PANTIP.COM : K11379342 สงสัยว่าทำไมคนทั่วไปชอบคิดว่าการเรียนปริญญาเอกในเมืองไทยไม่เวิร์ค ไม่ดี ไม่แน่นพอ? [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 7

ปริญญาเอกไทยหรือต่างประเทศดีก็มี ง่อยก็มี

ไอ้ที่เขาเรียนจริงๆแล้วเก่งก็มี แต่มันก็มีมหาลัยหลายแห่งจ่ายเงินครบจบแน่ๆ แม้กระทั่งผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติที่ จขกท พูดถึงนี่พวกมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆเขามีหน่วยงานรับจ้างเขียนผลงานนะตัวนักศึกษาไม่ต้องเขียนเองเลย แค่จ่ายเงินก็ได้ก็มีคนเขียนให้แล้วจัดการเอาไปตีพิมพ์ให้

จริงๆแล้วระบบในเมืองไทยที่จ่ายเงินตามวุฒินี้ (เราพูดถึงปริญญาตรี โท และเอกรวมหมดนะ) มันก่อเรื่องวุ่นทำให้ประเทศชาติพัฒนาลำบาก ม้นน่าจะมีระบบอะไรง่ายๆที่ทดสอบความสามารถคนได้อย่างแม่นยำก่อนจ้างงาน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คนวุฒิต่ำๆแต่ความสามารถสูงได้เข้ามาทำงานบ้าง ยกตัวอย่างเช่นเราไปสมัครสอนภาษาอังกฤษกับโรงเรียนสอนภาษาแถวๆสยามที่มีฝรั่งเป็นผู้บริหาร ฝรั่งให้เราเขียนภาษาอังกฤษอธิบายแผนมาว่าเราจะสอนยังไง ใช้สื่อการสอนอะไร สร้างสื่อการสอนยังไง และวัดผลยังไงฯลฯ ฝรั่งอ่านภาษาอังกฤษที่เราเขียนแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าเรามีความรู้ที่จะสอนหรือเปล่า ฝรั่งไม่ดูวุฒิการศึกษาเราเลย แต่พวกจบครูมาจากมหาลัยผลิตครูปีละมากๆจนล้นประเทศไปเจอสัมภาษณ์งานแบบนี้ไม่มีทางผ่านเพราะเขียนภาษาอังกฤษผิด grammar เกือบทุกประโยค (เนื่องจากจบจากมหาลัยที่อ่อนมากๆ อ่อนอังกฤษยิ่งกว่าเด็ก ม.6 โรงเรียนฝรั่งซะอีก) แต่ดันได้ใบอนุญาตครูมาสอนภาษาอังกฤษ ตลกไหมล่ะ ประเทศชาติมันถึงได้ดิ่งลงเหวยังไงล่ะ

^
แล้วรู้หรือเปล่าว่าปัญหาเรื่องมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆมันเกิดจากอะไร?
ตอบ
มันคือปัญหาสังคมที่แก้ยากมากๆ เป็นนโยบายรัฐบาลไทยหลายๆสมัยที่ดำเนินการผิดพลาดอย่างแรง

เมื่อหลายสิบปีที่แล้วประเทศอังกฤษมีปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้ใช้แรงงานออกมาชุมนุมกันทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องค่าแรงให้ทัดเทียมกับคนเรียนจบปริญญามา มีการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นต่างๆอย่างดุเดือดจนในที่สุดผู้ใช้แรงงานชนะ ตอนนี้กรรมกรก่อสร้างในประเทศอังกฤษได้เงินค่าจ้างมากกว่าเงินเดือนคนจบปริญญาเอกมา ดังนั้นเด็กอังกฤษที่ไม่มีหัวทางด้านวิชาการพอจบมัธยม ก็จะไปฝึกงานก่อสร้าง กลายเป็นคนมีฝีมือด้านช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ฯลฯ ซึ่งก็ช่วยพัฒนาประเทศชาติได้ และสมัยนี้เศรษฐีใหม่ในประเทศอังกฤษส่วนใหญ่มาจากกรรมกรก่อสร้าง ดังนั้น ประเทศอังกฤษจึงไม่สร้างมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆ เพราะไม่มีใครอยากเรียนกัน เลยตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นมีคนจบปริญญามากกว่าประเทศอังกฤษตั้งหลายเท่า (ถ้านับกันตามจำนวนอัตราประชากรนะ) แต่ประเทศไทยกลับล้าหลังด้วยเหตุผลที่ง่ายๆก็คือว่าคนไทยหลายๆคนที่เรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกมาจากมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆมีระดับสติปัญญาเหมาะที่จะไปทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือทำงานกรรมกรซะมากกว่า เพราะประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าถ้ามีเกษตรกรหรือกรรมกรเก่งๆแทนที่จะมีคนเรียนไม่เก่งจบวุฒิสูงๆมากันจนล้นประเทศดัวยเหตุผลเพียงแค่ว่า

"พวกเขาไม่อยากเป็นกรรมกร"

ในเมืองไทยปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะสมัยที่แกนนำผู้ใช้แรงงานไทยพยายามประท้วงแบบในอังกฤษพวกเขาโดนรัฐบาลเผด็จการสั่งทหารถืออาวุธสงครามออกมาเข่าฆ่าผู้ประท้วงตายกันเป็นเบือ ดังนั้นกรรมกรไทยจึงตกอยู่ในสภาพที่เป็นเบี้ยงล่างตลอดเวลา ส่งผลให้

"ไม่มีใครอยากเป็นกรรมกรก็เลยต้องแข่งกันเรียนให้จบปริญญา"

พอถึงยุคที่มีเด็กไทยเอ็นเข้ามหาลัยไม่ติดมากๆ (เพราะประชากรเพิ่มขึ้น) ปัญหาสังคมก็ตามมาคือมีคนว่างงานมากมาย เพราะใครๆก็ไม่อยากเป็นกรรมกร ก็เลยต้องมีการจัดตั้งวิทยาลัยครูเพื่อรองรับคนพวกนี้

"ที่ไม่อยากเป็นกรรมกร"

ให้ได้รับปริญญาไป ซึ่งพวกลูกชาวนาชาวสวนอย่างตระกูลเราเป็นจำนวนมากที่ทำให้เรามีลูกพี่ลูกน้องนับร้อยๆ ที่ไม่อยากทำนาทำสวนเพราะทำแล้วไม่รวยเหมือนชาวนาชาวสวนในอารยประเทศกัน เนื่องจากรัฐบาลไทยในหลายๆยุคหลายสมัยไม่ช่วยเหลือชาวนาชาวสวนชาวไร่ แต่สนับสนุนเจ้าของโรงงาน และดูมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจากโรงงานเป็นตัวชี้ว่า "ประเทศไทยเจริญ" จริงๆแล้วไม่ใช่ เจ้าของโรงงานที่เป็นส่วนน้อยของประชากรต่างหาก ที่ "เจริญ" ในขณะที่ลูกชาวนาชาวสวนต้องย้ายถิ่นฐานแล้วไปทำงานโรงงาน หรืองานใช้แรงงาน แต่ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพเช่นนั้น ซึ่งตอนนี้วิทยาลัยครูซึ่งเป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยคนเอ็นไม่ติดไม่ให้เป็นกรรมกร ก็กลายเป็นราชภัฎไปหมดแล้ว

"ดังนั้นคนไทยเป็นจำนวนมากซึ่งน่าจะทำนาทำไร่ทำสวนหรือเป็นช่างก่อสร้างที่ดีๆ (ที่ได้เงินเยอะเหมือนในอารยประเทศกัน) กลายเป็นแห่กันไปเรียนมหาลัยที่มาตรฐานต่ำกว่าปกติ เพื่อให้รอดพ้นจากการเป็นกรรมกร"

นานวันเข้ามหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆลามไปถึงปริญญาโท และปริญญาเอก

พวกที่ทำงานราชการเช้าชามเย็นชาม หลายๆคนต้องพยายามเพิ่มวุฒิไปเลื่อนเงินเดือน ดังนั้น มหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆจึงผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด และประเทศอื่นที่เจริญแล้วอย่างอเมริกาก็สร้างมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆเอาไว้ให้คนไทยเรียน และให้คนในประเทศที่มีสภาพสังคมคล้ายๆคนไทยเรียนกัน เพื่อให้พ้นจากการเป็นกรรมกร

พวกลูกพี่ลูกน้องเรานับเป็นร้อยๆที่เป็นลูกชาวนาชาวสวนชาวไร่ ที่ไม่รวยทัดเทียมชาวนาชาวสวนชาวไร่ในอารยประเทศ ต่างก็แห่กันไปเรียนวิทยาลัยครูกันหมด เพราะพวกเขาไม่มีหัวสมองทางด้านวิชาการหรอก จบมาก็บรรจุเป็นครู พอรวมญาติไปเจอกัน ก็ปรับทุกข์ให้กันและกันว่า

"สอนเด็กไปงั้นๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ซึ้ง ไม่แตกฉานในวิชาที่ตัวเองสอนเอาซะเลย บางทีก็โดนผู้ใหญ่จับไปสอนในวิชาที่ตัวเองไม่เคยเรียนมาด้วยซ้ำไป"
.....................................................................

วิธีแก้ปัญหาประเทศช่าติระดับยากๆแบบนี้ คงต้องใช้เวลาอีกนานหลายชั่วคนกว่าจะแก้ได้ จริงๆแล้วใครอยากจะเรียนสูงแค่ไหนจากมหาลัยไหนก็แล้วแต่ใครต้องการอะไร แต่มันควรมีระบบการรับสมัครคนเข้าทำงานโดยการวัดค่าของคนที่ความสามารถหรือที่ผลงานจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อหลายปีก่อนมีบริษัท software ข้ามชาติเคยรับสมัครงานแบบวัดความสามารถกันจริงๆ เขาลงโฆษณาแบบนี้ใน Bangkok Post ข้อความคือ (แปลเป็นไทยมาให้)

"ต้องการโปรแกรมเมอร์ ใครก็ได้ที่ใช้ภาษา C เขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์มันวัดจำนวนสามเหลี่ยมตามที่เห็นในรูปนี้ได้ (เป็นรูปสามมิติมีสามเหลี่ยมซ้อนกันบานเบอะ) มาเอางานไปเลย เงินเดือนคือ ....."

^
จริงๆแล้วดูตัวอย่าง 2 ตัวอย่างคือ

1 ฝรั่งทดสอบว่าเราเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้หรือเปล่าด้วยวิธีการที่ง่ายมากๆ ไม่เห็นไล่เราไปสอบมาตรฐาน 9 หรือ 10 อย่างบ้าบออะไรเพื่อเอาใบอนุญาตครูเลย

2 บริษัท software ทดสอบว่าผู้สมัครเขียนโปรแกมได้หรือเปล่าได้แบบเล่นเอาของจริงเลย

อะไรแบบนี้นะ เราว่าจริงๆแล้วมันทดสอบได้กับทุกอาชีพนั่นแหละ

ถ้าทุกหน่วยงานของรัฐและเอกชนทดสอบผู้สมัครงานแบบนี้ และไม่บ้าวุฒิสูงๆมากเกินไป บางทีสังคมไทยอาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีบ้างก็ได้ เพราะมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆ เจ้งหมดแน่ๆ!

เวลานี้คนไทยหลายๆคนยังหน้ามืดตามัวหลงคิดว่า

"ยิ่งจบวุฒิสูงๆก็ต้องยิ่งเก่งเสมอไป"

^
จริงๆแล้วพวกเขาลืมคิดไปว่า

"มันยังมีศาสตร์เร้นลับต่างๆอีกมากมายที่มหาลัยไม่สอนกัน แต่ถ้าใครเรียนรู้ศาสตร์เร้นลับเหล่านั้นเขาก็เอาความรู้มาทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์ได้"

เหมือนกับที่เราปะทะคารมกับใครบางคนในกระทู้ล่างๆ 2 กระทู้เรื่องเดิมๆคือ "ปริญญาสำคัญแค่ไหน" ขนาดเราพูดว่า "มันสำคัญในเมืองไทย มันเป็นใบเบิกทางแต่ควรให้โอกกาสคนเก่งๆที่ไม่มีปริญญาบ้าง"

แต่ฝ่ายตรงกันข้ามเราคิดอะไรแคบๆมากโดยพูดอะไรทำนองนี้ว่า "คุณจะให้เอาคนจบประถมมาเป็นนายกหรือไง"

^
ประมาณนั้นหละ คงพิมพ์ไม่เหมือนเป๊ๆ ขี้เกียจกลับไปดู

ซึ่งมันเป็นข้อโต้แย้งที่ไม่เข้าประเด็นเลย เวลาเราพูดคนเก่งๆ ทำไมเขาจะต้องบีบบังคับเราให้มันต้องเป็นคนจบประถมมาหว่า? คนที่เถียงด้วยเหตุผลแบบนี้นะ ถ้าจบปริญญามาก็แสดงว่ามหาลัยที่เขาเรียนไม่ได้สอนให้เขาคิดเป็นเลย

เราก็เลยบอกเขาไปว่า Edgar Wallace นักเขียนชาวอังกฤษเรียนหนังสือจบแค่ระดับประถมเอง แต่เขียนนิยายเร็วที่สุดในโลก เขียนด้วยภาษาอังกฤษที่สวยงามระดับไฮโซ เขาเขียนนิยายนักสืบ ความยาวประมาณ 200 หน้าใช้เวลาเพียงแค่ 7-10 วัน ได้เงินจากงานเขียนมากพอที่จะอยู่โรงแรมหรูๆในลอนดอนแทนบ้านตลอดชีวิต จนฮอลิวูดมาเชิญเขาไปเขียน scripts ภาพยนตร์ แล้วเผอิญ Edgar Wallace ลงสมัครเป็น สส ด้วยนะ แต่ที่คนอังกฤษไม่เลือกเขา ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีปริญญา แต่เป็นเพราะเขามีชื่อเสียงเสียในเรื่องเล่นการพนัน ถ้าเขาไม่เสียชื่อเรื่องนี้ คนที่คลั่งนิยายเขามากๆอาจเลือกเขาเป็น สส แล้วเขาอาจได้ตำแหน่งทางการเมืองระดับใหญ่ๆก็เป็นไปได้ แต่จะอย่างไรก็ตามก็ยังมี John Major คนหนึ่งหละ ที่เป็นนายกอังกฤษคนแรกที่ไม่มีปริญญาเลยสักใบ
แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 54 17:21:58

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 16:22:23

ความคิดเห็นที่ 10

ผมไม่รุ้เหมือนกันนะ ว่าอะไรเป็นยังไง แต่เห็นคนเรียนจบป.ตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากจุฬาฯ ก็มาต่อป.เอกที่จุฬาฯ

อาจารย์จุฬาฯ/ธรรมศาสตร์หลายคน ก็เรียนจบ/กำลังเรียนป.เอกจากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหิดล

นักเรียนทุนอานันทมหิดลบางท่าน เรียนไม่จบป.เอกจากเมืองนอก ยังหอบทีสีสมาเขียนต่อจนเสร็จที่เมืองไทย รับปริญญาเอกจากจุฬาฯ ก็มี

ป.ตรีจุฬาฯ บางคนก็ไปต่อป.เอกเมืองนอก

แต่ว่าป.เอกเมืองนอกบางเวลาก็สำคัญนะ เอาไว้เป็นไม้กันหมา เพราะมันมีหมาบางตัวได้กระแดะไปชุบตัวเรียนป.เอกเมืองนอกแป๊บๆ ก็มาดูถูกคนจบป.เอกเมืองไทย คำดูถูกที่ยกเป็นตัวอย่าง ก็มีเช่น

"ได้เจอคนที่เรียนเอกและโทในเมืองไทย สถาบันอันดับหนึ่งหลายคนที่มีความรู้ไม่แตกฉานไม่ว่าจะในเรื่องที่ตัวเองเรียนหรือด้านภาษา เช่นภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นภาษาสากล คุณเรียนปริญญาเอกแต่ภาษาอังกฤษอ่อนมาก"

"แล้วคุณจะไปเกาะติดงานวิจับระดับนานาชาติ จะไปรู้ว่าเค้ามีแนวคิด ทฤษฏีอะไรใหม่ๆออกมา จะไปdebate กะเค้าได้อย่างไร"

"ในเมื่อคุณอ่านงานที่เป็นของคนไทยเท่านั้น หรือต้องรอคนอื่นแปลงานต่างชาติออกมาให้คุณอ่าน ความรู้ที่คุณอ้างว่ามีอยู่นั้นมันจะไปพอหรือไปเทียบกะนักวิชาการสาขาเดียวกันในโลกตะวันตกหรือนักวิชาการชาติเดียวกันที่ไปเรียนต่างประเทศและเขียนและอ่านงานวิจัยที่พิมพ์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร"

"เพื่อนคนหนึ่งเรียนเอก มหาลัยดัง เอาทีซีสมาให้อ่าน...ภาษอังกฤษไม่ต้องพูดถึง อ่านไม่รู้เรื่องเลย แล้วอย่างนี้ได้วุฒิป.เอกมาจะมั่นใจ 100% ได้ไงว่าเค้าเก่งจริง"

"ห้องสมุดของมหาลัยเมืองไทยก็น่าสงสารมาก"

ฯลฯ

นี่คือตัวอย่างคำดูถูกเล็กๆน้อยๆ ที่ผมหาๆคุ้ยๆ เอาจากแถวๆนี้แหละ แสดงว่าคำดูถูกพวกนี้มันมีอยู่ทั่วไป หาได้ง่ายมากๆ

จากคำดูถูกเหล่านี้ พอจะยืนยันได้ว่า การเรียนป.เอกเมืองนอกบางทีก็สำคัญ เผื่อเอาไว้เป็นไม้สำหรับ "ต่อกร" กับหมาได้บ้าง ไม่ให้มาดูถูกเราจนเกินไปนัก

อ้อ ถึงผมจะเป็นแค่คนขายผลไม้รถเข็นแข่งกะลุงโป๊งเหน่ง แต่ผมก็ทราบมาว่า
๑.จุฬาฯ ได้ซื้อฐานข้อมูลจากเมืองนอก ประกอบด้วย journal หลากหลายหัว เป็นฐานข้อมูลออนไลน์ที่อัพเดทตลอดเวลาเป็นเงินจำนวนหลายแสนบาทมาให้นิสิตได้ค้นคว้าอย่างจุใจในรูปของฐานข้อมูลดิจิติลที่จิ้มหาใน webpac ของ CULI ได้เลย ถูกใจบทความไหนสั่งปริ๊นโลด

๒.ไม่แปลกใจที่หอกลางจะมีวารสารของสาขาสังคมศาสตร์ หรือมานุษยวิทยาน้อย เพราะสาขาบางอย่างที่เฉพาะทาง หอกลางก็ไม่มี แต่จะไปมีที่ห้องสมุดสาขาของหอกลางแทน นั่นคือห้องสมุดคณะต่างๆ อย่างถ้าอยากจะหาวารสารเกี่ยวกับมานุษยวิทยา ก็ต้องไปค้นที่ห้องสมุดรูฟุส ดี สมิธ ของคณะรัฐศาสตร์ รวมถึงสาขาอื่นๆด้วย ถ้าหอกลางมีน้อย ก็หาเอาจาก CULI ว่าห้องสมุดคณะไหนมีบ้าง

ซึ่งลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์ของจุฬาฯ คือหอกลางไม่ได้มีเอกสารครบทุกชิ้น แต่มันจะกระจายไปในห้องสมุดสาขาต่างๆของจุฬาฯ วิชาการบางแขนง ห้องสมุดสาขา(ห้องสมุดคณะ)จะมีทรัพยากรที่ดีกว่าหอกลาง เพราะคณะมันเฉพาะทางกว่า แต่ทรัพยากรในห้องสมุดสาขา มันก็คือของจุฬาฯ ที่นิสิตจุฬาฯทุกคนสามารถมาเอ็นจอยใช้ร่วมกันได้ เช่น อยากหาข้อมูลเกี่ยวกับมานุษยวิทยา ห้องสมุดตัวเองไม่มี หอกลางไม่มี ก็ต้องเดินมายืมที่ห้องสมุดรูฟุสฯ ซึ่งใครๆก็ทำกัน ไม่มีการหวงห้าม

ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าการกระจายทรัพยากร ไม่ได้กระจุกตัวอยู่หอกลางอย่างเดียว

หนังสือบางเล่ม มีคนเสนอให้หอกลางจัดซื้อ แต่หอกลางก็ติดประกาศหน้าหอกลางว่าไม่ซื้อ เพราะนส.เล่มนี้มีที่ห้องสมุดคณะ....แล้ว ถ้าอยากได้ให้ไปยืมที่ห้องสมุดคณะ...เอา (นะจ๊ะ) ซึ่งผมก็ว่าโอเค จะซื้อทำไมหลายซ้ำหลายซ้อน เปลืองงบประมาณแผ่นดิน

(ท่าทางนังคนพูดตอนมันเรียนตรีที่จุฬาฯ คงเอาแต่มุดหัวอยู่แต่คณะตัวเอง ไม่เคยไปยืมหนังสือคณะอื่นๆนอกจากที่คณะตัวเองกับหอกลางเลย)

๓.หอกลาง โดยห้องสมุดสาขา อนุญาตให้นิสิตและอาจารย์เสนอให้ซื้อหนังสือได้ นส.บางเล่มที่เฉพาะทางมากๆ(และราคาแพงมา) แต่จำเป็นต้องใช้เรียนในขั้นป.เอก ก็สามารถซื้อได้ โดยต้องมีนิสิตใช้นส.เล่มนั้นห้าคนขึ้นไปและ/หรือผ่านการแนะนำจากอาจารย์เจ้าของรายวิชา ซึ่งผมก็โอเคอีกแล้ว

๔.ถ้าผ่านมาสามข้อข้างบนแล้ว นิสิตป.เอกยังรู้สึกว่าค้นคว้าได้ไม่สะใจ ห้องสมุดก็มีบริการ "inter loan" จากห้องสมุดอื่นๆในประเทศไทยได้อีกด้วย คือ ยืมข้ามห้องสมุด เช่น หาในจุฬาฯไม่มี แต่มีที่ห้องสมุดธรรมศาสตร์ ก็ใช้บริการนี้ได้ หรือไปเจอที่ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ก็ไปยืมได้ที่ ศมส.เช่นกัน

บอกนิดนึง เผื่อบางคนไม่ทราบ ห้องสมุด ศมส.อยู่ตลิ่งชัน เป็นห้องสมุดในสายสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา ที่ดีที่สุดในประเทศไทย เทียบเท่าห้องสมุดในต่างประเทศ ที่ ศมส.มีนักวิจัย หรืออาจารย์จาก Harvard Cornell Wisconsin ฯลฯ เดินเข้าเดินออกกันให้ขวักไขว่ไปหมด

๕.พ้นจากสี่ข้อไปแล้ว รู้สึกว่ายังค้นไม่จุใจ แน่นอน มีทุนมากมายที่ให้นิสิตป.เอกไปค้นคว้า(และสร้างคอนเนคชั่น)ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่เมืองนอก นิสิตป.เอกจากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์หลายคน ได้รับโอกาสตัวนี้ไปค้นคว้าเอกสารที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยวิสคอนซินบ้าง คอร์แนลบ้าง และอื่นๆ อีกมากมาย

คนที่ต่อป.เอกจุฬาฯ ตอนเรียนตรี ดีไม่ดี อาจจะเก่งกว่า ฉลาดกว่า เกรดดีกว่า นังคนที่ได้มีโอกาสไปชุบตัวเมืองนอกแป๊บๆก็ได้ เพราะบางคน การเรียนเอกในเมืองไทย ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่ ไม่ฉลาด ไม่เก่ง แต่อาจะเป็นเรื่องเหตุผลส่วนตัว เหตุผลทางบ้าน ต้องดูแลครอบครัว ลูกและผัว เมีย ทำให้ไม่อาจไปเมืองนอกได้

อีกอย่างนะ ถ้าไปเรียนเมืองนอก แล้วได้ยูกะหลั่ว ยูอะไรไม่รู้ ไม่เห็นได้ยินชื่อ สู้เรียนเอกจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ น่าจะดีกว่า

จากคุณ : อืม

เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 22:08:28 A:58.9.54.254 X: TicketID:338978