| 
      
        | 
           ความคิดเห็นที่ 14   
 ถึงเดือน ๘ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๑๘  อายุครบบวชเป็นสามเณร  แล้วจะต้องออกไปอยู่นอกพระราชวังตามประเพณีก็ออกจากราชการประจำพระองค์  ในปีนั้นมีเจ้านายทรงผนวชด้วยกันหลายพระองค์ เป็นพระภิกษุบ้าง เป็นสามเณรบ้าง  ส่วนตัวฉันเมื่อบวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว ไปอยู่วัดบวรนิเวศฯกับเจ้านายพี่น้องก็ไม่เดือดร้อนอันใดในการที่บวช  ถ้าจะว่าประสาใจเด็กอายุเพียงเท่านั้น  กลับจะออกสนุกดีด้วยเพราะในสมัยนั้นประเพณีที่กวดขันในการศึกษาของพระเณรบวชใหม่ยังไม่ได้เกิดขึ้น  หนังสือฉบับพิมพ์สำหรับศึกษาพระธรรมวินัยก็ยังไม่มี  ได้อาศัยศึกษาแต่ด้วยฟังเทศนาและคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์อาจารย์  ข้อบังคับสำหรับเจ้านายที่ทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศฯ ตอนแรกทรงผนวช  ตอนรุ่งเช้าต้องจัดน้ำบ้วนพระโอษฐ์กับไม้สีพระทนต์ไปถวายพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์(สมัยนั้นยังดำรงพระยศเป็นกรมพระ)  เรียกกันว่า "สมเด็จพระอุปัชฌาย์" หรือเรียกกันในวัดตามสะดวกแต่โดยย่อว่า "เสด็จ" ทุกวันตามเสขิยวัตร  และถึงตอนค่ำเวลา ๑๙ นาฬิกาต้องขึ้นไปเฝ้าฟังทรงสั่งสอนพระธรรมวินัยอีกครั้งหนึ่ง  ถ้าจะออกบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้นก็ต้องทูลลาในเวลาค่ำนั้น  แต่การทั้ง ๓ อย่างนี้เมื่อทำได้สัก ๗ วันก็โปรดประทานอนุญาตมิให้ต้องทำต่อไป  เว้นแต่จะไปธุระอื่นจึงต้องขึ้นไปทูลลาทุกครั้ง  เสด็จพระอุปัชฌาย์ท่านทรงประพฤติวัตรปฏิบัติตรงตามเวลาแน่นอนผิดกับผู้อื่นโดยมาก  บรรทมตื่นแต่ก่อน ๗ นาฬิกา  พอเสวยเช้าแล้วใครจะทูลลาไปไหนก็ขึ้นเฝ้าตอนนี้  ถึง ๙ นาฬิกาเสด็จลงทรงเป็นประธานพระสงฆ์ทำวัตรที่ในพระอุโบสถ  เสด็จกลับขึ้นตำหนักราว ๑๐ นาฬิกาประทับรับแขกที่ไปเฝ้าจนเพล  เสวยเพลแล้วพอเที่ยงวันเสด็จขึ้นตำหนักชั้นบน  ทรงสำราญพระอิริยาบถและบรรทมจนบ่าย ๑๕ นาฬิกาเสด็จลงที่ห้องรับแขก  ใครจะเฝ้าในตอนนี้อีกก็ได้  พอแดดอ่อนมักเสด็จลงทรงพระดำเนินประพาสในลายวัดจนเวลาพลบค่ำ  ถึงตอนนี้ราว ๑๙ นาฬิกาเจ้านายที่ทรงผนวชใหม่ขึ้นเฝ้าฟังคำสั่งสอนที่ประทานตามอุปัชฌายวัตรไปจน ๒๐ นาฬิกา  เสด็จลงเป็นประธานพระสงฆ์ทำวัตรค่ำอีกเวลาหนึ่ง(๑)  เมื่อทำวัตรแล้วถ้าในพรรษาโปรดให้ฐานานุกรมผู้ใหญ่ขึ้นนั่งธรรมมาสน์อ่านบุรพสิกขาสอนข้อปฏิบัติแก่พระบวชใหม่  วันละตอนแล้วซ้อมสวดมนต์ต่อไปจนจวน ๒๓ นาฬิกาจึงเสร็จการประชุมสงฆ์เสด็จขึ้นเข้าที่บรรทม
 
 ว่าเฉพาะการศึกษาสำหรับสามเณรที่บวชใหม่เช่นตัวฉัน  มีข้อสำคัญก็ต้องท่องสวดทำวัตรเช้าและเย็น  กับคำสวดสิกขาบทของสามเณรเรียกว่า "อนุญญาสิโข" ซึ่งสามเณรต้องจำได้และเข้าใจความ ทั้งต้องสวดในโบสถ์เมื่อทำวัตรเช้าเสร็จแล้วทุกวัน  ฉันเคยได้รับสรรเสริญของเสด็จพระอุปัชฌาย์วันหนึ่ง  ด้วยในวันนั้นไม่มีสามเณรอื่นลงโบสถ์  ฉันกล้าสวดอนุญญาสิโขแต่คนเดียว  ตรัสชมว่าจำได้แม่นยำดี
 
 เขาเล่าว่า เสด็จพระอุปัชฌาย์ท่านเคยตรัสว่า  เมื่อแผ่นดิน(๒)พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้นถ้าใครเข้มแข็งในการศึกก็เป็นคนโปรด  ถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยใครแต่งกาพย์กลอนก็เป็นคนโปรด  ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใครสร้างวัดวาก็เป็นคนโปรด  ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถ้าใครรู้ภาษาฝรั่งก็เป็นคนโปรด   เห็นจะมีใครไปทูลว่าฉันรู้ภาษาฝรั่ง วันหนึ่งประทานหนังสือตำราดาราศาสตร์ฝรั่ง  ซึ่งหมอบรัดเลแปลพิมพ์เป็นภาษาไทยให้ฉันดู  ในนั้นมีดาวฤกษ์ ๒ ดวงซึ่งผู้แปลหาชื่อในภาษาไทยไม่ได้  จึงใช้อักษรโรมันพิมพ์ชื่อว่า Nepture กับ Uranus ตรัสถามฉันว่าเรียกอย่างไร  ฉันก็อ่านถวายตามสำเนียงตัวอักษร  ดูเหมือนท่านจะเข้าพระหฤทัยว่าฉันได้เรียนดาราศาสตร์ฝรั่งด้วย  ตรัสถามต่อไปว่ามันตรงกับดาวดวงนั้นของเรา  ฉันก็สิ้นความรู้ทูลว่าไม่ทราบ  แต่ก็ทรงพระเมตตาไต่ถามถึงเรื่องที่ฉันเรียนภาษาฝรั่งบ่อยๆ  ข้างฉันก็พอใจขึ้นไปเฝ้า เพราะได้ฟังท่านตรัสเล่าเรื่องโบราณต่างๆให้ทราบเนืองๆ  ในเวลานั้นเสด็จพระอุปัชฌาย์ยังไม่ทรงชรานัก  แต่วิธีท่านตรัสเล่าผิดกับผู้อื่น  เมื่อทรงบรรยายไปจนตลอดเรื่องแล้ว มักกลับเล่าแต่เนื้อความซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  คนที่ฟังตรัสเล่าย่อมเข้าใจและจำความได้ไม่ผิด  ฉันชอบเอาวิธีนั้นมาใช้เมื่อเป็นผู้ใหญ่  เคยถูกนินทาว่าเล่าอย่างคนแก่แต่ยังเห็นดีอยู่นั่นเอง  ด้วยเห็นว่าการที่เล่าอะไรเพื่อให้ความรู้หรือสอนวิชาให้แก่ผู้อื่น ผิดกับพูดเล่นเจรจากัน  เพราะประโยชน์ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องให้ผู้ฟังรู้และเข้าใจจริงๆ  เสด็จพระอุปัชฌาย์ท่านก็ทรงพระดำริเช่นนั้น  เมื่อตรัสเล่าอะไรประทานแก่สานุศิษย์มักเล่าซ้ำดังว่ามา
 
 เมื่อฉันบวชเป็นสามเณร ทำเวลาให้ล่วงไปด้วยประการอย่างใดยังจำได้อยู่  ดูน่าจะเล่าด้วยมีคติอยู่บ้าง  ตื่นเช้ามักออกบิณฑบาต  ไปด้วยกันกับพระเณรที่คุ้นเคยกันบ้าง ไปตามลำพังตัวบ้าง  การที่ออกบิณฑบาตที่จริงเป็นโอกาสที่จะไปเที่ยวเตร่  เพราะถ้าจะไปเวลาอื่นต้องทูลลาเสด็จอุปัชฌาย์  ถ้าไปบิณฑบาตประทานอนุญาตไว้ไม่ต้องทูลลา   ออกบิณฑบาตเสียแห่งหนึ่งสองแห่งแล้วก็ขึ้นรถหรือลงเรือไปที่ไหนๆ  บางทีไปกินเพลกลางทางกลับวัดจนบ่ายก็มี  เมื่อเจ้าพระยาภูธราภัย(๓)และเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงยกกองทัพไปปราบฮ่อ  ฉันก็ไปดูวิธียกทัพอย่างโบราณด้วย  เริ่มไปบิณฑบาตดังว่ามานี้ ฬครพบเข้าก็ไม่รู้ว่าเลี่ยงไป  แต่นานจึงเลี่ยงไปเที่ยวครั้ง ๑  โดยปกติมักกลับวัดทันสวดอนุญญาสิโขเวลาลงโบสถ์เช้า  เพราะเสด็จพระอุปัชฌาย์ท่านเสด็จลงเสมอ  เกรงจะติโทษว่าเกียจคร้าน
 
 
 ....................................................................................................................................................
 
 (๑) ประเพณีโบราณ พระสงฆ์ลงประชุมในโบสถ์แต่วันสวดปาฏิโมกข์  จึงเรียกกันว่า "ลงโบสถ์" โดยปกติเวลาเย็นคณะไหนก็ไหว้พระสวดมนต์ ณ หอสวดมนต์คณะนั้น  การประชุมสงฆ์ลงไหว้พระสวดมนต์ในโบสถ์วันละ ๒ ครั้ง  เป็นประเพณีตั้งขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช
 
 (๒) คำว่า "แผ่นดิน" นี้เป็นคำเก่า  ต่อมาในรัชกาลที่ ๕  จึงเกิดมีคำว่า "รัชกาล" มาใช้แทน  หนังสือเก่า เช่น ประชุมพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวล้วนแต่ใช้คำว่า "แผ่นดิน" แทน "รัชกาล"
 
 (๓) เจ้าพระยาภูธราภัย(นุช บุณยรัตพันธุ์)  นามเดิมว่า นุช เป็นบุตรเจ้าพระยาอภัยภูธร  ในรัชกาลที่ ๓ เดิมเป็นนายสนิท หุ้มแพร  แล้วเป็นหลวงศักดินายเวร  แล้วเลื่อนเป็นพระยาสุริยภักดี  เมื่อปลายรัชกาลที่ ๓ ถูกถอด  ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดฯให้เป็นพระยามหามนตรี  แล้วเลื่อนเป็น เจ้าพระยายมราช
 
 ครั้นเจ้าพระยานิกรบดินทร(โต กัลยาณมิตร) ถึงอสัญกรรม  จึงโปรดฯให้เจ้าพระยายมราช(นุช) เป็นเจ้าพระยาที่สมุหนายก  มีสมญาว่า "เจ้าพระยาภูธราภัย เมตยาภิธยาศรัยมหาดไทยนายก สยามดิลกมหาเสนาบดี กรธารีวรราชสีห์สิงหมุรธาธร มหาชนนิกรกิจจานุกิจ สฤษดิรพาหสกโลตรรัษฏาธิปาลานุรักษ์ อุดมศักดิ์สรรพประสิทธิวิจิตรปรีชา อภัยพิริยบรากรมพาหุ"
 
 บุตรธิดาของท่านคือ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช(เวก) , พระยาสิหราชฤทธิไกร(แย้ม) , เจ้าจอมมารดาตลับ , ท้าวสมศักดิ์(โหมด) เป็นต้น
 เจ้าพระยาภูธราภัย เกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๕๑ ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ปีขาล พ.ศ. ๒๔๒๑ อายุได้ ๗๑ ปี
 
 จากคุณ :
กัมม์
  - [
27 ก.ค. 48 16:49:31
] |  |  |