ความคิดเห็นที่ 1 วิธีนี้เราก็ใช่ค่ะ แต่เราคิดว่าอีกวิธีได้ผลกว่าสำหรับเรา คือเปิดหนังอังกฤษ ซับไทย แล้ว ให้เราเขียน (เดา) เป็นภาษาอังกฤษว่า เขาพูดว่าอะไร เอาแบบ ตรงศัพท์ ตรงแกรมม่า ตรงเด๊ะๆ อันไหนฟังไม่รู้เรื่อง ก็มามองซับไทย ว่ามีศัพท์มีสำนวนอะไรบ้างที่แปลเป็นไทยได้ว่าอย่างนี้ แล้วฟังย้อนไปย้อนมา ลองหาคำีที่น่าจะใช่ใส่ลงไป วิธีนี้เราว่า เราเพ่งสมาธิได้มากกว่าว่าเขาพูดอะไร ^^ จากคุณ : renior เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 21:57:58

ความคิดเห็นที่ 2 เรายังไม่ประสบความสำเร็จจากการฟังหนังต่างประเทศนะคะ พอดียังขี้เกียจอยู่ 555+ แต่รู้สึกว่าได้ผล และฟังได้ดี ได้รูปประโยคทีเดียว จากการฟังภาษาาอังกฤษจากเรื่องที่เราเคยดู หรือรู้เรื่องอยู่แล้ว เหมือนเราฟังออกทั้งเรื่องเลย (คือ ปิดบรรยายไทยไปเลย) แต่ตอนเรียนมีอยู่ครั้ง ครูเปิดหนังฝรั่งไร้บรรยายใดๆให้เราดูเลย แต่ไม่ใช่เรื่องยากนัก หนังวัยรุ่นธรรมดา รู้สึกว่าฟังรู้เรื่องตลอดเรื่อง ทั้งๆที่ไม่ได้เก่งอะไร ก็เลยคิดว่า...คงต้องใช้การดูบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ เอาทั้งแบบที่รู้เรื่องแล้ว ลองฟังแบบไม่รู้บ้าง ทำให้บ่อยที่สุดๆๆๆ ก้ก็ต้องได้แน่ๆ แต่น่าจะเอาแบบที่เราพอรู้เรื่องก่อนนะคะ ไม่งั้นจะพาลเบื่อเสียเปล่าๆ จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 22:36:39

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าอยากเรียนภาษาอังกฤษจากหนังจริงๆ อย่าดูรวดเดียวทั้งเรื่อง เพราะทุกอย่างจะเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในสมอง วิธีเรียนคือดูตอนสั้นๆไม่เกิน 2-3 นาที แล้วกลับมาดูใหม่ พยายามฟังให้ออกทุกประโยค จดทุกประโยคลงสมุด พยายามทำความเข้าใจกับความหมายทุกประโยค ซึ่งคงต้องเปิดซับไตเติลภาษาไทยด้วย ฝึกพูดตามทุกประโยค พยายามพูดให้เหมือนต้นฉบับที่สุด ฝึกพูดหลายครั้ง 10-20 ครั้งจนพูดคล่อง ถ้าทำแบบนี้จะได้ประโยชน์เต็มที่จากหนังครับ คือได้ฝึกทั้งการฟัง การตีความหมายทุกประโยค และการฝึกพูดอีกด้วย ถ้าพูดได้คล่องเหมือนในหนังทั้งเรื่อง ก็แทบไม่ต้องสนใจ grammar แล้ว เพราะคุณพูดได้เหมือนเด็กฝรั่งที่พูดได้ตั้งแต่ยังไม่ได้เรียน grammar ในโรงเรียน จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:12:56

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนเราหัดฟังหนังฝรั่งใหม่ๆนะ เราเกือบฉลาด (แต่จริงๆแล้วโง่) คือไปนั่งเดาตัวสะกดเหมือนเล่น crossword หรือ hangman ว่าำพยางค์ที่หายไปมันต้องสะกดยังไง คือเฉือกโง่เอาตัว a-z มาเติม...นั่นก็เพราะว่าการเดาจากการผสมพยัญชนะและสระ (หมายถึง a-z) มันไม่ค่อยจะมีกฎเกณฑ์ที่ผู้เรียนพอจะจับทิศทางได้เลย บางทีเราเอา dictionaries มาวางข้างๆตัวแล้วหยุด video เปิด dictionaries หาศัพท์ที่ฟังไม่ทัน แล้วเปิด video ฟังใหม่...ยิ่งฟังก็ยิ่งงงอยู่นาน คือสมัยเราเรียนมันยากกว่าเพราะไม่มี subtitles ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษให้เลย เพราะเรียนในต่างแดนล้วนๆ....แต่สมัยนี้ง่ายหน่อยหา subtitles หาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษง่ายๆ อีกหลายปีต่อมา เราคลายความโง่ลงไป คือจริงๆแล้วก็ไม่ถึงกับโง่หรอก แค่ฉลาดน้อยไปหน่อย จริงๆแล้วเดาแบบ crossword หรือ hangman โดยเอา dictionaries มาวางข้างๆตัวแล้วหยุด video เปิด dictionaries หาศัพท์ที่ฟังไม่ทัน มันก็ดีเหมือนกัน แต่ควรเดาด้วยการเติมตัว IPA เข้าไป...คือทำ phonetic transcription นั่นเอง ไม่ใช่เขียนตัว a-z ตอนหัดฟังใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเ้ตรียมสอบ listening comprehension ผู้เรียนควรเอา dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ ที่เป็น software มาเปิดฟังคำศัพท์ทุกตัวที่รู้อยู่ในหัว แล้วตรวจสอบดูว่าตัวเราเองออกเสียงต่างจากฝรั่งเจ้าของภาษาที่พูดใน dictionaries มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง stress ของคำไหน มันอยู่พยางค์ไหน และเวลาเป็น connected speech มัีนจะมี link พยางค์ไหนบ้าง มีเสียงไหนหายไป มีเสียงไหนเปลี่ยนไป หรือเพิ่มมา...หรือ stress เปลี่ยนไปเวลาประโยคมันไม่เหมือนกัน แล้วหัดเดาจาก grammar ให้ได้อีกด้วย แล้วจะสังเกตเห็นได้เลยว่า พอกลับไปหัดฟังหนังฝรั่งใหม่อีกหลายๆรอบ มันจะฟังรู้เรื่องมากขึ้นกว่าเดิม ขั้นตอนก็คือต้องหัดเรียนตัว IPA เช่นจาก dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ ที่เป็น software หรือจากเวปนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Wikipedia:IPA_for_English จริงๆแล้ว courses ที่สอนให้เตรียมสอบข้อสอบภาษาอังกฤษจากต่างประเทศที่ต้องมี listening test ควรสอนการออกเสียง ยิ่งเอาบทเรียนเรื่อง Listening, Speaking and Pronunciationจาก MIT อันนี้ไปสอนได้ยิ่งดี (เพราะถ้าพูดถูก ออกเสียงถูก มันจะช่วยการฟัง เพราะเรารู้ว่่า "จะคาดเดาว่าคนที่พูดถูกเขาจะพูดยังไง")  จะเห็นว่าอาจารย์ที่สอนไป จะทำ phonetic transcription ให้ดูไปพร้อมๆกับออกเสียงให้ฟัง...ลองตามไปดูกระทู้นี้ที่เราแปะไว้ดิจะช่วยได้มากเลยหละ... http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10031492/K10031492.html แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 23:23:46 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:15:01

ความคิดเห็นที่ 5 อ้อ ลืมบอกไปว่าหนังดีวีดีที่มีซับไตเติลภาษาอังกฤษด้วยจะดีที่สุด คือได้ฟังและอ่านซับไตเติลพร้อมกัน ทำให้เราสามารถเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้ ถ้าไม่เข้าใจความหมายถึงเปิดซับไตเติลภาษาไทย จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:18:28

ความคิดเห็นที่ 6 "ฟังก็ไม่รู้เรื่อง แกรมม่ายังอ่อนอีก ไวยากรณ์ก็ไม่ได้" ........................................................................... *แกรมม่า กับไวยกรณ์ คือคำเดียวกัน* จะใช้วิธี ดูหนัง ฟังเพลงก็ได้แต่ต้องเริ่มต้นอย่างอดทน อย่าคิดใช้วิธีจำศัพท์ เป็น คำๆมาใช้ จะกลายเป็นการสื่อสารแบบ Broken English ไม่มีวิธีเรียนแบบ อาหารจานด่วน ถ้าอยากพูดได้แบบใช้งานในสำนักงาน ต้องเริ่มจากไวยกรณ์พื้นฐาน ที่เคยเรียนในระดับประถมและมัธยม ทำความเข้าใจ องค์ประกอบรูปประโยคง่ายๆ เมื่อรู้หลักไวยกรณ์ ก็สามารถนำคำศัพท์มาผูกประโยคได้ จากคุณ : เมืองเดิม เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:23:38

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าซื้อหนังฝรั่งเสียเงินควรซื้อแบบเป็น DVD (ไม่ใช่ CD) เพราะ DVD มันความจุสูง เขาใส่มาให้ครบได้ทั้งเสียงภาษาไทย เสียงภาษาอังกฤษ subtitles ไทย subtitles อังกฤษ จะเลือกฟังเสียงภาษาไหนกับ subtitles ไหนก็ได้ หรือจะเลือกฟังแต่เสียงภาษาเดียวไม่มี subtitles เลยก็ได้ เราเห็นตามห้างเอา DVD หนังเก่าๆสภาพดีมาขายถูกๆมีเยอะเลย ตามตลาดนัดบางแห่งก็มีของเถื่อนหนังใหม่ๆขาย  ตามเวปไทยเคยมีคนบอกเราว่าซื้อของเถื่อนถูกๆก็มี แต่ถ้าใครใช้วิธี download ของฟรีเอา ก็ยังหา subtitles ทั้งไทยอังกฤษจากเน็ตได้....ถ้าใช้ google เก่งๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 23:30:01

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะพัฒนาทักษะการฟังจริง ๆ เราว่า ฟังวิทยุ บรรยาย หรือเพลง จะเข้มข้นว่าในเวลาเท่ากันกับการดูหนัง เพราะถ้าคุณฟังไฟล์เสียง (ข่าววิทยุ Talk Radio Podcasts ฯลฯ) ความยาว 5 นาที นี่มันเกือบ 5 นาทีเต็ม ๆ ส่วนหนัง ก็แล้วแต่เรื่อง ใน 5 นาที อาจจะมีพูดทั้งหมด 3 นาที...แต่ว่ามัีนบันเทิงกว่า สมัยก่อนเราดูหนังจากวีดีโอเทป ไม่มีซับไตเติ้ล เราก็พยายามแกะเอา เหมือนกับเราแกะเนื้อเพลง เราว่าวิธีนี้ดี ยิ่งดูหนังเรื่องที่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวหนังมาก่อน ยิ่งดี เพราะมันทำให้คุณเดาน้อยลง (ถึงได้สนับสนุนให้คุณแกะจากไฟล์เสียง เพราะตัดเรื่องท่าทางอริยาบถออกไป ไม่ให้คุณเดาได้) เราว่า ถ้าจะดูหนังให้รู้เรื่องว่าเขา "พูด" ว่าอะไร (ไม่ใช่ดูหนังรู้เรื่องทั้ง ๆ ที่ฟังที่เขา "พูด" ไม่ออก แต่รู้เรื่องเพราะภาพมันเล่าเรื่อง) คุณก็ต้องแกะที่เขาพูดเป็นคำ ๆ ให้ได้ อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้เยอะ คือความคุ้นเคย พยายามสร้างความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีเสียงภาษาอังกฤษเยอะ ๆ เช่น ตื่นเช้ามาก็เปิดฟังวิทยุช่องภาษาอังกฤษ อาบน้ำแต่งตัวไป แรก ๆ ไม่ได้ทั้งประโยคก็ไม่เป็นไร ฟังออกเป็นคำ ๆ ก็ออกเสียงตามเขาบ้าง หลายครั้งคุณจะรู้ว่า เขาพูดคำที่คุณรู้จักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคุณไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้ว่าฝรั่งเขาออกเสียงอย่างไร ขับรถ นั่งรถเมล์ก็ฟังต่อไป มันอาจจะไม่ได้ช่วยมากหรือเข้มข้นเท่ากับเวลาคุณตั้งใจจริง ๆ แต่ถ้าคิดว่า เวลาที่คุณเปิดวิทยุฟัง คุณก็ไ่ม่ได้เสียอะไร เพราะคุณก็ทำอย่างอื่นไปด้วย เราว่าดีกว่าไม่ทำนะ โชคดี จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 00:04:00

ความคิดเห็นที่ 9 คห 8   เสียอย่างเดียว นักข่าวในวิทยุพุดเร็วยังก๊ะจรวด ฟังแทบไม่ทันเลยค่ะ อิอิ จขกท เคยดู Princess Dairy มั้ยคะ เป็นหนังเรื่องแรกที่เราดูแล้วคิดว่าฟังง่ายที่สุด อันนี้ต้องพิจารณาถึงประเภทหนังที่ดูด้วยนิดนึงถึงระดับความยากง่ายของการใช้ภาษาในเรื่องค่ะ ถ้าคุณอยากพัฒนามากขึ้น แนะนำว่าพวกหนังวัยรุ่น แนวรักๆ โรแมนติคที่เด็กผู้หญิงชอบดู หรือที่เรียกว่า Chickflick (เขียนถูกมั้ยเนี่ย) จะฟังง่ายกว่าประเภทอื่น เพราะบทมักจะเป็นการสนทนาในชีวิตจริง ซึ่งศัพท์ที่ใช้อาจจะไม่ยากเท่าไหร่ หนังผู้ชายแนวกวนๆมันก็ได้ แต่ก็นะ ใช้แสลงเยอะมากกก หนังแอ๊คชั่น.....เอ่อ อันนี้ยิงกันตูมตามฟังลำบาก บางทีใช้ศัพท์เฉพาะทาง sci-fi คล้ายๆกันกับแอ๊คชั่นคำศัพท์วิทยาศาสตร์จะเยอะ อย่างที่บอกค่ะ ยังไงค่อยๆเลือกดูหนังที่คิดว่าบทสนทนามันจะไม่ยาก สำเนียงที่พูดจะฟังง่ายซะก่อน เริ่มจากหนังแถบอเมริกันค่ะ สำเนียงฟังง่าย (ขนาดแฮรี่ พอตเตอร์ยังเป็นสำเนียงอังกฤษซึ่งบางคำก็ฟังออกยากกว่าค่ะ) แล้วค่อยๆเพิ่มระดับไปเรื่อยๆ พวกหนัง chickflick มันก็สนุกดีนะคะ ไอ่ที่ยากมากๆก็นี่เลย เราเพิ่งดูมาเมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว Social network ยากเพราะฟัง Mark พูดไม่ทัน 555 พวกอัจฉริยะนี่ พูดเร็วอย่างทุกคนมั้ยเนี่ย ฟังไม่ทันแล้ว ยังอ่านซับเกือบไม่ทันด้วย อิอิ ลองดูค่ะ จากคุณ : daffygirl เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 06:59:35

ความคิดเห็นที่ 10 มาเล่าให้ฟัง หนังเรื่องแรกที่เราดูเพื่อหัดฟังภาษาอังกฤษคือ Love Actually ค่ะ ซื้อ DVD มาแล้วก็ฟังก่อนเลย ไม่เปิด subtitle ดูหนังจบก็เปิดไปดูสัมภาษณ์ผู้กำกับด้วย เพราะนั่นคือประโยคสนทนาของจริง ไม่ใช่บทหนัง พยายามฟังแล้วเดาว่าเค้าพูดอะไร แล้วค่อยมาเปิด english subtitle เช็คตามว่าเราเข้าใจถูกหรือไม่ ตอนนั้นไม่ได้เปิดซับไทยดูเพราะไม่ค่อยเชื่อใจว่าซับไทยแปลถูกจริงหรือเปล่า กลัวจะจำมาผิดๆ ถ้าจำไม่ผิด เราดุหนัีงเรื่องนี้ซ้ำรวดเดียวประมาณห้ารอบได้ พยายามแกะไปเรื่อยๆว่าเค้าพูดว่าอะไร ดูจนหนังมัีนแทบจะไม่สนุกแล้วอะ จำได้หมดแล้วว่าตอนไหนใครออกมาทำอะำไร แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 53 12:44:33 จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 12:40:20

ความคิดเห็นที่ 11 เปิดซับอังกฤษไปเลยคับ แต่หากเริ่มแรก ผมแนะนำหนังการ์ตูนอย่างของ pixar ซึ่งใช้ศัพท์ไม่ยากนัก แถมสนุกด้วยคับ จากคุณ : korubo เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 19:33:22