CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ยายเสียก็เลยมาแจ้งให้ทราบค่ะ (ก็ยายเป็นนักเขียนน่ะ)

    เนื่องจากยายของรำเพยเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือมานาน อยู่มาวันหนึ่ง คอลัมภ์นั้นก็หายไปจากหนังสือ คนคงจะสงสัยบ้างแหละว่าหายไปไหน วันนี้ก็เลยมาเฉลยให้ทราบกันค่ะ

    สมัยก่อนยายเขียนลงสตรีสาร ขวัญเรือน มติชน สยามรัฐรายสัปดาห์ รักลูก ฯลฯ  พอเริ่มแก่ตัวลงก็เขียนแค่ในขวัญเรือนคอลัมภ์สุจิปุลิน่ะค่ะ รำเพยไม่มีโอกาสกลับเมืองไทย และงานศพก็จะเผาวันพฤหัสหน้าที่วัดธาตุทอง รำเพยฉุกละหุกกลับไทยไม่ทันก็เลยเขียนบทความนี้มาเล่าเรื่องยายให้คนอ่านกันค่ะ

    ยายตายได้ซะที ดีใจจัง

    หลายคนคงงงว่านี่มันอะไรกันหวา ทำไมรำเพยขึ้นต้นหัวข้อเรื่องแบบนี้ละมีอย่างที่ไหนกันยายเสียทั้งทีมาทำหน้ารื่นชื่นบานอยู่ได้

    รำเพยรักยายมากนะคะ เพราะว่าอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่รั้วเดียวกันมาตลอดชีวิต จะมีก็ช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมาที่รำเพยระหกระเหเร่ร่อนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่แหละ ที่ทำให้ไม่ได้อยู่กับยาย แต่ก็คิดถึงยายเสมอๆ นานๆก็ส่งของใช้คนแก่ไปให้ยายสักที สิ่งที่ดีใจมากคือปลายปีที่แล้วกลับไปเมืองไทย ยายบอกว่ามีหลานกับเค้าอยู่ 5 คน รำเพยน่ะ เป็นหลานที่รู้ใจคนแก่มากที่สุด (ก็แหงละยาย อยู่ด้วยกันมานานนี่นา...เค้าก็ต้องเรียกว่ารู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เอ๊ยไม่ใช่สิ รู้ใจค่ะ รู้ใจ) รำเพยกลับไปเมืองไทยทีไรของฝากของยายก็คือ ที่ล้างฟันปลอมแบบฟู่ๆ (สมัยก่อนเมืองไทยยังไม่มีขายค่ะ), ครีมทามือสำหรับคนแก่ที่เป็นโรคไขข้อ, แล้วก็ถ้ามีเวลารำเพยก็จะนั่งรถเมล์ไปแถวมหาวิทยาลัยศิลปากร ไปหาซื้อไส้กรอกปลาแนมมาให้ยาย ต้องถ่อไปไกลขนาดนั้น เพราะว่าเคยซื้อที่อื่นยายไม่ชอบเลย น่าเสียดายที่กลับไปเมืองไทยหนสุดท้ายนี่น่ะ เจ้าไส้กรอกปลาแนมเค้าเลิกทำไปแล้ว เนื่องด้วยว่าหาคนกินไม่ได้

    วุ้ย พล่ามมามากมาย ก็แค่อยากจะอวดว่ายายรัก เอิ๊กๆๆๆ

    แต่ความรัก ความใกล้ชิดกับยาย ก็ใช่ว่าจะมีแต่แง่ดีตลอดเวลา ...เพราะว่ายายและตาของรำเพยเป็นนักเรียนนอก ความคิดความอ่านก็จะสมัยใหม่ ไม่ตามใจหลานแบบย่ายายของไทยทั่วไป ดังนั้นตอนเด็กๆ ถ้าซนเกินไปก็โดนยายดุ ไม่ถือท้ายกันเล้ย ไม่มีซะละ แถมด้วยความที่ว่ายายเป็นนักเขียน ก็จับเอาความเปิ่น ความเชยของรำเพยไปเขียนนินทาให้คนอื่นอ่านประจำเพราะว่าตอนเด็กๆ รำเพยเป็นหลานคนเดียวที่โตมากับยายดังนั้นเรื่องที่ยายเขียนแต่ก่อนก็มักจะเอาความเชยเฉิ่มของเราไปโพทะนา ไปโรงเรียนทีคุณครู (ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ยายนั่นแหละ) ก็เอามาแซว เฮ้อ เราซนตามประสาเด็ก ดันโดนยายเอาไปเขียนซะนี่

    พอโตขึ้นมาหน่อยเราก็พอจะรู้ความ ก็สังเกตตากับยายประจำว่าทำอะไรกันมั่งวันๆนึง กิจวัตรประจำวันของตากับยายก็คือตอนเช้าตาจะตื่นมาคั้นน้ำส้มให้ยายทุกวัน ทำแบบนี้มาตลอดเวลาที่ตายังมีชีวิตอยู่ พอสายๆ ตากับยายก็จะออกไปเดินเล่นบริเวณบ้าน สมัยก่อนแถวบ้านยังชนบทอยู่ ยายกับตาก็เดินไปตลาดอ่อนนุช หรือตลาดพระโขนงลัดเลาะประตูน้ำพระโขนงผ่านบ้านชาวบ้านที่อยู่ริมคลองที่น้ำยังไม่เน่าเหมือนทุกวันนี้ ภาพยายกับตาเดินจูงมือกันประคองกันแม้ยามแก่เฒ่าก็เป็นภาพที่รำเพยเห็นเป็นเรื่องปกติเสมอๆ ตอนเด็กๆเราไม่คิดว่านั่นคือการแสดงความรัก ความอาทรต่อกันและกัน เพราะว่าเรายังไม่รู้และไม่เข้าใจ เห็นอากัปกริยาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากในคนไทยรุ่นตายาย และยิ่งหาได้ยากในสังคมไทยสมัยก่อน ลองนึกดูสิคะ ว่าเมื่อ 10-20 ปีก่อนน่ะ ภาพยายกับตาประคองกันจูงมือกันเดินน่ะ แทบหาไม่ได้เอาเลย รำเพยประทับใจในความรักของตากับยายประมาณว่า เดิ้นจริงๆตายายชั้นเนี่ย

    ครั้งหลังที่กลับไปเมืองไทยตอนปลายปีหลังจากตาเสียไปได้ 4-5 ปีแล้ว ยายดูเหงามากกว่าแต่ก่อนมาก ไม่สบายบ่อยๆเจ็บออดๆแอดๆ บางทีก็บ่นว่าเมื่อไหร่จะตายสักที (คงคิดถึงตา แต่ว่าเขินหลานๆไม่กล้าพูด) เวลายายพูดแบบนี้ทีไรพี่ๆลูกน้าคนอื่นที่มาอยู่ด้วยที่บ้านก็บ่น น้ามาเยี่ยมยายจากเยอรมัน ได้ยินยายพูดแบบนี้ น้าก็แอบบ่นลับหลังยาย หรือบางทีก็บ่นต่อหน้ายายเลยแหละว่าแม่พูดอะไรไม่ดีเลย... จะมีสักกี่คนที่เข้าใจยายว่ายายเหนื่อยแล้วนะ แล้วตอนเช้าๆก็ไม่มีตามาคอยดูแล ร่างกายยายก็ไม่แข็งแรง จะเขียนต้นฉบับมือก็ไม่มีแรงจับปากกาเหมือนแต่ก่อน จากคนที่เคยทำอะไรได้คล่อง เป็นสาวซิ่งปราดเปรียว (ลืมเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนน่ะ ยายเป็นผู้หญิงไทยคนแรกเลยนะ ที่ขับรถไปเรียน ขับมาสแตงเปิดประทุนสีแดงแปร๊ดไปเรียนที่อักษรศาสตร์จุฬา.... ส่วนทวด ซึ่งเป็นครูสอนหนังสือที่คณะอักษรฯน่ะ เดินไปทำงาน พอคนมาถามทวดว่า ทำไมลูกสาวขับรถ แต่พ่อเดินไปทำงาน ทวดตอบว่า "ก็ลูกชั้นมันลูกพระยา....ส่วนชั้นมันลูกคนสามัญ เค้าลูกพระยาก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นลูกพระยา" จำข้อความตรงนี้ได้จากการแอบฟังคนแก่รื้อฟื้นความหลังนั่นแหละ....แปลเป็นไทยง่ายๆเค้าเรียกว่าเจ๋อไปทุกที่ เอิ๊กๆๆ) กลับมาเรื่องยายต่อ..... ยายเคยทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เคยเขียนหนังสือลง vogue เคยเป็นคนกิ๊บเก๋ แต่งตัวงาม จนกระทั่งเจ็ดสิบกว่าๆ ยายก็ยังงามอยู่ ไม่ขอใช้คำว่าสวย แต่ขอใช้คำว่างาม เพราะตามที่เห็นคือยายเป็นคนงามที่ใจ จิตใจดี เมตตาต่อคนอื่นเสมอๆ อยู่ดีๆเกิดมาเป็นโรคข้อ โรคคนแก่ ทำให้ทำอะไรได้ไม่ถนัดเหมือนเก่า รวมกับตาก็ไม่อยู่แล้ว ยายคงเบื่อน่าดูชม รำเพยอยากจะบอกยายนะว่าเข้าใจละยายว่าไม่อยากอยู่ เพราะว่าอยู่ไปมันก็น่าเบื่อซะจริงๆ

    เมื่อต้นเดือน พ่อโทรมาบอกว่ายายเข้าโรงพยาบาล น้าหมอก็บินมาจากเยอรมันมาดูแล เพราะว่าน้าหมอเคยสอนหนังสือที่รามา ก็พอจะมีเพื่อนอยู่บ้าง เอายายเข้าห้องพิเศษแล้วให้เพื่อนน้าเป็นคนดูแล รำเพยนึกในใจว่ายาย ถ้ายายไม่อยากอยู่แล้วน่ะ ก็ตายไปก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลาน อยากให้ยายได้เจอกับตาซะที จะได้จูงมือเดินเล่นบนสวรรค์กันต่อ พอเมื่อวาน แม่โทรมาบอกว่ายายเสียแล้วนะ สิ่งแรกที่รำเพยบอกแม่คือ ดีแล้วแม่ยายจะได้เจอตา ไม่ต้องทนกับเครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือพะรุงพะรังทั้งหลาย แม่ก็บอกมาว่าคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เพราะว่าแม่เสียใจก็จริงแต่ดีใจกับยายว่านอนแล้วหลับไปไม่ต้องทรมาน ได้สงบเสียที

    รำเพยอยากจะบอกยายว่าคงไปงานศพยายไม่ได้ ไม่ได้ลายายนะ เพราะว่ากลับไปไม่ทัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าจะลาไม่ลา จะเจอไม่เจอก็ไม่มีค่าอะไรหรอกยาย เพยรักยายเสมอจ้ะ ไม่ว่ายายจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ในใจเพยเสมอ ตอนนี้ยายคงอยู่กับตาร่าเริงบนสวรรค์แล้ว ดีใจจังจ้ะ เพยรักยายเสมอนะก็มียายกะเค้าคนเดียวนี่นา ไม่รักได้ไงจริงมะ


    รักยายเสมอจ้ะ ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ก็รักยายเสมอ ชาติหน้ามีจริงก็ขอเป็นหลานยายอีกนะ

    แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 48 18:01:43

    แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 48 17:45:51

     
     

    จากคุณ : รำเพย - [ 21 พ.ค. 48 13:22:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป