เราเรียน writing ไม่เหมือนคนอื่นทั่วๆไป วิธีการที่เราใช้แตกต่างจากนักศึกษาที่เรียนเอกด้านภาษามากๆ นั่นก็คือเราสร้าง hands-on courses ให้ตัวเองก่อน แล้วจึงค่อยใช้ textbooks หลังสุด
เราเริ่มต้นจากการฝึกพูดให้คล่องๆก่อน จนคิดเป็นภาษาอังกฤษได้แบบเป็นธรรมชาติ จากนั้นเราเรียน reading comprehension ด้วยตัวเอง แล้วเอาคำศ้ัพท์ที่เจอใน passage ที่อ่าน เอาไปหัดเขียนพลิกแพลง โดยพยายามเขียนประโยคหลายๆสิบประโยคโดยใช้ sentence structure types ที่แตกต่างกัน แต่ให้ทุกประโยคมันแปลเหมือนๆก้ัน จากนั้นก็หัดใช้คำศัพท์ตัวเดียวกันใน collocations ที่ต่างกันเพื่อเขียนหลายๆประโยคให้มันแปลไม่เหมือนก้ัน ซึ่งกระบวนการเขียนพลิกกลับไปกลับมานี้ เราเรียนจาก esl dictionaries ที่มีตัวอย่างประโยค หรือใช้ google ช่วยหาัตัวอย่างประโยค หรือบางทีหาตัวอย่างประโยคจาก online corpus ก็มี
หมายเหตุ: แฟนเราเขียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาโฆษณาหรูๆเพ้อฝัน ได้สวยงามเหมือน copywriter ฝรั่งเขียน เรางงมากๆว่าเธอทำไง ทั้งๆที่เธอเรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทย เธอตอบว่า หาประโยคสวยๆจาก google แล้วเอามาดัดแปลง...!!!...เราก็เลยเอาวิธีการของเธอเข้ามาบรรจุเอาไว้ใน arsenal ของเรา...555+++...วิธีการเช่นนี้เป็นหนึ่งใน hands on learning activities ซึ่งจากประสบการณ์ตนเอง เราคิดว่า ผู้เรียนภาษาอังกฤษควรหัดใช้คอมพิวเเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้เก่งๆก่อนที่จะไปจ้ับ textbooks แบบ conventional มากๆในมหาลัย เนื่องจากตอนนี้ "วิชามาร" ของเรากำล้ังเก่งขึ้นทุกวัน จนถึงกับซอกแซก download ของฟรีพวก บทเรียนภาษาอังกฤษ (ebooks, audio และ video ที่บางอันดีเทียบเท่าเข้าเรียนมหาลัียต่างแดน) และ software ช่วยเรียนภาษาอังกฤษ ม้ันทำให้เราผู้ซึ่งไม่มีเงินไปเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยต่างแดนราคาแพงๆ สามารถปักหลักเรียนรู้นอกมหาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสง่าผ่าเผย
ในช่วงแรกๆนะ เราไม่ได้เรียนจาก textbooks เลย และการใช้ punctuation เราอาศัยครูพักลักจำ จากหนังสือที่ืเราอ่านมา และทำไปทำมาก็ต้องลงทุนเรียนวิธีใช้ punctuation จาก textbooks (บางทีเรียนจากบทเรียนที่เวปฝรั่งบ้างก็มี)
จากนั้นเราทำงานแปลนิยายอังกฤษเป็นไทย เราใช้ software เก่งๆเก็บรวบรวมข้อความที่นักเขียนฝรั่งเก่งๆเขี่ยนไว้ ที่เราเก็บสะสมมาจากหนังสือที่เราแปล โดยจัดแยกประเภท sentence structure types (กระบวนการซับซ้อน รายละเอียดมากเกินกว่าจะเขียน ซึ่งเราใ้ช้ cells สมองส่วนที่คนอื่นไม่ค่อยใช้ คิดขึ้นมาใช้เอง เพื่อซุ่มเรียน writing โดยหวังเอาชนะคนที่เรียนเอกทางด้านภาษาอังกฤษปริญญาสูงๆให้ขาดลอยให้ได้)เราเชื่อว่าถ้าเราทำกิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ เราจะเขียนภาษาอังกฤษเก่งพอที่จะเขียนหนังสือภาษาอังกฤษไปตีพิมพ์ต่างแดนได้ เพียงแต่ว่าจะต้องเลือกแนวที่เราถนัดเท่านั้น ภาษาอังกฤษถึงจะออกมาดีได้
พอเรียนถึงขั้นนี้ แล้วเราถึงเริ่มจับ textbooks เรียน writing แบบออกแนว academic และเรียน syntax and argumentation และไปหา textbooks ที่มัน topic เท่ห์ๆเช่น discourse analysis ที่คนเรียนเอกด้านภาษาชอบคุยโวทัีบคนเรียนนอกมหาลัย หาว่าไม่รู้ ซึ่งเราก็แกล้งทำโง่ไปยังงั้นนั่นแหละ แต่เรารู้แหล่งหาบทเรียนพวกนี้ได้เป็นของฟรี มีทั้งสอนฟรีบนเวป มีทั้งแหล่ง download ebooks และ video clips ไปเรียนเอง (เหมือนไปนั่งเรียนในมหาลัยในสหรัฐเลยหละ)
สรุป
เราเรียนเรื่องแบบง่ายๆแบบชาวบ้านๆให้ใกล้เคียงฝรั่งเจ้าของภาษาก่อน แล้วจึงค่อยกระเถิบไปใช้ textbooks ระดับ acedemic ที่ใช้กันในมหาลัย ดัวย straightforward logic คือ
พวกเราคนไทยเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ก่อนที่จะฮึกเหิมไปเรียนเรื่องอะไรแบบ academic มากๆเหมือนหลักสูตรเอกอังกฤษในมหาลัยที่มีไว้สอนฝรั่งนั้น ควรแก้ไขล้างระบบในสมอง เพื่อขจัด
syntactic errors in the writing of second language learners
ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เสียก่อน
จากนั้น เมื่อจะเรียนอะไรก็จะประสบความสำเร็จหมด ถึงแม้ว่าจะเรียนด้วยตัวเองก็ตาม
แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 53 15:13:27
แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 53 11:31:08
แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 53 11:18:39
แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 53 11:17:52