ความคิดเห็นที่ 1 สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนแถบนี้ได้มีชุมชนดั้งเดิมอยุ่แล้ว โดยมีหลักฐานจากพื้นที่ตั้งวัดอยู่ ๓ แห่งคือ วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร (วัดเชิงเลน), วัดจักรวรรดิ์ราชาวาสวรมหาวิหาร (วัดสามปลื้ม) และวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร (วัดสามเพ็ง) ซึ่งวัดเหล่านี้เดินทางถึงได้ด้วยมีคลองย่อยจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไป ซึ่งไม่มีหลักฐานว่าเป็นเคยชุมชนใหญ่ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 13:58:22

ความคิดเห็นที่ 2 สมัยกรุงธนบุรี ปฐมบทแห่งการเป็นพื้นที่ตั้งมั่นแห่งชุมชน โดยบริเวณทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้มีชาวจีนเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนกันอย่างหนาแน่น และบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ซึ่งเป็นบริเวณตรงข้ามพระราชวัง ก็ปรากฎชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า “ย่านท่าเตียน” ซึ่งอยู่ปะปนผสมกับชุมชมชาวญวน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 13:59:15

ความคิดเห็นที่ 3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ จึงโปรดเกล้าให้ย้ายชุมชนชาวจีน ไปตั้งที่นอกกำแพงพระนคร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณคลองวัดสามปลื้มเรื่อยไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง พร้อมกันนี้จึงได้มีการสร้างถนนตามกันไป จึงเรียกถนนดังกล่าวว่า ถนนสำเพ็ง ได้ถือกำเนิดขึ้นมา การตั้งชุมชนของชาวจีนในที่ใหม่นี้ ได้ถือกำเนิดแห่งการค้าที่เรียกว่า “ตลาดบก” ขึ้นมาควบคู่ไปกับ “ตลาดน้ำ” ซึ่งมีอยู่เก่าก่อน การเดินทางเข้าพื้นที่สำเพ็ง ในสมัยนั้นไม่ลำบากอะไร โดยเดินเลาะกำแพงพระนคร ออกประตูเมือง ข้ามคลองโอ่งอ่าง และเดินเข้าสู่สำเพ็งได้ หรือ นั่งเรือมาแล้วเข้าคลองที่ซอยย่อยอยู่อย่างมากมาย ในช่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่สำหรับพวกมิชชันนารีอเมริกัน เข้ามาตั้งหลักแหล่งเพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ โดยมาเช่าบ้านแถววัดเกาะ  ซึ่งต่อมาเมื่อหมอบรัดเลย์ เข้ามาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หมอบรัดเลย์ก็มาเช่าห้องพักดังกล่าวด้วย และเปิด “โอสถศาลา” เพื่อแจกและขายยาฝรั่ง พร้อมกับแผยแพร่ศาสนาในระยะหนึ่ง ภาพตลาดในถนนสำเพ็ง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:02:25

ความคิดเห็นที่ 4 ลักษณะย่านสำเพ็ง ด้วยอุปนิสัยของชาวเชื้อสายจีน จากบ้านเกิดถิ่นฐานมา ความเป็นอยู่ก็ต้องมีความอดทน มัธยัสถ์ กินง่าย อยู่ง่าย และรักพวกพ้อง ทำให้บ้านเรือนในย่านดังกล่าวมีลักษณะเล็ก และแออัด พร้อมกับการวางขายสินค้าตามนิสัยชอบค้าขายเป็นทุนเดิม การที่อยู่กันอย่างแออัด มักจะเกิดปัญหาไฟไหม้ซึ่งเป็นปัญญาใหญ่มากในชุมชนนี้ เช่น " พ.ศ.๒๓๔๓ วันจันทร์ เดือนยี่ ขึ้น ๘ ค่ำ เวลา ๕ โมงเย็น  เกิดเพลิงไหม้ ที่วัดสามปลื้ม ตลอดลงไปถึงตลาดน้อยวัดสำเพ็ง" จะเห็นได้ว่าไฟได้ไหม้ขยายเป็นวงกว้างอย่างมาก แต่ก็ไม่นานก็กลับมาเป็นชุมชมแออัดเหมือนเดิม จนชุมชนเติบโตเรื่อยมาเข้าสู่สมัยรัชกาลพระบาทพระจอมเกล้าฯ ชุมชนนี้มีประชากรหนาแน่น มีสินค้าจากต่างประเทศ เสื้อผ้า เครื่องแก้ว นำเข้ามากันดาษดื่น ผลแห่งการขยายตัวของชุมชนชาวจีน ซึ่งมีอย่างต่อเนื่องและปัญหาไฟไหม้ที่เรื้อรังมานาน ทำให้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯและรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำริจัดระเบียบชุมชน มีการตัดถนนเพิ่มขึ้น แทรกตัวลงในที่เกิดปัญหาไฟไหม้ และตัดถนนใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาแห่งการดับเพลิงที่เข้าถึงได้ยาก ซึ่งการตัดถนนนี้เอง ทำให้การเดินทางที่สะดวก เข้าถึงง่าย กลายเป็นแหล่งการค้าที่เติบโตอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาโดยตลอด ภาพบรรยากาศในถนนสำเพ็งในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นทางเดินเล็กๆเหมือนในปัจจุบัน สองข้างทางในภาพเป็นร้านขายบาตรพระ อีกด้านเครื่องโลหะ ฆ้องโหม่ง อยู่หน้าร้าน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:06:21

ความคิดเห็นที่ 5 วิเคราะห์คำว่า “สำเพ็ง” มาจากไหนกันแน่ ดังที่กล่าวไว้แต่แรกว่า คำว่าสำเพ็ง ไม่ควรชี้ชัดไปที่คำใดคำหนึ่ง เนื่องจากในหมู่นักปราชญ์ นักคิด ยังคงวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของคำนี้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอะไร ซึ่งเราไม่ควรตะแบงและเข้าใจอย่างผิดๆ จนบ้าคลั่งไป แม้ว่าพระราชพงศาวดาร ฉบับเจ้าพระยาฯ (ขำ บุนนาค) จะได้ระบุไว้ชัดถึงคลองสามเพ็ง และวัดสามเพ็ง แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าถึงชื่อมีต้นราก กำเนิดมาจากสิ่งไร จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:09:54

ความคิดเห็นที่ 6 แนวคิดที่ ๑ สามแผ่นดิน จากหนังสือ ชื่อบ้านนามเมือง โดยศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย และหนังสือเล่าเรื่องเก่าของไทย โดยสมพงษ์ เกรียงไกรเพชร์ ได้ตั้งข้อสังเกตุที่คล้ายกันเอาไว้ว่า ลักษณะภูมิประเทศของย่านนี้ มีคลองขวางอยู่ด้วยกัน ๒ คลอง คือ คลองเหนือวัดสำเพ็ง และคลองวัดสามปลื้ม ทำให้ตัดแผ่นดินออกเป็นสามตอน หรือ สามแผ่น คือ แผ่นดินวัดสำเพ็ง ๑ แผ่นดินวัดเกาะ๑ และแผ่นดินวัดสามปลื้ม๑ คนทั่วไปจึงเรียกย่านนี้ว่า “ย่านสามแผ่นดิน” หรือ “สามแผ่น” และด้วยสำเนียงคนจีน เรียกเพี้ยนมาเป็น “สำเพ็ง” จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:10:39

ความคิดเห็นที่ 7 แนวคิดที่ ๒ สามแพร่ง จากหนังสือ ชื่อบ้านนามเมือง โดยศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ได้ตั้งข้อสังเกตุเอาไว้อีกว่า คำว่าสำเพ็ง นอกจากจะมาจาก “สามแผ่นดิน” ยังอาจจะมาจาก “สามแพร่ง” ก็เป็นไปได้ ซึ่งสามแพร่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของลักษณะภูมิประเทศในย่านนี้ก็เป็นไปได้ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:12:49

ความคิดเห็นที่ 8 แนวคิดที่ ๓ เฟิร์นชนิดหนึ่ง อีกแนวคิดหนึ่งท่านได้ให้ข้อสังเกตุว่า อาจจะการกร่อนเสียงจากพืชตระกูลเฟิร์น ที่เรียกว่า “ลำเพ็ง” หรือ “ผักกูดแดง” ซึ่งเจริญเติบโตบริเวณภูมิภาคนี้ ที่ลุ่ม ที่หนองแฉะ และอาจจะขึ้นอยู่มากด้วยต้นลำเพ็ง จึงเรียกและเพี้ยนเป็น “สำเพ็ง” ในเวลาต่อมา ภาพเฟิร์นที่เรียกว่า ลำเพ็ง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:13:50

ความคิดเห็นที่ 9 บางท่านอาจทักท้วงว่า แถวนี้จะมีต้นเฟิร์น ขึ้นได้หรือ ..ขอให้มองย้อนกลับไปเมื่อ ๒๐๐ ปีกว่า บริเวณสำเพ็ง เป็นที่ลุ่มชายน้ำ มีป่าโกงกาง ป่าแสม และเลนตม ขนาดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ยังมีร่องรอยของเสือ กินคนอยู่แถวๆวัดมหรรณพารามกันอยู่เลย แนวคิดเรื่องเฟิร์นลำเพ็ง ก็น่าจะเป็นไปได้ เลยแทรกภาพถ่ายบริเวณแห่งหนึ่ง นอกเขตกำแพงพระนคร ถ่ายไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ จะได้นึกบรรยากาศแห่งสมัยก่อนได้ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:15:59

ความคิดเห็นที่ 10 แนวคิดที่ ๔  สามเพ็ง แนวคิดข้อสันนิฐานนี้ ขุนวิจิตรมาตรา(สง่า กาญจนาคพันธุ์) ได้เสนอไว้ว่า อาจจะมาจากชื่อคน “เพ็ง” ๓ คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ จึงเรียกว่า “สามเพ็ง” หรือ “สำเพ็ง” ภาพขุนวิจิตรมาตรา(สง่า กาญจนาคพันธุ์) จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:16:39

ความคิดเห็นที่ 11 แนวคิดที่ ๕  ย่านน้ำลึก ส.พลายน้อย สันนิษฐานไว้ในหนังสือ “บางกอก” ว่าแต่ก่อนบริเวณนั้นคงเป็นที่น้ำลึกหรือเป็นทางสามแพร่ง ซึ่งชาวจีนเรียกเพี้ยนเป็น สามแพ่ง และสำเพ็งในที่สุด ภาพ ส.พลายน้อย จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:17:21

ความคิดเห็นที่ 12 แนวคิดที่ ๖  มาจากชื่อวัด และคลอง และข้อคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันของ “บุปฝา คุมมานนท์” กล่าวไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรมว่า “สำเพ็งศูนย์กลางการค้าแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งสำเพ็งเป็นชื่อที่เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า “สามเพ็ง” ซึ่งเป็นชื่อวัดและชื่อคลองที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำให้คนจีนในละแวกนี้เคยชินกับการออกเสียงสั้นๆ จึงทำให้ “สามเพ็ง” กลายเป็น “สำเพ็ง” จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:18:04

ความคิดเห็นที่ 13 สะพานหิน ถนนสำเพ็ง ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ถนนวานิช๑” เมื่อราว ๕๐ ปีก่อน มีความยาว ๑,๙๕๐ เมตร เดิมในสมัยรัชกาลที่ ๑ จะปูด้วยอิฐโรยทรายและปัจจุบันเป็นทางเดินปูกระเบื้องสีแดง มีหลังคาคลุมอย่างสวยงาม กลบฝังอดีตไปเสียสิ้น ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเคยถูกระบุไว้ในนิราศชมตลาดสำเพ็ง ของนายบุศย์ เมื่อต้นรัชกาลที่ ๖ ระบุว่า ๏ ถึงหน้าวัดนามเรียกสามปลื้ม   แทบจะลืมกลับหวนรัญจวนหา ถึงโฉมตรูคู่ปลื้มดื่มวิญญา         ทุกเวลาปลื้มทรวงด้วยดวงใจ ปลื้มสิ่งอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน อย่างแม่เพื่อนปลื้มจิตพิสมัย จากที่ปลื้มลืมลาเหลืออาลัย      หมองฤทัยจรจรัลเที่ยวผันแปร ฯ ๏ ถึงสะพานหินผินหน้าเที่ยวหาน้อง แต่มองมองไม่เห็นนางไปห่างแห อาลัยมิตรขนิษฐาสุดตาแล        ได้แต่ชมหญิงอื่นไม่ชื่นใจ นามเรียกสะพานหินถวิลคิด        ขอน้ำจิตน้องรักเป็นหลักไหล อย่าหูเบาเฝ้าแหนงระแวงไป       ถึงผู้ใดยุยงอย่าหลงลม จงพกหินไว้กับอกอย่าพกนุ่น      ถ้าเฉียวฉุนวู่วามไม่งามสม จะรวนเรเสน่หาสมาคม              ด้วยอารมณ์นารีไม่จีรัง คิดถึงรักปักเข็มไว้เต็มแน่น         ยังคลอนแคลนคลาดเคลื่อนไม่เหมือนหวัง พอเข็มครากรากทรุดก็หลุดพัง     ลงเซซังต้องใส่เอาไม้จุน ไม่เหมือนอย่างโฉมศรีขอพี่แล้ว   ลงรากแก้วไม่ยะเยื้อนออกเคลื่อนหมุน หญิงทุกวันฉันระอามักทารุณ       เที่ยวว้าวุ่นแต่ข้างทางเกเร ฯ สะพานหินดังกล่าว ปัจจุบันไม่มีผู้ใดรู้จักกันแล้ว เนื่องด้วยเป็นทางเดินเรียบตลอดถนนวานิช ๑ ซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่งได้ระบุพิกัดที่ตั้งสะพานหินแห่งนี้ไว้ว่า “จากคำบอกเล่าของพระครูถิน คณะ ๕ วัดสามปลื้มเมื่อพ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านพระครูมีบ้านเดิมที่อยุธยา เมื่อบวชเรียนแล้วมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ร่วม ๖๐ ปี และมีโอกาสถามถึง “สะพานหิน” ท่านพระครูก็ตอบในทันทีว่า คือ จุดที่ถนนสำเพ็ง ตัดกับถนนมหาจักร หรือปัจจุบันเป็นสี่แยกเล็กๆ สุดมุมวัดด้านตะวันออกพอดี ซึ่งถนนมหาจักร นี้เดิมเป็นคลองวัดสามปลื้ม เลียบข้างวัดเรื่อยไปผ่านถนนเจริญกรุง ถนนหลวง เลียบข้างโรงพยาบาลกลางและไปออกคลองมหานาค ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๗๐ มีการถมคลองทำถนน จึงเรียกอย่างสามัญว่า คลองถมจักรวรรดิ หรือเรียกว่า ถนนจักรวรรดิ ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น ถนนมหาจักร และเรียกกันอย่างติดปากว่า คลองถม และจากการที่ถนนสำเพ็ง ข้ามคลองดังกล่าวนี้เอง ทำให้ตรงนี้เป็นสะพาน คงปูลาดด้วยหิน (น่าจะเป็นหินแกรนิต อย่างวัดพระแก้ว) ภาพคลองวัดสามปลื้ม (เส้นสีเหลือง เพื่อให้เห็นได้ชัด) เป็นคลองที่เชื่อมคลองมหานาค กับแม่น้ำเจ้าพระยา จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:21:31

ความคิดเห็นที่ 14 คุณหนุ่มช่างขยันหาอะไรดีๆมาฝากคนในห้องสมุดเหลือเกิน ข้อมูล ความรู้ก็แน่นเปรี๊ยะ ควรค่าแก่การสรรเสริญ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:22:48

ความคิดเห็นที่ 15 แผนผังในปัจจุบันที่ระบุตำแหน่ง สะพานหิน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:23:07

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณ คุณ Navarat.C มากที่เข้ามาเจิมกระทู้ท่านแรกเลย ^ - ^ ปิดท้ายด้วยภาพถ่ายเก่าสุดคลาสิก ระบุว่าตลาดสำเพ็ง เบื้องหลังเป็นประตูสามยอด ล้ำค่ามากครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:25:44

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพสวยงาม น่าศึกษาครับ จากคุณ : Numenor เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:39:56

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ จากคุณ : jin leng เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:42:53

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 15:15:05

ความคิดเห็นที่ 20 แล้วชื่อสำเพ็งมาจากไหนกันแน่   ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาเล่าค่ะ จากคุณ : tintila เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 15:38:05

ความคิดเห็นที่ 21 ตกหล่นไป ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บาทหลวงปาเลอกัวซ์ ได้รวบรวมคำศัพท์ภาษาไทย บรรจุลงในพจนานุกรม ซึ่งมีคำว่า "สำเพง" และ "หญิงสำเพง" หากพูดถึงสำเพ็ง ก็จะหมายถึง ไปตลาดสำเพ็งซึ่งอยู่ในกรุงเทพ ส่วนอีกความหมายหนึ่ง คือ หญิงสำเพ็ง เป็นด่าสมัยก่อน ซึ่งแปลว่า หญิงโสเภณี ซึ่งสอดคล้องกับนิราศเมืองแกลง ของสุนทรภู่ได้กล่าวไว้ว่า ๏ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ  แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน  มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:06:42

ความคิดเห็นที่ 22 คำว่า "สำเพ็ง" มาจากไหนไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าต่อมาในยุคหนึ่งจะใช้หมายถึงย่านที่อยู่ของคนเชื้อสายจีน หรือมีคนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่มากๆ ไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่สำเพ็งในปัจจุบันนี้ ทำนองเดียวกับ China town ของต่างประเทศ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีที่เดียว เคยเห็นโฉนดที่ดินรุ่นเก่าๆ เป็นที่ดินแถวโบ๊เบ๊ ก็ยังระบุตำบลที่อยู่ว่า "สำเพ็ง" เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 16:11:12 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:10:15

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณสำหรับ"ความน่าจะเป็น"ในรูปแบบต่างๆนะครับ ได้ความรู้มากมาย คนที่ศึกษาและสนใจน่าจะได้อะไรเติมสมองมากขึ้นครับ จากคุณ : อุปรากรจีน เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:39:38

ความคิดเห็นที่ 24 รบกวนสอบถามคุณหนุ่มฯ ต่อดังนี้ครับ จากรูปประตูสามยอด กระผมสงสัยมานานแล้วว่า หน้าประตูสามยอดหันหน้าไปทางไหนหรือขอรับ ? (อ้างอิงจากรูปความเห็นที่ ๑๖ ก็ได้ขอรับ) ีข้อต่อมา ประตูสามยอดถูกทุบทำลายลงไปเมื่อใดพอจะมีบันทึกไว้ไหมครับ ข้อสุดท้าย ด้านหน้าวังบูรพาฯ สมัยที่ยังเป็นวังของเสด็จฯ อยู่ จางวางศรเคยพักอาศัย กระผมอยากจะสอบถามเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันด้านหนังวังบูรพาฯ ในสมัยนั้น ปัจจุบันกลายเป็นถนน หรือเป็นอะไรไปแล้วครับ รบกวนเท่านี้ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:58:18

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แพนด้ามหาภัย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 18:35:21

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณค่ะ จิ้นไม่ค่อยจะออกนะนี่ เปลี่ยนไปตามกาลเวลาจริงๆ ^ ^ จากคุณ : radiergummi เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:23:59

ความคิดเห็นที่ 27 ลองอ่านตรงนี้หน่อยนะครับ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:41:17

ความคิดเห็นที่ 28 สะพานที่คุณหนุ่มเอามาลงคือสะพานเหล็กก่อนขยายหรือเปล่า จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:43:07

ความคิดเห็นที่ 29 และรูปนี้คือสะพานดำรงสถิตย์ ซึ่งยังคงเป็นเหล็กอยู่ในสมัยขยายเสร็จใหม่ๆ เป็นเหตุให้คนเรียกติดปากว่าสะพานเหล็ก อันนี้เป็นสะพานเหล็กบนอยู่ถนนเจริญกรุง และสะพานเหล็กล่างอยู่ถนนเยาวราช มีชื่อเป็นทางการว่าสะพานภาณุพันธุ์ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:47:50

ความคิดเห็นที่ 30 นี่คือสะพานดำรงสถิตย์ที่รื้อสะพานเหล็กบนออก เพื่อทำเป็นสะพานคอนกรีตในสมัยรัชกาลที่6 จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:51:10

ความคิดเห็นที่ 31 ขออภัย ผิดพลาดทางเทคนิกครับ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 20:55:35 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 20:53:31 จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:51:58

ความคิดเห็นที่ 32 นี่คือสะพานภาณุพันธุ์ที่รื้อสะพานเหล็กล่างออก เพื่อทำเป็นสะพานคอนกรีตในสมัยรัชกาลที่6เช่นเดียวกัน จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:54:43

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ จากคุณ : ป้าอ้วนเหนียวเนื้อ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 21:17:09

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบพระคุณมากๆครับผม ที่แท้มีที่มาของชื่อหลากหลายจริงๆ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 21:37:01

ความคิดเห็นที่ 35 โหวตกับแจกกิฟต์ครับ นอกเรื่องครับ ผมลุ้นปู่ส.พลายน้อยทุกปีเลยครับ เมื่อไหร่ปู่ส.จะได้ศิลปินแห่งชาติกับเขาซะทีเนี่ย จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 22:34:30

ความคิดเห็นที่ 36 . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:21:46 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:21:29 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:04:06

ความคิดเห็นที่ 37 . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:23:06 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:22:49 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 23:43:27 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:26:47

ความคิดเห็นที่ 38 . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:25:53 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 00:09:14 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:41:36

ความคิดเห็นที่ 39 . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:26:54 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 00:05:11 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:51:40

ความคิดเห็นที่ 40 ตอบคุณผ้าพับไว้ 1.การวางตัวของประตูเมือง จะทอดขนานไปกับแนวกำแพงเมือง ซึ่งถ้าหากอ้างอิงจากภาพถ่าย ประตูนี้เดิมมี ๑ ช่องก่อนจะขยายเป็นสามช่องในเวลาต่อมา ซึ่งจากภาพคือ การถ่ายภาพเข้าหาประตู หลังประตูเป็นตัวเมืองชั้นใน มีการก่อสร้างถนนเชื่อมพระนคร ภายนอกและภายใน ปีพ.ศ. ๒๔๒๗ 2. รื้อลงเมื่อใด รอผู้รู้มาให้คำตอบดีกว่า 3. บ้านจางวางศร เคยอ่านได้ว่า ตั้งอยู่หน้าวังบูรพา ซึ่งเวลาจางวางศร เข้าบ้านต้องลอดประตูช่องกุดเข้าไป ถึงจะเข้าบ้านได้ ภายหลังตัวป้อมและกำแพงเมืองถูกรื้อทิ้งไป แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 08:52:51 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 08:34:42 จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:59:47

ความคิดเห็นที่ 41 คุณแปลงนามครับ ผมเห็นคุณเข้ามาฟาดงวง ฟาดงา ทำเป็นผู้รู้ดีกว่า ในกระทู้ของผมหลายกระทู้แล้ว คุณรู้ไหมว่า เพื่อนสมาชิกฝากเอือมระอากับพฤติกรรมของคุณมาก ทั้งจากห้องจีนและห้องสมุด จนเขาเอือมระอากับคุณกันหมดแล้ว และขอความกรุณาอย่าเปลี่ยนแปลงแก้ไข ความคิดเห็นภายหลัง อย่างที่ชอบกระทำมาด้วยนะครับ ผมว่า เมื่อคุณมีทีท่าที่จะรุ้ดีในเรื่องการวิเคราะห์ในเรื่องต่างๆ กรุณาบอกให้ผมทราบทีเถิดว่า สำเพ็ง มีที่มาจากใด ดีกว่าที่จะมานั่งต่อว่า ในความคิดเห็นของนักวิชาการเหล่านี้ ผมจะไม่ขอตอบคำถามใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณแปลงนาม ให้สมาชิกท่านอื่นเชิญกันเถิด จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:08:46

ความคิดเห็นที่ 42 . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:29:01 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:28:34 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:27:55 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 00:19:23 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:18:08

ความคิดเห็นที่ 43 . . แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 23:30:13 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 00:36:13 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:27:17

ความคิดเห็นที่ 44 ผมมีความสงสัยว่า สามเพ็ง กับ สามปลื้ม มีความเกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กันอย่างไร ตั้งแต่ได้อ่าน คห.ต้น ๆ แล้วครับ จะมีใครอ่านมาถึง คห.นี้บ้างไหมครับ จากคุณ : เจียวต้าย เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 06:34:22

ความคิดเห็นที่ 45 ตอบคุณเจียวต้าย สำหรับความคล้ายกันของสามปลื้ม กับ สามเพ็ง ไม่ทราบประวัติที่แท้จริง ผมมีข้อมูลให้สักเล็กน้อยดังนี้เกี่ยวกับวัดสามปลื้ม ในฐานะที่ทวดของผม เกิดและตาย และเผาด้วยเมรุลอยที่วัดแห่งนี้ จึงขอนำประวัติวัดเล็กน้อยบอกเล่าให้ฟังว่า 1.วัดนี้คนโบราณเรียกว่า วัดนางปลื้ม ก็มี วัดสามปลื้มก็มี 2.วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานวัตถุเดิมหลงเหลืออยู่ คือ วิหารเก่าที่ประดิษฐานพระป่าเลไลย์ กับพระพุทธฉาย และพระเจดีย์ (โค่นพังแล้ว) และกุฏิชำรุด ๒ หลังบริเวณคณะต้นจันทน์ (ตอนนี้กลายเป็นศาลาบำเพ็ญกุศล ในบริเวณสุสาน) ประชาชนเรียกว่า "วัดสามปลื้ม" ซึ่งตรงกับนามคลองริมวัดนี้ ดังนี้นามวัดสามปลื้ม ได้เรียกตามอย่างคลองที่ตัดผ่าน ย่อมแสดงว่า มีการเรียกชื่อคลองมาก่อน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 07:44:44

ความคิดเห็นที่ 46 แวะมาลงชื่อก่อนค่ะ ไว้ว่างๆจะตามมาอ่านอย่างละเอียดนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 08:15:46

ความคิดเห็นที่ 47 ลงชื่อติดตามชม.....เอ่อ....ครับ จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 10:05:03

ความคิดเห็นที่ 48 ลงชื่ออ่านครับ จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 10:07:01

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณครับ. จากคุณ : เจียวต้าย เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 10:12:15

ความคิดเห็นที่ 50 งงๆกับความเห็นบางอันที่เข้ามาเหมือนโยนอะไรใส่พิกล แต่อย่างไรก็ดีขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆจากทั้งคุณหนุ่มรัตนะและคุณแปลงนามครับ จากคุณ : kingofearth เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 10:25:56

ความคิดเห็นที่ 51 ใจเย็นๆนะ คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ถกกันด้วยข้อมูล จะได้มีข้อมูลมาแชร์กันเยอะๆ ไม่ใช่ว่า "ผมมีข้อมูลดีกว่าคุณ ข้อมูลของคุณมันไร้สาระ" แบบนี้ ไม่ใช่ถกกันเพื่อความรู้แล้วนะครับ ขอบคุณ คุณหนุ่มรัตนะมากครับ สำหรับข้อมูลที่ผมไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อนเลย ขอบคุณ คุณแปลงนามด้วยครับ ผมอ่านที่คุณเขียนไว้ก่อนแก้ไขไม่ทัน อ่านทันเท่าที่เห็น ก็เรียกว่า ข้อสงสัยของคุณที่เขียนมาเป็นข้อๆ อ่านแล้วก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แก้ไข ลืมขอบคุณ คุณ Navarat.C สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมด้วยครับ (ผมชอบกระทู้แบบนี้จริงๆ เหมือนได้ย้อนอดีต) แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 11:35:05 จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 11:32:48

ความคิดเห็นที่ 52 ผมเข้ามาแก้ไขข้อมูลเรื่องสพานเหล็กบนและสพานเหล็กล่างครับ ที่ว่าไปว่าสพานเหล็กล่างคือสพานภาณุพันธุ์ที่อยู่ถัดไปบนถนนเยาวราชนั้น ที่ถูกต้องคือสพานที่อยู่ปลายถนนเจริญกรุงนี้ ที่ข้ามคลองผคุงกรุงเกษมแถวหน้าถนนมหาพฤฒารามครับ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 18:17:47

ความคิดเห็นที่ 53 หลักฐาน จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 19:08:46

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณคุณหนุ่มรัตนะมากค่ะ กระทู้ดีๆเช่นเคยค่ะ ติดตามมานานค่ะ กระทู้นี้สอนให้รู้ว่า "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก"   จากคุณ : อีสำเพ็ง (หม้อแกงเมืองเพชร) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 22:44:24

ความคิดเห็นที่ 55 "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก"   อ้อ  คุณกูเกิ้ล...แปลว่า   สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม   +++ สำนึกผิดแค่ 7 วัน   เองหรือ    ต้าย...ตายยย...เคยอ่านเจอในกำลังภายในเวลาสำนึกผิดต้องไปนั่งถ้ำสำนึกผิดเป็น 5 ปี  10 ปี เชียวนะ อุ๊ย...ไม่อยากเลือกมาก   เวลาจะสั้น  แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีได้นะ   เอาโคลงฝรั่งมาให้ฟัง ***Without you**** When you take a leave.... The sky becomes bright, The sea becomes blue, The world turns peaceful, I yell  ya-hoo, without you , feel so good ! **** น้องหนูสุดแสนจะดีใจ จนเนื้อตัวเนื้ออกเต้นเชียวล่ะ จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 53 15:50:49

ความคิดเห็นที่ 56 แหม....ข้างบนเลขดีจัง  55 ลืมไปนิด  คนข้างบนรู้เรื่่องวนศาสตร์ดีไม่ใช่หรือ แต่ไฉนบอกว่า  ...."เพราะแสงแดดยามเที่ยง และสายลมริมน้ำ ล้วนเป็นภัยต่อเฟิน...." ผมไม่เรียนวนศาสตร์นะครับ  แต่เป็นเด็กบ้านทุ่งริมคลอง   พวกเฟิร์นมันต้องการความชื้นสูงเป็นหลัก  ความร้อนไม่เป็นอุปสรรคเท่าไรหรอก  เพราะริมน้ำริมคลองจะมีพวกต้นจาก ต้นสาคู ต้นลำพู สารพัดไม้ต้นใหญ่ ต้นเล็ก ที่จะเป็นเขตกำบังแดด ให้ร่มเงากับพวกพืชชั้นต่ำอย่างเฟิร์นได้ และเฟิร์นก็มิได้เป็นพวกพืชขี้สำออยเลย  ตรงข้ามจะเป็นพืชที่อะไรๆก็ทนได้  สปอร์มันก็ล่องลอยได้แสนไกล  (ยอดเขาสูงยังมีเลย)  แถวบ้านผมที่แอ่งน้ำขังยังเป็นพื้นที่ที่ว่างของเศรษฐี  คนเลี้ยงหมูก็มาตัดเฟิร์นไปเลี้ยงหมูออกบ่อย ดังนั้น ผมสนับสนุน คห 8 ของคุณ หนุ่มรัตนะครับ ชูรักแร้แข็งขัน....เป็นไหม ผมนั้น หล่อ ล่ำ ยอ่อนเยาว์ แชมป์เหรียญทองโอลิมปิด  เอ๊ย..ปิก  เชียวนะ . จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 53 16:08:46

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณครับ จากคุณ : น้ำค้างหยกเก้าบุปผา เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 53 20:18:11

ความคิดเห็นที่ 58 แวะเวียนมาอ่านอีกรอบค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 53 21:47:43

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ดีๆ ส่วนคห.ที่ชอบมาป่วน หากพบเห็นหลายครั้งครา ก็สามารถ cap หน้าจอเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ดีนะครับ จากคุณ : จ้องจนปวด เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 11:24:47

ความคิดเห็นที่ 60 ลงชื่อติดตามชมค่ะพี่หนุ่มฯ :-) ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : Noshka เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:02:12

ความคิดเห็นที่ 61 นั้นซิ...คุณจ้องจนปวด พูดถูกต้อง แต่ใครจะไปคิดล่ะครับ คนมาป่วนเสร็จ   เขาพูดเองว่า จะขอไปสำนึกผิด 7 วัน  แต่แล้วเขาจะย้อนกลับมา ทำลายหลักฐานไปอีก (แม้จะทราบว่า เขาชอบกระทำเยี่ยงนี้) ผมแจ้งไว้ใน คห 55 เวลา 15:50:49  ของวันที่ 18 ส.ค. 53  ว่าเขาจะไปสำนึกผิด 7 วัน ( โดยเขาบอกไว้เมื่อ  17 ส.ค. 53  เวลา 00:27:17 ) แต่แล้ว ไม่ถึง 24 ช.ม.   ตอนดึกๆ  เขาก็ย้อนกลับมา ลบข้อความออกหมด ทั้งๆที่พูดเองว่า จะไม่เข้ามาแล้ว วาทะมีอยู่ว่า   "เมื่อพูดออกไปแล้ว  คำพูดก็เป็นนายของคุณ"   ภาพจาก คห 43  จะเห็นว่า เขาย้อนกลับมาลบคำมั่นที่เขาให้ไว้  การกระทำเยี่ยงทำให้คำพูดเขาเองปราศจากน้ำหนัก  ขาดความน่าเชื่อถือเองไปในที่สุด ป.ล. (นอกเรื่อง)   แหม....มัน้องคนหนึ่ง  เขาชวนผมไปเปิดสำนักงานนักสืบ เชียวนะครับ จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:15:22

ความคิดเห็นที่ 62 นอกจากไม่สำนึกแล้วยังไร้สัจจะด้วย! อ้อ! ลืมไปค่ะ ไม่มีสัจจะในหมู่คนพาล! คุณ จ้องจนปวดไม่น่ากระโตกกระตากเลยนะคะ ไก่ตื่นหมดเลย ข้อความหายวับไปกับตาหมดเลยเห็นไหมคะ จำที่เราเคยมีปากเสียงกันได้ไหมคะ ที่บอกว่าอย่าแก้อย่าลบข้อความ ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองล่ะคะ ดิฉันเคยแก้คำผิด ลบคำเพราะกลัวจะกระทบคนภายนอก ก็มาหาว่าดิฉันลบแก้เพื่อให้ดูดี สงสัยคงอยากดูดีบ้างใช่ไหมคะ เลยลบซะเกลี้ยงเลย คนที่เคยช่วยก็หายหมด แสดงว่าเขาก็คงรู้กันแล้วว่าอะไรเป็นอะไร   คนอื่นๆในอดีตฉันอโหสิให้หมดแล้วค่ะ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด " อเสวนา จ พาลานํ "   ป.ล. อ๊ะๆ ครบเจ็ดวันค่อยมาตอบโต้นะคะ คุณแม่ขอร้องงงงง นับวันผิด ระวังท้องนะคะ ฮา   เริ่มนับใหม่ด้วยค่าาาาาา จากคุณ : หมาเน่าเห่าใบตอง (หม้อแกงเมืองเพชร) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 23:29:00

ความคิดเห็นที่ 63 ^ ^  มากไป   ไม่รู้จักซะแล้ว . . นับวันผิดแล้วท้อง ผมไม่กลัวหรอก  ที่กลัวคือนับวันผิด แล้วทำเขาืท้องมากกว่า......ผมนั้น ผู้ชายนะฮ้าาาา . . มีรูปมายืนยัน . . . ปล.  ผ่อนคลายความเครียดหนะ จากคุณ : ชวนขำ จำอวด (Fortunism) เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 17:03:41

ความคิดเห็นที่ 64 แหม เห็นคุณ Fortunism มาชวนขำ จำอวด งั้นหม้อแกงขอเล่นมุกผ่อนคลายความเครียดบ้างนะคะ ปล "มุกเฉพาะกลุ่มค่ะ" เครดิตรูปภาพของคุณ keng ka deng ค่ะ จากคุณ : หนูหม้อแกง (หม้อแกงเมืองเพชร) เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 19:09:53

ความคิดเห็นที่ 65 เห็นว่าสมัยก่อนถ้าด่าอิสำเพ็งนี่เจ็บไปถึงไหนๆ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 53 22:54:36

ความคิดเห็นที่ 66 เห็นว่าสมัยก่อนถ้าด่าอิสำเพ็งนี่เจ็บไปถึงไหนๆ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 53 22:54:54

ความคิดเห็นที่ 67 ตามมาเชียร์ค่ะ ขอให้อาการป่วยทุเลาลงด้วยนะค่ะ จากคุณ : Black Currant เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 19:47:18

ความคิดเห็นที่ 68 มาลงชื่อโหวตกระทู้คุณณล  หายเร็วๆนะคะ จากคุณ : lalinphat เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:51:07

ความคิดเห็นที่ 69 ภาพสะพานเหล็ก จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:17:58

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณ คุณเสลามากที่แนบรูปสะพานเหล็กล่างมาให้ชม แบบยกได้ด้วย งดงามมากเลยครับ ด้านหลังเป็นโรงอู่ของบริษัท รถราง จำกัด หาดูยากมาเลยครับ นับถือๆ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:13:06

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณคุณหนุ่มรัตนะด้วยนะคะ ได้ข้อมูลเยอะเลยค่ะ และอีกหลายๆท่านที่นำรูปมาประกอบรวมทั้งข้อมูลด้วยนะคะ น่าสนใจทั้งนั้นเลย จากคุณ : สการะวาตี เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 17:28:44

ความคิดเห็นที่ 72 เห็นรูปจากคุณ นายเสลา  แล้วตื่นตาตื่นใจมากเลยค่ะ   ขอบคุณคุณหนุ่มรัตนะด้วยนะค่ะ จากคุณ : :: เมเม๊ ลิทึม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 53 15:03:10

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณคุณหนุ่มรัตนะมากค่ะ ที่นำข้อมูลดีๆ มาฝาก รวมทั้งเคยเข้าไปอ่านกระทู้ของคุณหนุ่มที่เล่าเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกหรือเปล่า) ได้ความรู้มากมาย แถมยังเก็บไปเป็นข้อสังเกตลูกชายวัย 8 ขวบด้วยเหมือนกัน ขอบคุณและขอบคุณค่ะ จากคุณ : อรทัย (tuk_ora) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 17:21:08

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณครับ จากคุณ : i'mDOZENIST เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 53 20:56:24

ความคิดเห็นที่ 75 ตอนสมัยมัธยมต้น  ครูสอนแบบที่สองอะค่ะ ที่ว่า สำเพ็งมาจากคำว่า สามแพร่ง  แล้วก้อ หัวลำโพงมาจาก วัวลำพอง เพราะสมัยก่อนเค้าจะขนวัวมาแถวนั้นแล้วเราจะได้ยินเสียงวัวร้องเยอะๆ เลยได้ชื่อ วัวลำพอง มา ชื่อบ่งบอกที่มาจริงๆ เช่น ลาดพร้าว สมัยก่อนมีมะพร้าวปลูกเยอะ  ภาษาไทยนี่ เก๋มากเลยนะคะ จากคุณ : เนื้อตะไคร้กับข้าวไก่ทอด เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 53 12:51:02