ความคิดเห็นที่ 1 ตอนนั้นยังเรียนประถมอยู่เลยครับ  โรงเรียนก็พาไปถวายบังคมพระบรมศพ  ยังจำได้  ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทยังดูทึมๆมืดๆกว่านี้เพราะยังไม่มีโคมติดที่ผนังพระที่นั่งแบบสมัยนี้่  แอร์ก็เย็นมาก ..  รู้สึกตะลึงงันและรู้สึกถึงความขลังมากๆ แอบกลัวๆด้วยตอนนั้น   เพราะในพระที่นั่งแสงสลัวๆ  แอร์เย็น  พระโกศทองก็ดูขลัง.. จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:13:25

ความคิดเห็นที่ 2 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7   ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระหทัยวาย เมื่อวันที่ 22 พฤษาภาคม พ.ศ. 2527 เวลา 15.50 นาฬิกา ทรงมีพระชนมายุครบ 79 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระบรมศพถวาย พระเกียรติยศตามพระราชประเพณี ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อถึงวาระอันควรที่จะได้ทำการถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวงใน วันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2528 จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:19:27

ความคิดเห็นที่ 3 พระบรมศพประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง  (สังเกตุว่ายังไม่มีโคมไพที่ผนังเลย  มีแต่โคมไฟที่แขวนผนัง  ตอนผมไปถวายบังคมพระบรมศพในพระที่นั่งดุสิตบรรยากาศภายในจะสลัวๆ  เห็นพระโกศพระศพเด่นชัด  แอร์เย็น  บรรยากาศทึมๆขัลงๆ  แอบกลัวเพราะตอนนั้นยังเรียนประถามอยู่เลย ) จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:23:20

ความคิดเห็นที่ 4 สังเกตุว่ายังไม่มีโคมไพที่ผนังเลย  มีแต่โคมไฟที่แขวนผนัง  ตอนผมไปถวายบังคมพระบรมศพในพระที่นั่งดุสิตบรรยากาศภายในจะสลัวๆ  เห็นพระโกศพระศพเด่นชัด  แอร์เย็น  บรรยากาศทึมๆขัลงๆ  แอบกลัวเพราะตอนนั้นยังเรียนประถามอยู่เลย จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:26:56

ความคิดเห็นที่ 5 บรรยากาศขัลงมากในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:27:45

ความคิดเห็นที่ 6 พระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อปี 2528 จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:28:33

ความคิดเห็นที่ 7 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว  สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพ จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:33:01

ความคิดเห็นที่ 8 ผมได้ชมพระราชพิธีนี้ครั้งแรกของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งมีการดัดแปลงพระราชพิธีไปพอสมควร งานครั้งนี้พระศพอยู่ในพระโกศตามแบบโบราณเลย แต่ก็พระราชทานเพลิงในเตาแบบใหม่ จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:42:29

ความคิดเห็นที่ 9 . จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 10:26:41

ความคิดเห็นที่ 10 ร่วมส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สู่สวรรคาลัย จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 10:27:46

ความคิดเห็นที่ 11 . จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 10:28:30

ความคิดเห็นที่ 12 เสียดายพระเมรุที่สวยงามแล้วรื้อ  จะเป็นไปได้หรือไม่ให้มีการสร้างถาวร  และเมื่อมีงานพระราชพิธีก็ประดับตกแต่งใหม่พวกผ้าม่านและดอกไม้สด เป็นต้น จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 10:50:34

ความคิดเห็นที่ 13 คงตลกมากครับ หรืออาจไม่ตลกเลย ถ้าจะมีพระเมรุตั้งถาวรไว้กลางเมือง... จากคุณ : porcupine_bh เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:25:58

ความคิดเห็นที่ 14 #13 แล้วตอนนี้มันตลกชั่วคราวอยู่เหรอ    มีเมรุมีวัดตั้งกลางเมืองเยอะแยะ  และวัดกะวังบางทียอดปรางค์ก็ทำให้สวยงาม ดูไม่รู้ว่าเป็นชาปณกิจสถาน  หรือหากว่าตั้งกลางเมืองไม่เหมาะ ก็หาที่ใหม่ก็ได้เช่นข้ามฝั่งไปวัดบางยี่เรือ   ว่าแต่อะไรคือนิยามของกลางเมือง  ท้องสนามหลวงเป็นทุ่งพระเมรุมาแต่เดิมนะ  ไม่รู้ว่าสมัยอยุธยาทำอย่างไร จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:37:41

ความคิดเห็นที่ 15 แนวคิดการสร้างฌาปนสถานสำหรับเจ้านายให้เป็นของถาวร มีมานานแล้วครับ แต่ก็มีแนวคิดที่มีเหตุผลคัดค้านไว้   หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ประทานอธิบายไว้ใน "สารคดีที่น่ารู้" http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=23-07-2007&group=12&gblog=6 เรื่อง พระเมรุกลางเมือง         พระเมรุกลางเมืองนั้นเป็นของมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า เพราะเป็นงานใหญ่ที่ประชาชนพลเมืองจะมาพร้อมเพรียงกันในงานนั้น จึงจำต้องปลูกสร้างขึ้นที่กลางใหญ่ให้เหมาะแก่รูปงาน ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าเป็นการสิ้นเปลืองเป็นอันมาก ฉะนั้นจึงควรจะทำให้เป็นที่ถาวรเสียในครั้งเดียว แล้วโปรดให้สร้างเป็นพลับพลาที่ทำพิธีพระราชกุศลขึ้นเป็นตัวตึก คือที่หอพระสมุดสำหรับพระนครบัดนี้ แต่ตัวพระเมรุซึ่งได้ลงรากไว้ตรงหอสมุดดำรงราชานุภาพยังมิได้ทันก่อสร้าง ก็มีเสียงคัดค้านไม่พอใจเกิดขึ้น เพราะต่างคนเห็นว่าศพผู้ที่เรารักอย่างยอดเยี่ยมนั้น จะทำให้เหมือนกับใครไม่ได้ และไม่นิยมยินดีที่จะไปทำร่วมกับผู้ใดๆ ดังเคยมีตัวอย่างมาแต่ในรัชกาลที่ ๓ แล้ว เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้เคยโปรดให้ทำเมรุถาวรขึ้นที่วัดสระเกศ แต่แล้วก็ไม่มีใครใช้ ก็คงจะได้ผลเช่นเดียวกัน จึงยุติการสร้างครั้งนั้นอยู่เพียงเท่าที่เห็นอยู่ในเวลานี้         ในสมัยต่อมา ก็ยังมีปัญหาเรื่องสิ้นเปลืองนี้ตลอดมา แต่ฝ่ายค้านทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นว่า แม้จะสิ้นเปลืองก็เพื่อเป็นการรักษาวิชาช่างอย่างไทยแท้ไว้ให้อยู่ เพราะถ้ามีแต่เพียงตำรา ไม่ได้ฝึกหัดในทางทำแล้ว วิชานั้นๆ ก็จะต้องเสื่อมแม้ไม่สูญ อนึ่งในรัชกาลที่ ๗ นั้นมีผู้ก่อสร้างชาวต่างประเทศจากยุโรป มาขอเฝ้าและดูวิชาก่อสร้างพระเมรุจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ทรงออกแบบและควบคุมงานด้วยพระองค์เอง เพราะนายช่างชาวต่างประเทศเห็นว่าวิเศษนัก ส่วนทางอเมริกาก็ถึงมีนักท่องเที่ยวโทรเลขสั่งมาว่าเมื่อใดจะมีการถวายพระเพลิงเจ้านายที่ท้องสนามหลวงแล้ว ขอให้โทรเลขไปบอกพวกเขา จะให้เข้ามาให้ทันเวลาได้ชม         ด้วยเหตุที่เล่ามานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริเห็นชอบกับพวกฝ่ายค้าน และโปรดให้คงรูปงานของพระเมรุกลางเมืองไว้เช่นที่เราได้เห็นในบัดนี้ จากคุณ : porcupine_bh เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:50:33

ความคิดเห็นที่ 16 งานสร้างเมรุซึ่งเป็นอาคารใหญ่โตเมื่อรื้อแล้ว ไม้ที่ทำประโยชน์ได้ก็เอาไปเสีย หากอันใดใช้ประโยชน์มิได้ ก็นำไปรื้อทิ้งเสีย อาคารบริวาร ก็นำไปถวายวัด งานกระดาษและงานฝีมือจักได้ฟื้นฟูด้วยการนี้แล หากอยากดูเมรุปูนที่แรกๆเพื่อเผาศพเจ้านาย ก็ไปดูที่วัดทอง บางกอกน้อยครับ จากคุณ : หมีบินได้ดุจพริ้วไหม (zamcmu) จากคุณ : porcupine_bh เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:56:34

ความคิดเห็นที่ 17 ที่คุณ คห. 13 เขาแย้งว่าไม่ควรตั้ง ไม่ใช่ว่าเปลืองหรือกลางเมืองอะไรหรอกมั้ง ตามเราเข้าใจ ก็เพราะว่าของเหล่านี้ ถามเอาง่ายๆเลยค่ะ ควรหรือคะที่จะตั้งไว้ พระเมรุนะคะ น่าจะรู้ว่ามีไว้ทำไม เรื่องแบบนี้ไม่บังควร และไม่ตลกค่ะ จากคุณ : มะปรางข้างรั้ว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 12:01:27

ความคิดเห็นที่ 18 พระเมรุแม้จะสวย แต่ก็ต้องเป็นแค่พระเมรุชั่วคราวครับ ส่วนประกอบพระเมรุที่รื้อลงก็นำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อไป ซึ่งก็ทำเช่นนี้กันมาเนิ่นนานแล้ว จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 12:41:05

ความคิดเห็นที่ 19 ก็จริงเนอะ ถ้าสร้างถาวร วิชาช่างในการนี้ก็จะสูญไปในที่สุด... จากคุณ : ใต้ร่มคันเดียวกันวันฝนพรำ เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 12:59:11

ความคิดเห็นที่ 20 การสร้างพระเมรุของเจ้านายเป็นการถาวรถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างมาก ทุ่งพระเมรุนั่นก็เป็นที่สร้างพระเมรุมาตั้งแต่อดีตจริง แต่ก็ไม่มีพระเมรุไหนสร้างถาวรเลย เสร็จงานก็รื้อออกทั้งนั้น ทำแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว จากคุณ : apple a day เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:05:42

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเป็นพระเมรุเจ้านายชั้นรอง ก็มีอยู่แล้วหลายที่ ส่วนเจ้านายชั้นสูง ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่สร้างไว้ถาวรหรือแม้แต่เสร็จงานแล้วก็ไม่ควรทิ้งไว้นานพระเจ้านายที่จะใช้พระเมรุกลางเมืองอย่างสูงได้ ณ เวลานี้นับองค์ได้เลยนะคับว่าเหลือกี่องค์ ถ้าคิดแทนพระทัยท่านเหล่านั้นบ้าง คงจะหนาวๆร้อนๆกันอยู่นะคับ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย พระเมรุก็ไม่ได้สร้างบ่อยๆ ซึ่งถ้ามองในทางเศรฐศาสตร์ การสร้างพระเมรุมันก็สร้างงานให้คนได้จำนวนมากอยู่เหมือนกันคับ  ถึงหลายส่วน จะทำฟรี เพื่อร่วมทำบุญก็ตาม  แล้วยังได้มีการถ่ายถอดฝีมือส่งรุ่นต่อรุ่นอีก ซึ่งถ้าให้สร้าถาวร  อย่างเก่งก็คงจะได้ถ่ายถอดแต่วิชาทาสี วิชาเย็บผ้าม่าน  และสุดท้ายวิชาผูกโบผ้าขาวดำ กันเท่านั้นเอง อันนี้เป็นความเห็นในมุมมองส่วนตัวของผมนะคับ แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 16:36:17 จากคุณ : เพชรน้อย เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:18:42

ความคิดเห็นที่ 22 การสร้างพระเมรุมาศหรือพระเมรุสำหรับการถวายพระเพลิงและพระราชทานเพลิงเจ้านายชั้นสูงนั้นจะใช้วัสดุที่ไม่ถาวร  เมื่อสร้างเสร็จก็จะรื้ออก  การสร้างพระเมรุไว้กลางเมืองเป็นการไม่เหมาะสมไม่ว่าประการใดๆครับ   ไม่บ่อยครั้งที่จะมีการสร้างพระเมรุมาศและพระเมรุเพื่อใช้ในการถวายพระเพลิงและพระราชทานเพลิง  ซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติตามระดับพระอิสริยยศ   การสร้างพระเมรุแต่ละครั้งก็เหมือนการอนุรักษ์พระราชพิธีและวัฒนธรรมของชาติ   สำหรับผมคิดว่างบประมาณการสร้างพระเมรุมาศในแต่ละครั้งไม่สิ้นเปลืองหากจะเทียบกับพระกรุณาธิคุณของพระบรมวงศ์พระองค์นั้นที่สวรรคตหรือสิ้นพระชมน์เลยและเป็นการอนุรักษ์และทำให้ประชาชนในชาติได้เห็นแบบแผนพระราชพิธีของไทยที่สวยงามและอลังการ จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:48:22

ความคิดเห็นที่ 23 ไปเจอพวกปากเสีย    ค่อนขอดว่าทำพิธีครั้งหนึ่งใช้เงินหลายร้อยล้าน     ฟุ่มเฟือย    ไม่เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ผมเลยตอกกลับไปว่า     ใช้เงินหลายร้อยล้านจริง    แต่สิ่งที่ได้กลับมามันมหาศาลมาก    ไม่ว่าให้คนต่างชาติได้เห็นศิลปวัฒนธรรมไทยชั้นสูง    สร้างสถานที่งดงามให้คนต่างชาติได้เข้ามาเยี่ยมชม     สร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาเที่ยวชมศิลปวัฒนธรรมในไทย      ถ่ายทอดให้คนต่างชาติที่ดูถ่ายทอดจากไทยได้เห็นศิลปะอันวิจิตรตระการตาของไทย        ลงทุนแค่ไม่กี่ร้อยล้าน     แต่สามารถดึงเงินเข้าประเทศได้หลายหมื่นล้าน      สุดแสนจะคุ้มค่า      นี่ก็จัดเป็นเศรษฐกิจพอเพียงอย่างหนึ่ง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:58:23

ความคิดเห็นที่ 25 เออ แต่ที่ทราบมาค่าใช้จ่ายทางนี้ มิได้เปิดเผยต่อสาธารณะไม่ใช่ฤา คุณรู้ได้อย่างไรว่า ใช้หลายตื้อล้าน จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 15:26:19

ความคิดเห็นที่ 26 ขนาดถนนอัญเชิญราชรถออกจากโรงเก็บเสร็จพิธีก็ยังรื้อทิ้งเลย เพราะคนไทยเราถือเรื่องความตาย ไม่ให้เตรียมไว้ล่วงหน้า มันเหมือนเป็นการแช่ง ไม่เหมือนคนจีนที่เตรียมหาที่สร้างฮวงซุ้ยไว้ล่วงหน้าก็ได้ ถึงสมัยเปลี่ยนไปหลายคนบอกไม่ถือแต่อย่างไรมันก็ดูประดักประเดิดอยู่ดี ถ้ามีคนมาบอกเราว่าฉันเตรียมโลงศพหรือจองเมรุให้เธอล่วงหน้าแล้วนะ เราคิดยังไงบ้างคะ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 18:44:41

ความคิดเห็นที่ 27 มันคิดได้หลายอย่าง คนบางคนเตรียมโลงไว้ใส่ตัวเองจนวันนี้โลงเก่าไปสองรอบแล้วยังไม่ตายเลย จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 19:35:39

ความคิดเห็นที่ 28 ธรรมดา ธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ธรรมชาติธรรมดามนุด จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 20:22:06

ความคิดเห็นที่ 29 ขาดทุนคือกำไร จากคุณ : มีนิรันดร์ เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 21:10:27

ความคิดเห็นที่ 30 #23 สมัยนี้คงไม่มีใครว่ามังคะ  เพราะรัฐบาลปัจจุบันเป็นผู้จัด จัดอย่างไรก็คงได้เพราะเป็นเสียงข้างมาก   และฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าอำมาตย์ก็เป็นเพียงฝ่ายค้านเสียงข้างน้อย  ลงรายละเอียดไม่ได้แต่อย่างน้อยก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า คำว่า ไพร่ แดง อำมาตย์ ถูกนำมาใช้ในทางการเมือง เท็จจริงประการใดอีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 08:28:58

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ^ ^ เกี่ยวกับเรื่องพระเมรุยังไงคะ จากคุณ : ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 12:17:20

ความคิดเห็นที่ 32 #31 อ้างอิงมาจาก #23 ต่อเนื่องมา #30 ก็กำลังคุยเรื่องพระเมรุอยู่นี่ล่ะ "ความคิดเห็นที่ 23     ไปเจอพวกปากเสีย    ค่อนขอดว่าทำพิธีครั้งหนึ่งใช้เงินหลายร้อยล้าน     ฟุ่มเฟือย    ไม่เป็นเศรษฐกิจพอเพียง"... เราก็บอกว่าสมัยนี้คงไม่มีใครว่า เพราะ.... สงสัยอะไรอีกไหม   สรุปคือรัฐบาลมีอำนาจที่จะทำอย่างไรหรือไม่ทำก็ได้เพราะไม่มีกฏหมายเขียนไว้   ต่อให้มีเดี๋ยวเขาก็แก้ได้(เสียงข้างมาก) จากคุณ : จันทร์สุขสดใส เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 12:25:40

ความคิดเห็นที่ 33 สำคัญที่สุดคือ งานวิชาช่างจะได้สืบต่อไปค่ะ จากคุณ : คนกาสิก เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 16:29:09

ความคิดเห็นที่ 34 พระเมรุ เมื่อเทียบกับพระกรุณาธิคุณ นับว่าคุ้มอย่างยิ่ง เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคนได้ส่งเสด็จพระองค์ท่าน จากคุณ : HOONOGTE เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 16:49:39

ความคิดเห็นที่ 35 ^ * ^ เกรียนจริงๆๆๆ เอะอะอะไรอ้างคนไทย 60 กว่าล้านคน อย่างอ้างบ่อยๆๆๆๆ ละไว้เสียบ้าง จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 21:29:25

ความคิดเห็นที่ 36 อ่านความคิดเห็นข้างบนแล้วเหนื่อยใจ ไปว่าเขาเกรียน ตัวเองเกรียนซะเอง จากคุณ : จ้องจนปวด เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 09:58:18

ความคิดเห็นที่ 37 การเมืองอีกละ สร้างเมรุทีนึง ใช้เงินน้อยกว่าซื้อแท็บแล็ตให้เด็กเล่นเกมส์ตั้งหลายเท่า **ปล.ไม่ได้เกรียน  แค่นั่งมองคนข้างบนอย่างเพลีย  เห็นมีปัญหากะพระเมรุนี่ตั้งแต่เขาถอนหญ้าละ จากคุณ : เพชรน้อย เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 11:29:34

ความคิดเห็นที่ 39 **ปล.ไม่ได้เกรียน  แค่นั่งมองคนข้างบนอย่างเพลีย  เห็นมีปัญหากะพระเมรุนี่ตั้งแต่เขาถอนหญ้าละ จากคุณ : เพชรน้อย มีบังอาญมีปัญหาเลย ผมแค่ประชาชนรากหญ้า บ้านต้องกู้ซื้อ เงินก็ต้องหาด้วยความลำบาก! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:03:18

ความคิดเห็นที่ 40 เว้นไว้บ้างน่าจะดีนะคะ ในกระทู้ที่สมควรให้เกียรติ การเมืองก็เอาไปพูดให้มันถูกที่ถูกเวลาถูกกระทู้ ส่วนเรื่องเกรียน อยู่ที่ความจำกัดความของแต่ละบุคคล แต่เชื่อว่ากระทู้ที่มีประโยชน์ให้ความรู้แบบนี้ ไม่น่าจะมีทั้งการเมืองและเกรียนเข้ามาเกี่ยว โดยส่วนตัวเราเชื่อว่าการสร้างพระเมรุชั่วคราวนั้นที่ไม่สร้างถาวร ส่วนนึงเป็นเพราะว่าชิ้นส่วนต่างๆของพระเมรุที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะถูกนำไปถวายวัด เป็นการทำกุศลให้แก่เจ้านายองค์นั้นๆด้วย นอกจากนี้ในฐานะคนนึงที่เคยทำงานศิลปะไทยมาก่อน ฝีมือช่างเหล่านี้จะสูญหายแน่นอนค่ะถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน เพราะลูกหลานไทยสมัยนี้ไม่ภูมิใจในศิลปะไทยอีกต่อไปแล้ว ถ้าท่านจะสังเกตุว่าจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนวิชาไทย จิตรกรรมไทย ศิลปะไทย ผ้าไทย น้อยลงทุกวัน แต่กลับมีจำนวนของนักเรียนนักศึกษาวิชาการออกแบบ ศิลปะสากล แฟชั่น มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวแล้วไม่ได้อคติกับวิชาการสากล เพียงแต่เห็นว่า ภูมิช่างไทยนี้ละเอียดอ่อนกว่าสากลมากค่ะ น่าจะได้รับการส่งเสริมให้ลูกหลายสนใจมากกว่า นี่ยังโชคดีที่สมเด็จพระราชินีของพวกเราไม่เคยถอดทิ้งงานช่างไทย ท่านยังส่งนักเรียนจากศูนย์ศิลปาชีพ มาต่อลมหายใจศิลปะไทย ถ้าท่านจะสังเกตุให้ดีว่าศิลปะเหล่านี้อยู่ในสายเลือด อยู่ในความเป็นไทยของทุกคน แม้แต่ชาวนา ชาวไร่ ที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนวิชาการ พอนำมาฝึกฝนกลับสามารถทำงานไทยได้ยอดเยี่ยม ขออภัยในบางคำที่อาจจะใช้ภาษาได้ไม่ถูกต้อง บางคำอาจไม่เหมาะสม จากคุณ : แม่น้องฟ้าใส (มามี๊ตัวกลม) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:32:49

ความคิดเห็นที่ 41 เข้าใจว่าผมไมได้โยงการเมืองนะคับ แต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ เงินทองของประเทศ ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องการเมือง ก็บอกว่าเสียใจ หากบอกว่าการเงินใช้ของประเทศ เป็นเรื่องการเมืองไปซะหมด จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:52:00

ความคิดเห็นที่ 42 โดยส่วนตัวเราเชื่อว่าการสร้างพระเมรุชั่วคราวนั้นที่ไม่สร้างถาวร ส่วนนึงเป็นเพราะว่าชิ้นส่วนต่างๆของพระเมรุที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะถูกนำไปถวายวัด เป็นการทำกุศลให้แก่เจ้านายองค์นั้นๆด้วย นอกจากนี้ในฐานะคนนึงที่เคยทำงานศิลปะไทยมาก่อน ฝีมือช่างเหล่านี้จะสูญหายแน่นอนค่ะถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน เพราะลูกหลานไทยสมัยนี้ไม่ภูมิใจในศิลปะไทยอีกต่อไปแล้ว ถ้าท่านจะสังเกตุว่าจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่เรียนวิชาไทย จิตรกรรมไทย ศิลปะไทย ผ้าไทย น้อยลงทุกวัน แต่กลับมีจำนวนของนักเรียนนักศึกษาวิชาการออกแบบ ศิลปะสากล แฟชั่น มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวแล้วไม่ได้อคติกับวิชาการสากล เพียงแต่เห็นว่า ภูมิช่างไทยนี้ละเอียดอ่อนกว่าสากลมากค่ะ น่าจะได้รับการส่งเสริมให้ลูกหลายสนใจมากกว่า แม่น้องฟ้าใส (มามี๊ตัวกลม) บางอย่างถ้าไม่เข้ากับเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่อภิวัฒน์เรื่อย ก็ต้องยอมให้สุญหายไปเถอะ  หากการนั้น ใช้เงินของตนเอง ก็มิอาจห้ามได้  แต่ถ้าการนั้น มันไม่ก่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ก็ควรจะสุญไป จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:54:54

ความคิดเห็นที่ 43 ปล. พูดโดยทั่วไป ไม่ได้อยู่ในเรื่องใดทั้งสิ้น จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:55:48

ความคิดเห็นที่ 44 ที่จิ๊ดที่สุด มีวาทะกรรมของผู้บริหารบางจังหวัดที่ว่า " การไม่ไปงานนี้ ถือว่าไม่จงรักษภักดี" ถ้าการไม่ไปการนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ทั้งที่เขาผู้นั้นทำงานอุทิศทั้งชีวิต ร่างกาย เนืื้้อเลือด  มันก็ไม่สมควรแล้วละ จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 12:58:24

ความคิดเห็นที่ 45 ขอโทษนะคะที่คุณกำลังหมายถึงหมายถึงศิลปะของชาติรึปล่าวคะ คุณหมายถึงว่าการที่จะสืบสานศิลปะของชาติโดยไม่เข้ากับเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศที่อภิวัฒน์เรื่อย ก็ต้องยอมให้สูญหายไปอย่างนั้นรึปล่าว ถ้าใช่ เราว่าความคิดแบบนี้อันตรายนะคะ ชาติไทยมีศฺลปะแบบแผนเป็นของตัวเอง หากว่าเรายอมให้ศิลปะที่สืบทอดกันมาหายไป แล้วเราจะเหลืออะไร เหลือเศรษฐกิจ เหลือความเจริญ ความเจริญที่ไร้ราก ไร้เหง้าแห่งชาติพันธุ์ อย่างนั้นหลอคะ จริงๆแล้วพระราชพิธียุคหลังนี้ถูกลดทอนความยิ่งใหญ่ลงไปมากเมื่อเทียบกับสมัยร.4 ด้วยว่าร.5ท่านสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรมว่าให้จัดงานพระบรมศพและพระเมรุ แค่ให้ใช้พอเผา ไม่ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ เพราะสูญเงินไปปล่าว ร.6ทรงทำตามทั้งหมด เลยยึดเอารูปแบบการจัดตั้งแต่นั้นมา   เราไม่ทราบหรอกค่ะว่าท่านไปรับทราบวาทะกรรมจากฝีปากผู้มีอำนาจในจังหวัดไหนมา แต่เราถือว่าความจงรักภักดีไม่สามารถวัดได้จากการไปหรือไม่ไปพิธีการใดๆ แต่ถ้าทุกสิ่งที่เป็นไทยต้องสูญไปเพียงเพราะไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้วนั้น เราไม่รู้ว่าจะภูมิใจกับอะไรในประเทศนี้แล้วค่ะ  ทุกวันนี้เราบอกใครๆได้เต็มปากว่าศิลปะชาติไทยไม่แพ้ใคร แต่ถ้าในอนาคตมันต้องหายไป แล้วเราต้องมาพูดแทนว่า เศรษฐกิจบ้านเราดีแพ้ชาติใดในโลก แล้วประเทศเราจะต่างจากประเทศอื่นอย่างไรคะ อะไรที่จะบอกว่านี่คือชาติไทย แค่เพราะชื่อประเทศ เพราะภาษาที่ใช้ แค่นั้นหรอคะ ขออภัยด้วยที่ความเห็นเราคงทำให้ขัดข้องใจ เราเป็นคนความรู้น้อย จริงๆแล้วไม่สมควรจะมาถกเถียงกับใครในเรื่องวิชาการด้วยซ้ำ เพราะเรารู้ว่าสู้ไม่ได้ ความเห็นเราเอาความในใจเป็นหลัก ไม่มีความเป็นไปได้ ความเสี่ยง หรือเศรษฐกิจ อะไรทั้งนั้นค่ะ จากคุณ : แม่น้องฟ้าใส (มามี๊ตัวกลม) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 13:31:31

ความคิดเห็นที่ 46 ของทุกอย่างที่เกี่ยวพระราชพิธีพระบรมศพ พอเสร็จงานแล้วก็จะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติทันที และจะไม่มีการไปยุ่งใดๆอีกเลย ด้วยเป็นความเชื่อของคนโบราณ จากคุณ : เจ้าแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 15:07:13

ความคิดเห็นที่ 47 เออ  เรื่องมันผ่านไปแล้วเงินก็ใช้ไปแล้ว เออ คนที่โดนน้ำท่วม ได้เงินชดเชย ครบถ้วนแล้วยัง? จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) //อันนี้ไม่ทราบนะคับต้องเรียนถามไปทาง คณะรัฐบาล/คณะทำงานหรือธนาคารออมสินที่รับผิดชอบนะคับ มีบังอาญมีปัญหาเลย ผมแค่ประชาชนรากหญ้า บ้านต้องกู้ซื้อ เงินก็ต้องหาด้วยความลำบาก! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) //ผ่อนหมดไวๆนะคับ   เงินมันไม่มีใครหามาได้ง่ายๆหรอกคับ ที่จิ๊ดที่สุด มีวาทะกรรมของผู้บริหารบางจังหวัดที่ว่า " การไม่ไปงานนี้ ถือว่าไม่จงรักษภักดี" //คงจะความเห็นส่วนตัวกระมังครับ จากคุณ : เพชรน้อย เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 16:29:00

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านอยู่เพลินๆ เจอเกรียน แยกประเด็นออกไหม รู้กาลเทศะบ้างสิครับ หรือว่าแก่แล้วแก่เลย จากคุณ : LoveEater เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 16:50:40

ความคิดเห็นที่ 49 ที่จิ๊ดที่สุด มีวาทะกรรมของผู้บริหารบางจังหวัดที่ว่า " การไม่ไปงานนี้ ถือว่าไม่จงรักษภักดี" //คงจะความเห็นส่วนตัวกระมังครับ จากคุณ : เพชรน้อย เออ ประกาศก้องกลางงานระลึกจักรี  นี้หรือความเห็นส่วนตัว? ในฐานะประธานในพิธี! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 16:51:48

ความคิดเห็นที่ 50 อ่านอยู่เพลินๆ เจอเกรียน แยกประเด็นออกไหม รู้กาลเทศะบ้างสิครับ หรือว่าแก่แล้วแก่เลย จากคุณ : LoveEater เพลียกะพวกเกรียน จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 16:52:36

ความคิดเห็นที่ 51 แล้วคุณรู้ได้ไงหล่ะว่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ถามหน่อย เวลาประเทศที่เขาจัดงานใหญ่ๆ อย่างงานโอลิมปิก เขาทุ่มไปกับพิธีเปิดกีฬาเป็นพันล้านไปเพื่ออะไร? ซึ่งพิธีเปิดพวกนั้นก็เป็นแค่การแสดง ซึ่งพอแสดงจบทุกอย่างก็จบลง ประเทศที่มีโอกาสจัดอย่าง จีน สหรัฐ ออสเตรีเลีย อังกฤษ เขาลงทุนพวกนี้ไปเพื่ออะไร? จากคุณ : newuno เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 20:55:24

ความคิดเห็นที่ 52 ยังแสดงความน่าสมเพชอยู่ได้เรื่อยๆ จากคุณ : mimny เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 21:36:41

ความคิดเห็นที่ 53 สำหรับเชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี เหมาะสม ถูกต้องตามหลักและเอกลักษณ์ ประเพณีของไทยแล้วในทุกกรณีตามที่ จขกท.ได้กล่าวมา แต่สำหรับคนบางคน แม้แต่เชิงตะกอนที่วัดแบบสมัยก่อนก็ยังไม่เหมาะสมเลย...ไร้ราคา ค่างวด จากการแสดงออกที่เราๆท่านๆเห็นกันอยู่ในกระทู้นี้ ผมว่านะ จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 12:10:52

ความคิดเห็นที่ 54 ผมรักในหลวงและราชวงศ์จักรี ผมไม่เห็นเป็นการฟุ่มเฟือยแต่อย่างไรหากดูจากเหตุผลหลายๆสิ่งที่หลายๆท่านในทีนี้ได้ยกขึ้นมา แต่อย่างไรก็ดี นานาจิตตังครับ ใครจะคิดอย่างไรนั้นเราคงห้ามเขาไม่ได้ แต่สำหรับผมแล้ว พระเมรุนี่ก็ไม่ได้สร้างกันบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ แล้วเจ้านายในราชวงศ์เราก็เหลือน้อยพระองค์ลงทุกที คนเราก็มักจะมองความเห็นของตนเองดีที่สุดอยู่แล้ว อันนั้นผมจะพยายามเข้าใจ แต่กรุณาเข้าใจในความเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน จากคุณ : RuTzz_Cai เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 13:35:41

ความคิดเห็นที่ 55 คนเค้าแสดงความคิดเห็นกันอยู่ดีๆ ก็มีคนมาชักใบให้เรือเสีย โยงเข้าการเมืองไปนู่น มันเหมาะสมเหรอเนี่ย ที่จะมานั่งวิจารณ์อะไรที่นี่ ไปแตกกระทู้ใหม่เลยไป จากคุณ : ร่มแห่งความหวัง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 16:47:32

ความคิดเห็นที่ 56 แปลกดี คนบางคนเอาแต่จะว่า เอาแต่จะแขวะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำอะไรเปลืองเงินทอง ทั้งๆที่ทุกอย่างที่ทำ เป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติคุณ ศิลปวัฒนธรรม ของประเทศไทยทั้งนั้น เงินทองที่รัฐบาลทูลเกล้าฯถวายต่อปี ที่เป็นการส่งเสริมโครงการในพระราชดำริ รวมกับเงินที่จ่ายเงินเดือนข้าราชการ สำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ ปีหนึ่งๆก็ไม่กี่พันล้านบาท ลองไปดูงบประมาณอื่นๆที่ตั้งมาเพื่ออ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกหลายพันล้าน โดยพระองค์ไม่ได้โปรดให้มี และไม่ได้ประโยชน์เสียสักเท่าไรจากเงินนี้ (แต่ก็นะ นักการเมืองก็ชอบใช้เงิน) เอาจริงๆ รวมงบประมาณทั้งสิ้นทั้งปวง เมื่อเทียบกับสิ่งที่ทรงกระทำ โดยเฉพาะโครงการในพระราชดำริ (ผมเชื่อว่า ก็มีบ้างที่ไม่ได้ผล แต่หลายโครงการ ถ้าไม่มีพระองค์ ประเทศก็คงไม่ผ่านวิกฤตหลายอย่าง ทั้งในเรื่องน้ำท่วม หรืออื่นๆ ตลอดจนสร้างงานสร้างรายได้ในคนอีกหลายล้าน) ผมว่าคุ้มค่า และเทียบไม่ได้เลยกับเงินเดือน สส หรือรัฐมนตรี เดือนละ เกือบ ๒ แสนต่อเดือน (เมื่อรวมประโยชน์อื่นๆ) รวมเกือบ ๑๒๐๐ ล้านต่อปี ยังไม่นับการทุจริตคอรัปชั่น อีกราวปีละเกือบ ๒ แสนล้านบาท ต่อปี คุณเคยออกมาร้องแร่แห่กระเชิงบ้างไหม ว่า เงินประเทศหายไป ๒ แสนล้านบาท ต่อปี เนี่ย เคยด่าว่านักการเมืองข้าราชการบ้างไหมว่า ทำไมทำโครงการ ประมูลมูลค่าโครงการ ๒๐๐๐ ล้าน แต่ทำไมมีการจ่ายให้นักการเมือง ๒๐๐ ล้านใต้โต๊ะ ?????? จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:23:25

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ natthaset พูดได้ดีมีราคา มีคุณค่ามากครับ จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 23:52:03

ความคิดเห็นที่ 58 พระเมรุ สวยดีครับ เหมือนพวกการ์ตูนวอทดิสนีย์ จากคุณ : ข้ามากับเป็ด เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 06:15:10

ความคิดเห็นที่ 59 คห.23 ผมว่าเรื่องสวยก็เรื่องสวยครับ แต่ฟังยังไงมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเลยยยยยยย สรุปการจะดึงดูด นักท่องเที่ยว ขายวัฒนธรรมไทย เราต้องใช้เงินมากขนาดนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำว่าพอเพียง? เมื่อหลักปฏิบัติไม่ใช่ แล้วผลที่เกิดขึ้นมันจะใช่ได้อย่างไรครับ จะโยงให้เข้าเรื่อง ก็น่าจะให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่านี้นะครับ ป.ล. ไม่ต้องมาบอกว่าผมแอนตี้งานอะไรนะ เพราะผมก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ สวยดี แต่แค่งงกับวิธีการคิดของ คห.23 เท่านั้น จากคุณ : Love Intruder เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 06:56:25

ความคิดเห็นที่ 60 สำหรับผมที่ตั้งกระทู้ก็เพื่อเล่าให้ฟังว่า  เป็นครั้งที่ 4 ในชีวิตของผมตั้งแต่เกิดมาที่ได้ชมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ  พระราชทานเพลิงพระศพ... ได้เห็นพระราชพิธีที่แสดงถึงความมีอารยธรรม  วัฒนธรรมประเพณี  ที่ได้สืบทอดกันมาจากอดีตและยังคงดำรงไว้จนถึงปัจจุบัน... สำหรับการแตกประเด็นเรื่องมุมมองด้านการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน  หรือเรื่องการสร้างพระเมรุ   ก็เป็นอิสระในด้านความคิดของเพื่อนๆทุกท่าน.. แต่สำหรับผมการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี  พระราชพิธีอันแสดงถึงอารยะและวัฒนธรรมประเพณีนั้น   ไม่ได้สิ้นเปลืองเลย   อีกทั้งยังแสดงถึงความเคารพและระลึกถึงพระกรุณาธิคุณของเจ้านายองค์นั้นอีกด้วย.. และผมหวังว่าพระราชพิธีนี้ยังคงจะมีในประเทศของเราตราบนานเท่านาน จากคุณ : eurekraft เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 08:06:50

ความคิดเห็นที่ 61 คุณ คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) ถ้าบรรพบุรุษคุณตาย คุณคงไม่จัดงาน คงโยนศพให้แร้งกิน เพราะคุณเห็นว่างานมันเปลือง ไหนค่าโลง ดอกไม้ ของชำร่วย ไหนจะต้องนิมนต์พระอีก คุณเก็บเงินไว้ผ่อนบ้านเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคุณเถอะคะ จากคุณ : ขวัญเจ้าจอม เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 10:05:52

ความคิดเห็นที่ 62 เก้าอี้มากันครบ! จากคุณ : หางแหลม เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 13:06:20

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณที่นำเสนอข้อมูลดีๆครับ จากคุณ : นิว ชะลาล่า เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 16:35:55

ความคิดเห็นที่ 64 ผมของแย้งคุณ  natthaset สิ่งที่คุณพูดมาว่า สร้างคุณค่าคืนกลับมาให้ประเทศชาติได้มากมายมหาศาลนั้น ผมไม่เถียงว่าใช่ แต่คุณวัดให้ดูหน่อยได้ไหม ว่ามากมายขนาดนั้นจริงหรือ ในทัศนคติผมคิดว่า สิ่งที่คืนกลับมาเช่นที่คุณพูดนั้น ไม่ได้มากมายเท่านั้นเลย ไม่เลย ถ้าจะยันกันจริงๆคุณต้องวัดออกมาได้ เช่นเดียวกัน ผมว่าจะแฟร์มาก ถ้าส่วนหนึ่งนั้นเป็นงบที่มาจากรัฐบาลและอีกส่วนหนึ่ง(ส่วนใหญ่) มาจากสำนักพระราชวังเอง ป ประชาชน เจ้าของเงินที่จ่ายไป (ภาษี) ย่อมมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และท้วงติงในงบประมาณ ที่จ่ายบนภาษีของตนได้สิครับ (นี่มันโลกประชาธิปไตย?) แล้วคุณไม่ต้องอ้างนักการเมืองครับ เพราะนักการเมืองมันมีกระบวนการตรวจสอบได้ (พวกคุณถึงได้ด่าว่าพวกนักการเมืองทุกวันนี้ไง) ไม่ว่าจะนานๆจ่ายที หรือสร้างคุณค่ามากมาย(ที่คุณอ้าง) หากมาจากเงินภาษีประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ควรรู้ ท้วงติง วิพากษ์วิจารณ์ ได้ ทั้งนี้ ผมเห็นต่างเป็นสิ่งที่ทำได้ในโลกเสรี และไม่ผิดกฏหมาย (คนที่รับไม่ได้ คือคนที่ไม่ประพฤติตามโลกเสรีที่เราเป็น) และ ผมมีเจตนาที่ดี เพื่อพิทักษ์สถาบันฯ ให้อยู่กับประเทศไทยไปยาวนาน ปล. เรื่องงบประมาณที่รัฐจ่าย ผมว่าควรเปิดให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้แสดงความเห็นได้ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องใด เพราะประชาชนมีสิทธิ์ในเงินของเขา ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะประการใด ปล.2 ขออภัยคุณจขกท ที่นอกเรื่อง แต่ก็เพื่อ แสดงทัศนคติแย้งที่มีคนกล่าวมา ส่วนตัวนั้น ผมได้เห็นสามครั้ง คือสมเด็จย่า พระพี่นาง และ ครั้งนี้ครับ (ทุกครั้งก็สร้างค วามตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นในประเพณีทุกครั้ง) จากคุณ : IceStory เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 17:16:53

ความคิดเห็นที่ 65 โอเคแหละครับ ผมว่า แฟร์ดีที่พูดงี้ งั้นถ้าผมพูดใหม่ว่า เงินที่ทำโครงการในพระราชดำริ สามพันล้าน ถ้าไม่มีประโยชน์ เลยก็คงไม่ใช่ละกันครับ แต่ผมอยากให้คนที่ด่าสถาบัน พูดออกมาบ้างว่า ปีหนึ่งๆเงินเราคอรับชั่นไปเท่าไร แค่นั้นเอง อย่าพูดว่าตรวจสอบได้เลยครับ ขนาดเจอเงินเปนสิบล้านในบ้าน ปัจจุบันยังเงียบ ขนาดพบการทุจริตหลายอย่าง เอาวีดีโอมาเปิดแฉกันเรื่องน้ำท่วมในสภา ยังทำอะไรไม่ได้เลย จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 17:42:20

ความคิดเห็นที่ 66 จริงๆ ถ้าไม่พอใจก็ออกมาประท้วง เสนอเรื่อง หาแนวร่วม ออกสื่อ แบบนี้ทำได้ตามระบอบประชาธิปไตยนะครับ ไม่เห็นจะมีใครห้าม ขอแค่กล้าออกมาเปิดเผยตัวก็พอครับ ส่วนผลจะเป็นยังไงผมก็อยากเห็นเหมือนกัน โวยวายในโลกไซเบอร์ไปก็เท่านั้น จริงไหมครับ??? แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 23:29:58 จากคุณ : A ARM เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 23:29:19

ความคิดเห็นที่ 67 ผมเห็นด้วยนะครับ ที่จะรื้อพระเมรุชั่วคราวลง   แต่ผมเห็นว่า รื้อลงแล้วควรจะเก็บไว้เสียด้วยบ้าง  ในส่วนที่เก็บได้  อย่างพวกเทวดา หรือ ฉากต่างๆ  เพราะวัดคงไม่ได้ใช่ตรงนี้ ผมว่าก็เก็บเหมือนกับที่ เราเก็บพระโกศนั่นแหละครับ  แล้วพอมีเหตุให้ต้องเอาออกมาใช้  เราก็เอาชิ้นส่วนที่เก็บไว้ออกมาใช้ใหม่ อย่างเช่นงานปูน งานไม้ ที่เก็บไว้ได้ เราก็เอากลับมาประกอบใหม่  จะได้ลดค่าใช้จ่าย  แล้วไม่เป็นการตั้งพระเมรุกลางเมืองให้เป็นอัปมงคล ชิ้นส่วนไหนที่เก็บไม่ได้ เราก็ต้องทำใหม่  อย่างงานดอกไม้สด  ต้องประดิษฐ์ใหม่อยู่แล้ว เพราะเก็บไม่ได้ อนึ่ง ผมเชื่อว่าแนวคิดนี้เข้ากันได้ กับแนวคิดของโบราณราชประเพณี เพราะว่า ยามเรารื้อพระเมรุลง  เราเก็บพระโกศไว้  เราไม่ได้สร้างพระโกศใหม่ทุกชั้น   หรือยามที่ไม่มีงานท้องสนามหลวง  เราก็ไม่ได้รื้อเวชยันตราชรถ  มหาพิชัยราชรถ  เกรินเทียบ พระวอ หรือ พระยานมาศสามลำคาน แต่เราเก็บราชรถไว้ในโรงราชรถ พิพิธภัณฑสถาน   เราสามารถกระทำแบบเดียวกันนี้ กับพระเมรุได้หรือไม่ จากคุณ : โนริแห่งโนบุ เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 55 10:15:24

ความคิดเห็นที่ 68 คุณLove Intruder จากที่คุณว่ามา   ผมเข้าใจได้เลย  ว่าคุณยังเข้าใจในเศรษฐกิจพอเพียงไม่ชัดเจน อย่างแรกเลยเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่าต้องประหยัด   เขียม    ใช้จ่ายให้น้อยที่สุดครับ แต่หมายถึงการใช้ตามสมควรแก่ฐานะ    ไม่ทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน และความพอเพียงนั้นไม่ได้เหมือนกันทุกคน     ถ้าเป็นคนทำงานมีเงินเดือน2หมื่น    ใช้เงินเดือนละ1.5หมื่น   อย่างนี้ก็พอเพียง แต่ถ้าเป็นมหาเศรษฐีมีเงิน1พันล้าน     นึกอยากจะซื้อรถยนต์ราคา10ล้านมาขับเล่น    อย่างนี้ก็จัดว่าพเพียง    เพราะไม่ได้เบียดเบียนตนเอง     เจ้าตัวซื้อของด้วยเงินที่มี   และไม่ได้ก่อหนี้ขึ้น ชาวนามีที่ดิน10ไร่   ก็ขุดบ่อ  ทำนา   เลี้ยงสัตว์ไว้ขาย+กิน   อย่างนี้ก็พอเพียง แต่ถ้าเศรษฐี100ล้าน   ไปขุดบ่อ   ทำนา   ทำสวน   เลี้ยงสัตว์ไว้กิน    อย่างนี้ก็ไม่พอเพียง การลงทุนก็เช่นกัน     ถ้ามีเงิน10ล้าน   ลงทุนไป8ล้าน   อย่างนี้ก็พอเพียง แต่ถ้ามีเงิน10ล้าน    ลงทุน15ล้านจนต้องไปกู้หนี้มาลงทุน    อย่างนี้ก็ไม่พอเพียง แต่การลงทุนในสิ่งที่จำเป็น   หากต้องก่อหนี้   ก็ยังจัดว่าพอเพียงได้      เช่นการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่ต้องกู้เงินมาสร้าง    แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น     จัดว่าพอเพียงเหมือนกัน ดังนั้นการจัดพิธีครั้งนี้    ที่เราไม่ได้ต้องกู้เงินมาจัด    ใช้เงินของเราที่มีอยู่มาจัด        ทั้งยังยังสามารถต่อยอดให้เกิดรายได้มหาศาล      ก็จัดว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงครับ งานนี้เป็นงานที่อย่างไรก็ต้องจัดอยู่แล้ว     แทนที่จะทำแบบลวกๆ     นักท่องเที่ยวมาเห็นก็เข้าใจศิลปะของไทยไปผิดๆ    เห็นของลวกๆใครจะประทับใจอยากมาชม     ก็ทำให้สมบูรณ์แบบไปเลย     เทียบกันแล้วทำแบบลวกๆนั่นแหละที่เรียกได้ว่าเสียเปล่า    เพราะเกิดการต่อยอดได้ยากกว่า แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 55 04:13:48 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 55 23:46:40

ความคิดเห็นที่ 69 รู้แต่ว่า นักการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายที่ได้เป็นรัฐบาล คือปลวก ที่คอยกัดกินประเทศชาติ จากคุณ : Gabi เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 55 17:44:57