 |
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ ส่วนใหญ่เป็นกาพย์ฉบังและกาพย์สุรางคนางค์ สันนิษฐานว่าพระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินท์แต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ระหว่างที่พระยาราชสุภาวดีไปรับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช พราะยาราชสุภาวดีแต่งก่อนในตอนต้นแล้วอาราธนาพระภิกษุอินท์แต่งต่อตอนท้าย
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนกุลสตรีในสมัยนั้น มีเค้าโครงเรื่องมาจากมหาภารตะของอินเดีย เป็นเรื่องที่แต่งมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ต้นฉบับคงจะสูญหายไป พระยาราชสุภาวดี และพระภิกษุอินท์จึงแต่งขึ้นใหม่ ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่านาง
กฤษณานารถ ก็มีเรื่องบริบูรณ์ สมุดเดิมก็เศร้าสูญ สลายลบบเป็นผล
เนื้อเรื่อง
ท้าวพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสีมีพระธิดา ๒ องค์คือ นางกฤษณาและนางจิรประภา เมื่อพระบิดาจัดพิธีสยุมพร นางกฤษณามีพระภัสดา ๕ พระองค์ และนางสามารถรับใช้ปรนนิบัติพระภัสดาได้ดี พระภัสดาต่างก็รักนาง ส่วนนางจิรประภามีภัสดาองค์เดียวแต่ทำหน้าที่บกพร่อง
นางจิรประภาเข้าใจว่านางกฤษณามีเวทมนตร์สามารถผูกใจชายจึงมาขอเรียนบ้าง นางกฤษณาชี้แจงว่าการที่สามีรักใคร่มิใช่มีเวทมนตร์ผูกใจชาย แต่อยู่ที่การเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี รู้จักหน้าที่ของภรรยา อยู่ในโอวาทของสามี นางจิรประภาจึงนำคำสอนของนางกฤษณาไปปฏิบัติ
หนังสือเรื่องนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่งภายหลัง มีใจความคล้ายกัน
http://th.wikipedia.org/wiki/กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
"กฤษณาสอนน้อง" มาจากไหน
ที่มา : ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา, 2473-2545. วิทยารัตนากร : รวมบทความวิชาการอักษรศาสตร์ ของศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, 2545. หน้า 2-10.
เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่เคยมีผู้ใดทำการวิเคราะห์ที่มาของวรรณกรรมเรื่องนี้ จนกระทั่งมีการแต่งเป็นหนังสือในรัชกาลที่ 3 และกลายเป็นวรรณคดี คำฉันท์ที่สำคัญเล่มหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นคนแรกที่ทรงวิจารณ์ที่มาของเรื่องนี้อย่างถูกต้องและสรุปได้ในที่สุด ว่านำมาจากเรื่อง มหาภารตะ ของอินเดีย เรื่องเดิมเป็นรูปแบบคำสนทนาระหว่างหญิงสองคนที่เป็นเพื่อนกัน
เรื่อง กฤษณาสอนน้อง เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ เชื่อได้แน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ต้นฉบับเดิมหายสูญไป ระยะเวลาที่แต่งจะเป็นสมัยอยุธยาตอนต้น หรืออยุธยาตอนปลาย เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสองประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ไม่มีต้นฉบับตัวเขียนสมัยอยุธยาหลงเหลืออยู่เลย
ประการที่สอง เรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์นี้มีตกทอดมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในรูปแบบของ วรรณกรรมมุขปาฐะ คือท่องจำและถ่ายทอดกันมาด้วยการเล่าปากเปล่า ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องที่ท่องจำกันมาจึงผิดเพี้ยนกันไป และหายตกหล่นไปมากต่อมาก จะเอาเนื้อหาสาระที่บริบูรณ์เป็นแก่นสารก็ไม่ได้
ประกอบทั้งภาษาสำนวนที่แต่งก็ไม่ได้อยู่ในขั้นดี กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นสำนวนบ้านนอก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรด ทรงพระราชดำริว่าเนื้อเรื่องดี แต่ภาษาไม่ดีพอ น่าจะแต่งใหม่ให้ดีกว่านั้น จึงทรงอาราธนาให้ กวีแก้วแห่งรัตนโกสินทร์ คือ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงแต่งใหม่ทั้งหมด แต่รักษารูปแบบคำประพันธ์คือคำฉันท์ไว้ตามเดิม ความปรากฏในบทปรารถเบื้องต้นของ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ซึ่งกรมหมื่นนุชิตชิโนรส (ต่อมาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส) ทรงบรรยายไว้ว่า
แต่ตูผู้จะนิพนธ์ยุบลบทบรรหาร แห่งราชโยงการ ดำรัส
ให้รังสฤษดิกฤษณาสุภาษิตสวัสดิ์ เลบงฉันท์รำพันอรรถ ภิปราย
แปลกแปลงแสดงพจนเพรงเชลงลักษณะบรรยาย ชาวชนบทธิบาย ประดาษ
ไป่สมเสนอบเสมอสมานมุขประกาศ อโยธยาคณาปราชญ์ ทั้งมวญ
รังสรรค์สารพอจักขานจักคู่พจนควร เสนอสนองสำนวนเนือง กระวี
หวังโอวาทอนุสาสนุสนธิสกลสตรี แสวงสวามิภักดี ฤวาย (1)
ความจริงในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มีกวีฝีปากดีคือ พระยาราชสุภาวดี ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไปช่วยราชการเจ้าพระยานครที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้แต่งกฤษณาสอนน้องขึ้นใหม่ มีภิกษุอินท์ เมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้ช่วย แต่จะแต่งแน่นอนในปีใดไม่ทราบ เพราะเรื่องราวของพระยาราชสุภาวดีที่ออกไปกำกับราชการเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เป็นที่รู้จักกันแต่เพียงว่าอยู่ในสมัยกรุงธนบุรี
อย่างไรก็ดี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ สมัยกรุงธนบุรีดังกล่าวนี้มิได้ปรากฏ ณ ที่ใดๆ จึงไม่มีผู้ใดอ้างถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเป็นที่แน่นอนว่ากรมหมื่นนุชิตชิโนรส มิได้ทรงทราบหรือแม้แต่จะทรงระแคะระคายว่ามี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์สมัยธนบุรี เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว แม้ในสมัยต่อมาหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วช้านานก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งกฤษณาสอนน้องสมัยธนบุรี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2489 กรมศิลปากร ได้ต้นฉบับเรื่องนี้มาและตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก จึงปรากฏว่า
ก่อนที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส จะทรงนิพนธ์กฤษณาสอนน้องคำฉันท์อันเลื่องลือมาจนทุกวันนี้นั้น มีกวีอื่นแต่งฉบับสมบูรณ์เช่นเดียวกันที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่งมาก่อนแล้วอย่างน้อยที่สุดก็ 60 ปีขึ้นไป เพราะ
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉบับพระยาราชสุภาวดีและภิกษุอินท์นั้นแต่งเมื่อ พ.ศ. 2319 ส่วนฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิติโนรสแต่งในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2397 (ปีที่รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์) ถึง พ.ศ. 2377 อันเป็นปีที่รัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เสร็จเรียบร้อยและโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องต่าง ๆ บนแผ่นหินอ่อน
ประดิษฐานไว้ที่วัดนั้น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ เพราะฉะนั้นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (สมัยเมื่อทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส) จะต้องทรงแต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ในช่วง 10 ปีนี้ คือระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2377 อย่างแน่นอน...
...ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรึกตรองด้วยพระปรีชาญาณ หาสาเหตุนอกพระบาลี และมีพระราชดำริว่าคงเป็นเรื่องที่มีมาในวรรณคดีสันสฤกตมากกว่า ถ้าเป็นไปตามแนวพระราชดำรินี้ บางทีอาจพบเรื่องนางกฤษณาในมหากาพย์มหาภารตะก็ได้ เพราะเรื่องมหาภารตะอันมีความยาวถึงแสนโศลกนั้นมีตัวนางเอกชื่อนางกฤษณา หรือเทราปที ทรงพระราชวินิจฉัยว่า
"...คิดเห็นว่าเรื่องต้นของนางกฤษณาสอนน้องคงจะมาจากที่อื่น เป็นแต่ชื่อเสียงจะขาดวิ่น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตจะทรงแต่งให้บริบูรณ์ดี จึงได้เก็บชื่อในบาลีมาซ่อมแซมลง ดีร้ายจะมีมาแต่หนังสือมหาภารตะ ซึ่งเป็นเรื่องรวบรวมนิทานเก่าและลัทธิต่างๆ ที่ถือกันอยู่ในมัชฌิมประเทศก่อนเวลาพุทธกาล
จึงได้อ่านหนังสือมหาภารตะเสาะแสวงหาความจริงอันนี้ จนบัดนี้มาพบเรื่องนั้นสมประสงค์แล้ว จะขอยืนยันได้ว่า กฤษณาสอนน้องที่มาแต่งเป็นคำฉันท์นั้นไม่ได้มาจากบาลี เราคงจะได้มาจากพราหมณ์ ซึ่งมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราแต่ก่อนเหมือนเรื่องรามเกียรติ์เป็นแน่..." (3)
พระบรมราชวินิจฉัยนี้ได้ไขแสงสว่างต่อปัญหาที่ไม่มีใครทราบมาหลายศตวรรษให้เป็นที่รู้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถติดตามเรื่องกฤษณาสอนน้อง ไปจนถึงที่สุด ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงชี้ทางให้โดยเริ่มต้นจากจุดที่ถูกต้อง คือ เริ่มที่เรื่องมหาภารตะนี้เอง
มหากาพย์มหาภารตะ วนบรรพ เล่าเรื่องว่า นางกฤษณา หรือ นางเทราปที ผู้เป็นราชธิดาแห่งท้าวทุรบทแห่งนครปัญจาล ได้เป็นมเหสีของกษัติย์ปาณฑพ 5 องค์ คือ ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และ สหเทพ
ต่อมากษัติย์พี่น้องทั้ง 5 องค์แพ้พนัน ทุรโยธน์ เจ้าชายแห่งเชื้อสายเการพ อันอยู่ในราชสกุลจันทรวงศ์เดียวกัน ต้องถูกเนรเทศไปเดินป่า 12 ปี ปีที่ 13 ต้องปลอมตัวมิให้ใครจำได้ ถ้ามีผู้จำได้ต้องเดินป่าอีก 14 ปี กษัตริย์ปาณฑพทั้งห้า พร้อมด้วยนางกฤษณาได้ร่อนเร่พเนจรไปจนถึงภูเขาหิมาลัย และเข้าไปสู่เมืองอลกาซึ่งเป็นนครหลวงของท้าวไพศรพณ์ (หรือเวสสุวัณณ์)
ส่วนอรชุนเดินทางต่อไปจนถึงสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ของพระอินทร์ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมายังป่าชื่อ กามยกะ ได้รับการต้อนรับจากฤษีและพราหมณ์ ทั้งปวงที่อยู่ในป่ากามกยะเป็นอย่างดี ฝ่ายพระกฤษณะ (นารายณ์อวตารปางที่ 8) ซึ่งครองนครทวารกา หรือทวารวดี ทราบข่าวก็มาเยี่ยมโดยพานางสัตยภามา มเหสีคนโปรดผู้เป็นราชธิดาของพระเจ้าสัตราชิตมาด้วย (พระกฤษณะมีชายาหมื่นหกพันนาง และทรงแบ่งภาคเป็นรูปพระกฤษณะเหมือนกันจำนวนหมื่นหกพันองค์ เพื่อให้ชายาทุกคนเข้าใจว่าพระองค์เป็นสามีของนางแต่ผู้เดียว)
ทั้งนางกฤษณาและนางสัตยภามาต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกันและถ้อยทีถ้อยปราศรัยสนทนากัน บทสนทนาของนางทั้งสอง ณ ป่ากามยกะนี้เป็นตอนเล็กๆ ตอนหนึ่งที่รวมอยู่ในเรื่องใหญ่คือมหาภารตะ ข้อความตอนนี้มีชื่อว่า
"เทราปที สัตยภามาสํวาท"
และข้อความในเทราปทีสัตยภามาสํวาทนี้แล คือเรื่องแท้ๆ ทั้งหมดในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ จะต่างกันนิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า
นางกฤษณาในมหาภารตะนี้ไม่มีน้องสาว มีแต่น้องชายคนเดียว
เพราะฉะนั้นในมหาภารตะ นางกฤษณาจึงไม่มีเรื่องราวตอนใดที่จะต้องสอนน้อง มีแต่การสนทนากันฉันเพื่อนสนิท คือนางสัตยภามาเท่านั้น บทสนทนาระหว่างหญิงทั้งสองดังกล่าวนี้ มีเนื้อหาสาระคล้ายคลึงกับเนื้อเรื่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย มากที่สุดโดยอาจสรุปข้อความเป็น 3 ตอนด้วยกัน คือ
ตอนแรกว่าด้วยลักษณะหญิงชั่ว ตอนที่ 2 ว่าด้วยลักษณะหญิงที่ดี และ ตอนที่ 3 ที่มีข้อความยาวที่สุด คือคำสอนที่ว่าหญิงผู้มีสามีแล้วควรปรนนิบัติสามีของตนอย่างไร สามีจึงจะมีความสุข และผลของการปฏิบัติบำรุงสามีอย่างดีเลิศนี้เองจะเป็นผลส่งเสริมให้ตัวผู้ปฏิบัติเองมีความสุขความเจริญตามไปด้วย
บทสนทนาเชิงสอนแนะใน เทราปทีสัตยภามาสํวาท นั้น มีลักษณะอันเป็น โลกทรรศน์ของฮินดู เพราะฉะนั้นย่อมมีความแตกต่างจากคำสอนในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทย อยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่เป็นความแตกต่างในข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ในส่วนใหญ่อันเป็นแกนร่วมกันระหว่างฉบับของอินเดียกับฉบับของไทยมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด
โดยเฉพาะการเน้นเรื่อง "ภักดี" ที่ฝ่ายภรรยาพึงยึดถือเป็นคุณธรรมประจำใจ ในการปรนนิบัติสามีของตน ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจเป็นที่เหยียดหยามของคนไทยรุ่นปัจจุบัน เพราะดูเป็นการ "หมอบราบคาบแก้ว" เกินไปจนทำให้เสียสิทธิอิสระโดยชอบธรรมของผู้หญิง ต้องถูกกดถูกขีดวงให้จำกัดแคบลงไปราวกับทาส และลักษณะอย่างนี้ก็เข้าหลัก "เมียทาส" อันเป็นภรรยาประเภทหนึ่งที่อ้างถึงในวรรณคดีบาลีอีกด้วย...
...นางกฤษณาผู้เป็นตัวเอกในเรื่องนี้ถือว่าเป็นนางแก้วผู้หนึ่งในวรรณคดีสันสกฤต เป็นที่นับถือยกย่องของสามีคือกษัตริย์ปาณฑพทั้งห้าจนตลอดชีวิต
"แม้สามีจะได้ภรรยาอื่นอีกหลายคนในภายหลังก็มิได้คลายความรักความยกย่องในตัวนางเลย"
คงนับถือว่านางเป็นภริยาเอกของพวกตนยิ่งกว่าภรรยาอื่นๆ
นางมีโอรสอันเกิดจากสามีทั้งห้า เรียงตามลำดับคือ
โอรสอันเกิดจากยุธิษฐิระ มีชื่อว่า ประติวินธัย โอรสอันเกิดจากภีมะ มีชื่อ ศรุตโสม โอรสอันเกิดจากอรชุน ชื่อว่า ศรุตเกียรติ โอรสอันเกิดจากนกุล ชื่อ ศตานีก และ โอรสอันเกิดจากสหเทพชื่อ ศรุตกรรมัน
ตัวนางกฤษณาเองมีชื่ออ้างหลายชื่อในมหาภารตะ คือ กฤษณา เทราปที นิตยเยาวนา ปาญจาลี ปัญจมี ไสรินธรีปารษตี ยาชญเสนี
นางกฤษณาในวัยชราได้ติดตามสามีทั้งห้าจาริกแสวงบุณย์ไปจนถึงภูเขาเมรุ (พระสุเมรุ) เพื่อจะขึ้นไปสู่นครอมราวดี ของพระอินทร์ในสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ แต่เมื่อบรรลุถึงเชิงเขาพระเมรุ นางกฤษณาได้ล้มลงและสิ้นชีวิตเป็นคนแรก
เชิงอรรถ
(1) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส, กฤษณาสอนน้องคำฉันท์. (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2533), หน้า 3. (2) พระธรรมโกศาจารย์, สมบัติรัตนกวีชิ้นเอก (กรุงเทพฯ : เสริมวิทย์บรรณาคาร, 2513), หน้า 255. (3) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส, กฤษณาสอนน้องคำฉันท์. (กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2533), หน้า 20. (4) เรื่องเดียวกัน, หน้า 24-25.
http://www.praphansarn.com/new/c_lift/detail.asp?ID=148
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ต.ค. 55 14:08:56
|
|
|
|
 |