ค้นคว้าจากหนังสือประเภท esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) จากต่างประเทศ เราได้ข้อมูลว่า mantra (มนต์) ชาวฮินดูมีความรู้คล้ายๆนักพรตเต๋า นั่นก็คือรู้ว่า เสียงไหนในช่วงยามไหน มีพลังต่ออวัยวะภายในอันไหน โดยมองร่างกายเป็น microcosm (จักรวาลจำลอง) ซึ่ง network ของ qi หรือลมปราณ มันอยู่ภายใต้อิทธิพลของ gravitational force (แรงโน้มถ่วงของโลก) ซึ่งมันสื่อสาร (ชาร์จพลัง เหมือนชาร์บแบเตอรรี) จาก universal force (เต๋า หรือ พลัง The Creator) ได้
ดังนั้น ถ้าเรารู้ว่าจะใช้เสียงแบบไหน ใน key signature ไหน ในช่วงยามไหนของวัน
ถ้าใช้ในทางดีเราสามารถใช้เสียง (เช่นการสวดมนต์) ชาร์จพลังตัวเองจาก universal force (เต๋า หรือพลัง The Creator)
ถ้าใช้ในทางร้าย เราสามารถใช้เสียงทำร้ายคนได้ ดังเช่นมีวรวุทธ์จีนหรือญี่ปุ่นที่ใช้เสียงในการต่อสู้ จำศัพท์ภาษาจีนไม่ได้แล้ว แต่ญี่ปุ่นเขาเรียกว่า คิยาจัตสุ (อาจเทียบเสียงคลาดเคลื่อน) คนทีรู้ศาสตร์นี้สามารถตวาดคนทีเดียวสลบได้หรือถึงตายได้
คนอินเดียที่เก่งวิชาการดนตรีมากๆเชื่อว่าใช้เสียงตนตรีในการรักษาโรคหรือต่อสู้ได้ คนจีนก็เขียนไว้ใน wuxia (นิยายกำลังภายใน) เป็นเรื่องทำนองว่ามีปรมาจารย์สอนวรยุทธ์ท่านหนึ่งสอนศิษย์ให้ลองใช้เสียงดนเตรี (โดยการเล่นเครื่องสาย) เพื่อทำให้นักวรยุทธ์ชั้นเลิศคนหนึ่งที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์อยู่อย่างทรงพลังและมีสมาธิแก่กล้า ให้ต้องมีอาการชักกระตุก หยุดร่ายรำ แบบเสียมวยไปเลย แต่จะทำได้ต้องเล่นเครื่องสาย ให้ถูกจังหวะความช้าเร็ว (tempo) และถูกต้องตาม key signature ในวิชาดนตรี ที่จะส่งผลต่อ qi (ลมปราณ) ของอวัยยะที่กำลังมีพลังสูงสุด ในชั่วยามนั้นของวัน...เมื่อเล่นดนตรีถูกวิธีการร่ายรำเพลงยุทธ์ชะงักไปทันที
เป็นไปได้ที่สุนทรภู่ได้แนวคิดนี้มาจากอินเดียเอามาเขียนเรื่องพลังปี่ของพระอภัยมณี เพราะคัมภีร์เร้นลับของอินเดียกล่าวไว้ว่าคนที่รู้วิชาการดนตรีของอินเดียระดับเทพ จะเข้าใจทฤษฎีธาตุทั้งหมดที่โยงใยกับพลังจักรวาล จนสามารถเล่นดนตรีให้กระเทือน chakras (ศูนย์รวมกำลังภายในในร่าง ที่สื่อสารกับพลังจักรวาล) จนเล่นดนตรีเพื่อหยุดฝนหรือสร้างปรากฎการณ์ที่เหนือธรรมชาติได้...!!!!! (ซึุ่งเรื่องพวกนี้มันก้อต้องขึ้นอยู่กับระดับจิตใจของแต่ละคนว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ)
เรื่องง่ายๆที่พิสูจน์ได้ก้อคือ ถ้าใครเอาคมมีดขูดกับหม้อโลหะ คนฟังยังเสียวฟันกระบบระบบประสาทจนจะบ้าตายได้ แต่จริงๆแล้วมันมีเสียงตามทฤษฎีโบราณที่ซับซ้อนกว่านั้นอีกหลายเท่า
มนต์ถ้าคิดค้นโดยคนที่รู้วิชานี้สวดไปแล้วมีผลดีต่อร่างกาย แต่อยู่ดีๆเอามาแปลเป็นไทยแล้วสวด มันไม่ได้ผลหรอก...เพราะเสียงมันผิดเีพี้ยนไปหมดแล้ว
จริงๆแล้วศาสนาเกือบทุกศาสนา ลงเอยเหมือนกันหมด คือสิ่งที่ทรงพลังสูงสุด คือ universal force (เต๋าหรือพลังจักรวาล)
ยกตัวอย่างเช่น คุณสวดมนต์จุดธูปเทียนกราบไหว้พระพุทธรูป แบบเถรวาท ขอให้หายป่วย ถ้าพลังจิตคุณแรงกล้าแบบ The Law of Attraction คุณก้อหายป่วย ถ้าพลังจิตคุณไม่แรงกล้า คุณก้อตายได้เหมือนกัน
หากสิ่งที่เราค้นคว้ามาเป็นจริง นั่นก้อหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องแขวนพระ แต่ใช้ chakra (ศูนย์รวมกำลังภายใน) จุดใดจุดหนึ่งในร่างคุณมายึดเหนื่ยวไว้แทนพระเครื่อง
เมื่อตอนเราอายุ 50 กว่าๆ เรากับแม่ป่วยเหมือนๆกัน ขากำลังจะพิการทั้งคู่ เพราะ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดธรรมชาติ) แม่ช่วนเราจุดธูปเทียนกราบไหว้พระพุทธรูปใหญ่ ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ประกอบพิธีนี้บ่อยๆ จนแม่เราอาการทรุดหนัก แล้วตายไปในที่สุด
ถ้าเราคิดว่าอาการป่วยของเราเป็นกรรมแล้วปลง เราคงพิการไปแล้ว แต่เรา เราเลยกลับไปหาความเชื่อแบบที่เราค้นคว้ามาเจอเรื่องเต๋ากับเซน แต่โดยใช้ The Law of Attraction ในหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne เพิ่มพลังจิต ให้ตนเอง แล้วใช้ จุด dantian (ศูนย์รวมกำลังภายในใต้สะดือประมาณ 1.3 นิ้ว) เป็นเครื่องยึดเหนื่ยว (แนวคิดแบบเซน ซึ่งตำราภาษาต่างประเทศหลายๆเล่มก็ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าก้อสอนแบบนี้คือให้ Fix your heart on one thing. เพื่อการฝึกสมาธินั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วพระพุทธเจ้่าไม่ได้สอนให้คนสร้าง ปลุกเสก หรือบูชาพระเครื่อง) ดังนั้น แทนที่เราจะแขวนพระที่บนคอ เราเอาพระเครื่องไปคืนพ่อหมด แล้วฝึก Qi Gong (กำลังภายใน) ใหม่ ตามแนวของเซนกับเต๋าสลับกัน...แล้วเลิกประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามแนวพุทธแบบไทยๆ...
ผลปรากฎว่า การ think positive แล้วแค่นั่งสมาธิแบบเต๋าหรือเซน กระดูกสันหลังเรากลายเป็นลั่นเปรี๊ยะๆ แล้วค่อยๆกลับเข้าแนวธรรมชาติจนขาเรารอดพ้นจากความพิการมาได้อย่างหวุดหวิด อีกทั้งเรายังสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมแบบพลิกความคาดหมาย ในขณะที่แม่เราขาพิการไปแล้วตายไป เพราะหมอยิ่งรักษาวิธีรักษายิ่งทำให้แม่เราทรุดมากยิ่งๆขึ้น เราพยายามช่วยแม่เราแต่ไม่ทันกาลซะแล้ว
ก่อนแม่จะตายไม่กี่คืนแม่ปลุกเรากลางดึกแล้วขอให้เราอธิบายว่า
"เราฝีกแหกคอกออกไปจากศาสนาพุทธแบบไทยๆแล้วเรารอดตายมาได้ยังไงกัน มันเหนือความคาดหมาย เพราะตอนแรกเราก้อป่วยเหมือนแม่เรา (คงเป็นเพราะเป็นกรรมพันธ์ แต่เราจะเอาชนะกรรมพันธ์ให้ได้) แม่บอกแม่นอนไม่หลับเลยต้องกินยาตลอดชีวิต ไม่กินก้อไม่หลับ เราพยายามถ่ายทอดวิชานอกแหกคอกออกไปจากศาสนาพุทธแบบไทยๆ ให้แม่เรา (ตอนแรกพ่อคิดว่าแนวคิดของเรามันไร้สาระเพราะเห็นมันไม่เหมือนคำสอนศาสนาพุทธแบบไทยๆ พ่อไม่ยอมรับ แต่ในที่สุดพ่อสงสารแม่พ่อเลยตกลงยอมให้เราพยายามหาทางช่วยแม่เรา...แต่มันสายเกินไป แม่เรา cells สมองเสื่อมเพราะโดนฤทธิยาที่หมอให้อย่างต่อเนื่อง จนสมองเลอะเลือน แม่ฟังเราอธิบายไม่รู้เรื่อง แล้วสภาพร่างกายแม่อ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้วแม่ก้อจากโลกนี้ไปในที่สุด..."
อีกหลายปีต่อมา พอเราอายุเลย 60 เรา think positive มากขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดกลัวที่ว่าเราเรียนหนังสือมาน้อย เราจะประกอบอาชีพลำบากเพราะประเทศไทยต้องการแต่คนวุฒิสูงๆ ยิ่งหวาดกลัว แล้ว think negative เราก้อยิ่งยากจน แต่ยิ่ง think positive อยู่ดีๆเงินมันมาหาเราเอง ทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ต้องกลับไปเรียนหนังสือวิชาที่เราไม่ชอบอีกต่อไป กะอีแค่เอาวุฒิสูงๆมาหางาน แต่ตอนนี้เราสามารถเดินหน้าศึกษาแต่ esoteric arts ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งมันได้ผลมากๆ เพราะตอนเราอายุเกิน 60 เราหน้าตาเด็กกว่าตอนอายุ 50 เสียอีก ผิวพรรณไม่มีเหี่ยวย่น เดินเหินคล่องแคล่วว่องไว เราฝึกโยคะอินเดียกับวรยุทธ์จีนท่ายากๆทุกวัน เรียนรู้อะไรใหม่ๆได้เรื่อยๆ
และตอนนี้เราไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้่าสอนให้ปลงแบบ negative แล้วละสังขาร "เพราะความชราภาพ ไปไม่ีไหว" แล้วบรรลุอรหันต์ และนิพพาน เราว่า มันเป็นการตีความคำสอนพระพุทธเจ้าในทางที่ผิด
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 20:28:08
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 20:24:43
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 20:23:02
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 13:57:13
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 13:50:43
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 13:42:46