ความคิดเห็นที่ 1 คนทำหนังสือลุกขึ้นสู้ปูนใหญ่ . ก็เป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่ 12 องค์กรสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย  ลงไปจนถึง สมาคมนิตยสาร  และ สมาคมค้าวัสดุอุปกรณ์การพิมพ์ไทย  รวมพลังลุกขึ้นสู้กับ บริษัทผลิตกระดาษยักษ์ใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ ในเครือ ปูนใหญ่ หรือ เครือซิเมนต์ไทย ที่มีอิทธิพลเหนือวงการตลาดกระดาษในเมืองไทยอย่างไม่กลัวเกรง ทุกวันนี้ กระดาษพิมพ์เขียน และ ตำราเรียนของเด็กไทย มีราคา แพงเกินไป จนทำให้ เด็กไทยขาดทักษะ ในการ อ่านเขียนหนังสือไทย จนน่าตกใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ เอสซีจี เปเปอร์ หรือ บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทยจำกัด ในเครือ ปูนใหญ่ หรือ เครือซิเมนต์ไทย ไปยื่นคำร้องต่อ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ยุค นางพรทิวา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีใน รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอให้เก็บภาษี AD กระดาษที่นำเข้าจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และ อินโดนีเซีย โดยอ้างกฎหมายการทุ่มตลาด เพราะกระดาษนอกขายถูกกว่ากระดาษปูนใหญ่ที่ผลิตในเมืองไทย ฟังแล้วผมก็รู้สึกขบขันในข้ออ้างของปูนใหญ่ ประเทศที่มีค่าครองชีพแพงติดอันดับโลก อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และมีค่าแรงแพงกว่าไทยไม่รู้กี่เท่า กลับผลิตกระดาษส่งมาขายเมืองไทย ในราคาที่ถูกกว่ากระดาษปูนใหญ่ที่ผลิตในเมืองไทย ผมไม่เชื่อว่า 29 โรงงานใน 5 ประเทศนี้จับมือกันทุ่มตลาดกระดาษเมืองไทย แต่ผมเห็นว่า เครือปูนใหญ่ขายกระดาษแพงเกินไป เพราะมีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มีอำนาจเหนือตลาด จนส่งผลกระทบต่อต้นทุน การผลิตหนังสือในเมืองไทย ทำให้คนไทยขาดโอกาสอ่านหนังสือราคาถูก ท่านกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ ทราบไหมครับ หนังสือ 1 เล่ม ต้นทุนกระดาษกินไปแล้ว 45–50% เหลือเงินไปไม่ถึง “สมอง” คนทำด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีโฆษณาเพียงพอ หรือมีแต่ขาดทุนสถานเดียว โรงงานกระดาษปูนใหญ่  เอ็นจอยกับการคุ้มครองจากรัฐมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ตั้งโรงงาน ได้บีโอไอไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ไม่ให้กระดาษนอกเข้ามาแข่งขัน ตั้งกำแพงภาษีกระดาษนำเข้าสูงถึง 40% เพื่อให้แพงกว่ากระดาษปูนใหญ่ 40% ส่งผลให้ปูนใหญ่กำไรบานเบิกมาตลอด ทุกวันนี้ โรงงานกระดาษปูนใหญ่ ไปซื้อกิจการ โรงงานกระดาษเล็กใหญ่ ในเมืองไทย จนเหลือคู่แข่งเพียงรายเดียวคือ กระดาษ AA แต่ก็น่าแปลกที่กระดาษเอเอ กลับไม่เดือดร้อนจากกระดาษนอกเหมือนปูนใหญ่ ทั้งที่อยู่ในตลาดเดียวกัน คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล รองเลขาธิการและประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า ถ้า กระทรวงพาณิชย์ ขึ้นภาษีกระดาษนอกตามที่ ปูนใหญ่ ต้องการ จะส่งผลให้กระดาษผลิตตำราเรียน แมกกาซีน ฯลฯ จาก 5 ประเทศนี้แพงขึ้นทันทีหลายสิบเปอร์เซ็นต์ กระดาษเกาหลี เพิ่ม 5.85% อินโดนีเซีย เพิ่ม 6.62% จีน เพิ่ม 17.64% ญี่ปุ่น เพิ่ม 43.01% และ ไต้หวัน เพิ่ม 54.58% โลกวันนี้เป็น โลกการค้าเสรี ผมจึงไม่เห็นด้วยที่ กระทรวงพาณิชย์ จะช่วย ปูนใหญ่ ผูกขาดตลาดกระดาษต่อไปอีก ตรงกันข้าม ปูนใหญ่ควรจะลดราคากระดาษลงมา เสียที ตำราเรียน และ หนังสือความรู้ต่างๆ จะได้มี ราคาถูกลง ไม่ใช่ปล่อยให้ คนไทยโง่ อ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด แต่ เครือปูนใหญ่ รวยเอาๆ เดือนที่แล้ว ปูนใหญ่ เพิ่งแถลงผลประกอบการไตรมาส 2 กำไรก่อนหักดอกเบี้ยสูงลิ่ว 14,161 ล้านบาท หักดอกเบี้ยเหลือกำไร 7,496 ล้านบาท ครึ่งปีแรกฟันกำไรสุทธิไป 16,703 ล้านบาท กำไรขนาดนี้ปูนใหญ่ควรจะใจกว้าง คืนกำไรสู่สังคมไทยบ้าง นี่คือ CSR ของจริง ไม่ใช่แค่โฆษณาตามสื่อ. “ลม เปลี่ยนทิศ” ไทยรัฐออนไลน์ 26 สิงหาคม 2554, 05:00 น. จากคุณ : เย็นสิทธิ์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 23:09:59

ความคิดเห็นที่ 2 หนังสือญี่ปุ่นไม่ได้ทำแบบต้นทุนถูกนะคะ อย่างการ์ตูนก็ใช้กระดาษดีมากๆ หน้าสีก็พิมพ์สวยมาก พวกนิตยสารก็ใช้กระดาษดีมากค่ะ มีแค่การ์ตูนรายสัปดาห์เล่มหนาเท่าสมุดโทรศัพท์นั่นแหล่่ะที่ใช้กระดาษไม่ดี และพิมพ์แค่ 2 สี เพราะไม่ได้กะให้เก็บอยู่แล้ว (ก็หนาซะขนาดนั้น) แต่ที่หนังสือเค้าถูกเมื่อเทียบกับค่าครองชีพเป็นเพราะสิ่งพิมพ์เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในญี่ปุ่น และ volume การพิมพ์เค้าสูงมากค่ะ หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์เค้าขายฉบับละเป็นล้าน copy เลยค่ะ จากคุณ : เขียนบน iPhone (hiroko) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 00:18:20

ความคิดเห็นที่ 3 อย่าว่าเขานะ เขาบริจากเก้าอี้ให้ใช้ในงานสัปดาห์หนังสือปีละสองครั้งครั้งละ200ชุดทีเดียวแต่ละชุดยังติดป้าย โฆษณาหราเลย นอกจากนี้เขายังเป็นผู้คานอำนาจกับผู้ผลิตกระดาษอีกแห่ง ถ้าไม่มีเขาเราก็ถูกนายทุนอีกฝาก บีบมากกว่านี้แน่ จากคุณ : คนใช้กระดาษ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 02:26:01 A:180.183.50.51 X: TicketID:209308

ความคิดเห็นที่ 4 คห.2   เดี๋ยวนี้ยอดขายของญี่ปุ่นตกลงมาเยอะจากวงการแสกนแล้วครับ    รายสัปดาห์ที่ยอดพิมพ์เกิน1ล้านฉบับ    เหลือแค่2-3หัวเท่านั้น เรื่องกระดาษจะสรุปสั้นๆว่า บริษัทกระดาษในไทยมี2เจ้าเป็นหลัก   คือดับเบิ้ลA และไทยเปเปอร์(ปูนใหญ่) โดยทั้งสองบริษัทนี้เป็นผู้นำตลาดในกระดาษคนละกลุ่มกัน เพราะแต่ละสายผูกขาด เลยขึ้นราคาได้ตามใจชอบ โรงพิมพ์ทนไม่ไหว เลยติดต่อซื้อกระดาษนอกมาใช้แทน พวกเสือนอนกินเลยไม่ยอม จะให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีให้เพื่อตนจะได้เป็นเสือนอนกินต่อไป โรงพิมพ์ก็ไม่ยอมมั่ง ยื่นหนังสือไม่ให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษี แหม ไม่รู้จะด่ายังไง ประเทศไทยมันเป็นอย่างนี้เพราะพ่อค้ามันมักแต่จะผูกขาดตลาดนี่แหละ แต่วงจรอุบาทก์นี่คงใกล้จะจบแล้วล่ะ เพราะเปิดเสรีการค้าอาเซียน ภาษีกระดาษก็ต้องหมดไป กระดาษถูกๆจากต่างประเทศก็ต้องไหลเข้าไทย คราวนี้พวกเสือนอนกินได้หงายท้องแน่ๆ ผู้บริโภคก็น่าจะได้ประโยชน์จากราคากระดาษถูกลง แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 03:33:09 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 03:32:47 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 03:28:05

ความคิดเห็นที่ 5 ระบบจัดจำหน่ายต่างหากมันแพงมากมาย สนพ.(บนดิน)แห่งนึงเล่าว่า หนังสือ 1 เล่ม ราคา 100 ฿ สนพ.มีต้นทุนค่ากระดาษ+ค่าดำเนินการ +ค่าลิขสิทธิ์ 25 ฿ กำไร 25 ฿ ที่เหลืออีก 50 ฿ ให้บริษัท จัดจำหน่าย กับ ร้านค้าแบ่งเปอร์เซ็นต์กันเอง ราวๆ 60 : 40 สนพ.ใต้ดินที่รู้จักประเภทพิมพ์เองขายเอง บอกว่าถ้าฝากวางขายที่ร้านหนังสือใหญ่ๆ เค้าคิดค่าวาง 40% ของราคาหนังสือ และไม่รับผิดชอบกรณีหนังสือเสียหายจาก คนที่ยืนอ่านในร้านแล้วฉีกหนังสือบางหน้ากลับไปเป็นที่ระลึก หรือทำหนังสือยับเยิน จากคุณ : simiach เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 03:47:47

ความคิดเห็นที่ 6 เราว่าสาเหตุที่ทำให้หนังสือแพงมันมีหลายต่อนะ 1 เพราะกระดาษ สาเหตุอาจจะเป็นตามที่ข้างบนว่า 2 รูปแบบการพิมพ์ เวลาเราถามคนในวงการพิมพ์หนังสือทีไร(รับผิดชอบการตลาดอีกต่างหาก) แกก็จะตอบว่า ทำหนังสือรูปแบบง่ายๆ กระดาษบางๆไม่ได้ เดี๋ยวคนไม่ซื้อ ต้องทำออกมาเป็นสี่สี สวยๆ กระดาษหนาๆ จีนมันไม่ทำหรอก ทำหนังสือให้อ่านได้ แต่ราคาถูก กระดาษไม่บางมากแต่ไม่เอาไปกัดขาว สีน้ำตาลๆ เอาคุณภาพพอใช้ได้ก็พอ บางส่วนอยากดึงดูดลูกค้าค่อยพิมพ์แบบอลังการแบบไทยทีหลัง 3 จัดเนื้อหา บางเล่มเนื้อหาน้อยมากๆ พี่ก็เว้นวรรค ย่อหน้าบ่อยๆ จัดย่อหน้าให้ห่างเข้าไว้ เพื่อให้เนื้อหาดูเยอะ เราไม่ซื้อหนังสือพวกนี้หรอก ส่วนมาก เพราะไอ้ที่เว้นไปตูต้องจ่ายด้วย ปวดใจ 4 ค่าลิขสิทธิ์ เคยไปเดินดูร้านหนังสือในจีน คนจีนบอกว่าหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์เป็นหนังสือที่แพงมาก แต่คุณรู้ไหม แฮร์รี่ที่จีนอ่ะมันถูกกว่าไทยประมาณ2-3เท่า โดยเฉพาะใช้บัตรลดร้านหนังสือซื้อ คนจีนยังบอกอีกว่าที่จีนมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือภาษาอังกฤษจากฝรั่งเพื่อพิมพ์ขายในประเทศในราคาาถูกอีกทีหนึ่ง แล้วเขาทำแฮร์รี่รวมเล่มเจ็ดเล่มเลยค่ะ คือเล่มหนึ่งถึงเจ็ดอยู่รวมกัน(เพื่อนอินโดซื้อ เราซื้อแยกเล่ม) เปิดไปเต็มไปด้วยตัวอักษร กระดาษไม่หนามาก ราคาไม่ต้องบอกว่าถูกกว่าแฮร์รี่ในประเทศไทยเท่าไหร่ 5 ระบบสมาชิก เราเขียนเรื่องนี้มาประมาณ5รอบในห้องสมุดนี่ ที่จีนถ้าคุณไปร้านหนังสือจริง ทำบัตรสมาชิก แรกเริ่มเขาจะลดให้5% แล้วคุณก็ค่อยๆสะสมคะแนนไป ร้านที่เราเคยเป็นสมาชิกบัตรลดได้สูงสุดคือ20% ถ้าซื้อในเน็ต ลด30%เยอะมาก บางครั้งโชคดีไปเจอที่เขาจัดโปรโมชั่นเขาก็ลดให้50%กันเลย ถ้าคุณอยู่ในจีน ส่งฟรีเจ้าค่ะ ทั่วไป5% ต้องเป็นสมาชิกเอไอเอสลดได้10%(ซื้อผ่านเน็ต) เรียนภาษาจีนมา จะมาคุ้มก็ตอนอ่านหนังสือราคาถูกได้ น่าจะถูกตลอดไปด้วย ราคาถูกเพราะระบบ ระบบเขามันส่งเสริม นั่งแอร์เอเชียไปซื้อหนังสือมาสัก2กระเป๋าเดินทางก็คุ้มแล้ว เอามาขายในไทยเท่าราคาปก กำไรเห็นๆ เพราะของที่นั่นมันถูกมาก ตอนนี้พยายามเข้าห้องสมุด ไอ้ที่ซื้อๆไว้ก็ทยอยบริจาคไปให้คนอื่นๆอ่าน เล่มไหนยังไม่อ่านก็บริจาคให้ห้องสมุดที่ยังไปใช้บริการ เล่มไหนอ่านแล้วก็ส่งไปไกลหน่อย เป็นการประท้วงเล็กๆ รำคาญที่หนังสือในไทยแพง ขออีกหน่อยกับห้องสมุด ห้องสมุดส่วนมากมีขนาดเล็ก เคยไปห้องสมุดของนิวซีแลนด์ ห้องสมุดประจำเมืองอ่ะ ใหญ่มากเลย ส่วนไทย หอสมุดแห่งชาติ เขาบอกไม่ให้ยืมหนังสือ แล้วตั้งมาเพื่อ? ที่ให้ไทยเป็นเมืองหนังสืออะไรนั่นอ่ะ มันจะช่วยให้ดีขึ้นตรงไหนเหรอ? นอกจากโฆษณาให้คนอ่านหนังสือ แต่ระบบไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนแปลง หนังสือน่าจะเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ได้หลายๆคน ราคาไม่สูงมากเหมือนที่ฝรั่งทำ ใครเคยเข้าน่าจะรู้ หนังสือเยอะ ให้ยืมก็นาน ฟรีตั้งแต่ทำบัตร พยายามให้ความสะดวกโดยคืนหนังสือที่ห้องสมุดสาขาไหนก็ได้ในเมือง ฯลฯ ส่วนไทยตูแก่ตายจะได้เห็นไหม? หวังอีบุ๊ค? คนจนจะได้ซื้อเครื่องมาอ่านไหมเนี่ย? เขียนกี่ทีก็เขียนได้ประมาณนี้ เพราะรู้ความแตกต่าง ปัญหาก็ประมาณนี้ ท่านผู้บริหารประเทศหรืออะไรก็เถอะไม่เคยเห็น แต่เด็กไร้อำนาจ มันเห็น ไม่มีค่าอะไร ปล.ในจีน ถ้าเป็นหนังสือขายให้ต่างชาติเรียนภาษาจีนราคาไม่ถูกนะคะ ที่เขียนน่ะ หมายถึงหนังสือที่ขายให้คนจีนอ่าน ต่างชาติโดนฟันกำไรเหมือนเดิม ราคาประมาณหนังสือในเมืองไทย โดยเฉพาะบางสำนักพิพม์ แพงขนาดซื้อทีหนึ่งกินอาหารญี่ปุ่นได้มื้อเลยแหละ จากคุณ : khumchalong เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 05:41:59

ความคิดเห็นที่ 7 บางสำนักพิมพ์ก็ไม่แพงมากนะครับ อย่าง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก 191 หน้า 55 บาท ผมว่าทำให้ไม่แพงมันก็ทำได้นะครับ แต่ก็ช่างเถอะ แพงมาก็ไม่ซื้อครับ รอช้อนซื้อตอนขายไม่ออก ลดครึ่งราคา หรือไม่ก็มือสอง จากคุณ : alexiz เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 07:17:11

ความคิดเห็นที่ 8 รู้สึกเหมือนกันว่า ช่วงหลังๆ หนังสือที่เมืองไทยราคาแพงขึ้นมาก แต่ก็ยังขนซื้อมาอยู่ดี เพราะยังไงถ้าเทียบกับหนังสือที่นี่แล้ว ราคายังน่าคบกว่ามากมาย ตอนลูกเราเปิดเทอมที ตัวเบาเลยนะ หนังสือเลขเล่มนึงคิดเป็นเงินไทยเกือบสองพันบาท ซื้อหลายๆ เล่มเข้าก็หน้ามืดเหมือนกัน ตอนนี้อยากอ่านหนังสือเล่มไหน จะไปกรอกแบบฟอร์มให้ห้องสมุดแถวบ้านซื้อ แล้วเราก็จองเอาไว้ เสียค่าจองหนึ่งเหรียญ พอหนังสือมา เราก็ได้อ่านก่อนใคร อย่างแฮรี่ พ็อตเตอร์ เราก็ใช้วิธีนี้ จนไปเจอตอนลดราคายกชุดเป็นบ็อกซ์เซ็ต รุ่นปกแข็ง ราคาลดจากหกพันบาทเหลือสองพันบาทนั่นแหละ อ่านแล้วอ่านอีก คุ้มมาก จากคุณ : ข้าวปั้น เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 08:03:45 A:220.237.173.243 X: TicketID:188044

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องราคากระดาษก็เป็นสาเหตุหนึ่ง อีกอย่างก็คือ ยอดการพิมพ์ เพราะในการทำหนังสือแต่ละเล่ม จะต้องมีค่าใช้จ่ายคงตัว เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าทำเพลต ฯลฯ ซึ่งตรงนี้ไม่ว่ายอดพิมพ์จะมากหรือน้อยก็ต้องจ่ายเท่ากัน แต่แน่นอน ถ้ายอดพิมพ์มาก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็จะถูกถัวเฉลี่ยลงไปในหนังสือแต่ละเล่มลดลง ยิ่งพิมพ์มากเท่าไหร่ ต้นทุนเฉลี่ยต่อเล่มก็จะยิ่งลดลง สมมติง่าย ๆ ถ้าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ 3 หมื่นบาท พิมพ์ 3 พันเล่ม ตกแล้วแต่ละเล่มก็จะต้องแบกต้นทุนคงตัวเอาไว้ 10 บาท ซึ่งเมื่อเอาไปคิดเป็นราคาปก ซึ่งเกือบ ๆ สองเท่าของต้นทุน ก็จะกดเข้าไป 20 บาทแล้ว ถ้าลดต้นทุนส่วนนี้ลงมาเหลือแค่ 1 บาทต่อเล่ม (คือเพิ่มยอดพิมพ์เป็น 3 หมื่น) เท่ากับสามารถลดราคาหนังสือไปได้แล้วประมณ 18 บาทต่อเล่ม และผลพวงที่ตามมาถ้ายอดพิมพ์เพิ่ม มีคนซื้อหนังสือเพิ่ม ก็คือ % ที่จะบวกเพิ่มเพื่อให้ร้านค้าทำกำไรก็จะลดลงได้ด้วย เพราะที่ผ่านมาที่ร้านค้าต้องเรียก % สูง เนื่องจากร้านต้องแบกรับความเสี่ยงกรณีที่หนังสือนั้นขายไม่ดีขายไม่ออกเอาไว้ด้วย นอกเหนือจากค่าดำเนินการซึ่งก็สูงมากพออยู่แล้ว ซึ่งถ้ายอดขายเพิ่มมากขึ้น ทางร้านไม่ต้องแบกความเสี่ยงในการขายไม่ได้มากเท่าปัจจุบัน ต้นทุนส่วนนี้ก็อาจจะลดลงได้ด้วย ---------------------------------------------------------------------------------------- และอีกอย่างที่เป็นไปได้ก็คือเป็นเรื่องของจิตวิทยา เพราะผู้ขายจับจุดคนไทยจำนวนไม่น้อยได้ว่า นิยมซื้อของ "ลดราคา" มากกว่า "ราคาเต็ม" แม้ว่าคุณภาพจะเท่ากันก็ตาม  แบบว่าถ้าตั้งใจว่าจะขาย 80 บาท เชื่อไหมว่าถ้าระหว่างตั้งราคาปก 80 บาทแล้วขายราคาเต็ม กับอีกเล่มตั้งไว้ 100 บาทเพื่อลดเหลือ 80 บาท คนจำนวนไม่น้อยจะเลือก เล่มหลัง เพราะถูกราคาหลอกให้เชื่อว่าได้ของคุณภาพเต็มในราคาถูกลง สังเกตได้จากเวลางานหนังสือมาทีไร คนซื้อหนังสือกันถล่มทลายทุกที (รวมถึงตูด้วย 5555) เพราะในงานเขาลดราคากันสนุกสนานมาก ไปซื้อซัก 5-6 เล่มก็คุ้มค่ารถแล้ว ถ้าลองว่าราคาหนังสือในงาน กับซื้อตามร้านนอกงานก็พอ ๆ กัน รับรองคนซื้อหนังสือในงานลดลงฮวบฮาบแน่นอน จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:06:55

ความคิดเห็นที่ 10 ขออนุญาตบ่นเรื่องหนังสือแพงด้วยเช่นกันครับ บางเล่มเนื้อหาน้อยมาก แต่ราคาแพ๊งแพง หนังสือของชาติ กอบจิตติ สมัยก่อน ราคาถูกมากเพราะใช้กระดาษต้นทุนต่ำ ผมจึงอยากให้โรงพิมพ์ทั้งหลายทำหนังสือเป็น 2 เวอร์ชั่น คือราคาถูก กับราคาแพง จะดีกว่าครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:09:21

ความคิดเห็นที่ 11 เรายอมรับว่าใน ปีสองปีนี้ เราซื้อหนังสือลดลงค่ะ ยอมรับว่ามันแพงจริง อะไรจริง ระยะหลังใช้วิธี search จาก internet แล้ว print เอาค่ะ ในขณะที่เรามีมหกรรมหนังสือต่างๆ ที่พยายามส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือ แต่หนังสือมันก็แพงเมื่อเทียบกะค่าครองชีพ แล้วคนจะอยากซื้อหนังสือได้ยังไง ในเมื่อเงินที่เหลือ ไม่พอที่จะซื้อหนังสือดีๆที่อยากอ่าน เห็นรัฐอุดหนุนสินค้าเกษตร ประกันราคาอะไรต่ออะไร ทำไมไม่อุดหนุน ประกันราคาหนังสือบ้าง ถึงแม้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกะปากท้อง แต่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สร้างสติปัญญาของคนในชาติ เราว่ามันสำคัญพอๆกัน OK คุณจะ subsidise โรงงานกระดาษอะไรก็เชิญทำไป แต่ก็ช่วยประกันราคาหนังสือด้วยเพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อหาหนังสือมาอ่าน เพื่อเพิ่มรอยหยักในสมองของตัวเอง เสียดายเงินภาษีที่ถูกหักทุกเดือนค่ะ จากคุณ : เบื่อค่ะ (accytu46) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:36:34

ความคิดเห็นที่ 12 ลางเนื้อชอบลางยาครับ ขางคนชอบสวยๆ เก๋ๆมันเลยแพง ควรค่าแก่การสะสม น่าอ่าน บลาๆๆ บางคนชอบยังไงก็ได้ขอให้อ่านได้ เพราะอ่านเอาสาระ บลาๆๆ จากคุณ : หว่างฮั่น2011 เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:45:46

ความคิดเห็นที่ 13 อยากให้ขายเป็น e-book ค่ะ อยากอ่านงานดี ๆ ที่ราคาไม่แพง จากคุณ : จั๊กกะจุ่น เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 09:45:59

ความคิดเห็นที่ 14 หนังสือเมืองนอกกระดาษกากมาก แต่ก็ราคาถูกเหมือนกับว่าตั้งใจเพื่อทำมาขายให้อ่านนะ ไม่ได้ขายให้เก็บ อ่านแล้วก็แล้วกัน ถ้าจะเก็บก็อาจจะมีรุ่นปกแข็ง กระดาษกรีนรีด ราคาแพงขึ้นห้าเท่า ออกมาขายให้ซื้อไปเก็บกันเป็นคอลเลคชั่น เราว่าข้อดีของเรื่องนี้คือทำให้หนังสือสามารถเข้าถึงคนได้ทุกระดับ คือถ้าระดับล่างถึงกลาง เค้าก็มีกระดาษกากๆ ให้อ่าน ส่วนถ้าระดับบน เค้าก็มีปกสวย กระดาษเริ่ดให้ซื้อเหมือนกัน มันจะต่างกันแค่รูปลักษณ์ แต่เนื้อหาข้างในก็เหมือนกันนะ เห็นด้วยกับพี่เกียรตินำ ว่าหนังสือในงานหนังสือกับร้านข้างนอกนี่มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย ดีไม่ดี บางร้านที่มีเมมเบอร์ ขายถูกกว่างานหนังสืออีก  แต่ก็นั่นแหละ เราก็ยังไปงานหนังสืออยู่ดี เพื่อหาหนังสือใหม่ๆ และที่หายากๆ เพื่อสนองความต้องการ ไปทีไรก็ล่มจมทุกที ให้ตายสิ จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:31:28

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วถ้ารู้ว่า  ใครถือหุ้นส่วนใหญ่ของเครือปูนนี้  แล้วจะหนาว จากคุณ : ผู้เสพความมึน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 10:43:13

ความคิดเห็นที่ 16 หนังสือแพง นักเขียนได้ค่าต้นฉบับถูก เกือบครึ่งของราคาหน้าปกไปตกอยู่กับสายส่งซะหมด จากคุณ : อิมาอิซัง เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 15:22:09

ความคิดเห็นที่ 17 สนับสนุนอีกเสียงว่าแพงจริงๆ จากคุณ : chusnjung เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 16:35:13

ความคิดเห็นที่ 18 ปัจจัยที่ทำให้หนังสือไทยราคาแพงกว่าหนังสือฝรั่ง  น่าจะเป็นเพราะภาษาไทยเรามีพยัญชนะ  สระ  วรรณยุกต์ ถึง ๔ ระดับใน ๑ บรรทัด  ทำให้ ๑ หน้ากระดาษพิมพ์ได้น้อยกว่าหนังสือฝรั่งถึงเท่าตัว  คิดง่ายๆ หน้ากระดาษ A4 พิมพ์หนังสือไทยได้ราว ๓๒ บรรทัด  แต่หนังสือฝรั่งพิมพ์ได้ราว ๖๖ บรรทัด  แล้วเหตุที่ทำให้หนังสือแพงคือ  ระบบจัดจำหน่าย  เมื่อค่าเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้ามีราคาแพง  ร้านจำหน่ายก็ไปรีดเอากับสายส่ง  สายส่งก็ไปขุดเลือดเอากับสำนักพิมพ์  เมื่อกินกันมาเป็นทอดเช่นนี้  สำนักพิมพ์ก็ต้องกำหนดราคาจำหน่ายให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและพอมีกำไร   การที่หนังสือแพงนั้นเห็นจะต้องโทษศูนย์การค้าที่เรียกเก็บค่าเช่ามี่แพง  ข้างฝ่ายศูนย์การค้าก็คงจะซัดกลับมาที่ผู้บริโภคว่า อยากจะเดินจับจ่ายซื้อของในสถานที่หรูแอร์เย็นๆ  ก็ต้องจ่ายค่าอำนวยความสะดวกให้แก่ศูนย์การค้า  แต่ฟังข่าวการเปิดศูนย์การค้าแห่งหนึ่งหลังจากปิดปรับปรุงไปหลายเดือน  ทางศูนย์การค้าว่าลงทุนไปราว ๔ พันล้านบาท  แต่คาดว่าจะคืนทุนในเวลา ๒ ปีเศษ  ลองคิดดูสิครับทุนที่คืนมานั้นมาจากไหน  ถ้าไม่ใช่ค่าเช่าพื้นที่  สรุปแล้วเป็นเจ้าของศูนย์การค้านี่เสือนอนกินดีๆ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 54 17:02:09

ความคิดเห็นที่ 19 ในเมืองนอกเมืองนา เขาทำนายว่ายุคแห่งการอวสานของหนังสือกระดาษกำลังจะใกล้มาถึงแล้ว เพราะ 1 มันราคาแพง 2 มันกินเนื้อที่ 3 มันมีน้ำหนัก 4 มันพกพาไปไหนยาก ขณะที่หนังสือดิจิตอลกำลังมาแรง เหมือนกับเพลงดิจิตอลที่ดาวน์โหลดกันอย่างกระหน่ำ เราก็ขอเดาเอาว่า คนผูกขาดตลาดคงจะรวยไปไม่ได้อีกนาน เหมือนตลาดฟิลม์ไง ดูโกดัก ฟูจิ ซิ ตอนนี้ขายอะไรแทนฟิลม์ดีหล่ะ ผลิตกล้อง (hardware) มาแข่งกับ Nikon, Canon, etc กันให้สนั่น กำไร มันไม่จีรังหรอกครับ จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 00:04:52 A:223.205.176.218 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าพิมพ์หนังสือไทยออกมาเป็นอีบุ๊กด้วยก็คงช่วยให้ราคาหนังสือถูกลง และช่วยลดการใช้ไม้ลงด้วย แต่เรื่องที่ว่าจะถึงจุดอวสานของหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษ ไม่คิดว่าเป็นไปได้ค่ะ สื่อสองอย่างนี้จะมา compliment กันมากกว่า paper book จะไม่หายไปหมด อย่างน้อยก็ใน generation นี้ เพราะถึงอย่างไรอีบุ๊กก็ทำไม่ได้หลายๆ อย่างที่หนังสือที่อยู่ในรูปกระดาษทำได้ อย่างเช่นถ้าเป็น textbook ยากที่จะไฮไลต์หรือจดโน้ตสั้นๆ ลงตรงจุดที่ต้องการได้เหมือนในบนกระดาษ โดยเฉพาะนักศึกษาด้านกฎหมายนี่ชัดเจนที่สุด พวกนั้นเขาอ่านตรงไหนทีก็ต้องจดโน้ตหรือไฮไลต์ที เป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่คนซึ่งทำงานทางกฎหมายหรือเป็นนักศึกษากฎหมายจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายในรูปแบบของอีบุ๊ก การค้นหาหน้าใดหน้าหนึ่งสมมติว่าหนังสือหน้าพันหน้า จากหนังสือกระดาษหาได้ง่ายและเร็วกว่า แล้วจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ นักศึกษาเข้าถึงอีบุ๊กได้เป็นล้านเล่ม บทความออนไลต์อีกนับไม่ถ้วน แทนที่การใช้กระดาษจะลดลง กลับตรงข้าม คือเพิ่มขึ้นเท่าตัวค่ะ เพราะนักศึกษาต้องพิมพ์สิ่งเหล่านั้นออกมาอ่าน อีกหลายๆ อย่างที่ดูจากจอภาพทำได้ไม่ดีเท่าจากกระดาษ อย่างเช่นพวกชาร์ต กราฟ ขนาดใหญ่ หนังสือสำหรับเด็กอีกล่ะ อย่างเช่นอีบุ๊กมาแทนที่ pop-up books ได้ไหม ไม่มีวัน ความสัมพันธ์ของคนเรากับหนังสือเป็นเล่มเริ่มมาแต่เด็กโน่นเลยค่ะ ประสบการณ์ของคนอ่านกับหนังสือเป็นความสัมพันธ์ที่อุปกรณ์การอ่านแบบอีเล็กโทรนิกมาแทนที่ไม่ได้ค่ะ เวลาที่เรารู้สึกถึงสัมผัสของแผ่นกระดาษ ได้กลิ่นกระดาษไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า จดโน้ตตรงโน้นตรงนี้ หรือขีดเส้นใต้ข้อความที่ชอบ คงเคยเห็นหนังสือเก่ามากๆ ที่มีการ digitize แล้ว ดูจากตัวหนังสือบนจอของหนังสือกับได้จับต้องตัวหนังสือเหล่านั้นบนหน้ากระดาษให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันค่ะ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่เริ่มมีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าโทรทัศน์เกิดขึ้นและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ใครๆ พากันว่าอีกหน่อยคงไม่มีใครฟังวิทยุกันแล้ว 75 ปีผ่านไป แล้วเป็นไง แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 01:55:15 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 01:53:45

ความคิดเห็นที่ 21 ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มาอ่านกันบ้างไหม เห็นส่งเสริมการอ่านกันจังเลย ถ้าถูกลงกว่านี้   คนก็จะอ่านกันมากขึ้น       โปรดช่วยทำให้ถูกลงทีเถอะครับ จากคุณ : ศรีวรลักษณ์ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 03:15:21

ความคิดเห็นที่ 22 เราไม่ได้ซื้อหนังสือภาษาไทยอ่านเกือบ 10 ปีแล้วเหตุผลก็คือ 1. เพราะมันแพง 2. เราชอบเรียนรู้และค้นคว้าเรื่องอะไรเร้นลับที่มันไม่มีใครเขียนไว้เป็นภาษาไทย เราก็เลยอ่านแต่ ebooks ภาษาอังกฤษ กับอ่าน web contents และ ดู training videos จากต่างประเทศเพื่อการเรียนรู้และค้นคว้าซะมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เราก็รู้วิธีหาของฟรีได้โดยตลอด เราว่า Internet นี่มันจะปิดช่องว่างในการเรียนรู้ระหวางคนรวยกับคนจนได้สบายๆเลยหละ! เมื่อเราใช้ digital media กับ software ในชีวิตประจำวันเยอะมากๆ เราก็เลยมีความรู้เรื่องข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างหนังสือกระดาษกับ ebook พอที่จะตอบ คคห 20 ได้ดังนี้ .......................................................................... ตอบ คคห 20 เรื่องหนังสือกระดาษจะยังมีอยู่หรือจะสูญพันธ์ไปนั้น เราขอไม่แสดงความคิดเห็น แต่ที่คุณพูดว่า "เพราะถึงอย่างไรอีบุ๊กก็ทำไม่ได้หลายๆ อย่างที่หนังสือที่อยู่ในรูปกระดาษทำได้ อย่างเช่นถ้าเป็น textbook ยากที่จะไฮไลต์หรือจดโน้ตสั้นๆ ลงตรงจุดที่ต้องการได้เหมือนในบนกระดาษ โดยเฉพาะนักศึกษาด้านกฎหมายนี่ชัดเจนที่สุด พวกนั้นเขาอ่านตรงไหนทีก็ต้องจดโน้ตหรือไฮไลต์ที เป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่คนซึ่งทำงานทางกฎหมายหรือเป็นนักศึกษากฎหมายจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายในรูปแบบของอีบุ๊ก การค้นหาหน้าใดหน้าหนึ่งสมมติว่าหนังสือหน้าพันหน้า จากหนังสือกระดาษหาได้ง่ายและเร็วกว่า แล้วจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ นักศึกษาเข้าถึงอีบุ๊กได้เป็นล้านเล่ม บทความออนไลต์อีกนับไม่ถ้วน แทนที่การใช้กระดาษจะลดลง กลับตรงข้าม คือเพิ่มขึ้นเท่าตัวค่ะ " ^ อันนี้เราขอแย้งนะ 1.เรื่องจด notes หรือ highlight ทำใน ebooks ง่ายกว่ามากๆ ถ้าใช้ software เก่งๆทำ 2.เรื่อง slides ก็ไม่จริง เพราะสมัยนี้ digital media มีหลายรูปแบบ เราสามารถแปลง acquire images ให้อยู่ในรูปแบบที่ software เก่งๆ มันรับได้ เพราะ software เก่งๆ เก็บได้ทั้ง texts, audios และ videos รวมเบ็ดเสร็จอยู่ใน file เดียวกัน ซึ่งในการจด notes หรือทำ highlight นั้น เรายังเพิ่ม hyperlinks เข้าไปอีกเพื่อสร้าง cross references โยงถึงกัน ซึ่งทำให้การค้นหารวดเร็วกว่าค้นอะไรในหนังสือกระดาษตั้งมากมาย 3. เรื่องการค้นหา ก็อย่างที่พูด 3. แล้ว notes ทุกถ้อยคำหรือชื่อ topics กับ subtopics ทั้งหมดจะถูก indexed ให้ค้นหาได้ง่ายมากๆ ยกตัวอย่างเช่นกฎหมายที่มีตั้งหลาย tiles, chapters, sections ถ้าแปลงมันเป็น digital media ทั้งหมด จะค้นหาได้ง่ายกว่าค้นจากหนังสือกระดาษหลายเท่า ซึ่งจะทำให้จด notes, ทำ highlight, ทำ hyperlinks เพื่อเป็น cross references โยงข้อความสำคัญๆ เพื่อให้ได้รับการ indexed ให้ค้นหาง่าย แต่ที่เขายังไม่ทำกัน มันเป็นเพราะคงยังไม่มีใครอยากออกแรง digitize มันเท่านั้นเอง เพราะมันมีเนื้อหาเยอะมากๆ แต่เราก็เชื่อว่าคงมี law firms บางแห่งในโลกทำไว้ใช้ในบริษัทตัวเองไม่มาเผยแพร่ก็ได้ เราทดสอบ software พวกนี้มาหลายปีแล้ว จนเราใช้ software หลายยี่ห้อประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้ที่ต้องมีการแบ่ง categories, subcategories, จด notes, ทำ highlight, อีกทั้งสร้างสื่อการสอน (เพื่อสอนตัวเองหรือผู้อื่น) เป็น videos โดย organize มันไว้อย่างเป็นระเบียบมากๆ และทำ cross references โยงข้อความสำคัญๆเพื่อการเรียนรู้ด้วยระบบ digital อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกอย่างที่อยู่ในรูปแบบของ soft copy ที่เป็นงานค้นคว้าของเรานั้น กรณีที่เราต้องการเอางานชิ้นนี้ไป present ที่ไหน เราเอาไปทั้ง software (แต่จัดแบ่งให้ถูกเฉพาะส่วนที่จะเอาไป present) โดยเราไม่จำเป็นต้องใช้ powerpoint เลยเพราะมันล้าสมัยซะแล้่ว แม้กระทั่ง SERPs (search engine result pages) ที่เราได้มากจากการใช้ google ค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้นั้น เราก็ไม่เคยเก็บมันไว้ใน favorite ของ browser เลย เพราะเราชอบรื้อ operating system ปรับเปลี่ยนทดสอบอะไรบ่อยๆ เราป้องกันข้อมูลที่เราค้นเจออย่างหนาแน่นโดยการ save web contents ที่เราค้นเจอ แล้วเรา index มันไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ นั้นก็หมายความว่า "ถึง web contents นั้นจะไม่มีตัวตนแล้ว เช่นเจ้าของ website ลบทิ้งไป แต่เราก็ยังมี web contents อยู่" อีกทั้งมี backups ข้อทุกอย่างเอาไว้แบบ online และบน external harddisk ด้วยอีกหลายชั้นซึ่งปลอดภัยต่อปลวก ความชื้น หรือแม้กระทั้งน้ำท่วมหรือไฟไหม้ เพราะถึงจะแหล่งเก็บโดนน้ำท่วมหรือไฟไหม้วอดไป แต่แหล่งเก็บ online ก็ยังมีเหลือ ดังนั้น soft copy ได้เปรียบเหนือชั้นกว่า hard copy ในทุกกรณี ส่วนเรื่องอ่านหนังสือบนคอมพิวเตอร์เสียสายตานั้น เราว่าไม่จริงอย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วสายตาเราบางทีมีปัญหาเพราะอ่านหนังสือกระดาษมากเกินไป แต่ตั้งแต่เลิกอ่านหนังสือกระดาษไป 10 ปีแล้วสายตาเราดีขึ้นมาก เพราะใช้จอ lcd ใหญ่ๆ ตัวหนังสือเพิ่มลดขนาดก็แค่เลื่อน mousewheel เลื่อนขุึ้นลงพร้อมกับกดปุ่ม Control หรือถ้าจะเอาแบบมันๆก็ต่อ projector ฉายมันขึ้นจอใหญ่ๆอ่านมันซะเลย จะได้ไม่ต้องมาเพ่งอ่านตัวหนังสือตัวเล็กบนกระดาษที่น่าสงสารซึ่งทำให้เสียสายตา หนังสือกระดาษเราถูกทำลายไปมากมายแล้วในอดีตตั้งแต่ 1. ย้ายบ้านหนักต้องทิ้ง 2. ปลวก แมลง ความชื้นเล่นงาน 3. เพื่อนยืมแล้วไม่คืน (กรณี ebook เพื่อนอยากได้เล่มไหน แจกฟรีไปเลยขี้เกียจทวง) สมัยเราเป็นเด็กวัยรุ่นวัยเรียนเราเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆได้ช้ามากๆเพราะ iq เราต่ำกว่าคนทั่วๆไป แต่ตอนอายุมากๆมันพลิกล๊อค เรากลายเป็นเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วมากกว่าสมัยเด็กๆตั้งหลายเท่า และความรวดเร็วในการเรียนรู้ของเราที่เพิ่มอัตราขึ้นอย่างน่าตกใจนี้ "มันเป็นผลมาจากการทดสอบและใช้งาน software หลายชนิดประสานงานกัน เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ และจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ในรูปแบบของ digital media อย่างเป็นระเบียบและมีเสถียรภาพสูงสุด" แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 14:17:27 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 11:16:39 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 11:02:58

ความคิดเห็นที่ 23 1. ที่ว่า highlight ได้ ไม่ง่ายเหมือนที่นิยมทำกันด้วยหนังสือนะคะ คือ highlight ด้วยสีเหลือง แล้วย้อนกลับไปหาได้ง่ายน่ะค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ software เลยค่ะ นักศึกษาที่ทำงานใช้ notebook ในห้องเรียนเพื่อ communicate กับอาจารย์และ take note แต่หนังสือเรียนทั้งหมดยังเป็นรูปเล่มอยู่ค่ะ เพราะทำอะไรกับ textbook ที่อยู่ในรูปอีบุ๊กได้จำกัดมาก ห้องสมุดที่รับผิดชอบอยู่เป็นห้องสมุดที่พยายามให้เป็นห้องสมุดแบบ virtual library เกือบ 100% แต่นักศึกษาถ้าต้องอ่านอะไรยาวๆ คือง่ายๆ ว่ายาวเกิน 5 หน้าจะใช้วิธีพิมพ์ออกมาอ่านค่ะ ที่ว่ายิ่งมีเอกสารในรูปแบบ digital มากขึ้นเท่าไหร่การใช้กระดาษก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นั่นนอกจากมาจากที่เห็นอยู่ทุกวันจากการใช้กระดาษของนักศึกษาในแผนกที่ดูแลอยู่เท่านั้น แต่เป็นข้อสรุปจากสถาบันการศึกษาทุกแห่งในสหรัฐอเมริกาค่ะ เมื่อสมัยก่อนอีบุ๊กกับ online databases เราให้นักศึกษาพิมพ์ฟรีนะคะ หลังๆ นี่ไม่ไหวแล้วค่ะ เพราะนับแต่มี databases เยอะ หนังสือในรูปอีเล็กทรอนิกเยอะ theses, dissertation นี่ digitize หมดแล้ว นักศึกษายิ่งพิมพ์กันเยอะขึ้นหลายเท่า จนต้อง charge เงินแล้วค่ะ เพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหม นี่เป็นในประเทศผู้นำเรื่อง ebooks และ electronic databases ด้วยนะคะ 2. ที่พูดถึง chart, graph อะไรนั่นหมายถึง scale ของมันค่ะ จออีเล็กทรอนิกมีขนาดจำกัด กว้างอย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 20 นิ้ว ที่จริงก็ยังไม่เคยเห็นจอคอมพิวเตอร์ที่ไหนกว้างขนาดนี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าขนาดของชาร์ตหรือแปลนอะไรสักอย่างที่ใหญ่เกินไป ทำได้สองแบบคือบีบขนาดของมันลงเพื่อให้ fit เข้ากับจอ ทำแบบนั้นการอ่านก็จะยากขึ้น หรือไม่ก็ต้องใช้วิธี scroll ขึ้นบนลงล่างหรือ side way กรณีแบบนี้กระดาษเท่านั้นจะใส่ชาร์ตหรือกราฟพวกนั้นได้โดยไม่ต้อง scroll หรือย่อส่วน จออีเล็กทรอนิกแทนที่กระดาษในกรณีนี้ไม่ได้เลยค่ะ ลองคิดถึงสถาปนิกหรือคนที่ทำงานออกแบบ ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ต้องแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วพิมพ์รวมกันออกมาเป็นภาพที่สมบูรณ์ด้วยกระดาษ ก็ไม่พ้นกระดาษอยู่ดีนั่นแหละค่ะ 3. นักศึกษาหรือนักกฎหมายนี่เวลาอ่านอะไรเขามักจะจดโน้ตส่วนตัวไว้ข้างๆ หรือตรงโน้นตรงนี้ในแต่ละหน้าค่ะ ที่จริงนักศึกษาหรือคนที่ชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือวิชาการ หรืออ่านเรื่องแต่ง ที่ชอบทำกันคือตรงไหนน่าสนใจก็อาจขีดเส้นใต้ไว้ ไม่ทราบคุณหมอดูเคยเห็นลักษณะขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญๆ ทาง Kindle หรือ Nook ไหมคะ ดูไม่น่าสนใจเลย ไม่สะดุดตาเลย ถ้าไม่สังเกตก็อาจไม่เห็น หรือถ้าเห็นก็ดูน่ารำคาญเสียมากกว่า ในขณะที่การจดโน้ตส่วนตัว จะเพื่ออะไรก็แล้ว เพื่อเตือนใจให้กลับมาอ่านใหม่ หรือเพราะเห็นว่าเป็นตอนสำคัญ หรืออยากจดจำ หรือเป็นโน้ตคำอธิบายข้อความตรงไหนสักแห่ง ถ้าจดลงบนแผ่นกระดาษในหนังสือ จะสะดุดตากว่า ดูน่าสนใจกว่า คือง่ายๆ ว่าโน้ตลักษณะนั้นมัน serve its purpose อย่างแท้จริงค่ะ ไม่ใช่ดูแล้วรำคาญหรือไม่สะดุดตา หรือย้อนกลับไปหาลำบากเพราะดูลานตาไปหมดอย่างอ่านจาก e-reader ค่ะ แล้วที่ว่าก็อีก สมมติหนังสือหนาพันหน้า อ่านไปถึงหน้า 709 แล้วอยากย้อนกลับไปที่หน้า 148 โห...กดย้อนกลับกันเมื่อยมือเลย นี่จากประสบการณ์ของตัวเองตอนอ่าน The Pillars of the Earth ทาง Kindle ค่ะ กดจนท้อเลย ถ้าเป็นหนังสือก็แค่พลิกๆ ไป ไม่กี่วินาทีถึงหน้านั้นแล้ว แต่ก็มีหลายอย่างที่อีบุ๊กได้เปรียบหนังสือเป็นเล่ม อย่างที่คุณหมอดูว่านั่นแหละค่ะ อีบุ๊กเก็บง่ายกว่า พกพาสะดวกกว่า อย่างตอนนี้มีหนังสืออยู่ใน Kindle ที่ใช้ประจำอยู่เกือบ 300 เล่มแล้วมั้งคะ เวลาเดินทางไปไหนก็พกแต่แผ่นบางๆ นี่ไป ถ้าให้ขนหนังสือ 300 เล่มขึ้นเครื่องบินขณะเดินทาง นึกภาพไม่ออกว่าจะทำได้ยังไง แต่ปัญหาก็มีเน้อ กำลังอ่านๆ อยู่พอเครื่องบินจะขึ้นหรือลงต้องปิดเครื่องอ่ะ เพราะถือเป็นอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นหนังสืออ่านได้ตลอดเวลา เรื่องปลวก หรือความชื้นก็จริงค่ะ แต่ก็อีกแหละหนังสือเป็นเล่มไม่ต้องชาร์ตไฟนะคะ ยิ่งเป็นโรคประสาทประเภทกลัวว่าอ่านไปๆ แบต Kindle หมดขณะเดินทางอยู่ด้วย เจอแบบนั้นสักครั้งล่ะแย่เลย เดินทางไปไหนใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมงโดยไม่มีอะไรให้อ่านมีหวังลงแดง ยิ่งไม่ชอบขน charger ติดตัวไปไหนมาไหนอยู่แล้วด้วย อีกอย่างค่ะ ถ้าไปต่างประเทศ charger ของอเมริกาก็ใช้ไม่ได้อีกเพราะระบบไฟต่างจากประเทศอื่น นี่หมายถึงจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ คนอื่นก็คงเป็นเหมือนกัน ถึงได้ว่าหนังสือไม่หายไปไหนแน่ๆ e-reader หรือคอมพิวเตอร์มาแทนหนังสือไม่ได้แน่ ได้อย่างมากก็เป็นการ compliment ซึ่งกันและกันเท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 12:33:50

ความคิดเห็นที่ 24 นึกข้อดีอีกอย่างของ e-reader ได้ คือมี built-in dictionary กับ thesaurus อยู่ด้วยค่ะ สงสัยคำไหนก็ค้นได้เลยในเครื่องเดียวกัน กรณีนี้ชอบมากค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 12:39:21

ความคิดเห็นที่ 25 ไปงานหนังสือทีไร ซื้อหนังสือ ลดราคามากๆๆๆ มาให้น้องอ่านทุกที เราคิดว่าหนังสือ ถึงอ่านช้ากว่าอื่น แต่ถ้ามันสนุก มันก็ยังสนุกอยู่วันยังค่ำ จะซื้อแพงๆ ไปทำไม จากคุณ : MRN_DA เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 13:02:45

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ คคห 23 การที่นักศึกษาในอเมริกาเอา digital media ไป print ให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย มันก็เป็นเรื่องของความถนัดเฉพาะตัวของแต่ละคนต่างหาก (ซึ่งคนส่วนมากชินกับกระดาษและปากกา) เพราะถ้าเราเป็นนักศึกษาเราไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษในการค้นคว้าเรียนรู้และทำงานเลย (ถ้าอาจารย์บังไม่บังคับนะ) เนื่องจากเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้เรากลายเป็นค้นคว้าและเรียนรู้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าสมัยวัยเรียนตั้งหลายเท่า ซึ่งเรากลับทำได้ดีกว่ามากๆโดยไม่ใช้กระดาษกับปากกาเลย จนเราเขียนหนังสือแทบจะไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อ 2-3 วันนี้ไปซื้อซองส่งจดหมายต้องส่งแบบฟอร์มอะไรบางอย่างไปให้หน่วยงานราชการ เราจะจ่าหน้าซองเรายังต้องวานพนักงานเขียนให้เลยเพราะจับปากกาไม่ค่อยจะถูก...555+++... และการที่นักศึกษาในอเมริกาส่วนใหญ่ถนัดกับการใช้กระดาษแล้วต้องเอา digital media ไป print ให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาหักล้างแนวคิดที่ว่าขีดความสามารถของ software สมัยใหม่มันมีประสิทธิภาพเหนือชั้นในการช่วยมนุษย์ให้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเรียนจากตัวหนังสือที่พิมพ์อยู่บนกระดาษ เพราะอย่างที่เล่าให้ฟังแล้วว่าบางทีเราเรียนจาก videos ก็มีซะเป็นส่วนมาก ยกตัวอย่างเชนสมัยเราเรียน computer จากหนังสือกระดาษ กว่าเราจะเรียนรู้ ใช้งาน และแก้ไขปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ต่างๆเจาะลึก ได้นั้น มันเชื่องช้ามากๆ แต่สมัยนี้จะรื้อระบบ computer แบบยากๆซับซ้อน ไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือกระดาษให้เสียเวลา แค่หา videos มาดู แพล็บเดียวก็เรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ประเด็นที่เราพูดถึงก็คือ "ความสะดวกความรวดเร็วและประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนรู้" ส่วน slides ใหญ่ๆมหึมาที่คุณพูดถึงนั้น มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าม่ายงั้นพวกสถาปนิกก็คงใช่ software เขียนแบบก่อสร้างอาคารบ้านเรือนไม่ได้น่ะสิ คือจริงๆแล้วมันมี printer ขนาดใหญ่ด้วย เพียงแต่มันสิ้นเปลืองและเสียเวลาในการเอา slides มา digitize เท่านั้นเอง ความคิดเห็นที่เราแสดงไว้มุ่งประเด็นไปที่ "การเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆอย่างรวดเร็วเพื่อพัฒนาสมองโดยอาศัย software" ยกตัวอย่างความสะดวกของมันเช่น การเลื่อน mousewheel หน้าหลังขณะกดปุน Control ใน software เกือบจะทุกยี่ห้อ มันจะขยายหรือลดขนาดให้เราอ่านได้ง่ายๆ และการมองหน้าตรงไปที่จอ lcd ใหญ่ๆ หรือจอฉายหนุังใหญ่ๆ (ถ้าจะเล่นอ่านหนังสือหรือดู videosแบบใช้ projector ฉายขึ้นจอ) ทั้งในการเรียนรู้ หาความบันเทีง หรือทำงาน มันทำให้ไม่เมื่อยสายตา ไม่เมื่อยคอ ซึ่งมัน ergonomic มากๆ สายตาเราเริ่มดึขึ้นขึ้นหลังจากเลิกอ่านหนังสือกระดาษไปแล้วเกือบ 10 ปี ใครว่าอ่านหนังสือจากคอมพิวเตอร์สายตาเสีย เราไม่เชื่อหรอก อ่านจากหนังสือกระดาษนี่แหละเมื่อตาเมื่อยคอ และเมื่อยมืออีกด้วย (ถ้าหนังสือมันใหญ่มากๆอะนะ) แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 23:18:03 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 14:54:21

ความคิดเห็นที่ 27 สักวันหนึ่งหนังสือกระดาษจะเป็นเพียงของสะสมของเล่นสำหรับคนรักหนังสือเท่านั้น คนส่วนใหญ่หันหน้าเข้าหาหนังสือดิจิตอลกันหมด  เช่นเดียวกับที่คนรักเสียงเพลงกลุ่มเล็ก ๆ ยังฟังเพลงจากแผ่นเสียง (ด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีเสน่ห์และเสียงธรรมชาติกว่า)  คนรักการถ่ายภาพกลุ่มเล็ก ๆ ยังถ่ายแต่ละภาพด้วยกล้องฟิล์ม (ด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีเสน่ห์และคุณภาพบางอย่างดีกว่า) ผู้คนส่วนใหญ่รักความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้พวกเขาได้ตามนั้น ดังนั้นเรื่องเสน่ห์ของความเป็นกระดาษตัดทิ้งไปบ้างก็ได้  555 จากคุณ : ลิด้า เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 54 19:16:12

ความคิดเห็นที่ 28 คุณหมอดูคะ ความตื่นเต้นเรื่องการเลิกใช้กระดาษนี่เริ่มเมื่อ 15 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นเรามองกันว่าจะสร้างห้องสมุดที่ไม่ต้องมีหนังสือเลยแม้แต่เล่มเดียวก็ยังได้ เพราะเราคิดกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคตจะ digitize ได้หมด ตามห้องสมุดเราเฝ้าติดตามความก้าวหน้าของการแปลงทุกอย่างให้อยู่ในรูป bits กับ bytes มานานแล้วค่ะ เริ่มยกเลิก subscription วารสารโน่นนี่มาเรื่อยๆ คิดกันว่าในที่สุดจะประหยัดพื้นที่ในห้องสมุดได้ ไม่ต้องมีชั้นวางหนังสือที่กินพื้นที่ทั้งชั้นหรือหลายชั้น ห้องสมุดจะมีแต่คอมพิวเตอร์ทั้งหมด แต่แล้วความฝันนั้นก็ไม่เคยเป็นจริง ตอนนี้เรารู้กันแล้วค่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่นี่เราผ่านสภาพที่หวังว่าจะเห็นแต่หนังสือในรูปที่ไม่ใช่กระดาษมาแล้วค่ะ ตอนนี้กลับต้องแสวงหา reference materials ในรูปหนังสือเป็นเล่มๆ กลับมาใส่ไว้ใน collection ตามเดิม นักศึกษาพิมพ์บทความหรือหนังสือทั้งเล่มออกมาอ่านด้วยกระดาษมากขึ้นแทนที่จะลดลง เคยเห็นภาพนักศึกษาเวลาเขียน term paper ไหมคะ เขาจะนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีหนังสือ มีบทความที่พิมพ์ออกมาเป็นแผ่นๆ กางอยู่รอบตัวเลย นั่นแหละค่ะคือสาเหตุว่าทำไมถ้าเป็นอะไรที่สำคัญๆ เขาจะพิมพ์ออกมาแทนที่จะอ่านจากจอค่ะ นักศึกษาระดับปริญญาตรีสมัยนี้ไม่มีปัญหาเรื่องความถนัดในการอ่านอะไรจากจอคอมพิวเตอร์หรอกนะคะ เด็กสมัยนี้เกิดมาพร้อมคอมพิวเตอร์ค่ะ อุปกรณ์อะไรลักษณะนี้เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของเขาไปแล้ว แต่การใช้คอมพิวเตอร์ของเขาจะเป็นลักษณะเล่นๆ หรือศึกษาอะไรที่ไม่เคร่งเครียดมากกว่า อย่างเช่นในห้องเรียนทุกคนต้องมี notebook กันหมดแล้ว แต่ไม่ใช่เพื่ออ่านอะไรหลายๆ หน้า มีไว้เพื่อใช้โปรแกรมเดียวกับที่อาจารย์กำลังสอนอยู่หน้าห้อง หรือเป็น simulator ตามบทเรียน หรือใช้ take note อย่างที่ว่า แต่ถ้าเป็นลักษณะข้อมูลยาวๆ เป็นเรื่องเป็นราวก็ยังคงอยู่ในรูปของ textbook ในรูปหนังสือไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ การค้นข้อมูลก็เหมือนกัน ข้อมูลไหนที่อ่านผ่านๆ ก็อ่านจากจอคอมพิวเตอร์กัน แต่ถ้าเป็นบทความที่มีความสำคัญและคิดว่าจะใช้ศึกษาเพื่อสอบหรือเพื่อทำ term paper ในภายหลังก็จะพิมพ์ออกมาค่ะ นั่นคือ pattern การใช้สื่อ 2 รูปแบบนี้ค่ะ คุณ คห. 27 อย่าเพิ่งหัวเราะค่ะ ลองอ่านหนังสือในลักษณะอีบุ๊กไปสักพักแล้วคุณเองก็จะเข้าใจค่ะว่ามีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่ยาวมากๆ นะคะ และทำไมหนังสือเป็นเล่มจึงยังไม่มีวันหายไปไหน ที่พูดถึงเสน่ห์ของ paper book นั่นหมายถึงในความรู้สึกของคนรักหนังสือหรอกค่ะ สำหรับผู้นิยมการอ่านหนังสือ หนังสือมีความสัมพันธ์กับผู้อ่านในระดับที่มากกว่าเป็นเพียงสื่อนำเสนอข้อมูลเพียงอย่างเดียวค่ะ หมายความว่าอย่างนั้น แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 54 03:30:08 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 54 01:49:37 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 54 01:28:04

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยกับคุณกุลธิดาจังค่ัะ เราะเป็นคนอ่านหนังสือทั้ง textbook หนังสือไทย นิยายไทย นิยายฝรั่ง แต่ชอบในรูปแบบกระดาษหนังสือมาก เพราะอ่านแล้วสบายตา ได้อรรถรส ไม่เหมือนอ่านบนจอ ปวดตาได้อีก เห็นด้วยที่ราคาหนังสือแพงมาก  สงสารเด็กๆ ที่ไม่มีรายได้ แต่ชอบการอ่านหนังสือ ทุกวันนี้ คนไทยเราอ่านหนังสือกันน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอราคาหนังสือแพงๆ ในอนาคตไม่รู้จะเป็นยังไง จากคุณ : X_cite เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 54 19:29:09

ความคิดเห็นที่ 30 เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือ เล่มสองเล่ม ก็เกือบพันแล้วอ่ะค่ะ T____T หาทางลดราคาลงให้หน่อยได้มั๊ยอ่ะค่ะ คนใหญ่คนโตทุกท่านทั้งหลาย กราบล่ะค่ะ T_________T จากคุณ : weirdprincessandcoldprince เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 54 12:46:32

ความคิดเห็นที่ 31 การไม่ซื้อหนังสือผ่านหน้าร้าน อาจทำให้ระบบการขายเดิมล่มสลายไป แบบนี้จะมีผลดีผลเสียยังไงบ้างครับ ๖ทั้งต่อคนอ่าน และคนขาย) จากคุณ : งี่เง่าบอย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 17:37:06

ความคิดเห็นที่ 32 เป็นคนชอบอ่านหนังสือแบบเป็นกระดาษมากกว่าจากหน้าจอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่การค้นคว้าข้อมูลสามารถทำได้ด้วยเว็บไซท์และอื่นๆ ในหน้าจอ ทำให้การทำงานต่างๆ ง่ายขึ้นมากๆ และคิดว่าต่อๆ ไป ในส่วนของหนังสือที่ต้องนำไปใช้งานจำพวกเดียวกันนี้ กระดาษน่าจะถูกลดบทบาทไปเยอะ และถูกแทนที่ด้วยระบบต่างๆ แทน (เรียกไม่ถูกแฮะ) โดยเฉพาะในอนาคตข้างหน้า เมื่อเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นตัวอ่าน (Hardware) ราคาถูกและพัฒนาจนพกพาและใช้งานได้ง่ายไม่ต่างจากการพกสมุดจดแล้วใช้ดินสอโน้ตลงในกระดาษแล้ว หนังสือในรูปแบบกระดาษน่าจะกลายเป็นสินค้า niche market สำหรับคนรักหนังสือหรือที่ต้องการสะสมจริงๆ มากกว่า ราคาอาจจะสูงขึ้นมากกว่าเดิมมากด้วยมีประเด็นรักษ์ธรรมชาติอะไรขึ้นตามมา จากคุณ : งี่เง่าบอย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 17:38:18

ความคิดเห็นที่ 33 เห็นด้วยครับว่าหนังสือแพงมาก ๆ เดี๋ยวนี้ตำราแทบจะต้องซื้อของรามคำแหงหมดแล้ว เพราะราคาย่อมเยา หนังสือกฎหมายของสำนักพิมพ์ (แม้แต่สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเช่นจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์) มีราคาแพงมาก ดูอย่างตำรากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของ คณิต ณ นคร ราคาถึงเกือบแปดร้อยบาท,, นี่ยังไม่พูดถึงตำราของจิตติ ติงศภัทิย์ หนังสือเล่มนึงราคาเกือบพันบาททีเดียว (อ้างอิง http://www.winyuchon.co.th/products.php?mode=showdetail&d_id=1&g_id=1&subcate_id=4&p_id=55) วันนี้ไปที่ศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัยรามคำแหงมา...บ่นให้คุณป้าพนักงานขายฟังว่าอยากให้ใช้กระดาษขาว หรือกระดาษถนอมสายตาแทน เพราะหนังสือรามเป็นกระดาษที่เก็บไว้นาน ๆ แล้วจะเหลือง...คุณป้าท่านว่า ไม่ได้หรอก เดี๋ยวหนังสือแพง น้อง ๆ หลาน ๆ นักศึกษาจะไม่มีเงินซื้อไปอ่าน ฟังแล้วซึ้งใจครับ จากคุณ : ohmygodness เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 18:32:38

ความคิดเห็นที่ 34 ตัวซอฟต์แวร์ในการอ่านอีบุ๊คหรือ pdf นั้นพัฒนาไปมากแล้วครับ จะไฮไลต์จะขีดเส้นใต้จะใส่โน้ตหรือจะขีดเขียนทำบุ็คมาร์กก็ทำได้ทั้งนั้น รูปหรือกราฟก็ขยายได้ด้วยการทำงานแบบมัลติทัชแบบที่แอปเปิลทำบนไอโฟน จอ LCD ใหม่ๆก็สบายตา e-ink ของอเมซอนก็เหมือนกระดาษเลยจริงๆ ตอนนี้มันขึ้นกับการยอมรับของผู้ใช้เท่านั้นครับ บางคนเช่นคุณหมอดูและตัวผมก็ยอมรับการอ่านหรือทำงานเป็นอิเล็คทรอนิคส์แบบนี้แล้ว บางคนยังคุ้นเคยกับของเก่าอยู่ เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมามีไอแพดแล้วก็อาจจะมองการเสพสื่อผ่านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เป็นเรื่องปกติก็ได้ เหมือนเด็กรุ่นนี้ที่เห็นอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องปกติ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 54 17:55:24