอร์/อินเตอร์เน็ตกับหมอลามกไปเสียฉิบ...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 11:12:06

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ มีโอกาสไปต่างประเทศก็พยายามฝึกฝน ครับ ไม่ต้องอาย ครับ คนอื่นที่เค้าไม่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ เหมือนกับคุณ เค้าก็พยายามกันอยู่ครับ ตัวของคุณ นะครับ โชคดีสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้ว จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 17:25:13

ความคิดเห็นที่ 12 ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่จะดีขึ้นมากแค่ไหน มันอยู่ที่คนเลย ตัวอย่าง ก่อนมา พยายามจะเรียบเรียงคำพูด ให้พูดให้ถูกแกรมมาร์ แต่จริงๆ เวลาพูดจริงๆ มันมีเรื่องของการเรียบเรียงประโยค จังหวะ การเน้นคำ flow ของบทที่พูด เพราะงั้น ถ้าเรามาพูดแบบที่เราใช้ภาษาเขียนอ่ะ มันไม่เวิร์ค ส่วนตัวเอง ไม่ใช่คนช่างพูด skill ตรงส่วนนี้ก็เลยไม่ขึ้นเท่าไหร่ แต่ต่อไปคงต้องปรับตัวเองบ้างละ เพราะถ้าสื่อสารไม่ได้ดี ตอนทำงานโอกาสโตที่นี่ค่อนข้างยาก ส่วน reading กับ writing มันก็ดีขึ้นนะ แต่จะดีขึ้นมากแค่ไหน ก็แล้วแต่คนอีก ถ้าเวลาเขียน คุณมีเขียน แล้วให้เค้าตรวจ แล้วแก้ ซ้ำไปมา มันก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้ว อ่านก็เหมือนกัน อ่านได้เร็วขึ้นนี่กับจับใจความได้มากขึ้นนี่แน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ศัพท์เยอะขึ้นเยอะนะ เพราะบางที่เวลาต้องอ่านมากๆ ส่วนใหญ่ เช่นผมเนี่ย จะไม่มานั่งเปิดดิค หาความหมาย ยกเว้นแต่ว่ามันจะเป็นคีย์เวิร์ดจริงๆ แต่ส่วนใหญ่จะอ่านไปเลย เดาความหมายของบริบท อ่านเอาไอเดีย ซึ่งแบบผมเนี่ย เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีอ่ะนะ สรุป หนึ่งพัฒนาได้มากแค่ไหนมันแล้วแต่นิสัยของแต่ละคน สองมันขึ้นอย่กับเป้าหมายคุณด้วย ถ้าเป้าหมาย คือ ต้องการพัฒนาภาษาด้วย คุณก็จะพัฒนาในอัตราเร่งที่ดีกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมาย ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนอีกนั่นแหละ อย่างผมเนี่ย ผมจัดให้การพัฒนาภาษาอยู่อันดับท้ายๆ เพราะมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ เช่น เกรด สอบพวก license หาทำ intern เข้าประกวดพวกแผนต่างๆ และอื่นๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำนะ เพียงแต่มันยังไม่ใช่เวลาที่ต้องโฟกัส เพราะงั้น คุณต้องวางแผนล่วงหน้าไว้เลย ว่าจะโฟกัสอะไร ยังไง เวลาไหน เพื่อ utilize ให้เกิดประโยชน์มากสุด จากคุณ : nOth!Ng เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 00:03:28

ความคิดเห็นที่ 13 ตัวเราตอนอยู่ไทย แกรมม่านี่เป๊ะๆๆๆๆ แต่พอไปดั๊นคุยไม่ได้ซะงั้น ประมาณว่าแบบ มายืนเรียบเรียงแกรมม่าอยู่ตั้งนานกว่าจะพ่นประโยคที่ติดอยู่ออกไปได้ แต่ตอนนี้คุยกับเพื่อนอย่างบ่อย แกรมม่งแกรมม่าไม่สนหรอก พูดเข้าใจก็ใช้ได้และ พวกฝรั่งแท้ๆมันยังพูดแกรมม่าไม่เป๊ะเร้ย แต่สำเนียงนี่ได้นะ แบบต้องออกเสียงแบบกระแดะๆหน่อย ตอนแรกก็ไม่กล้าหรอก สำเนียงแบบไทยสุดๆ ฝรั่งทำหน้า งง -_- มีครูที่หอที่อยู่ตอนแรกเราไปนี่พูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ yes no okay พยักหน้าหงึกๆ เจ๊แกก็คงหนักใจ พออยู่ไปซักไม่กี่เดือนก็พูดได้คล่องแล้ว พี่แกปลื้มเช้าปลื้มเย็น บอกภูมิใจมากเลย ตอนแรกเห็นพูดไม่ได้ ตอนนี้ ภาษาอังกฤษเธอเยี่ยมมาก เราก็ เอ่อ ไม่หรอก ฮ่าๆๆ (ถ่อมตน หุๆ) ส่วนเพื่อนของ จขกท. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็น no speaking แล้วเขาจะไปพูดได้ยังไงล่ะเง้อ เหมือนกับอยู่สังคมไทยๆ เราก็ไม่พูดอังกฤษกันอยู่แล้ว พอไปเจอคนไทยน่าน จ้อไทยกันใหญ่ เพราะเอามันส์ โม้ๆ ฮาๆ ไว้ก่อน (เป็นเหมือนกัน) แต่ทั้งโรงเรียนเรามีคนไทยที่พูดไทยแบบชัดๆได้ 2 คนเอง เจอกันเป็นบางทีเพราะเรียนกันคนล่ะชั้น ฉะนั้นสภาพแวดล้อมมันก็บังคับให้พูดภาษาอังกฤษ เราอยู่ๆไปยังได้ภาษา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลย ส่วนใหญ่จะเป็นคำด่า ฮิฮิ จากคุณ : Whortleberry เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 20:39:15