ความคิดเห็นที่ 1 หนึ่งนาฬิกา..ย่างเข้าเช้าวันใหม่ของ..31 สิงหาคม 1997 ข่าวอุบัติเหตุของเจ้าหญิงได ได้ถูกส่งไปยังเจ้าฟ้าชายชารลส์ขณะที่กำลังบรรทมสนิท ณ.ที่พระตำหนัก บัลมอรัล โดย เซอร์ รอบิน แจนฟริน เลขานุการในสมเด็จพระราชินี และพระองค์ก็ได้รับข่าวที่ไม่เคยทรงคาดคิดมาก่อนว่า มีผู้เสียชีวิตในรถคันเดียวกันนั้น คือ นายโดดี้ ฟาเอด เพลย์บอยลูกชายมหาเศรษฐี เจ้าของกิจการสารพัด รวมไปถึงห้างแฮร์รอด นาย โมฮะหมัด อัล ฟาเอด หากแต่ข่าวในชั้นแรกที่ทุกคนได้รับจากสถานฑูตอังกฤษในฝรั่งเศส มีเพียงว่า เจ้าหญิงบาดเจ็บและกำลังได้รับการรักษาอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล.. หลังจากที่รวบรวมสมาธิได้ พระองค์จึงรีบโทรกลับไปยังข้าราชบริพารในพระองค์หน่วยต่างๆ พร้อมทั้งออกคำสั่งให้ติดตามเรื่องพร้อมทั้งรายงานโดยละเอียด ส่วนสมเด็จพระราชินีฯ ก็ทรงได้รับถวายรายงานในเวลาไล่เลี่ยกันจากข้าราชบริพารในพระองค์(ทั้งๆที่ประทับอยู่ห้องติดกันกับเจ้าฟ้าชาย พระโอรส หากแต่ นี่คือกฏระบียบวัง) เจ้าชายได้ติดต่อไปยัง นิค อาร์เช่อร์ เลขานุการส่วนพระองค์ แสดงพระประสงค์ที่จะเสด็จไปยังปารีสด่วน เพื่อดูอาการของอดีตพระชายา ซึ่ง นิค ไม่สามารถจัดการอะไรให้ได้ เพราะ เครื่องบินในยามนั้น เห็นทีจะมีแต่เครื่องบินส่วนพระองค์ในสมเด็จพระราชินีฯเท่านั้น ไม่มีใครมีอำนาจสั่งออกใช้ปฏิบัติการได้ นอกจากจะได้รับพระราชทานอนุญาต    ในที่สุด เสียงโทรศัพท์ก็กลับมาหาท่านเซอร์ รอบิน อีกครั้ง เพื่อจะขอให้ทูลเสนอขอ เครื่องบิน เนื่องจาก นี่คือเหตุด่วน เพราะเป็นพระประสงค์ของพระโอรส.. ท่านเซอร์ รอบิน บอกว่า ก็ต้องคอยก่อนนะ เพราะ ยังไม่อาจเข้าพบเพื่อกราบบังคมทูลได้ในตอนนี้ และ ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว..มันก็ไม่เหมาะสมเท่าใดนักเพราะนี่คือเครื่อง ส่วนพระองค์ อีกฝ่ายหนึ่ง ก็ว่า "ถ้างั้นก็คงไม่เป็นไรมัง..กระผมคงต้องเสนอให้เสด็จโดยเครื่องของกองทัพอากาศจากสนามบินอาร์เบอร์ดีน" ทั้งหมดรู้ดีว่า..ไม่สมควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ในการที่กราบบังคมทูลขอในครั้งนี้ เพราะว่า นอกจากเจ้าหญิงได ได้สร้างเรื่องราวที่น่าปวดพระเศียรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อพระราชินีจนพระองค์หมดความอดทนแล้ว..สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่อง"งาม"นัก เพราะมีชายต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 48 15:03:43 จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:02:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 และเป็นเรื่องที่แสนแปลกประหลาด ในสัมพันธภาพระหว่าง แม่-ลูก วินเซอร์ คู่นี้..ที่คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ผนังกั้น แต่..เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ต้องต่อสายโทรศัพท์คุยกันโยงใยไปมา ระหว่างข้าราชบริพารสองกอง..รวมไปถึงเรื่องการควรไม่ควรที่ลูกขอยืมใช้เครื่องบินของแม่..ซึ่งต้องกลั่นกรองมาจากความเห็นของคนอื่น.. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ..!! เจ้าฟ้าชายชารลส์ ทรงรักและเทิดทูน พระราชมารดา และพระบิดายิ่งนัก หากแต่..ขาดการสื่อสารที่ดี เขาทั้งหมด ไม่เคยนั่งคุยปัญหาของกันและกันอย่างเป็นส่วนตัว ส่วนฝ่ายผู้สูงชันษา ก็ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวของการระหองระแหงระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชาย จนมีคนมาเล่าทูลให้ทรงทราบเมื่อปี 1987 นี่เอง เพราะว่ามันเลวร้ายขนาดที่เจ้าหญิงได้พยายามปลงพระชนม์ด้วยการทิ้งตัวให้กลิ้งลงมาจากบันไดในพระตำหนักแซนดริงแฮม เพราะ พระองค์ได้จับได้ว่า พระสวามียังทรงพบปะ รักใคร่อยู่กับ นางคามิลลา ปาร์คเกอร์ โบวลส์ คู่รักเก่า แต่..ทั้งสมเด็จฯและดยุค..ก็ไม่ได้ใส่พระทัยในเรื่องนี้มากนัก เพราะ ไม่เคยออกพระโอษฐ์ถามไถ่แม้แต่คำเดียว !! แผนการเดิม..คือเจ้าฟ้าชาย ทรงคิดวางแผนที่จะบินไปลอนดอน พร้อมพระโอรสทั้งสองเพื่อพบกับเจ้าหญิงได ที่กำลังจะกลับจากปารีส ในเช้าวันอาทิตย์ และ เพื่อพระโอรสจะได้มีเวลาอยู่กับพระมารดาสองสามวันก่อนที่จะเสด็จกลับเข้าโรงเรียน เพราะการปิดเทอมได้สิ้นสุดลงพอดี แต่..ครั้งนี้ พระองค์ต้องเปลี่ยนแผนบินด่วนไปปารีสเพียงลำพัง เพราะ พระองค์ไม่อยากให้เด็กๆได้เห็นแม่ในสภาพของการเป็นคนเจ็บ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครทราบถึงอาการของเจ้าหญิงอันเป็นที่แน่นอน เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้โทรคุยกับคามิลล่าเป็นระยะๆ  พร้อมทั้งรอรับฟังข่าวที่จะรายงานสายตรงจากปารีส พระองค์ทรงเป็นห่วงใยและกลัดกลุ้มจนต้องระบายออกมากับคนใกล้ชิดว่า "ฉันเคยสังหรณ์ใจอยู่เสมอๆ..ว่า จะต้องมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับไดอะน่าเข้าสักวันหนึ่ง..วันนั้น อาจหมายถึงที่ฉันคงต้องได้ดูแลเธอไปจนตลอดชีวิต" ในตอนนั้น ทุกคนในพระตำหนัก ได้นั่งเฝ้าหน้าจอทีวี ที่ออกข่าวอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง ยกเว้น เจ้าชายองค์น้อยทั้งสองพระองค์ที่ยังคงหลับสบาย ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิด เจ้าพนักงานก็ได้แอบเคลื่อนย้ายวิทยุออกจากห้องบรรทม รวมทั้งย้ายเครื่องรับโทรทัศน์ให้ออกไปจากห้องนั่งเล่น เพื่อไม่ไห้ได้รับข่าวสารอะไรเกี่ยวกับพระมารดา จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จนถึงเวลา 3.30 น. ฝ่ายเลขาฯของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับเซอร์ รอบิน ว่า..ได้จัดการของเครื่องบินของกองทัพอากาศเป็นที่เรียบร้อย ถึงแม้ว่า พวกเขาจะต้องปลุกนักบินให้บินกันนอกเหนือจากตารางบินประจำ แต่แล้วมีเสียงสัญญาณจากสายตรงดังขึ้นขัดจังหวะ.. สักพักเดียว เสียงของเซอร์ รอบิน ก็บอกกลับมาว่า "แผนนั้น..คงต้องเปลี่ยนแล้วละ นิค เพราะ ข่าวเพิ่งส่งเข้ามาว่า เจ้าหญิงได้สิ้นพระชนม์เมื่อกี้นี้เอง.." จากนั้น..เวลา 4.00 น. ข่าวของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้ออกกระจายไปในทุกสื่อทั่วโลก.. เจ้าฟ้าชายชารลส์ ทรงโทรหา มาร์ค โบลลัน เลขานุการส่วนพระองค์(อีกคนหนึ่งในทีม) ด้วยความตระหนกตกพระทัย ว่า "มาร์ค ..รอบินเพิ่งบอกฉันว่า เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ จริงหรือมาร์ค ..มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ไหนว่าแค่บาดเจ็บ แล้ว..เค้าไปทำไมล่ะที่นั่นน่ะ มีธุระอะไรหนักหนาหรือไง แล้วนี่ใครต่อใครไม่รุมด่าฉันยับไปเหรอ..ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ..??" มาร์คเองก็พูดไม่ออก..แต่เขาได้ยกหูไปส่งข่าวแก่ คามิลล่า ให้รับทราบ และเป็นการเตือนกลายๆว่า รอรับการปรับทุกข์จากเจ้าชายได้เลย ปรากฏว่า..เขาทั้งสองได้คุยกันแล้วตลอดเวลา และ เธอเองก็ตกอกตกใจไม่น้อยเลยเช่นกัน ความกังวลที่ตามมาติดๆนั้น คือ พวกเขาจะถูก ประชาชนชาวโลกตำหนิว่าอย่างไร? ข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดนั้น สร้างความตื่นตะลึง และ อาดูรไปทั่วโลกอย่างคาด  เพราะดังที่เล่ามาว่า ข่าวในชั้นแรก บอกแค่ว่า บาดเจ็บเล็กน้อย อาจไม่เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ  ผู้คนก็โล่งใจ แต่เรื่องจริงคือ การชนอย่างแรงนั้น ทำให้เจ้าหญิงได้รับการกระทบอย่างแรงที่ศรีษะ และ หน้าอก จนสิ้นสติไปทันที รถพยาบาลได้พยายามช่วยนำตัวออกมาจากซากรถเมอร์ซิเดสคันนั้นซึ่งใช้เวลาไปร่วมชั่วโมง ก่อนที่ศัลยแพทย์ได้พยายามยื้อชีวิตอยู่กว่าสองชั่วโมง.. ในโรงพยาบาล Pitie-Salpetriere แต่..ไม่เป็นผลสำเร็จ จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งต่อมา ที่เจ้าฟ้าชายทรงเป็นกังวล นั่นก็คือ จะบอกข่าวร้ายนี้แก่พระโอรสได้อย่างไร? จะปลุกแล้วบอกตอนนี้ หรือ รอให้ตื่นขึ้นมาก่อน สองคำถาม..ที่พระองค์ไม่สามารถให้คำตอบแก่ตัวเองได้ จนสมเด็จพระราชินีต้องเสนอแนะว่า..รอเช้าเถิด เพราะ เจ็ดโมงเช้าเขาทั้งสองก็ตื่นจากทมแล้ว.. (คืนนั้น เจ้าชายวิลเลี่ยม ไม่ได้ทรงบรรทมได้เต็มตา หลับตื่นๆ ด้วยมีลางสังหรณ์เหตุร้ายล่วงหน้า) เจ้าฟ้าชาย ทรงกลัดกลุ้มในเรื่องของเสียงประชาชนที่กำลังจะตามมา ถึงกับปรับทุกข์กับคามิลล่า ว่า "ทุกคนต้องตำหนิฉันคนเดียว นี่คือเรื่องใหญ่เชียวนะ ไม่ใช่ฉันหรือ"เรา" เพียงเท่านั้น พระราชวงค์ก็จะพลอยโดนไปหมด" ฝ่ายนาย Lamport  Stephen (เลขาส่วนพระองค์ อีกคนหนึ่ง) ได้บอกว่า "จริงพะยะค่ะ พระราชวงค์คงโดนด้วยแน่ๆ โดยเฉพาะองค์สมเด็จฯ ที่ทรงต้องทำอะไรหลายอย่างในสิ่งที่ฝืนพระทัย..ที่ไม่ทำก็ไม่ได้ น่าสงสารพระองค์ออก" สิ่งแรกเลย ที่ ความยุ่งยากที่สมเด็จพระราชินีได้รับก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในวันใหม่ นั่นก็คือ การขัดพระทัยที่พระโอรสมีพระประสงค์ที่จะเสด็จปารีส เพื่อไปรับศพเจ้าหญิง เนื่องจากว่า เจ้าหญิงไดอะน่า ไม่ใช่สมาชิกในพระราชวงค์(หลังจากการหย่า ถือว่าเป็นการสิ้นสุดในสัมพันธภาพ) ซึ่งข้อนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มราชเลขาฯในพระองค์ (ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เซอร์ รอเบิร์ต เฟลโลว์ พี่เขยของเจ้าหญิงไดแท้ๆ) แต่เซอร์ รอบิน กลับเห็นตรงกันข้าม ถึงกับมีการขัดแย้งกันวุ่นวาย ในที่สุด เซอร์รอบิน ได้ย้อนถามสมเด็จฯว่า "หรือพระองค์อยากเห็น ศพเจ้าหญิงได กลับมาจากปารีสโดยรถบรรทุกของห้างแฮรอดส์ อย่างนั้นหรือพะยะค่ะ??" ด้วยประโยคนี้ เล่นเอาสมเด็จพระราชินีถึงกับนิ่งอั้น..เห็นภาพจริงตามนั้นทุกอย่าง..จึงทรงประทานอนุญาตอย่างไม่มีข้อแม้ !! (ห้างแฮรอดด์ชื่อดังนั้น เจ้าของคือ นายโมหะมัด ฟาเอด บิดาของนายโดดี้) จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:10:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าหญิงได และ โดดี้นั้น เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นอย่างยิ่งของพระราชวงค์..โดยเฉพาะเจ้าฟ้าชายชารลส์ มิใช่ว่าพระองค์จะมีพระประสงค์ในการขัดขวางความสุขของอดีตพระชายาแต่อย่างใด หากแต่ พระองค์ทรงรู้จัก"ตัวตน"ที่แท้จริงของเจ้าหญิงและครอบครัวพื้นเพที่มาของฝ่ายชายดีพอ พอที่จะทราบว่า..คนพวกนั้น อาจใช้เจ้าหญิงเป็นเครื่องมือในการโฆษณาหากินต่อไปอย่างไม่มีวันเลิกรา นายโมหะหมัด อัล ฟาเอด เป็นมหาเศรษฐีชาวอียิปต์ที่มีนิสัยทะเยอทะยาน อยากยกฐานะเทียมเจ้านาย ซึ่ง..เขาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสัญชาติอังกฤษ แต่ไม่ว่าจะขอครั้งใด ก็..ถูกปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง.. เขาคนนี้ คือพ่อสื่อพ่อชักในการยัดเยียดแนะนำตัวลูกชายนายโดดี้ให้เข้ามาในวงจรของเจ้าหญิงได.. ถึงขนาดเชิญเจ้าหญิงพร้อมพระโอรสให้ไปเที่ยวโดยเรือสำราญส่วนตัว (ตอนนั้น เรือยังไม่มี แต่พอเจ้าหญิงตอบรับคำเชิญ เขาก็สั่งซื้อทันที ราคาร่วมสามสิบล้าน และเรียก ลูกชายจากอเมริกามาคอยเทคแคร์เจ้าหญิง..แบบเซอร์ไพรส์) และเพื่อเป็นการ"เอาคืน" กับพระราชวงค์ นาย อัล ฟาเอด ได้จัดส่งรูปภาพความเป็นไปและความชื่นมื่นในเรือสำราญ ระหว่าง เจ้าชายวิลเลี่ยม  เจ้าชายแฮร์รี่ โดดี้ เจ้าหญิงได แก่สื่อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ..เพื่อเป็นการประกาศว่า เขานี่แหละ..ที่จะมี"ว่าที่ลูกสะใภ้" เป็นถึงพระชนนีของกษัตริย์อังกฤษในกาลข้างหน้า. จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ส่วนนายโดดี้ ก็คือ เพลย์บอยระดับเจ๊ทเซ็ทขนานแท้และดั้งเดิม ทำมาหากินอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ผลาญเงินพ่ออย่างไม่เกรงใจ เพราะ ไม่ว่าเขาต้องการอะไร ผู้เป็นพ่อก็มักจะทูลหัวให้ แม้กระทั่งเงินก้อนโต เพื่อเอาไปสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูด..ที่หวังกล่อง มากกว่า เงิน.. โดดี้ มักถูกห้อมล้อมด้วยหญิงสาวงามระดับโลกมากมาย ในขณะที่เขากำลังยุ่งขิงอยู่กับเจ้าหญิง เขาก็ยังมีหญิงอื่นที่ใกล้ชิดถึงขนาดกำลังจะ"หมั้น" แต่..เมื่อเขาได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจกว่า เลิศเลอกว่า..อย่างเจ้าหญิง เขาก็สลัดหญิงคนนั้นอย่างไม่ใยดี (มีการฟ้องร้องว่าผิดสัญญากันด้วย) ทั้งเจ้าหญิงและโดดี้ ดูเหมือนกำลังตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เลยสะดวกไปด้วยประการทั้งปวง ต่างคนต่างต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มี เช่น ครอบครัวของโดดี้ อาจเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เจ้าหญิงได้ ด้วยอำนาจเงินตรา เพราะ หลังจากการหย่า สินทรัพย์ที่ได้มาจากพระสวามี ก็ไม่ได้มากมายอะไร ถ้าจะเปรียบกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่มากมาย หนี้สังคมที่มหาศาล.. และ ฝ่ายชายก็จะได้เกียรติยศที่ไม่มีวันหาได้ในชาตินี้ เป็นการตอบแทน เจ้าชายน้อยๆทั้งสองพระองค์ ก็ไม่ได้สนุกสนานมากมายนักในการไปกับเรือสำราญในครั้งนั้น ทรงวางพระองค์ได้ดี ไม่มีการตีสนิท..หรือ นับเพื่อนกับเจ้าของเรือใดๆ อีกทั้งในตอนสุดท้ายก่อนกลับ นายอัล ฟาเอด ได้แสดงความใจกว้าง(ผิดกาละเทศะ) จัดเงินใส่ซองจำนวนไม่น้อย มอบให้แต่องครักษ์ที่ตามเสด็จ พร้อมทั้งโน๊ตขอบคุณที่เหน็บอยู่ ซึ่งองครักษ์เหล่านั้น รีบโทรไปรายงานยังเจ้านายหัวหน้าใหญ่ทันที คำสั่งคือ "นำไปคืนให้หมด เดี๋ยวนี้" จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในที่สุด เครื่องบิน BAe 146 ก็ได้บินเพื่อรับศพเจ้าหญิงได เป็นศพแรก(ในการลำเลียงของเครื่องบินส่วนพระองค์ลำนี้)ในคำสั่งจากกรมวัง.. ที่ผิดไปจากความคาดหมายของใครต่อใคร เพราะในขณะนั้น ควันมัมก็มีพระชนมายุได้ 97 เข้าไปแล้ว..ใครเล่าจะคิดว่าเป็น ร่างที่ปราศจากลมหายใจของเจ้าหญิงได ที่กำลังเป็นสาวสดสวย.. เจ้าฟ้าชายชารลส์และคณะเลขาฯส่วนพระองค์ออกจากท่าอากาศยานกองทัพอากาศ Northolt เวลา 10 โมงเช้า เพื่อไปแวะรับพี่สาวสองคนของเจ้าหญิงได นั่นคือ เลดี้ซาร่าห์ แมคคอโคเดล  และ เลดี้เจน เฟลโลว์ ที่ท่าอากาศยาน ใน Rutland ส่วนพระโอรสทั้งสอง ไม่ได้โดยเสด็จ หากแต่ประทับอยู่ที่พระตำหนักบัลมอรัล ในความดูแลของ พระพี่เลี้ยง Tiggy Legge-Bourke ที่ต้องถูกเรียกตัวมาปฏิบัติหน้าที่ในสก๊อตแลนด์เป็นการด่วน  และเธอจะต้องเป็นผู้นำเจ้าชายทั้งสองกลับไปยังกรุงลอนดอน เพื่อเตรียมรอรับศพของพระมารดา บรรยากาศภายในเครื่องบินนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง สองเลดี้ส์ นั่นก็ได้แต่ร้องไห้ไปตลอดทาง ส่วนเจ้าฟ้าชายถึงแม้จะควบคุมองค์ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่วายกลั้นสะอื้นในบางเวลา และพระองค์ได้กล่าวเตือนต่อซาร่าห์ และ เจน ว่า.. "ต้องทำใจนะ เราอาจต้องมีการพบปะกับนาย อัล ฟาเอด ที่โรงพยาบาล จะว่างัย จะไปพูดจากกับเขาไหม?" สาวทั้งสอง ส่ายหน้า บอกว่า อย่างว่าแต่พูดคุยเลย..หน้าตาก็ไม่อยากเห็น !! แต่ก็โชคดี..ที่ทั้งหมดไม่ต้องพบปะผู้ที่กล่าวถึงแต่อย่างใด เพราะ ทันทีที่ถึงโรงพยาบาล นายอัล ฟาเอด ได้นำศพลูกชายออกไปทำพิธีทางศาสนาในสุเหร่าเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่มารอรับเสด็จและดูแลความเรียบร้อย คือ ประธานาธิบดี ชีราค แห่งฝรั่งเศส ทั้งหมดได้ถูกนำไปดูร่างที่สิ้นวิญญาณของเจ้าหญิงได..ในห้องดับจิตของโรงพยาบาล..พร้อมทั้งบาดหลวงที่มารอทำพิธีสวด เจ้าหญิงได้นอนสงบนิ่งอยู่ในหีบศพ (ที่ส่งมาจากอังกฤษ) ในชุดเสื้อผ้าที่นาย พอล เบอร์เรลล์ ต้นห้องคนสนิทได้นำมาเปลี่ยนให้ แต่สภาพนั้น แทบไม่มีใครสามารถจำเธอได้เลย เพราะ ศรีษะและใบหน้ามีร่องรอยแตกยับ.. เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ตรัสเบาๆกับหญิงทั้งสองว่า "โชคดี..ที่ไม่ได้พาลูกๆมา..เขาคงทนเห็นแม่ของเขาในสภาพนี้ไม่ได้เลย" จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทั้งหมดได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นประมาณ เจ็ดนาที ก่อนที่เจ้าฟ้าชายจะเสด็จออกมาก่อน พระองค์ได้หยุดนิ่งที่หน้าประตูประมาณอึดใจ พระเนตรแดงก่ำ พระโอษฐ์เม้มแน่นจนเป็นแนวเส้นตรง พระพักตร์มีร่องรอยของความเศร้าหมอง พระองค์กำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมดที่มี เพื่อที่จะต้องออกไปพบกับผู้คนที่รอคอยรับเสด็จอยู่ข้างนอก..และทันทีที่พระองค์ได้ทรงก้าวพ้นประตูออกมา มีผู้แอบนินทาไว้ว่า.. "จากมนุษย์ธรรมดาที่กำลังโศกๆอยู่ปุ๊บ ก็มากลายเป็นเจ้าชายมกุฏราชกุมารปั๊บ" นั่นคือ ทรงออกไปทักทาย และ จับมือกับบรรดาหมอ พยาบาล พร้อมทั้งตรัสขอบคุณ ที่เขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เมื่อพระองค์ได้ทราบข่าวว่า นาย Trevor Rees-Jones ผู้อารักขาคนหนึ่งที่เป็นลูกจ้างของนาย อัล ฟาเอด ได้จ้างมาให้ดูแลและร่วมเดินทางไปในรถยนตร์คันนั้น เป็นคนเดียวที่มีชีวิตรอด แต่อยู่ในสภาพเจ็บหนัก ยังนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล..พระองค์มีพระประสงค์ที่จะพบกับพ่อแม่ของคนใข้ เพื่อแสดงความเสียใจ.. เพียงไม่นานจากนั้น หีบศพก็ได้ตกแต่งเรียบร้อย ได้ถูกยกเคลื่อนออกไปยังขบวนรถที่จอดรออยู่ข้างนอก ผู้คนทั้งหมดในโรงพยาบาลได้จัดแถวออกเป็นสองข้างโดยไม่ได้มีการนัดหมาย ด้วยสีหน้าท่าทางสุดอาลัย เหตุการณ์บนถนนข้างนอก ประชาชนชาวปารีเชียงนับพันๆได้มารวมตัวอยู่สองข้างถนน  ต่างรอการส่งอำลาเจ้าหญิงในดวงใจของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย.. นั่นคือ ศรัทธาและเกียรติยศที่เจ้าหญิงได้รับอย่างมากมายจากคนภายนอก..แม้แต่เจ้าฟ้าชายอดีตพระสวามียังรู้สึกประหลาดใจ แทบไม่เชื่อสายตาว่า ชาวปารีเชียง ที่ใครต่อใครเขาว่าดื้อรั้นนั้น..จะพร้อมใจกันยืนนิ่งเป็นการคารวะจากหัวจิตหัวใจเยี่ยงนี้.. บนเครื่องบิน..ซาร่าห์ และ เจน แอบขอตัวไปสูบบุหรี่ในเคบินที่จัดไว้โดยเฉพาะ..เจ้าฟ้าชายได้เรียกถามถึงกำหนดการจัดงานศพ  คำตอบว่า.. เมื่อเครื่องลง นายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์ และ หัวหน้ากรมวัง ลอร์ด แอร์ลี่ (เจ้าหน้าที่อาวุโสสูงสุดในสมเด็จพระราชินีฯ) จะเป็นผู้มาดำเนินงาน แต่ คำถามที่พระองค์..มีต่อไปว่า..ใครจะเป็นผู้มาแบกหีบศพ ทหารอากาศ..หรือ..?? ดอกไม้..ไปจัดการเลือกหรือยัง...??? ขบวนรถ..พร้อมหรือยัง..?? และ..จะเอาไปไว้ที่ไหน..?? คำตอบที่ได้รับ คือ  หีบศพ จะถูกนำไปไว้ที่ สถานณาปนกิจ Fulham  ที่พระราชวังมักใช้กับบรรดาข้าราชบริพารเมื่อเกิดมีการเสียชีวิตขึ้นมา เจ้าฟ้าชาย..ถึงกับอึ้ง..ก่อนที่จะตรัสว่า "ไม่ได้นะ ไดอะน่าจะต้องไปอยู่ที่ วิหารหลวง ในพระราชวังเซนต์ เจมส์  ..และนี่คือ คำสั่งของฉัน " จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกได้ทันทีถึงความสั่นคลอนของศรัทธาของประชาชนที่เคยมีต่อพระราชวงค์ จากดอกไม้ที่กองสูงท่วมเท่าเขาเลากา การ์ดแสดงความเสียใจที่ถูกส่งมาจากทุกมุมโลก ประชาชนร่ำไห้และหลังจากนั้น ก็เริ่มแสดงความคิดเห็น บ้างก็โกรธแค้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่า เขาเหล่านั้น เริ่มมองหา"ตัวการ" หรือ "ตัวต้นเหตุ" ที่ต้องได้รับโทษ บางคนก็ว่า ถ้าพระสวามีไม่ได้ไปมีนางมารร้ายที่ชื่อ คามิลลา แล้ว..เจ้าหญิงไดก็คงอยู่ได้อย่างมีความสุข บางคนก็แสดงความเห็นใจว่า..เจ้าหญิงเพิ่งได้พบกับ"รักแท้" จากชายนามว่า โดดี้ แต่แล้วก็ไม่ทันไร.. บางคน ก็โทษหมู่ปาปารัสชี่ ที่เฝ้ารุมติดตามเจ้าหญิงในทุกขณะจิต จนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แม้แต่ เอิร์ล สเปนเซอร์ น้องชายแท้ๆของเจ้าหญิงได ที่ได้ทราบข่าวร้ายนี้ในขณะที่ พักผ่อนอยู่ในอาฟริกาใต้ ถึงเกิดเกิดโทสะเดือดดาล ประกาศออกอากาศว่า "สะใจ..แล้วใช่ไหม.ไอ้พวกฆาตกร" เพราะว่าในคืนเกิดเหตุ ข่าวว่า คนขับได้เร่งเครื่องราวกับพายุเพื่อที่จะหนีกองทัพของปาปารัสชี่ ที่พร้อมดักรอในทุกๆจุดของเส้นทาง เพื่อที่จะได้ยิงภาพเด็ดๆของเจ้าหญิงและคู่รัก เพราะ ไม่ว่าภาพนั้นจะเด็ด หรือ ไม่เด็ด สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้ทั้งนั้น... แต่ก็แปลกที่มทุกคนมองข้ามความจริงไปอย่างไม่น่าเชื่อว่า..คนที่จัดหารถยนตร์ จ้างคนขับ (นาย เฮนรี่ พอล ที่มีประวัติเมาแล้วขับ) นั้น คือ นาย อัล ฟาเอด ส่วนคนขับรถประจำตัวของเจ้าหญิง ได้ถูกกันไปขับรถอีกคันหนึ่งที่ทำหน้าที่ล่อให้นักข่าวติดตาม.. และ ทำไมนายโดดี้ จึงปล่อยให้คนขับเหยียบเกินร้อยเช่นนั้น ในขณะที่เกิดเหตุ พยานก็เห็นกันชัดๆว่า รถนั้นเสียหลักพุ่งเข้าชนเสาเอง..ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรถยนตร์คันไหนๆ นายอัล ฟาเอด..ต้องรีบออกมาเบี่ยงประเด็นให้เป็นสาเหตุอื่นๆสารพัด ที่จะต้องไม่เกี่ยวโยงเข้าหาตัว เพราะ นาย เฮนรี่ พอล คือ ลูกจ้างที่อยู่ในความรับผิดชอบ นายมหาเศรษฐีคนนี้ ถึงกับให้ข่าวว่า ทั้งหมดคือแผนการกำจัด ตัดไฟแต่ต้นลมของสมเด็จพระราชินี ที่เกรงไปว่า เจ้าหญิงไดอะน่า จะตกลงปลงใจแต่งงานกับลูกชายของตัว อันถือเป็นรอยด่างของพระราชวงค์ ในปี 1998 นายอัล ฟาเอด ได้ให้สัมภาษณ์ออกทีวี ว่า เขาเชื่อในสิ่งที่เขาได้กล่าวไป เพราะ สาเหตุหลายอย่างมันช่างเป็นไปได้ว่าทั้งหมดคือฝีมือของควีนแห่งอังกฤษ แน่นอนว่า นี่คือข้อความที่กระจายไปทั่วโลก ในฐานะที่ ครอบครัว นาย อัล ฟาเอด เป็นมุสลิม ทำให้อาจสร้างกระแสทางการเมืองได้.. แม้แต่ องค์สมเด็จฯเองก็ทรงซึมซับในข้อนี้เป็นอย่างดี  อย่างเช่นในการร่วมโต๊ะเสวยในวันหนึ่ง ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งได้กล่าวต่อพระองค์ว่า "ตอนนี้ รู้สักว่าสถานะการณ์ทาง IRA ออกจะเงียบๆไปนะพะยะค่ะ" พระองค์ทรงสรวลน้อยๆก่อนที่จะตอบว่า "ก็พวกเขารอให้ พวกมุสลิมมาฆ่าฉันแทนน่ะซิ" จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:25:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จริงอยู่..ที่สมเด็จพระราชินีเป็นห่วงในเรื่องการเลือกคู่ครองของเจ้าหญิงไดอะน่า โดยเฉพาะรายของ นายโดดี้  เจ้าชายพระโอรสทั้งสองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่นั้น ประชาชนทั้งประเทศก็ไม่สบายใจ ในข้อต่างอย่างมากมายของคนทั้งสอง ภาพพจน์ของเด็กสาวลูกผู้ดี ขี้อาย สงบเสงี่ยม อย่างที่เลดี้ไดอะน่าเคยเป็น ก็หายไปจากความทรงจำของใครต่อใครนานแล้ว เพราะ ข่าวคาวๆที่ผุดขึ้นมาในระยะหลังๆนั้น ช่างฉาวโฉ่ และน่าอับอาย สำหรับหญิงสูงศักดิ์ผู้ที่จะเป็นแม่ของกษัตริย์ต่อไปในวันข้างหน้า นับตั้งแต่ ผู้พันทหารม้า James Hewitt  ที่กินในที่ลับ แล้วมาไขในที่แจ้ง เพียงแค่เห็นแก่อามิสสินจ้าง อีกทั้ง เจ้าหญิงเคยถูกร้องเรียนโดย ภรรยาของนักรักบี้ Will Carling ที่ว่า เจ้าหญิงได้มายุ่งกับสามีของเธอจนทำให้ครอบครัวเกิดการแตกแยก และที่โดนตำหนิมากที่สุด นั่นคือ เจ้าหญิงได้พยายามนำพระโอรสทั้งสอง ให้เข้าคลุกคลีกับครอบครัว ฟาเอด จนเป็นการไม่สมควร นิตยสาร Express ถึงกับเขียนถึงด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เช่น ระหว่างเจ้าหญิงได และ โดดี้ ช่างสมกันราวกิ่งทองใบหยก เพราะ ทั้งคู่พกแต่ขี้เลื่อยอยู่เต็มสมอง แต่..ข้อความตำหนิ ติฉินต่างๆนั้น หาได้หยุดเจ้าหญิงไม่ เพราะ ความรักระหว่างเธอและโดดี้กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น จนกล่าวได้ว่า นี่คือรักแท้ ทั้งสอง มีการพูดถึงเรื่องหมั้น..ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน....!! แต่ในขณะที่ประชาชนกำลังอยู่ในอารมณ์สูญเสียนั้น เหตุผลต่างๆที่เคยมองเห็นก็หายไป มีความสงสารและเห็นใจเข้ามาแทนที่ตามวิสัยมนุษย์ ยามนั้น..พระราชวงค์ส่วนใหญ่ยังคงประทับอยู่ที่สก๊อตแลนด์ จนดูเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อการจากไปของเจ้าหญิงผู้แสนดี  เลยทำให้ข่าวที่ว่าทุกคนช่างแสนร้ายกับเจ้าหญิงก็น่าจะเป็นความจริง เพราะไม่งั้นทำไมจึงไม่มาแสดงความเสียใจพร้อมกับประชาชนเล่า?? แต่ไม่มีใครรู้ว่า..เจ้าฟ้าชายชารลส์นั้นทรงเสียพระทัยถึงกับกรรแสงบ่อยๆ และ ในเช้าวันอาทิตย์ หลังจากเจ้าชายน้อยๆได้รับทราบข่าวร้าย.. ทั้งสองพระองค์ขอไปโบสถ์ เพราะ อยากสวดให้กับพระมารดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ และ อาทิตย์นั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความโทมนัสที่ ทุกคนอยากเก็บความรู้สึกเศร้าหมองนั้นไว้เป็นส่วนตัว จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ประชาชนกลับไม่เข้าใจ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "พวกนี้จะรู้สึกรู้สาอาร๊ายยย ยังคงสนุกพักร้อนกันอยู่ที่สก๊อตแลนด์นั่นแหละ ลูกเต้าก็เลยพลอยเป็นไปด้วย แม่ตัวเองนอนตายอยู่ที่นี่แท้ๆ" แน่นอนว่า ข้อความต่างๆนั้นได้ล่วงรู้ถึงพระราชวังในสก๊อตแลนด์เช่นกัน กระแสกดดันมาจากทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นจากคณะรัฐบาลทั้งของอังกฤษ และจากประเทศอื่นๆ พ่อค้า ประชาชน จากทั่วโลก ที่ต่างจับจ้องในท่าทีของพระราชวงค์ ว่า จะหาทางออกอย่างไรกับเรื่องของเจ้าหญิงไดอะน่า เจ้าฟ้าชายชารลส์ ทรงทราบดีว่า  พระองค์ไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจในการทำอะไรได้ นอกเหนือไปจากหน้าที่ที่นำร่างอดีตพระชายากลับคืนมาจากฝรั่งเศส และ ถ้าจะมาออกรายการคร่ำครวญถึงการสูญเสียครั้งนี้ ก็คงไม่วายถูกบรรดาสื่อกระหน่ำหาว่าเป็นการเล่นละครตบตา เรียกว่า พระองค์อยู่ในฐานะที่โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่าง หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ ได้พาดหัวข่าวว่า "ชารลส์ร่ำกรรแสง เพราะ เสียใจและรู้สึกผิด"  แต่ภาพนั้น เป็นภาพเก่าๆของพระองค์ในงานศพคนอื่น นี่คือการกุข่าวที่ออกจะเกินเลยไป !! สรุปว่า อาทิตย์แห่งความวิปโยคนั้น กรมวังสั่งห้ามนำหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเข้ามาในพราะราชวังบัลมอรัลอย่างเด็ดขาด..!! การจัดการศพ ได้ดำเนินไปในความดูแลของเซอร์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะกระอักกระอ่วน เพราะ เจ้าหญิงไดอะน่า คือ น้องเมีย (ภรรยาของเขาคือ เลดี้เจน) และครอบครัวสเปนเซอร์ต้องการรับไปจัดการกันเองแบบครอบครัวธรรมดา ซึ่งตรงกับพระประสงค์ของสมเด็จพระราชินี หากแต่ เจ้าฟ้าชายชารลส์ ต้องการจัดงานแบบยิ่งใหญ่ให้สมกับพระเกียรติยศ ในพระวิหารหลวงเวสต์มินสเตอร์  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรอพระราชโองการตัดสิน ในช่วงระหว่างคอยการตัดสินใจ(ที่ไม่มีอะไรเด็ดขาด) สองครอบครัวก็ได้เปิดฉากประทะกันด้วยวาจาแบบไม่มีความเกรงใจหลงเหลืออยู่   จนแม้ว่า การตัดสินว่าจะจัดในระดับชาติ มีริ้วขบวน..ก็ยังมีการขัดแย้งแบบทุกขั้นตอน ระหว่าง เอิร์ล สเปนเซ่อร์ กับ เซอร์ รอเบิร์ต เฟลโลว์ ว่าด้วยเรื่อง ใครจะเป็นผู้เดินหลังรถม้าบรรทุกเจ้าหญิง  ฝ่ายสเปนเซ่อร์ ไม่ต้องการใครอื่น นอกจาก ท่านเอิร์ล น้องชายคนเดียวทายาทของตระกูล แต่..ไม่เป็นที่เห็นชอบของเจ้าฟ้าชาย..!! จากนั้นก็ทุ่มเถียงกันต่อไปว่า..ใครเล่าจะนั่งในปะรำพิธีฝ่ายเจ้าภาพ รวมไปถึงเรื่องอื่นๆตั้งแต่เล็กไปถึงใหญ่อย่างไม่ที่สิ้นสุด จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อมาก็เรื่องการชักธงครึ่งเสา..ที่ไม่ปรากฏบนเสาธงของพระราชวังบั๊กกิ้งแฮม ในขณะที่ใครต่อใครทั่วบ้านทั่วเมืองต่างก็ทำกัน ดอกไม้ก็กองท่วมเป็นภูเขาเลากา แต่..ทำไมพระราชวังจึงไม่แสดงอารมณ์ร่วมกับประชาชน..นี่คือคำถามคาใจของประชาชนที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น.. โดยที่ทุกคนลืมคิดถึงความจริงไปว่า..การลดธงครึ่งเสาบนพระราชวังนั้น จะกระทำก็ต่อเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเจ้าของวังเกิดสวรรคต แต่อังกฤษไม่เหมือนกับประเทศไหนๆ เพราะ บัลลังค์ไม่เคยว่าง จะมีกษัตริย์องค์ต่อไปคอยขึ้นแทนทันที ดังประโยคที่ว่า..'The King is dead, long live the King' นี่คือ พระราชประเพณีสืบทอดมาช้านาน แต่ประชาชนในยามนั้น ไม่สนใจกับพระราชประเพณี อะไรทั้งสิ้น ทุกคนต้องการเห็นอารมณ์ร่วมจากสถาบันเหนือหัว มิฉะนั้น จะดูเป็นการแตกแยก.. จนในที่สุดฝ่ายเลขาฯของเจ้าฟ้าชายชารลส์ จึงต้องรีบถวายคำแนะนำว่า "พระองค์ต้องรีบกราบบังคมทูลสมเด็จในเรื่องนี้พะยะค่ะ  เพราะกระแสชักจะไปกันใหญ่แล้ว และไม่มีใครสามารถทำได้ นอกจากพระองค์" ซึ่งทั้งสมเด็จฯและพระสวามี ไม่ทรงเห็นด้วยอย่างแรง และที่ทรงยอมนั้น ไม่ใช่เพราะ เจ้าฟ้าชายพระโอรสมาขอ หากแต่ ทรงเห็นแก่ พระราชนัดดาน้อยสองพระองค์ต่างหาก สรุปว่า ในวันพฤหัส..ธงที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ลดลงครึ่งเสา และในวันเดียวกันนั้น ที่ คือวันที่เจ้าชายน้อยสองพระองค์ได้เสด็จออกจากพระตำหนักในพระราชวัง บัลมอรัล เป็นครั้งแรกหลังจากที่สูญเสียพระมารดา บริเวณหน้าพระตำหนัก ได้มีกองดอกไม้ทับถมอยู่เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม  เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้อนุญาติให้พระโอรสเดินไปดูข้อความที่ผูกติดมากับช่อดอกไม้ต่างๆ และทักทายกับประชาชนกลุ่มใหญ่ที่มาคอยรับเสด็จเพื่อที่เป็นการซักซ้อม ทำใจ..ก่อนที่จะเข้าร่วมในพิธีจริงที่กรุงลอนดอนในสองวันต่อมา วันนั้นอีกเช่นกัน ที่ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นพระโอรส เจ้าชาย แฮร์รี่ เข้าคว้าพระหัตถ์เจ้าฟ้าชายชารลส์ พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูโน่นนี่ อย่างครอบครัวธรรมดาสามัญ  เป็นภาพของที่พ่อจูงมือลูกชายพาเดินด้วยความรักและความห่วงใย จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แต่เรื่อง ใครสมควรเดินหลังขบวนรถนำศพ นี่ยังไม่จบ..เถียงกันจนวินาทีสุดท้าย เจ้าฟ้าชายชารลส์ถือว่า สมควรที่จะได้รับเกียรติยศจากพระองค์ เพราะ เจ้าหญิงได้ดำรงตำแหน่งพระชายามานานถึงสิบห้าปี อีกทั้งยังมีพระโอรสอีกสองพระองค์ และนี่คือครอบครัว..ที่แท้จริง ฝ่ายเอิรล์ สเปนเซ่อร ก็เถียงว่า เจ้าหญิงไดอะน่า ไม่มีครอบครัวที่ไหน นอกจาก สเปนเซ่อร์ จากนั้นก็อ้างข้อเจ็บแค้นมาสนับสนุนอย่างมากมายทั้งที่เป็นตัวหนังสือ และลมปาก สรุปว่า พูดจากันไม่รู้เรื่อง ฝ่ายหลังกระแทกหูโทรศัพท์ใส่เสียก่อน จนในคืนวันศุกร์ ที่ พระราชวงค์ได้ทำการตกลงหาข้อยุติกันถึงเรื่องนี้  ท่านดยุค ได้ตัดบทว่า "งั้นฉันจะลงไปเดินด้วย ดูซิว่าหน้าไหนมันจะมาห้าม" ในวันรุ่งขึ้น เอิรล์ สเปนเซ่อร์ก้ได้รับหมายกำหนดการว่า ทั้งหมดจะต้องเดินตามหลังรถม้าขบวน นั่นคือ ท่านดยุค  เจ้าฟ้าชายชารลส์ เจ้าชายทั้งสองพระองค์ และ เอิรล์ สเปนเซ่อร์ เป็นอันว่า จบเรื่องนี้ไป.. ปัญหาตามมานั่นก็คือ ประชาชนจะมีกิริยาต่อต้านหรือไม่อย่างไร  เพราะหนทางระหว่าง พระราชวังเซนต์ เจมส์และ พระวิหาร เวสต์มินสเตอร์ก็ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเป็นกังวลนิดๆว่าจะโดนโห่ใส่ ในฐานะ ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ.. ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี แต่บรรยากาศภายในพระวิหาร ก็ยังคุกรุ่นไม่หาย หลังจากที่เสียงเพลงของเอลตัน จอห์นได้เรียกน้ำตาใครต่อใครให้ไหลรินอย่างกลั้นไม่อยู่ เอิรล์ สเปนเซอร์ ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสแห่งการแก้แค้นนี้หลุดไปอย่างง่ายๆ..เขาขึ้นอ่านคำอาลัยแบบตีวัวกระทบคราดทันที.. ซึ่งในตอนหนึ่งนั้น เขาว่า.. "พี่ไดอะน่า ได้บอกเสมอว่า อยากย้ายออกให้ไกลไปจากอังกฤษ เพราะ สื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆไม่เคยปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และเธอต้องการให้พวกเรา พี่น้องโดยสายเลือด ได้เข้าดูแลคุ้มครอง วิลเลี่ยมและ แฮร์รี่ ลูกชายสุดที่รักของเธอให้พ้นไปจากบ่วงกรรม ที่ล้อมรอบ.. " ข้อความดังกล่าว..เหมือนกับเป็นประชดประชันหมู่ นับไล่ตั้งแต่ สมเด็จพระราชินี ดยุคพระสวามี เจ้าฟ้าชายชารลส์ ต่อหน้าสาธารณชนชาวอังกฤษทั้งประเทศที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ทั้งๆที่ ชายคนที่กล่าวข้อความนี้ หามีความดีใดๆไม่เลยแม้แต่นิด.. เอิร์ล สเปนเซ่อร์ มีชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว ทั้งๆที่มีบุตรธิดาตั้งสี่คน ก็ยังมีหญิงอื่นที่ตัวเองนำมายกย่องเทียมหน้าเทียมตา ออกงานให้เอิกเกริก และในงานพิธีศพครั้งนี้ ก็ยังมีหน้าเอาภรรยาลับมาออกงานเคียงคู่  นั่งหน้าแป้นแล้นในวิหาร ขากลับไปยังคฤหาสน์อัลทรอป ในขบวนรถไฟ ก็ยังเอาอีหนูคนนี้มาขึ้นขบวนเดียวกับเจ้าฟ้าชายชารลส์และพระโอรส เมื่อยามที่เจ้าหญิงไดอะน่ายังมีชีวิตอยู่ สัมพันธภาพระหว่างพี่น้องคู่นี้(หรือแม้กับพวกพี่สาว) ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใครๆคิด เมื่อครั้งที่เจ้าหญิงได้ทำการหย่าขาดจากพระสวามีใหม่ๆนั้น เอิรล์น้องชายได้เสนอให้เช่าบ้านพักหลังหนึ่ง ใน อัลทรอป อันเป็นมรดกที่ได้รับตกทอดมาให้ ด้วยราคากันเอง แต่แล้วมาเปลี่ยนใจไม่ให้ทีหลัง ด้วยสาเหตุว่า ไม่ชอบนักข่าวให้มาวุ่นวาย อันเป็นเหตุให้สองพี่น้องคู่นี้ร้าวฉานจนแทบไม่มองหน้าอันอีก และ เอิร์ลได้ฉวยโอกาสในความดังของเจ้าหญิง โดยการทำพิธีฝังศพในบริเวณส่วนหนึ่งของอัลทรอป และได้จัดให้เป็นสถานที่เข้าเยี่ยมชม รวมไปถึงจัดเป็น พิพิทธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าหญิงมาตั้งโชว์ เรียกเก็บค่าผ่านประตูได้เป็นกอบเป็นกำอีกต่างหาก ซึ่งการกระทำดังนี้ได้ขัดต่อความประสงค์ของเจ้าหญิงเอง เพราะในพินัยกรรมได้ระบุว่า ต้องการฝังในสุสานของครอบครัว ที่ Great Brington (มีข่าวลือว่า ที่จริงแล้ว..ศพเจ้าหญิงไม่ได้อยู่ที่อัลทรอป หากแต่อยู่ในสุสานตามความประสงค์เดิม แต่..ที่อัลทรอปนั้น คือการจัดฉากเพื่อ business หาเงินเข้ากระเป๋าใครบางคนเท่านั้น !!) จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ความจริงที่ข้อความในหนังสือพิมพ์ที่ว่า เจ้าฟ้าชายทรงกรรแสง เพราะเสียพระทัย.และรู้สึกผิดในใจ นั้น ก็ไม่ห่างไกลไปจากความจริงสักเท่าใด เพราะ ในชั้นแรก แน่นอนที่พระองค์ต้องเสียพระทัยในการจากไปของอดีตพระชายา ที่ทรง"เคยรัก" ต่อมาก็เสียพระทัยที่ ต้องมาเห็นลูกชายทั้งสองกำพร้าแม่ แต่ว่า..ถ้าคำว่า "รู้สึกผิด" แล้ว คงไม่ใช่ เพราะ การที่รถของเจ้าหญิงคว่ำในอุโมงค์นั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่พระองค์พบปะคบหากับคามิลล่า ถ้าจะเป็นเพราะการไม่ประสบความสำเร็จ..ละก้อ อาจใช่ เพราะตลอดเวลามาพระองค์ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะประคองชีวิตคู่ให้ดำเนินไปด้วยดี.. ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้เคยมารับรู้..และ..สัมผัส พระองค์พยายามคิดย้อนกลับไป ครั้งในปี 1980 ที่ไม่ว่าใครต่อใครก็ต่างคอยจ้องว่า สตรีผู้โชคดีคนไหนจะมาครองตำแหน่งพระชายา หนังสือพิมพ์ต่างพากันสร้างข่าวลืออย่างไม่หยุดหย่อน อย่าง เดลี่ เอกซเปรส ถึงกับพาดหัวว่า "เจ้าฟ้าชายชารลส์กำลังจะทรงหมั้นกับเจ้าหญิง มารี แห่ง ลักเซมเบอร์ค" ทั้งๆที่ พระองค์ไม่เคยได้เจอะได้เจอกับผู้ที่ถูกกล่าวนามเลยแม้แต่นิด ในช่วงนั้น พระองค์มีเพื่อนหญิงคู่ควงมากมาย หากแต่เป็นรายการฉาบฉวย เช่นพาออกไปดุการแข่งโปโล  ไปดูบัลเล่ต์ จากนั้นก็อาจไปแวะที่ห้องชุดส่วนพระองค์ที่พระราชวังบั๊คกิงแฮม เพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำ(ดึก)  หรืออาจมีการโรม๊านซ์เล็กๆเกิดขึ้น แต่เรื่องที่จะการลับตาส่วนตัวละก้อ ไม่มีทาง..เนื่องจากระบบการรักษาความปลอดภัยที่คุมเข้ม ตั้งแต่ครั้งปี 1974 ที่เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ถูกติดตามโดยผู้ลึกลับ จากนั้น..ระบบความคุ้มครองสำหรับเจ้าฟ้าชายก็ถูกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว..แม้กระทั่งในรถยนตร์ส่วนพระองค์ ก็ยังต้องมีองครักษ์นั่งไปด้วย.. แต่ก็อีกเช่นกัน ไม่มีหญิงสาวคนไหน สามารถทำตัวให้เป็นปรกติได้ในยามที่ต้องอยู่ใกล้กับบุรุษที่สาวทั้งโลกหมายปอง อย่างเจ้าฟ้าชายชารลส์ อีกทั้ง พระองค์ก็ต้องระวังองค์แจด้วยเช่นกัน เพราะ ข่าวการนัดเจอ ช่างรั่วไปถึงหูนักข่าวได้อย่างรวดเร็ว.. ลอร์ด เมาท์แบตเทน(พระปิตุลาของดยุค ฟิลลิป) ผู้ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างมากนั้น ครั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ เคยแนะนำให้หลานชายสุดที่รักให้รู้จักเลือกเฟ้นผู้หญิงเอง แถมยังเสนอให้มาใช้ตำหนักส่วนตัวเป็นที่สำราญกับบรรดาสาวๆอีกด้วย เพราะที่ตำหนักของท่านลอร์ด รับรองความปลอดนักข่าวอย่างร้อยเปอเซ็นต์ แต่ก็นั่นแหละ..ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะมาทำตัวเสเพลเช่นนั้นได้..โดยเฉพาะกับเจ้าฟ้าชายชารลส์ ดังนั้น..พระองค์จึงต้องคบหาอยู่กับบรรดาหญิงที่มีสามีแล้ว..เพราะ เป็นการปลอดข่าว อีกทั้ง..ผู้หญิงวงในเหล่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะมุ่งหวังในตัวพระองค์ นั่นคือ เหตุผลหนึ่งที่ คามิลล่า ไม่เคยหลุดโผไปจากแวดวงในผู้ใกล้ชิด !! จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:44:16 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เจ้าฟ้าชาย ได้รู้จักกับสาวน้อยคามิลล่า แชนด์(นามสกุลเดิม) เมื่อปี 1972 แต่ตอนนั้นหล่อนมีแฟนที่แน่นอนที่คบหากันมากว่าหกปีอยู่แล้ว นั่นคือนายทหารม้าที่มีอายุแก่กว่าเธอถึงเก้าปี แอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ โบวลส์ พ่อเจ้าประคุณคนนี้ นับว่าไม่ใช่ย่อย เพราะเขาเป็นชายหนุ่มที่สง่างาม  เจ้าชู้อย่างหาตัวจับยาก ไม่ว่าใครต่อใครก็โดนเขาจีบดะไปทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าฟ้าหญิงแอนน์   คามิลล่าทั้งรักและหลงผู้พันคนนี้อย่างมากมาย ทั้งๆที่เขาไม่ใยดีเธอเลยแม้แต่นิด เพราะถือว่าเป็นหมูในอวย..จะทำอย่างไรก็ได้ ขณะที่ ผู้พันต้องไปรับราชการอยู่ที่เยอรมัน คามิลล่า ได้มีโอกาสเจอะเจอรู้จักกันกับเจ้าฟ้าชายชารลส์ ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ได้มีสัมพันธสวาทกัน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น เจ้าฟ้าชายยอมรับว่า พระองค์ได้ตกหลุมรักสาว คามิลล่าคนนี้อย่างจริงจัง เพราะ โดยธรรมชาติแล้ว คามิลล่าเป็นหญิงหน้าตาแสนจะธรรมดาแต่เสน่ห์จัดในการพูดจา และบุคคลิกที่เปิดเผยเป็นตัวของตัวเอง..และไม่ได้เห็นเจ้าฟ้าชายแตกต่างไปจากคนอื่นๆ วันดีคืนดี หล่อนสามารถนั่งเล่า นิทานลามกเรียกเสียงเฮฮาจากบรรดาเพื่อนๆได้อย่างสนุกสนานโดยไม่น่าเกลียด.. อีกทั้ง..นิสัยห้าวๆของเธอที่ช่างเหมือนและคล้องจองกันกับเจ้าฟ้าชายไปในทุกด้าน เช่น เรื่องการขี่ม้า , การล่าสัตว์, โปโล,รักธรรมชาติชนบท, ซึ่ง..ในตอนนั้น เจ้าฟ้าชายถึงกับคิดถึงอนาคตที่จะใช้ร่วมกันกับเธอ แต่พระองค์ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เพราะ ข้อแม้นั้นมีมากมาย พระองค์มีพระชนมายุเพียง 24 ชันษา  หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล.. จนกระทั่งในปลายปี พระองค์ต้องเสด็จไปปฏิบัติภาระกิจทหารเรือ ที่ ต้องล่องเรือออกไปถึงฝั่งทะเลคาริบเบียน และต้องใช้เวลารอนแรมถึงแปดเดือน นับว่าเป็นการจากพรากที่ยาวนานสำหรับความรักที่เพิ่งแรกผลิ และบอบบาง.. ก่อนเสด็จ คามิลล่า ได้มาร่วมโต๊ะเสวยบนเรือ HMS Minerva และ..ทั้งคู่ได้ไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังในตำหนักที่เสนอให้โดยท่านลอร์ด เมาท์เบตเทน ที่ Broadland และหลังจากที่เจ้าฟ้าชายออกทะเลไปได้แค่สองเดือน คามิลล่าก็หมั้นกับแอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ โบวลส์ และ ต่อมาไม่นาน เขาทั้งสองก็แต่งงานกัน ก่อนที่เจ้าฟ้าชายจะเสด็จกลับถึงฝั่ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:47:15 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พักก่อนค่ะ..ว่างๆจะมาต่อให้ใหม่ จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ก.ค. 48 15:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กำลังลุ้นอยู่ค่ะ ตามมาติดๆค่ะ สวัสดีค่ะป้าวิ สบายดีมั้ยค่ะ จากคุณ : Jenny_MM - [ 31 ก.ค. 48 15:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาติดตามอ่านค่ะ  เพราะดิฉันเองก็ปลื้มเจ้าหญิงไดอาน่า  เเละสนใจเรื่องราวของเจ้านายต่างประเทศมากเช่นกัน จากคุณ : ธารกำนัล - [ 31 ก.ค. 48 16:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตามอ่านค่ะ ขอบคุณนะคะ ให้กำลังใจด้วยดอกไม้ค่ะ จากคุณ : เบญญาภา - [ 31 ก.ค. 48 16:09:45 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณค่ะ รออ่านต่อค่ะ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 31 ก.ค. 48 16:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จากคุณ : มาอ่าน - [ 31 ก.ค. 48 16:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณป้าขา   คิดถึงเหลือเกินค่ะ!! อย่าหายไปนานนะคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 31 ก.ค. 48 20:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าคนเขียนที่เข้าข้างเจ้าชาย จากคุณ : JingleJ - [ 31 ก.ค. 48 22:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตามอ่านค่ะ จากคุณ : จันทราทิตย์ - [ 31 ก.ค. 48 22:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ... จากคุณ : Autumn Leaves - [ 31 ก.ค. 48 22:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ว่าจะอย่างไร  เจ้าหญิงไดอะน่า ก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนตายพูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้สิ ยังไงก็สงสารเจ้าหญิงที่พบกับชะตากรรมที่เลวร้าย จากคุณ : เต็งฮุ้นลิ้ม - [ 31 ก.ค. 48 23:31:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุญWIWANDA ก็ยังคงมีเรื่องราวดีๆ ที่หาได้ยากเช่นเคยครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 1 ส.ค. 48 00:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ จากคุณ : kolokol - [ 1 ส.ค. 48 01:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แน่นอนว่า ฝ่ายอก(พระอุระ)หัก นั้นก็คือเจ้าชายผุ้ทรงเสน่ห์นั่นเอง พระองค์ถึงกับเขียนจดหมายไปรำพันกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า "ช่างเลือดเย็นเสียจริงๆแม่เจ้าประคุณ..แต่ก็เอาเถอะ ฉันจะพยายามลืมเธอให้ได้ เวลาคงจะช่วยสมานแผลใจในที่สุด" แต่ถึงกระนั้น ทั้งคามิลล่าและเจ้าฟ้าชายก็คงความเป็นเพื่อนกันอย่างสนิทสนมมากว่าเจ็ดปี โดยไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง ลูกชายคนแรกของเธอ คือ ทอม ที่เจ้าฟ้าชายรับเป็นพ่อทูนหัวให้ เกิดในปี 1975 และจากการที่เคยสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจกันมา ไม่ว่ามีเรื่องคับแค้นหรือปัญหาอะไร ทั้งคู่มักปรึกษาหารือกันอย่างเสมอๆ ทั้งการพบปะและทางโทรศัพท์ ต่อมา คามิลล่าก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวอีกคนหนึ่งในปี 1979 ชื่อว่า ลอร่า.. หลังจากลูกคนนี้ได้ลืมตาออกมาดูโลก..ชีวิตการแต่งงานของคามิลล่า เริ่มมีปัญหา เนื่องจาก ท่านผู้พันสามีนักรัก ได้มีอีหนูเลี้ยงดูข้างกายไว้มากมาย ความจริง เขาคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่า ก่อนแต่งหรือหลังแต่ง..เพียงแต่.. คามิลล่าผู้ภรรยาไม่ได้ใส่ใจเอามาเป็นอารมณ์ก็เท่านั้น หากแต่ ครั้งนี้เลยเถิดล้ำเส้นไปนิด เพราะ หญิงคู่ควงคนใหม่นี้ ออกหน้าออกตาเปิดเผย ทำตัวเป็นข่าวในสังคมลอนดอนไม่เว้นแต่ละวัน.. พอดีกับเจ้าฟ้าชายชารลส์มีพระชนมายุครบสามสิบชันษา ท่านดยุคพระบิดาเริ่มเร่งรัดในเรื่องการหาคู่ครองที่เหมาะสม เพราะ ทรงเอือมระอากับการเป็นพ่อพวงมาลัยของพระโอรสอย่างเต็มที และทรงเตือนให้ทราบถึงหน้าที่ที่ต้องมีการสืบสันตติวงค์ แต่ กับใครล่ะ.?? พระองค์ได้ตอบพระบิดาไปว่า.. "ลูกได้เคยรักผู้หญิงมามากมาย และก็ยังรักได้อีกเรื่อยๆ แต่เรื่องการแต่งงานนั้น ความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอหรอกพะยะค่ะ เพราะคนเราต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตการแต่งงาน..จึงต้องการความเป็นเพื่อนที่"เข้าใจ"กันมากกว่าการเป็นเพียงสามีภรรยา ลุกอยากได้ผู้หญิงที่เราสามารถเข้ากันได้ พูดจาภาษาเดียวกัน สนใจในกิจกรรมซึ่งกันและกัน หล่อนคนนั้น ต้องมีทั้งวุฒิภาวะ วุฒิปัญญา และ มีความเฉลียวฉลาด ลูกอยากเลือกคู่ครองด้วยสมองมากกว่าหัวใจ พะยะค่ะ " จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 01:52:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้น ไม่มีผ่านเข้ามาในชีวิตเจ้าชายเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าจะว่าไป เจ้าฟ้าชาย ชารลส์คือบุคคลที่ช่างเปล่าเปลี่ยวเสียจริงๆ เพราะ ความรักความอบอุ่นนั้น..พระองค์ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างแม่กับลูก ก็ช่างแร้นแค้นกระเบียดกระเสียนเสียเหลือเกิน ถ้าจะย้อนกลับไปดูความหลัง..สมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อเจ้าฟ้าชายมีพระชนมายุได้ สาม ชันษา และจากนั้น ความสัมพันธ์ก็ได้ถูกตัดห่างออกไป เพราะในพระราชกรณียกิจ บ้านเมืองต้องมาก่อนครอบครัว.. พระราชินี พยายามใช้เวลาอยู่กับพระโอรสและพระธิดาได้แค่เวลาสรงน้ำและก่อนบรรทม จากนั้นก็คือหน้าที่ของพระพี่เลี้ยงที่มีมากหน้าหลายตา ยิ่งในช่วงเถลิงราชย์ 1953-1954 ทั้งสมเด็จพระราชินีและดยุคต้องเสด็จต่างประเทศในเครือราชอาณาจักรนานถึงหกเดือนอันเป็นช่วงคริสต์มาสเสียด้วย ซึ่งในยามนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ให้การอภิบาลและความอบอุ่นแก่เจ้าหญิงและเจ้าชายน้อยๆ นั่นก็คือ ควีนมัม อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ เจ้าฟ้าชายได้ทรงรักและผูกพันกับสมเด็จยายเสียหนักหนา.. อย่างคืนของวันเกิดเหตุ ที่สมเด็จพระราชินีได้อยู่ห่างไปแต่ฝาผนังห้องกั้น  เจ้าฟ้าชายชารลส์ยังใช้เหล่าข้าราชบริพารเป็นที่ปรึกษาในการช่วยแก้ใขปัญหา มิใช่พระมารดา.. อีกทั้งพระบิดา ท่านดยุค ก็เช่นกัน พระองค์รักลูกก็จริง แต่ไม่มีการแสดงออกใดๆ มิหนำซ้ำ เมื่อยามเด็กๆ เจ้าฟ้าชายต้องน้ำตาตกเพราะโดน"เอ็ด"บ่อยๆไป เพราะความที่เด็กขี้อาย ขี้กลัว ผิดกับพระขนิษฐา เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ที่ทรงห้าวหาญ มีความเชื่อมั่นในตนเองตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ท่านดยุคได้เคร่งครัดพยายามขัดเกลานิสัยติ๋มๆของพระโอรสให้หายไปด้วยวิธีแบบทหาร อันเป็นเหตุให้ เกิดความเกรงกลัวติดมาจนโต แต่ในขณะเดียวกัน  พระองค์ก็ได้ทรงสำนึกในหน้าที่และพยายามทำทุกอย่างเพื่อความพอใจผู้เป็นบุพพการี แม้กระทั่งในทุกวันนี้ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า..นี่คือครอบครัวหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน นั่นคือ การแห้งแล้งในความรักและสัมผัสระหว่างพี่น้อง พ่อแม่ลูก การติดต่อระหว่างกัน ต้องผ่านฝ่ายเลขาฯด้วยจดหมายเหตุทั้งหมด และ ไม่มีความเป็นส่วนตัวแม้แต่นาทีเดียว ในทุก 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะอยู่ณ.ที่ใดต้องมีผู้ติดตามและการอารักขา.. นี่คือกฏเหล็กของวินเซอร์ !! จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 01:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ในครั้งแรกที่เจ้าฟ้าชายได้พบกับเลดี้ไดอะน่า ก็เมื่อเธอเป็นสาวรุ่นกะเตาะอายุเพียง 16 ยังสดใสน่ารักในคราบของเด็กนักเรียนชั้นมัธยม ซึ่งในยามนั้นเธอมีศักดิ์เป็น น้องสาวแฟน เนื่องจาก ซาร่าห์ พี่สาวคนโตกำลังออกเดทกับเจ้าฟ้าชาย..แต่ด้วยความเพ้อฝันแบบเด็กๆ ประกอบกับการที่เธอรู้ตัวเองดีว่า มีข่าย"เข้าขั้น" เป็นราชินีของอังกฤษได้ เพราะ คุณสมบัติครบถ้วน อีกทั้ง..ตัวเลือกนั้นมีน้อยเต็มที.. ความรักของซ่าร่าห์กับชายผู้สูงศักดิ์ได้ปิดฉากลง เพราะความ"ปากโป้ง" ของเธอเองที่ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ว่า.. "เดี๊ยนจะไม่แต่งงานกับใครทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก  ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นกรรมกรหรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน(อังกฤษ ซะด้วย เพราะเธอใช้คำว่า King of England) ต่อให้พระองค์มาขอ..ฉันก็จะปฏิเสธ " สรุปให้ว่า เจ้าฟ้าชายไม่ได้เสด็จไปมาหาสู่อีกเลย..นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  เพราะในคราวที่ครบรอบวันประสูติ พระชนมายุครบ 30 ชันษา ซึ่งมีการจัดการเลี้ยงครั้งใหญ่ ที่พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม สาวทั้งสามก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นเกียรติร่วมในงาน ซึ่งต่อมา ก็มีลูกติดพัน..สาวๆตระกูลสเปนเซอร์ได้รับเชิญไปในงานล่าสัตว์(ไล่ยิงกวาง..ตามประเพณี) ที่พระราชวัง แซนดริงแฮม ซึ่งวีคเอนด์นั้นไม่ค่อยสนุกสนานนัก เนื่องจาก ท่านเอิร์ล สเปนเซ่อร์ ผู้พ่อต้องถูกส่งเข้าโรงพยาบาลด่วน เพราะ มีอาการของหัวใจล้มเหลว.. ต่อมา..เลดี้ได..ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยเลี้ยงดูหลานคนแรก ลูกของ เจน เฟลโลว์ ซึ่งตึกที่พักในบ้านเขตรอบนอกของพระราชฐาน พระตำหนัก บัลมอรัล เนื่องจากสามี โรเบิร์ต เฟลโลว์ เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดในสมเด็จพระราชินี.. ในตอนนั้นเอง..ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์เริ่มเห็นแววงดงาม ฉายเด่น..จากเด็กกะโปโลเลดี้ไดอะน่าที่ทรงเคยรู้จัก จากนั้น..ในเดือนกรกฏาคม ปี 1980 คือ ช่วงเวลาที่พระองค์มักชวนเด็กสาวที่แสนรื่นเริงคนนี้ติดสอยห้อยตามไปด้วยในยังที่ต่างๆ รวมทั้งนำไปให้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนๆ  เพราะ ว่าไปแล้ว พระองค์เพิ่งสลัดรักไปจาก สาวงามไฮโซ นามว่า..แอนนา วอลเลซ ไปหมาดๆ ความจริงไม่รู้ว่าใครสลัดใคร แต่ว่า การที่ได้สาวงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องมาควงแทนที่ทันควัน ก็เรียกเสียงอือฮาไปพอสมควร.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นความโชคดีของเลดี้ ไดอะน่าอย่างมากมายในการแรกรู้จัก ระหว่างที่เจ้าชายและเธอนั่งเอนสบายๆบนหลังรถม้าที่บรรทุกฟาง..และ มีการพูดคุยถึงเรื่องของ ลอร์ด เมาท์เบตเทนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จากการถูกลอบวางระเบิดของ IRA ซึ่งสร้างความเสียอกเสียใจให้กับผู้เป็นพระนัดดาอย่างที่สุด เพราะ พระองค์ทรงรักและบูชาพระญาติองค์นี้อย่างหมดพระทัย.. เลดี้ได..ได้ปรารภขึ้นมาเบาๆว่า "ในวันงานพระศพของท่านลอร์ดน่ะ พระองค์ดูเศร้าเหลือเกินมังคะ หม่อมฉันเห็นแล้วยังใจหาย เพราะ เข้าใจดีว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร" เพียงประโยคนั้นประโยคเดียว เจ้าฟ้าชายถึงกับหันมามองเด็กสาวคนนี้ด้วยความทึ่งระคนแปลกใจในการเข้าใจชีวิตของเด็กสาวที่นั่งเคียงข้างทันที หรือเธอ..เหมาะที่จะเป็น พระราชินีของกษัตริย์อังกฤษต่อไปในภายภาคหน้า.. เพราะ การสูญเสียท่านลอร์ดไปอย่างกระทันหันนั้น เท่ากับว่า เจ้าฟ้าชายสูญเสียขวัญและกำลังใจ ไปอย่างหมดสิ้น เพราะ ท่านลอร์ดเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ในการอบรม สั่งสอน และ เข้าในในตัวหลานคนนี้มากกว่าใครๆ  ดังที่พระองค์ได้บันทึกไว้ว่า "ฉันเข้าใจดีว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า..เกิดแก่เจ็บตาย แต่การสูญเสียครั้งนี้ ต้องยอมรับว่ามันยิ่งใหญ่จน ฉันรู้สึกท้อถอย หมดกะจิตกะใจ  เพราะ ได้เสียคนที่ฉันเคารพบูชา เสียคนที่รัก เสียคนที่เฝ้าดูแลฉันมา  แล้ว..ใครเล่าที่จะอยู่เคียงข้างคอยสั่งสอนและให้กำลังใจฉันอีกต่อไป..!! ท่านลอร์ด เมาท์เบตเทน เป็นคนคนเดียวที่สามารถว่ากล่าวตักเตือน เจ้าฟ้าชายได้ในเรื่องของนิสัยแย่ๆ..คือ การถืออำนาจ อวดดี ไม่รู้จักหัวจิตหัวใจของคนอื่น และ ท่านได้สอนให้ เจ้าฟ้าชายได้รู้จัก ความรัก การให้น้ำใจ อ่อนโยนกับผู้อื่น..สอนทั้งหมดที่  พระมารดาพระบิดาไม่เคยมาสั่งมาสอน และทุกครั้งที่ เจ้าฟ้าชายต้องมีปัญหาคัดง้างกับ ท่านดยุคพระบิดา ก็ต้องวิ่งมาซบกรรแสงกับท่านลอร์ดเสมอๆ.. ซึ่งถ้อยคำซื่อๆของเลดี้ไดอะน่าสาวน้อย  จึงได้จับพระทัยของเจ้าฟ้าชายนัก..!! จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:05:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 จากนั้นไป เจ็ดเดือนแห่งการรู้จัก และการเร่งสร้างภาพของความรักที่พระองค์ทรงคิดว่า..ใช่เธอคนนี้แน่นอน ที่จะมาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งบรรยากาศนั้นค่อนข้างประดักประเดิดเล็กน้อย เพราะตลอดเวลานั้น ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายที่พยายามสมานสัมพันธไมตรีด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะนี่คือ สิ่งที่เธอรอคอยมาตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว..นับแต่การรู้จักในครั้งแรก หรือ อาจจะไกลไปกว่านั้น เพราะตั้งแต่เล็กๆมา เธอมีความรู้สึกเสมอว่า สักวันหนึ่ง..เธอจะต้องเป็นบุคคลสำคัญ มีชื่อเสียง แม้กระทั้งในครอบครัว ต่างก็เรียกเธอด้วยชื่อล้อว่า "Duch" ย่อมาจาก Duchess ที่ เธอเที่ยวบอกกับใครๆว่า เธอโตขึ้นจะเป็น ดัชเชส..และ ในยามนี้ โอกาสที่จะเป็นมากกว่าที่เคยหวังอยู่แค่เอื้อม แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร เลดี้ไดอะน่า พยายามพูดถึงแต่สิ่งที่เจ้าฟ้าชายโปรดปราน เช่น บอกว่า รักสุนัข.. ชอบการขี่ม้า ล่าสัตว์ บุกป่าฝ่าดงในชนบท และ ชอบนิสัยเพื่อนรักของเจ้าฟ้าชายทุกคน.. ซึ่งทั้งหมดคือ..มุสาของเด็กๆ..เพราะแท้จริงแล้ว..เธอไม่ได้ชอบอะไรสักอย่างที่เอ่ยมา เลดี้ได เบื่อหน่ายชีวิตชนบท  ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ไม่สนใจเรื่องขี่ม้า ไม่ยิงปืน ไม่ชอบสุนัข และที่สำคัญ เธอไม่ชอบเพื่อนๆของเจ้าฟ้าชายเลยสักคน เพราะแต่ละคน ช่างคร่ำครึ โบราณ เจ้าระบียบ น่าเบื่อหน่าย.. เพราะเธอก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป ที่ชอบการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ ชอบชีวิตเมืองหลวง ร้านอาหารหรูๆ  โรงหนัง ดารา เพลงป๊อป..!! และที่สำคัญ นั่นก็คือ เธอเป็นเด็กที่มี"ปมชีวิต"มากมาย ปม..ที่ต้องการความรัก เพราะ มันเป็นการเจ็บปวดจากที่พ่อแม่ต้องเลิกร้างไปตั้งแต่เธออายุเพียงหกขวบ.. ปม..ที่เชื่อว่า..ตัวเธอเอง เป็นตัวการที่ทำให้ แม่ทิ้งครอบครัวไป..อย่างไม่ใยดี !! จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:07:51 ]

ความคิดเห็นที่ 35 นางฟรานเซส ชานด์ คีดด์ (Frances Shand Kydd )  ได้ทิ้งลูกน้อยตาดำๆที่เรียงกันราวกับนิ้วมือได้จริงๆ ขนาดโดนนายอัล ฟาเอด ด่าใส่หน้า ในการพบปะกันในเรื่องการสืบสวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่กรุงปารีส  จากการสนทนาที่มีการขัดแย้งกันอย่างหนัก.. นายมหาเศรษฐี ถึงกับระเบิดว่า.."อ๋อ..ใช่ซิ คุณจะมาสนใจอะไรกับการตายของลูกคุณ  คุณเป็นแม่ชนิดไหนกัน ที่ทิ้งลูกไปได้ตั้งแต่ยังไม่รู้ประสีประสา หา?" แต่จะอย่างไรก็ตาม นางฟรานเซส ก็มีเหตุผลของเธอ ว่า ความจริงแล้ว ที่เธอจากไปนั้นคือ ปี 1967 ก่อนวันคริสต์มาสไม่กี่วัน เพื่อหมายใจว่าจะเป็นการแยกกันอยู่ ก่อนจะว่าจ้างทนายทำการหย่าร้างเรียกค่าเลี้ยงดู จากสามี Johnny Althrop (ซึ่งมารับทอดยศศักดิ์เป็น เอิร์ล  สเปนเซอร์ที่แปด ภายหลังจากที่บิดาเสียชีวิต) เพราะ ในการฟ้องร้องเรื่องการหย่าร้างข้อหาถูกสามีทำร้ายจิตใจนั้น ส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงจะได้รับสิทธิเป็นผู้ดูแลบุตร ธิดา สาเหตุที่ว่า ทำร้ายจิตใจนั้น เพราะว่า ในชีวิตการแต่งงานของคนทั้งสองตลอด 13 ปีที่ผ่านมา มันช่างเต็มไปด้วยความระทมทุกข์สำหรับเธออย่างที่สุด  ต้องผ่านกระแสกดดันที่เธอต้องผลิตทายาทเพศชายเพื่อรองรับตราประจำตระกูลนั้น มันช่างโหดร้ายทรมานจิตใจจนหาความสุขอย่างชาวบ้านเขาไม่ได้ ลูกคนแรก คือ หญิง ซาร่าห์ คนที่สอง ก็หญิง คือ เจน.. คนที่สามเป็นผู้ชายตามใจหวัง แต่ มีอายุเพียง 10 ชั่วโมง.. คนต่อมา ก็คือ หญิง ไดอะน่า ที่ทุกคนต่างเฝ้าภาวนาขอให้เป็นชาย..เท่ากับว่า เธอได้ถือกำเนิดมาท่ามกลางความผิดหวังของพ่อแม่.. จนท้ายสุด คือ ชาย..Charles ที่เกิดมาในปี 1964 สมใจ..แต่ยามนั้น..ทุกอย่างได้สายเกินแก้แล้วสำหรับฟรานเซส..สภาพทางจิตใจของเธอนั้นมันย่อยยับเกินกว่าจะเยียวยา อีกทั้ง..มีเศรษฐีเพื่อนของสามีคนหนึ่ง เผอิญก้าวเข้ามาในชีวิต เขาคือ นาย ปีเตอร์ ชานด์ คีดด์ ที่มาทำให้ นางฟรานเซสหลงรักถึงขนาดหอบผ้าหอบผ่อนทิ้งลูกทิ้งผัวตามไปอยู่ด้วย แถมยังขู่จะฟ้องหย่าเรียกเงินค่าเลี้ยงดูลูกๆซะอีก !! จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:12:38 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แต่ฝ่ายชายก็หาใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย..มีเมียทนโท่ แถมยังตั้งทนายฟ้องในข้อหานอกใจคบชู้สู่หญิง..ผลทางคดีของทางฟรานเซสก็เลยคว่ำไม่เป็นท่า เพราะตัวเองกลายเป็นทั้งโจทก์และจำเลยในเวลาเดียวกัน..ศาลตัดสินให้ เด็กๆตระกูลสเปนเซอร์ อยู่ในความดูแลของพ่อ ผู้ซึ่งต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกๆทั้งหมด ส่วนนางฟรานเซส มีสิทธิเพียงแค่มาเยี่ยมเยียนได้เป็นครั้งคราว.. เลดี้ได..ได้เล่าไว้ว่า..ชีวิตวัยเด็กของเธอนั้น ช่างมีแต่ความทุกข์ ที่ต้องเห็นแม่ร้องไห้ตลอดเวลา และ ชารลส์ น้องชายยิ่งน่าสงสารหนักเข้าไปใหญ่ เพราะ ได้แต่นอนกอดกันร้องไห้ทุกคืน.. เธอได้เล่าความรู้สึกของเธอในตอนนั้น ว่า "พวกเราคิดอะไรไม่ได้ไปมากกว่าว่า..แม่ไม่ต้องการพวกเรา แม่เกลียดเรา ชีวิตมันช่างร้ายกาจเสียจริงๆ !!" โดยเฉพาะ ไดอะน่า ที่ต้องรับฟังข้อความว่า เธอน่าจะเกิดมาเป็นผู้ชายนั้น..บ่อยที่สุด จนความรู้สึกที่ว่า การเกิดมาของธอนั้นทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังจนถึงขั้นต้องเลิกรากันไปนั้น..มันเกาะกินใจอย่างหนาแน่นมาโดยตลอด ดังนั้น..เธอจึงเป็นคนหนึ่งที่"โหยหา" ความรักความอบอุ่นอย่างเหลือเกิน ต่อจากนั้น..หลังจากที่เธออายุครบสิบสี่ได้ไม่เท่าไร..ปู่ก็ได้เสียชีวิต นั่นหมายความว่า พ่อก็ต้องมารับตำแหน่งขุนนางสืบทอด..และเข้ามาครองมรดกคฤหาสน์อัลทรอป ซึ่งหมายถึงการที่ต้องย้ายจากบ้านที่ Norfolk ที่มีเพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน ..มาอยู่ในที่แปลกใหม่ ไม่รู้จักใคร..ใน Northampshire อีกทั้งแม่เลี้ยงแสนเจ้ากี้เจ้าการ....ที่เธอและพี่น้องไม่เคยชอบหน้า..หล่อนคือแม่ม่ายชื่อดัง Raine, Countess of Dartmouth (ลูกสาวของนักเขียนนิยายหวานแหววชื่อดัง Barbara Cartland) จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคน รีบมาต่อให้ค่ะ เพราะเกรงว่าสายเน็ทจะมีปัญหาไปซะก่อน ตอนนี้อยู่ในสถานที่ที่ต้องใช้สายกันเยอะ เลยรีบส่งมาให้อ่านก่อนน่ะค่ะ การรวบรวมเรื่องราวมาครั้งนี้ ยกเอามาหมู่เลยค่ะ เกี่ยวข้องไปหลายๆครอบครัวในวินเซอร์นี่ เพราะตั้งใจจะนำเรื่อง ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด (ที่ยอมสละบัลลังค์มาเป็น ดยุค ออฟ วินเซอร์ เพราะแม่ม่ายอเมริกันธรรมดาๆเพียงคนเดียว) มาเล่าให้ฟังในทีหลัง จะได้เข้าใจต่อๆกันไปจนอาจมองเห็นภาพอีกมิติหนึ่งก็ได้ค่ะ ว่า ชีวิตในวังนั้น ไม่หมู และไม่ได้สุขสบายอย่างที่เราคิด และการเก็บข้อความจากหนังสือหลายๆเล่มมาเรียงเรียง ให้กระชับนั้น ไม่ได้เอามาจากหนังสือ tabloid แน่นอน แต่ส่วนใหญ่จะมาจาก biography ของแต่ละคนค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ส.ค. 48 02:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 38 มาปรบมือให้ครับ จากคุณ : เพราะผมไม่มี Time Machine - [ 1 ส.ค. 48 03:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาตามติดเกาะขอบจอค่ะคุณWIWANDA ขอโหวตให้กระทู้นี้ด้วยค่ะ จากคุณ : ผู้หญิงบานฉ่ำ - [ 1 ส.ค. 48 04:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนคนเขียนพยายามทำความสะอาดประวัติชายชั่วหญิงโฉดให้หมดจดงดงมมพร้อมให้ประชาชนเทอดทูลต่อไป กรรมของคนที่ตายไปแล้วไม่สามารถสร้างความถูกต้องให้ตนเอง.... กรรมของคนที่หยิบมาแปล จากคุณ : ??? - [ 1 ส.ค. 48 07:29:16 A:211.213.234.21 X: TicketID:094207 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของชาร์ล ไม่คิดว่าท่านจะ เคยรัก ไดอานาเลย จากคุณ : ดรุณี - [ 1 ส.ค. 48 09:33:28 A:192.168.42.250 X:203.156.44.47 TicketID:087395 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ติดตามอยู่นะคะ จากคุณ : วันลิตเติลทู - [ 1 ส.ค. 48 10:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาตามอ่านครับ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 1 ส.ค. 48 15:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 44 จากคุณ : มาอ่าน - [ 1 ส.ค. 48 18:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 45 มาติดตามครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 1 ส.ค. 48 19:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มาดูด้วยคน จากคุณ : วาด (vad) - [ 1 ส.ค. 48 22:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อ๋อ..อย่างนี้นี่เอง !! มารออ่านต่อค่ะ... จากคุณ : noinop - [ 1 ส.ค. 48 22:54:25 ]

ความคิดเห็นที่ 48 YOu did good job :D จากคุณ : horseshoes - [ 1 ส.ค. 48 23:13:40 ]

ความคิดเห็นที่ 49 พยายามอย่ามี presupposition เวลาศึกษาประวัติศาสตร์ครับ จากคุณ : Hypoentropic - [ 1 ส.ค. 48 23:49:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 โห....สนุกดีค่ะ คุณวิวันดา น่าจะไปรายการแฟนพันธุ์แท้อ่ะค่ะ จากคุณ : CTX9000 - [ 2 ส.ค. 48 10:24:37 A:58.11.32.137 X: TicketID:093688 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มาตามอ่านด้วยค่ะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะคะที่เอามาโพสต์ค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 2 ส.ค. 48 14:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 52 มาเช็คเช้านี้ยังไม่ีเห็นป้าวิมาอัพเลย ไว้เย็นๆมาดูอีกรอบค่ะ ติดตามทุกวัน จากคุณ : Jenny_MM - [ 2 ส.ค. 48 18:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แหม..หายหน้าไปนิดเดียวเอ๊ง..คือต้นเดือน ต้องทำงานมั่งน่ะค่ะ เพราะระยะหลังๆมานี่ งานไม่ค่อยเดิน  พอทำเสร็จ มานั่งพิมพ์ต่อ..ยาวยืดเลยค่ะ ปรากฏว่า ไปกดอะไรไม่รุ เครื่องแฮงค์ต่อหน้่าต่อตา..ยังไม่ทันได้เซฟเลย โมโหจนต้องลุกขึ้น ไปซดกาแฟแก้เซ็ง.. เผอิญนึกขึ้นได้ว่า..มีบทแปลเรื่องของนาย พอล เบอร์เรล (บางตอน)ที่เคยพิมพ์ไว้..เลยรีบไปหาดิสค์มาแปะทำเป็นเรื่องเดียวกันซะเลย.. แล้วค่อยย้อนมาเล่าเรื่องอื่นๆใหม่..นะคะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ใครๆคงจำได้ดีถึงข่าวคราวในปี 2001 ที่อดีตมหาดเล็กต้นห้องคนสนิท Paul Burrell ถูกตำรวจสก๊อตแลนด์ยาร์ดตามไปจับตัวถึงในบ้าน แจ้งข้อหายักยอกทรัพย์สินของไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์  หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ข้อหานี้ ทางฝ่ายกรมวังในราชวงค์วินเซอร์ร่วมกันเป็นโจทย์พร้อมกับเหล่าพี่น้องในตระกูลสเปนเซ่อร์ หลังจากที่ตำรวจได้บุกค้นบ้านพัก และได้ทำการรื้อค้น จนสามารถรวบรวมเข้าของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีทั้งรูปภาพ ซีดี จดหมาย กระเป๋าเดินทางขนาดย่อม ฯลฯ  ได้มากถึง สามร้อยกว่ารายการ หลักฐานที่ได้เหล่านั้นทำให้ พอล เบอเรล ตกเป็นจำเลยทางขบวนการยุติธรรมทันทีอย่างไม่ข้อแม้ใดๆ และนอกจากนั้น เขาได้กลายเป็นไอ้ผู้ร้าย ที่ทรยศได้แม้แต่กับนายตัวเอง ต่อสายตาคนทั้งโลก ไม่มีใครเลยที่จะเสียเวลามาฟังข้อความจากปากคำของอดีตคนรับใช้ ที่พร่ำร้องว่า ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้เรื่องราวอันแสนยุ่งเหยิง และ ความไร้คุณธรรม ภายใต้หลังกำแพงวังเคนซิงตันหรือ แม้กระทั่งในพระตำหนักไฮโกรฟ และ..หลังจากที่พอล อดีตมหาดเล็กต้นห้องต้องต่อสู้ยืนหยัดเพื่อความถูกต้องในชั้นศาล จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านที่อยู่ก็เกือบถูกธนาคารยึด   มาเรีย ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากซึ่งเป็นอดีตข้าหลวงรับใช้ในสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ ได้นำเครื่องประดับออกเร่ขาย อีกทั้งต้องยอมไปทำงานเป็นแม่บ้านเพื่อเป็นการหารายได้ ความคับแค้นได้ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่า เขาได้พยายามส่งจดหมายไปร้องขอความเป็นธรรม จาก องค์มกุฏราชกุมาร เจ้าฟ้าชาย ชารลส์ เจ้าชายวิลเลี่ยม  เจ้าชายเฮนรี่  อดีตเจ้านายเก่า ก็หาได้ผลอย่างใดไม่  นอกจาก ความว่างเปล่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา จนครั้งหนึ่ง..เขาเกือบตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองให้พ้นๆไปจากความอัปยศที่ได้รับ และในขั้นตอนสุดท้ายของคดี และในไม่กี่ชั่วโมงที่ศาลใกล้สรุปตัดสิน  ทุกอย่างกลับพลิกผันไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะ สมเด็จพระราชินีเพิ่งทรงนึกขึ้นมาได้ว่า.. พอล ได้รับอนุญาติจากพระองค์เองในการเก็บรักษาเครื่องใช้ส่วนตัวของเจ้าหญิงไดอาน่า ฉะนั้น..ด้วยพระเสาวนีย์ผ่านกรมวังลงมาถึงศาล..การตัดสินจึงกลายเป็นว่า พอลคือผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาทั้งปวง ท่ามกลางความตะลึงงันและผิดหวังของเหล่าโจทย์ครอบครัวสเปนเซ่อร์ที่จ้องเตรียมพร้อมที่จะขย้ำเขาให้แหลกไปคามือ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โดยเรื่องนั้นมีอยู่ว่า... หลังจากที่เจ้าหญิงไดอาน่า สิ้นพระชนม์ไปได้ไม่นาน พอลได้เข้ามาขอพบสมเด็จพระราชินีเป็นการส่วนตัวที่ พระราชวังบัคกิ้งแฮม  เพื่อที่จะทูลขอคำปรึกษาในเรื่องสิ่งของ เครื่องใช้ ที่เป็นของเจ้าหญิงที่ยังคงค้างอยู่ในที่พักคือ แฟลตพระตำหนักเลขที่ 8 และ 9 ในบริเวณพระราชวังเคนซิงตัน (พอล คืออดีตมหาดเล็กต้นห้องของพระองค์มาก่อนที่จะขอย้ายไปทำงานรับใช้ให้กับเจ้าฟ้าชายชารลส์และเจ้าหญิงไดอะน่า) ในฐานะผู้มีหน้าที่ดูแลพระตำหนัก เขาทนเห็นพี่สาวทั้งสองของเจ้าหญิง คือ เลดี้ซาร่าห์ เลดี้เจน รวมทั้ง นาง ฟรานซ์ ชานด์ คีดด์ ผู้เป็นมารดา   เข้ามาทำการรื้อค้นและหยิบสิ่งของออกไปโดยพลการ ที่สำคัญคือ นางฟรานเซส  ได้ถือโอกาสเข้าไปที่โต๊ะทรงพระอักษรและทำการรื้อค้นจดหมายโต้ตอบต่างๆ รวมทั้ง เอกสารอื่นๆ ถือวิสาสะอ่านแล้วเลือกทำลายได้ทำการส่งเข้าเครื่องตัดไปเป็นจำนวนนับสิบๆฉบับ เขาจึงต้องรีบมาทูลให้ เพื่อถามว่าจะให้เขาได้ดำเนินการอย่างไร ต่อสิ่งของและจดหมายต่างๆที่เป็นเรื่องส่วนตัวและจดหมายโต้ตอบที่สำคัญอื่นๆ ที่ได้เหลือรอดพ้นและคงอยู่ในความดูแลของเขาในขณะนั้น สมเด็จพระราชินี ได้ตรัสย้อนถามว่า แล้วพอลคิดว่าจะแก้ใขเรื่องนี้ได้อย่างไร? เขาจึงทูลขอประทานอนุญาต เก็บรักษาด้วยตัวเอง เพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้ที่อาจใช้อำนาจของการเป็นพี่เป็นน้องเอาไปค้าหาผลประโยชน์ในทีหลัง สมเด็จฯ ทรงเห็นด้วย และประทานอนุญาตตามที่เขาขอในที่สุด เขาใช้เวลาทูลถวายรายงานถึงเรื่องราวอื่นๆถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเจ้าหญิงไดอาน่าต่อสมเด็จพระราชินีในวันนั้นเกือบสามชั่วโมง กว่าจะกลับออกมาได้ และด้วยความเห็นชอบนี้ คือที่มาของ สิ่งของหลายกล่องที่ถูกค้นพบในบ้านของเขา แต่ ที่ว่า สามร้อยกว่าชิ้นนั้น มันรวมไปถึงของขวัญต่างๆที่เขา และครอบครัว ได้รับตลอดเวลานับสิบปีที่เป็นข้าทาสรับใช้ของ เจ้าหญิงและพระโอรสด้วยความซื่อสัตย์ หลังจากที่คดีเสร็จสิ้น  พอลได้เสียความรู้สึกอย่างแรงในตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา ที่เขาเปรียบเสมือนถูกลอยแพให้ประสบกับมรสุมโดยตามลำพัง ในช่วงตลอดชีวิตของเขาที่เป็นมหาดเล็กรับใช้เจ้านายทุกพระองค์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ ตำแหน่งสุดท้ายของเขาคือ มหาดเล็กรับใช้ส่วนพระองค์ให้กับเจ้าหญิงไดอาน่า เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่เป็นคนที่ได้ไปเห็น..ไปดูแลและอัญเชิญพระศพกลับมาจากฝรั่งเศส เจ้าชายทั้งสองพระองค์นั้น เขาก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ความร้าวฉานระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์นั้น เขาก็ซึมซับอยู่เต็มอก จนสมเด็จพระราชินีได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น"อัศวิน" ให้แก่เขา ในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ มั่นคงต่อราชวงค์มาตลอด 20 ปี แต่ไฉน..ยามที่เขาถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม จนต้องเกือบติดคุกติดตะราง วิ่งขึ้นลงศาลเป็นเวลาแรมปี เจ้าฟ้าชายที่เคยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกลับไม่เหลียวแล ทั้งๆที่พระองค์สามารถยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขาได้เป็นอย่างดี เพราะของต่างๆที่เขาถูกกล่าวหาว่าขโมยไปนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นของขวัญที่พระองค์ ทรงประทานมาให้แทบทั้งสิ้น เช่น พวกซีดี หรือเกมส์ของเล่นต่างๆ  จากเจ้าชายสองพระองค์ ,พวกรูปภาพฝีพระหัตถ์ และพระฉายาอื่นๆ จากเจ้าฟ้าชายชารลส์ ถ้าไม่มีพระราชเสาวนีย์จากองค์สมเด็จพระราชินีในวาระจวนเจียนติดคุกเช่นนั้น เขาและครอบครัวจะทำอย่างไร? จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นี่คือสาเหตุหลักๆในการที่เขาได้เขียนหนังสือ The Royal Duty  ออกมาตีแผ่ความจริง ให้โลกรู้ว่า เจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ สตรีที่เลอโฉม เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งที่โลกต้องอิจฉา..หากแต่ใครจะรู้ได้เล่า ว่า เบื้องหลังเบื้องลึกนั้น พระองค์เป็นสตรีที่โชคร้ายและน่าสงสารที่สุดในโลกเช่นกัน หลังจากที่หนังสือได้ออกมาวางตลาดไม่นาน เสียงขานรับเกินความคาดหมายถึงขนาดอาจมีการรื้อฟื้นเบื้องหลังการเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นขึ้นมาใหม่ เพราะ จากจดหมายที่พระองค์ได้ทรงด้วยลายพระหัตถ์มอบให้พอลไว้ดูแล ได้นำออกมาเปิดเผยเป็นครั้งแรก พระองค์ได้ทรงเขียนไว้ถึงเรื่องอาจมีการลอบปลงพระชนม์จาก XXXXX โดยการใช้รถยนต์ให้ดูประหนึ่งอุบัติเหตุ  เพื่อที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ และคามิลล่าจะได้ครองรักกันได้ต่อไป และจดหมายปิดผนึกอื่นๆ ที่ว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้หรอกว่า พระองค์ทรงกรรแสงมากเพียงใด แต่ก็ตบท้ายไว้ว่า "ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างเด็ดขาด" ชีวประวัติของเขานั้น น่าทึ่งนัก..จากเด็กบ้านนอกจนๆได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในพระราชวัง โดยเริ่มจากตำแหน่งพนักงานธรรมดา จนไปถึงมหาดเล็กส่วนพระองค์ ในสมเด็จพระราชินี ซึ่งตลอดเวลานั้นมีเรื่องให้ต้องอ่านไป.ยิ้มไป..มากมาย เช่นเรื่องสิ่งที่สำคัญส่วนพระองค์ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาววัง เรียงตามลำดับความสำคัญมากสุดไปจนถึงน้อยสุด คือ ม้า,สุนัข,พระสวามี,พระโอรสและพระธิดา การเขียนของเขานั้นมาจากเรื่องจริงที่เขาพบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาว รวมไปถึงเรื่องชู้สาวอื่นๆนั้นทำให้ใครหลายคนที่เกี่ยวข้องแทบทนฟังไม่ได้ เพราะมันช่างเป็นการ"แฉ" แบบหมดเปลือกจนน่าอับอาย แม้แต่ เจ้าชายวิลเลี่ยม ได้ทรงออกมาโต้ว่า.. "ช่างอกตัญญูอย่างเลือดเย็นเสียจริงๆ นายพอล เบอเรลล์เป็นแค่คนรับใช้ ไม่มีหน้าที่จะต้องมาอ้างว่าเขียนหนังสือขายเพื่อปกป้องพระเกียรติให้กับเสด็จแม่  หน้าที่นี้มันควรเป็นของเรา..สองพี่น้อง" ทันทีที่ที่ประโยคนี้ได้หลุดออกไป..พอลก็สวนกลับทันทีว่า.. "ถ้าพระราชวงค์มีน้ำพระทัยช่วยเหลือตั้งแต่ทีแรก เรื่องราวก็ไม่บานปลายมาถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรเสียความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อเจ้าหญิงนั้นมิได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิด" และ พอล ได้ถามถึงในสิ่งที่อยู่ในใจเขามานานต่อหน้าสื่อทั้งหลายว่า "ในขณะที่เจ้าหญิงไดอาน่า ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจอย่างองค์เป็นเกลียว สร้างชื่อเสียงให้กับพระราชวงค์ พระองค์กลับได้รับแต่ความชอกช้ำจากเสียงตำหนิติเตียน รวมไปถึงการขัดขวาง รวมทั้งอุปสรรคต่างๆสารพัดจากคนวงในพระราชสำนัก แต่..ทีกับนาง คามิลล่า ปาร์คเกอร์ โบวลส์ ที่พยายามผลักดันอุ้มชูให้เป็นข่าวกันนักน่ะ หล่อนเคยสร้างคุณงามความดีอะไรมาหรือ?" จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 57 จากหนังสือ{The Royal Duty}เล่มนี้ นักวิจารณ์หลายๆคนได้วิจารณ์ว่า ภาพพจน์ของคนอังกฤษที่มีต่อพระราชวงค์นั้นอาจเปลี่ยนไปในทางไม่ดีมากขึ้นไปกว่าเดิม อาจถึงขนาด"สิ้นศรัทธา"เลยทีเดียว เพราะในอดีตจากผลโพลล์ที่เคยถามประชาชนว่าในกรณีสวรรคตของเจ้าหญิงไดอาน่า เป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม หนึ่งในสี่เท่านั้นที่เชื่อว่า เป็นฆาตกรรม แต่ตอนนี้กลายเป็นเกินครึ่งไปแล้ว สื่อได้บอกว่า..ประชาชนแทบทั้งเกาะอังกฤษได้กลับมาเห็นใจและเข้าใจในความคับแค้นที่พอลได้รับ และแน่นอนว่า..พวกเขาเหล่านั้นได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ว่า ยามดีก็ใช้ แต่ยามมีภัยไม่ปกป้อง และผลสรุปของสื่อที่ออกมาตรงกัน ในเรื่องที่สมเด็จพระราชินีทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาโอบอุ้มในเกือบวาระสุดท้ายนั้น เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่า ขืนปล่อยให้พอลถูกกดดันมากกว่านี้ เขาอาจ"แฉ"เรื่องอื่นๆต่อไปที่เสียหายต่อราชวงค์แบบแก้ไขไม่ได้เลยทีเดียว เพราะ เพียงแค่เขาแย้มๆมาว่า มหาดเล็กคนหนึ่งถูก"ตุ๋ย"โดยหนึ่งในสมาชิกของพระราชวงค์ เล่นเอาเรียกเสียงฮือฮาจากนักข่าวไปทั่วโลก แต่จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะ ในหนังสือนั้นเรียบเรียงถ้อยคำที่แสดงออกถึงการเทิดทูนสมเด็จพระราชินีและพระสวามีเจ้าชายฟิลลิปอย่างน่าประทับใจ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:37:26 ]

ความคิดเห็นที่ 58 พอล เบอเรล นับว่าเป็นคนที่โชคดีกว่าใครอีกหลายล้านคนในสหราชอาณาจักรฯ เพราะ จากเด็กในครอบครัวชุมชนชาวเหมืองเมือง Derbyshire  มาทำงานในพระราชวังเพียงแค่ไม่กี่ปี จนก้าวเข้ามาในอยู่ตำแหน่งของมหาดเล็กต้นห้อง คอยถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดให้กับสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ   เริ่มแรกนั้น..หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนทางด้านคหกรรมศาสตร์ (ด้านอาหารและจัดเลี้ยง)  และต่อด้วยวิชาการโรงแรม ในวิทยาลัยประจำเมืองจนจบหลักสูตรแล้ว..เขาก็พร้อมที่จะออกไปหางานทำตามที่ได้ร่ำเรียนมา เป้าหมายสองแห่งที่เขาได้ไปสมัครงานในการเป็นบันไดไต่เต้าขั้นแรก นั่นก็คือ..  Cunard  ที่เป็นองค์กรบริหาร เรือสำราญท่องสมุทร  QE 2 ในแผนกจัดเลี้ยงบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม และเป้าหมายที่สองคือ..สำนักงานในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม  ในแผนกพนักงานรับใช้ทั่วไป ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ มักต้องใช้คนงานมากมายหลายร้อย มีการเปิดรับสมัครอยู่ตลอดเวลา วันที่เขาได้มีโอกาสได้เดินผ่านพ้นเขตพระราชฐานเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์นั้น เขาจำได้ว่า เขาอยู่ในชุดเสื้อสูทสีเข้มตัวเก่งด้วยอาการที่ยิ่งกว่าตัวลีบ.. ยามที่ต้องเกินผ่านระเบียงที่ลาดด้วยพรมสีแดง ไปยังชั้นที่หนึ่งอันที่ที่ตั้งของสำนักงาน ผู้สัมภาษณ์ คือ Mr. Michael Timms รองหัวหน้าฝ่ายปกครองด้านบริการ..เพียงไม่กี่นาทีที่ประจันหน้า เขาก็รู้ได้เลยว่า งานที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กนั้น  มันหลุดลอยหายวับไปกับตา เพราะผู้สัมภาษณ์ถามเขาด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่ชาเย็นว่า.. "คุณบังอาจนั่งลงก่อนได้อย่างไร..ในเมื่อผมยังไม่ได้เชื้อเชิญ"  เพราะด้วยความประหม่า  เขาจึงลืมไปสนิท  และ.. "คุณไม่รู้จักการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่บ้างหรืออย่างไร?" เพราะเขาลืมลงท้ายประโยคด้วยคำว่า " Sir." และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาได้คาดไว้  คือ สองอาทิตย์ต่อมา จดหมายจาก สำนักงานในพระราชวัง ด้วยข้อความว่า..ยังไม่มีงานที่เหมาะสมให้ในตอนนี้ ส่วนทางเรือเดินสมุทร QE 2  ก็เงียบ....ไม่มีข่าวคราวจากองค์กร Cunard ตอบกลับมาแต่อย่างใด เขาจึงใช้เวลาว่างระหว่างนั้นไปหางานทำในกลุ่มโรงแรมเล็กๆ เพื่อเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่ง..ในฤดูหนาวของปีเดียวกันนั้น คือปี 1976  เมล์มาพร้อมกันถึงสองฉบับ..เพียงแต่ฉบับที่เรียกตัวจากเรือ QE 2 นั้น  แม่ของเขาแอบเอาไปซ่อนไว้ เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาต้องเดินทางไกลรอนแรมจากบ้านนานนับเดือนนับปี เหลือเพียงแต่ จดหมายตอบรับการเข้าทำงานของเขา จาก พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 59 งานแรกที่ได้รับมอบหมาย คือ พนักงานรับใช้ทั่วไป ที่มีดูแลเสื้อผ้า ขัดเงากระดุมเครื่องแบบของมหาดเล็กหลวง และเพียงไม่กี่เดือนต่อมา เขาได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นพนักงานช่วยเสริฟในยามที่มีการจัดเลี้ยง เขาจำได้ดีว่า..ในครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเสริฟน้ำชาแก่หมู่พระราชวงค์นั้น เขาประหม่าจนแทบยืนไม่อยู่ ทั้งๆที่หน้าที่เขาเพียงแค่ยืนระวังตรง ในมือถือถาดน้ำชาเพียงอย่างเดียว มหาดเล็กเสริฟทำหน้าที่นำไปรินถวาย เขาต้องท่องจำคำตักเตือนที่ถือเป็นกฏเหล็กให้อยู่ในสมองไปมา..ว่า.ห้ามสบพระเนตร หรือ จ้องพระพักตร์พระองค์ใดเป็นอันขาด !! ซึ่งพนักงานทุกคนต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนไม่นานต่อมา โชคได้เป็นของเขาอีกครั้ง ในการเลื่อนขั้นไปเป็นมหาดเล็กรับใช้ในพระราชฐาน ซึ่งเขาต้องเริ่มฝึกหัดงานและเรียนรู้ในกิจวัตรประจำวันเพิ่มเติม เช่น..นาฬิกาปลุกนั้นเป็นของ"ต้องห้าม" ในพระราชวัง เพราะ นี่คือหน้าที่ของมหาดเล็กที่ต้องทำหน้าที่ของตัวต่อจ้าวนายตามเวลาเป๊ะ เช่น เวลาปลุก คือ เวลาที่มหาดเล็กรับใช้ต้องเชิญเครื่องเสวยเทียบพระแท่น และถ้ายังไม่ตื่นบรรทม ขั้นตอนต่อไปคือ เดินไปรูดพระวิสูตรให้มีแสงสว่าง เข้ามาในห้องอันเป็นสัญญาณเตือน จากนั้นก็เตรียมเครื่องสรง  เรื่องนี้ได้มีเล่าว่า หลอดยาสีพระทนต์ของเจ้าฟ้าชายชารลส์จะมีกุญแจที่ทำเป็นรูปขนนก(อันเป็นสัญญลักษณ์แห่งเวลส์) ที่ใช้สอดคีบเข้าที่ปลายหลอดเมื่อยามจะใช้ก็หมุนกุญแจ(ซึ่งคล้ายกับกุญแจของที่เปิดปลากระป๋อง) ยาจะออกมาในจำนวนพอดีกับแปรงสีพระทนต์ และเตรียมเครื่องทรง พร้อมฉลองพระบาท ให้เรียบร้อย หน้าที่และการปฏิบัติงานของมหาดเล็กรับใช้และมหาดเล็กต้นห้องทั้งหมด ขึ้นตรงกับกรมวังหรือ Lord Chamberlain เป็นผู้ควบคุมดูแลตารางการทำงานให้ตรงกับพระราชกรณียกิจในแต่ละวัน และเพียงสองปี..เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง อันถือว่าสูงสุดของการเป็นมหาดเล็กรับใช้ นั่นคือ เขาถูกเลือกให้ประจำหน้าที่ถวายงานรับใช้ประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:44:43 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พอลเล่าว่า สมเด็จพระราชินี ทรงทำพระองค์แบบธรรมดาที่สุดกับข้าราชบริพาร วันใดก็ตามที่ต้องปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ลิฟท์ส่วนพระองค์จะเปิดออกที่ชั้นล่าง.. พร้อมกับการถวายความเคารพจากนางพระกำนัลและหมู่มหาดเล็กที่ยืนคอยรับเสด็จอย่างเป็นงานเป็นการ แต่ยามที่เสด็จกลับเข้ามา..พระองค์มักยืนรีรอที่หน้าลิฟท์ คอยเล่าเรื่องสนุกๆที่ได้ไปพานพบในวันนั้นกับผู้ที่คอยรับก่อนเสด็จขึ้นสู่ที่ประทับชั้นบนเสมอๆ ครั้งหนึ่งในหน้าที่ของเขาระยะแรกๆ.. เขาถึงกับตกใจเมื่อยามที่เข้าไปถวายพระสุทธารสในห้องทรงพระอักษร และพบว่า พระองค์ประทับทรงงานแต่บนพระเศียรนั้น ทรงพระมหามงกุฏแห่งอังกฤษที่มีแสงเพชรเจิดจ้า ส่งประกายระยิบระยับไปทั่วห้อง   แต่ทรงฉลองพระองค์ลำลอง แถมรองพระบาทนั้นเป็น"แตะ"สีชมพูที่มีขนปุกปุย เขายืนมองและนึกขันในใจ จนพระองค์ต้องมีกระแสรับสั่งว่า "เธอยิ้มอะไรหรือ พอล" เขาจึงได้สติ ทูลไปว่า.."อยากให้พระองค์ได้ทรงเห็น ในภาพที่กระหม่อมได้เห็นอยู่ในเวลานี้พะยะค่ะ" สาเหตุนั่นคือ สมเด็จพระราชินีมักต้องเตรียมการซ้อมให้เคยชินการส่วนพระองค์ก่อนเสด็จเต็มยศในงานรัฐสภาประจำปีเสมอๆ เพราะพระมหามงกุฏนั้นมีน้ำหนักเท่ากับถุงน้ำตาลหนักหนึ่งปอนด์สองถุงวางซ้อนอยู่ด้วยกัน.. หน้าที่ประจำวันของเขานั่นคือ เวลา 7 โมงเช้า เขาจะต้องพาคุณสุนัขพันธ์คอร์กิทั้งเก้าออกเดิน คุณๆเหล่านั้นเป็นตัวเมียเสียแปด คุณตัวผู้มีเพียงตัวเดียว และต้องพากลับก่อนเวลาแปดโมงเช้า เพาระนั่นคือเวลาที่ต้องส่งคุณๆทั้งเก้าเข้าพบสมเด็จพระราชินีในห้องบรรทมพร้อมกับถาดเครื่องเสวย เวลา 9 โมงเช้า คือเวลาที่เขาต้องรับคุณๆทั้งเก้าที่ค่อยโผล่ออกมาทีละตัวจากประตูห้องพระบรรทม และออกพาเดินเพื่อออกกำลังอีกครั้ง การพาสุนัขหลายตัวเดินนั้น..ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะพละกำลังของพวกคุณๆรวมกันช่างมหาศาลใช่ย่อย ครั้งหนึ่งในฤดูหนาว ที่ทางเดินปกคลุมไปด้วยหิมะ ขณะที่กำลังกึ่งยื้อกึ่งยุดเล่นชักเย่อกับพวกคุณๆนั้น เขาเสียหลักลื่นล้มหลังฟาดจนหมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ หากแต่..ทันทีที่เขาได้ฟื้นรู้สึกตัว..ลืมตาขึ้น เขาก็พบกับ พระพักต์ของสมเด็จพระราชิินี ตามด้วยเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ซึ่งพระองค์ตรัสถามด้วยความห่วงใยว่า "พอล...พอล..เธอเป็นอะไรมากไหม?" เขาจึงมาทราบว่า เขาหมดสติไปประมาณสิบนาที จนพระองค์ได้เสด็จมาพบ จากนั้นก็ทรงเรียกแพทย์หลวงมารับไปรักษา โชคดี..ที่มีมหาดเล็กคนอื่นๆไปตามพวกคุณๆทั้งเก้าที่วิ่งกระเจิดกระเจิงไปในหิมะกลับมาโดยปลอดภัยทั้งหมด !! จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เวลาที่ทรงพระสำราญของสมเด็จพระราชินี นั่นคือยามที่พระองค์ได้ดูแลพวกคุณๆ ซึ่งบ่อยครั้งที่ทรงป้อนอาหารสู่ปากพวกเขาเรียงตัวด้วยพระหัตถ์ มักเป็นของเหลือจากโต๊ะเสวย หรือภาพที่เขาเห็นจนชินตา นั่นคือ สมเด็จฯทรงเตรียมคลุกอาหารเข้าด้วยกันแบบผสมนั่นนิดนี่หน่อยก่อนที่จะแบ่งลงในกาละมังพลาสติกสีเหลืองเก้าใบ และทรงเรียกชื่อพวกคุณๆให้มาประจำตำแหน่งทีละตัว ในช่วงเวลาพระสำราญนี้ พระองค์มักเล่าเรื่องประทาน โดยมักขึ้นต้นว่า.."พอล เธอรู้ไหมว่า..มีเรื่องประหลาดนะ?" หรือ "พอล เธอรู้ไหมว่า เมื่อวานฉันไปเจอกับใคร?" หรือ "มีเรื่องตลกจะเล่าให้เธอฟังละ..พอล" หรือที่เด็ดสุด..ก็คือ "พอล..เธอรู้มั๊ย..ว่าม้าของฉันเข้าวินชนะเลิศที่..." อย่างครั้งหนึ่ง..ในเวลาอาหารของพวกคุณๆ พระองค์ทรงเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นแห่งประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งประทาน ดังนี้ว่า " เธอรู้มั๊ยว่า..ฉันได้รับจดหมายจากคนหนึ่ง..ที่เขาเล่ามาว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าชารลส์ที่หนึ่งถูกบั่นพระเศียร ครั้งที่เกิดกบฏเมื่อปี 1649 (วันที่ 30 มกราคม 1649 ที่ หน้าลาน ปราสาท Whitehall)) ในขณะนั้น..เศษชิ้นส่วนของกระดูกพระศอนี้ได้กระเด็นออกมา บรรพบุรุษของเขาเก็บได้และรักษาเอาไว้จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน พวกเขาได้ส่งคืนมาให้ฉันด้วยละ" "แล้วพระองค์ทรงทำอะไรต่อไปกับของที่ส่งมาถวายพะยะค่ะ?" เขาถามด้วยความตื่นเต้น "ฉันคงทำอะไรไม่ได้ไปดีกว่า การที่ต้องส่งคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงน่ะซิ พอล..ฉันขอให้เจ้าหน้าที่เปิดหีบพระศพและเอาไปเก็บไว้รวมกัน" ทรงเล่าต่อว่า..พระเศียรได้ถูกเย็บกลับคืนที่ตั้งแต่ครั้งนั้น และสภาพการเก็บของหีบศพนั้นมิดชิดดีมาก ถึงขนาดที่ว่า พระมัสสุยังคงติดอยู่เชียวนะ" พระมัสสุ = หนวด จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 00:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องคุณๆทั้งเก้านี่มักมีเรื่องเล่าได้ไม่จบ เช่นเรื่องการกัดกันกับคุณๆสุนัขของเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ หรือ ของเจ้าฟ้าชายเอดเวิร์ด ซึ่ง ครั้งหนึ่ง คุณจอลลี่ ของสมเด็จพระราชินี ถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลพร้อมทั้งการกลับมาด้วยการเย็บแผลที่ท้องถึงยี่สิบเข็ม ส่วนเขาและมหาดเล็กคนอื่นๆที่เข้าไปแยกการต่อสู้นั้น โดนไปด้วยคนละแผลสองแผล สมเด็จทรงได้รับข่าวนี้หลังจากเสด็จกลับจากการเลี้ยงกระยาหารค่ำ .. และนั่นคือ ครั้งแรกที่เขาได้เห็นพระองค์ทรงตกพระทัยจนเก็บพระอาการไม่อยู่ แต่เพียงครู่ยามผ่านไป ทรงเสด็จกลับไปที่ห้องฉลองพระองค์และเสด็จกลับมาพร้อมกับยาแก้ปวดสองเม็ดที่ส่งประทานให้กับเขา ตรัสว่า.."นี่ยา พอล..ไปกินซะจะได้หายเร็วๆ" ยามที่พวกคุณๆเกิดดื้อขึ้นมา ส่งเสียงรบกวนพระโสต สมเด็จฯมีการตวาดกลับบ้างเหมือนกัน ซึ่งได้ผลอย่างเหลือเชื่อที่พวกคุณๆต่างทำหูตูบ นิ่งเงียบกริบกันไปตามๆกัน ยามที่ทรงงาน..ก็พวกคุณๆนี่อีกเช่นกันที่นอนกันระเกะระกะ ตรงโน้นตรงนี้ทั่วห้องไปหมด พระสวามี เจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอร์ก ต้องทรงก้าวพระบาทโหย่งๆข้ามตัวนั้นตัวนี้ เริ่มตั้งแต่เสด็จเข้าประตูมา ..พระองค์ถึงกับบ่นดังๆให้เข้าพระกรรณสมเด็จฯว่า "รำคาญเจ้าพวกนี้จัง..ทำไมต้องเลี้ยงกันมากมายอย่างนี้นะ?" สมเด็จฯตรัสตอบสวนทันทีไปว่า.."แต่..ที่รักคะ นี่มันเป็นของรักของหวงสุดสวาทขาดใจของฉันนะ" จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เรื่องขำๆในวังนั้นก็ไม่ใช่น้อย เช่นเรื่องการขโมยดื่มเหล้ายินของพนักงานซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ.. ครั้งหนึ่งมหาดเล็กคนหนึ่งแอบเหลียวหน้าเหลียวหลังดูทิศทางลมเป็นอย่างดี ก่อนที่จะกระดกเหล้าเข้าปาก   ทันทีที่หน้าแหงนขึ้นเพราะอาการสาดเหล้า  ตาทั้งคู่ของเขาก็เจอกับสิ่งที่มองมาจากช่องหน้าต่างข้างบน นั่นคือ พระเนตรที่คมกริบของสมเด็จพระราชินี !! เจ้าหมอนั่นแทบสำลักเหล้าออกมาจากเดี๋ยวนั้น..แต่ก็ไม่ได้ทรงตรัสตำหนิอะไรเลยแม้แต่นิด นอกจากสายพระเนตรนั้นมีแววติติงอยู่หน่อยๆ เพราะพระองค์ทรงเข้าพระทัยดีว่า เหล่าคุณพนักงานและมหาดเล็กนั้นถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกพอสมควร ก็ต้องมีการแอบหาทางออกกันบ้างในยามที่ปลอดคน แต่ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในพระตำหนักที่พระราชวัง แซนดริงแฮม..ที่ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ นั่นก็คือ ในระหว่างที่สมเด็จฯทรงเสด็จลงมาทำอาหารป้อนพวกคุณๆอยู่ที่ระเบียงห้องชั้นล่าง..ประตูได้เปิดผางออก พร้อมทั้งมหาดเล็กอาวุโสนายหนึ่งเดินเมามายตุเป๋ตุปัด แทบจะเหยียบลงบนหลังพวกคุณๆที่หมอบกันอยู่กระจัดกระจาย สมเด็จฯทรงยืนตะลึง ในพระหัตถ์ทรงถือช้อนส้อมเงินค้างอยู่อย่างครบครัน เจ้าหมอนั่นไม่ได้สติแม้แต่นิดเดียวว่า...ใครที่ยืนอยู่ตรงหน้า..แถมยังเรอออกมาเอิ้กหนึ่ง ก่อนเดินเป๋ออกไป..!! สมเด็จฯทรงทอดพระเนตรตามพร้อมทั้งเลิกพระขนงขึ้นนิดหน่อย และหันมาป้อนอาหารพวกคุณๆต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   นับว่ามหาดเล็กคนนั้นรอดตัว..โชคดีไป แต่ทีกับเขา..ไม่ยักกะโชคดีอย่างนั้นบ้าง ครั้งหนึ่ง เขาได้ยกถาดเหล้ายินออกจากพระที่ เพราะเข้าใจว่า พระองค์เสวยเสร็จแล้วและกำลังจะเสด็จไปเปลี่ยนฉลองพระองค์แต่ที่ไหนได้..นางพระกำนัลในห้องภูษามาลาได้มาเล่าให้เขาฟังว่า.. สมเด็จฯทรงบ่นไปตลอดทางว่า.. "ไอ้บ้า..ไอ้บ้านั่น มันยกเอาแก้วเหล้าของฉันออกไป..เพิ่งผสมเสร็จใหม่ๆด้วย..ทำทุเรศจริงๆเลย" จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อเดือน กันยายน 1980   สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ และพระราชวงค์ทั้งหมดได้เสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบัลมอรัล พอลได้ตามไปถวายการรับใช้ด้วยตามหน้าที่ ในเช้าของวันหนึ่งซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นวันเสาร์  ณ.บริเวณพระตำหนัก เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ ดูท่าทางเหมือนกับพยายามมองหาทางไปยังห้องที่พัก  เพราะว่าเธอผู้นั้นพยายามไล่สายตาไปยัง ป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องที่มีประตูเรียงติดๆกัน เขาจึงเดินเข้าไปเสนอให้ความช่วยเหลือ และจำได้ดีว่า เธอคือ เลดี้ไดอะน่า แขกเชิญของเจ้าฟ้าชายชารลส์ โดยที่เธอกล่าวขอโทษขอโพยอย่างเกรงใจ เพราะความที่ไม่เคยชินกับสถานที่นี้มาก่อน ซึ่งพอลตอบไปว่า กรุณาอย่างเกรงใจ ถ้าต้องการอะไรเรียกใช้เขาหรือมหาดเล็กคนไหนก็ได้  ทุกคนยินดีเสมอ และเขาได้พาเธอกลับไปยังที่พักรับรองส่วนตัว..ที่จัดไว้ในชั้นล่าง เสร็จสิ้นแล้ว..เขาหันไปดูที่ป้ายชื่อหน้าประตูอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังออกมา ป้ายนั้นเขียนว่า เลดี้ ไดอะน่า  สเปนเซอร์  อย่างชัดเจน.. และถัดจากห้องนั้นไปไม่กี่ก้าว ก็เป็นระเบียงไปสู่ห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งป้ายหน้าห้องเขียนไว้ว่า “มกุฏราชกุมาร เจ้าชายแห่งเวลส์“     พอลจำได้ดีว่า ในตอนนั้นมีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างขลุกขลักนิดหน่อย กล่าวคือ พอลลีน ต้นห้องที่ได้รับการมอบหมายให้คอยรับใช้เลดี้ ไดอะน่า ได้หิ้วชุดราตรีสีดำเข้ามา พร้อมทั้งเปรยด้วยความเป็นกังวลว่า "แย่จริง  นายหญิงของฉันเอาเครื่องแต่งตัวมาชุดเดียวนี่เอง แต่ต้องอยู่ที่นี่ถึงสามวัน จะทำอย่างไรกันดีละนี่?” เพราะ ในชีวิตในวังนั้น  เพียงแค่ต้องรู้จักเรียกขานพระนาม,พระยศ, เวลาน้ำชา, การสนทนาเวลาร่วมโต๊ะเสวย,การแต่งตัวให้ถูกต้องแค่นี้สำหรับแขกเชิญเด็กสาวอายุเพียง 19 ปีที่มีสถานะเป็นแค่ครูโรงเรียนอนุบาลอย่างเลดี้ไดอะน่าก็นับว่าเป็นงานหนักหนาสาหัสเอาการอยู่แล้ว เรื่องเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการปรากฏตัวทุกครั้ง  เธออาจนึกไม่ถึง แต่เผอิญว่า โชคดีที่ในสามวันของการเป็นแขกเชิญเกียรติยศครั้งนั้นมีอาหารเย็นแบบนั่งโต๊ะเพียงครั้งเดียว  นอกนั้นเป็นการเลี้ยงแบบบาบีคิว ซึ่งใช้ชุดลำลองได้ ตอนนั้นไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า สุภาพสตรีผู้นี้ จะมากลายเป็น “เลดี้ได“ที่เป็นที่รู้จักกันก้องโลกในฐานะ พระคู่หมั้นของเจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมารแห่งสหราชอาณาจักรในเวลาไม่นานต่อมา จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ชาววังทุกคนต่างยังเชื่อว่า หญิงผู้โชคดีผู้นั้นน่าจะเป็น เลดี้ อามานดา พระญาติสนิทฝ่ายลอร์ด เมานต์แบตตัน  ถึงกับมีการพนันขันต่อกันวุ่นวาย จวบจน ปลายปี 1980 เสียงของการต่อรองเริ่มโอนเอียง  เมื่อเห็นว่า ช่างเครื่องทองประจำพระองค์ นายเดวิด ธอมัส ได้นำพระธำมรงค์มาให้เลือก เพื่อพิธีการหมั้นที่จะมีขึ้นวันที่  24 กุมภาพันธ์ 1981 ขั้นตอนคือ สมเด็จพระราชินีเป็นองค์ชี้นำถึงความสวยงามเหมาะสม  และส่งต่อเพื่อถามความคิดเห็นของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ถ้าพระองค์เห็นดีด้วย นั่นคือ การเสร็จสิ้นของการคัดเลือกพระธำมรงค์ ฝ่ายพระคู่หมั้น หรือ เลดี้ ไดอะน่า ได้แต่รับทราบ.. ไม่มีส่วนรู้เห็นช่วยเลือกด้วยเลยแม้แต่นิด ซึ่งพระองค์เคยบ่นกับเขาในหลายปีทีหลังว่า.. “ถ้าให้ฉันเลือก..ฉันไม่เอามาหรอกนะ ใหญ่โตเทอะทะขนาดนี้ ฉันชอบอะไรที่ดูเรียบและออกแนวเก๋มากกว่า“   หลังจากพิธีการหมั้นเสร็จสิ้น ในฐานะพระคู่หมั้น เลดี้ได ต้องเข้ามาพำนักในพระราชวังบัคกิ้งแฮม เป็นระยะเวลาถึงห้าเดือน ก่อนที่จะมีพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น เจ้าฟ้าชารลส์ต้องเสด็จไปทรงภาระกิจที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่น่าอึดอัดยิ่งสำหรับคนที่เคยอยู่อย่างเสรี สิ่งเดียวที่เธอทำได้นั่นก็คือพยายามพาตัวเข้าใกล้ชิดกับสมเด็จพระราชินีให้มากที่สุด อาทิตย์ละครั้งที่เลดี้ได ได้โทรสายในติดต่อไปยังฝ่ายราชเลขานุการในพระองค์พร้อมกับคำถามที่ว่า "ในวันนี้  สมเด็จฯทรงมีแขกร่วมโต๊ะเสวยหรือไม่คะ? " ซึ่งถ้าข้อความนี้ได้ผ่านถึงไปยังพระกรรณแล้วละก็ พระองค์มักตรัสตอบลงมาว่า “บอกไดอะน่าให้มาร่วมโต๊ะกับฉันได้เลย  เวลา สองทุ่มสิบห้านะ“   ซึ่งแน่นอนว่า อาหารมื้อนั้นๆย่อมฝืดคอเป็นธรรมดา เพราะความที่ยังไม่เคยชินต่อระบบและระบอบต่างๆ และ เลดี้ได ยังคงต้องขานพระนามอย่างเต็มยศเสมอ จนกว่าหลังจากพิธีอภิเษกฯแล้ว จึงจะได้รับอนุญาติให้เรียกว่า “มามา“  ส่วนเจ้าชายฟิลลิป ก็คือ“ปา“ เช่นเดียวกับพระโอรสและพระธิดาอื่นๆ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:11:55 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สิ่งต่อไปที่เลดี้ไดต้องเรียนรู้ให้เข้าใจด้วยความหนักแน่น   นั่นก็คือ ภาระและหน้าที่ที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งภายในและภายนอกของพระราชวังซึ่งสมเด็จพระราชินีนั้นทรงทราบเป็นอย่างดีว่ามันหนักหนาสาหัสมากมายขนาดไหน เพราะพระองค์ได้ผ่านและต่อสู้กับมันมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์  และทรงเข้าใจไปเองว่า  เลดี้ได ที่เกิดมาจากครอบครัวขุนนาง ใกล้ชิดกับพิธีการระเบียบแบบแผนในพระราชวังมากพอสมควร น่าที่จะปล่อยเดี่ยวได้ ถึงกับตรัสว่า “เราเชื่อใจ ว่า คนที่จะมารับตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์อย่างเธอ ต้องทำได้เป็นอย่างดี" ก่อนพิธีอภิเษกฯเพียงสองวัน ทางสำนักพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้จัดงานเลี้ยงรับรองแขกสำคัญระดับผู้นำประเทศประมาณหนึ่งพันคน พอลได้เขียนเล่าว่า ในบรรดาแขกสุภาพสตรีทั้งหมด คนที่สวยเด่นเป็นสง่าอย่างไม่มีใครเกิน  แม้แต่ว่าที่เจ้าสาวอย่างเลดี้ไดก็หาเทียบรัศมีความงามได้ไม่   นั่นคือ เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโค  พระราชินีของเจ้าชายเรเนียร์ (ผู้ซึ่ง ในอดีตคือ ดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูด นามว่า เกรซ เคลลี่) เลดี้ได..รู้สึกชื่นชมและประทับใจตัวเจ้าหญิงเกรซมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้ง“ อดีต"ที่มายืนในจุดนี้ก็เกือบคล้ายๆกัน จึงชวนสนทนาขอคำปรึกษาถึงเรื่องภาระและหน้าที่ต่างๆที่ต้องมีตามมาในวันข้างหน้า เจ้าหญิงเกรซตอบว่า..“อย่าไปกังวลกับอนาคตเลย..ต่อไปต้องเจอกับสิ่งที่แย่ๆกว่านี้อีก  ซึ่งเราต้องถือเป็นบทเรียนที่ค่อยเรียนค่อยรู้ไป" จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 67 จากนั้นคือวันที่ 29 กรกฏาคม 1981 คือวันอภิเษกสมรสครั้งยิ่งใหญ่ เป็นวันที่ประชาชน 750 ล้านคนได้เปิดเครื่องรับโทรทัศน์เพื่อเป็นสักขีพยานในความรักของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เสียงเพลง God  Save the Queen และ God Bless the Prince of  Wales  ดังกระหึ่มทั่วเกาะอังกฤษตลอดทั้งอาทิตย์นั้น การฮันนีมูนของคู่บ่าวสาวนั้นเต็มไปด้วยความรื่นรมย์  ที่พระตำหนัก บัลมอรัล ที่ทั้งคู่ได้ทำองค์ตามสบาย เช่นการอ่านหนังสือ   เดินเกี่ยวก้อยชมสวน ชวนเพื่อนๆมาจัดงานสังสรร เฮฮา เพียงแต่ในช่วงนั้น..เจ้าหญิงได้พบว่า  กระดุมข้อพระกรคู่โปรดของพระสวามี เป็นอักษร รูปตัว C สองตัวใขว้กันอยู่ ซึ่งคำตอบมีว่า เป็นของขวัญจากหญิงที่พระองค์“เคย“รัก และบัดนี้ก็คืออดีต เพราะ เธอได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว แน่นอนว่า เจ้าหญิงได รู้ได้ทันทีว่า หล่อนคือ คามิลลา หญิงผู้ที่มีเสียงซุบซิบอื้อฉาวคนนั้น   และสิ่งเดียวที่ถือว่าเป็นการ“แก้ลำ“   นั่นก็คือ เจ้าหญิงได้สั่งทำตราประจำพระองค์ ประทับในเครื่องทรงพระอักษรต่างๆ ด้วยตัวอักษร C ใขว้กับอักษร D ที่อยู่ใต้รูปมงกุฏอันเป็นสัญญลักษณ์ หลังจากการอภิเษกในระยะสองปีแรก เจ้าหญิงไดพยายามที่จะมีส่วนรวมในกิจกรรมของพระสวามี หากแต่เรื่องการล่าสัตว์(กวางตัวผู้)อันเป็นประเพณีสืบทอดนั้น มันช่างโหดร้ายเกินไปสำหรับพระองค์ เมื่อพูดถึงการ"ล่า" เจ้าฟ้าชายชารลส์เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ทีเดียว พอลเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่เขาได้ยินเสียงตะโกนเรียกให้ไปช่วย และรีบรุดลงไปพบกับเจ้าชายยืนอยู่กลางห้องโถง  ฉลองพระองค์ในชุดตกปลา ในพระหัตถ์ทั้งสองมีปลาซัลมอนขนาดยักษ์อยู่ข้างละตัว และทรงตรัสว่า "เอ้า  มารับไปที เอาไปให้พ่อครัวเตรียมทำเป็นอาหารเย็นนี้นะ"  พอลพยายามรับปลาทั้งสองจากพระพัตถ์ แต่ก็ไม่มีความสามารถ เพราะตัวปลาลื่นไหลหล่นจากมือ หลุดแล้วหลุดอีก   พระองค์ทอดพระเนตรแล้วเกิดความรำคาญ ตรัสว่า "เอ้า..ทำเลอะเทอะหมดแล้ว มานี่..จะสอนให้ถือ นี่ดูนี่นะ" แล้วพระองค์ก็ทรงสอนให้เขารู้จักเอานิ้วเกี่ยวเข้าที่เหงือกปลาหิ้วออกไปได้อย่างสะดวก และไม่ใช่เฉพาะกับเจ้าฟ้าชายชารลส์พระองค์เดียวเท่านั้น แม้แต่สมเด็จพระราชินีท่านก็ทรงคงไว้ซึ่งประเพณีดั้งเดิมของชาวสก๊อตในการ"ล่า" เช่นครั้งหนึ่ง ในฤดูกาลล่าสัตว์เช่นกัน สมาชิกพระราชวงค์องค์หนึ่งได้กลับออกมาจากป่าตามเวลาที่จะต้องร่วมโต๊ะเสวย หากแต่ร่างของเขานั้นมีเลือดเปรอะเปื้อน เขาทูลพระองค์ไปตามความจริงว่า "กวางนั้นยังไม่ตาย หากแต่บาดเจ็บและหนีไปได้" สมเด็จจึงรับสั่งว่า "ถ้างั้นก็กลับไปตามหาเดี๋ยวนี้ จัดการให้เสร็จสิ้น อย่าไปทรมานเขา" เพราะความเชื่อถือในประเพณีที่ว่า นั่นคือ ล่าต้องล่าให้ตาย มิฉะนั้นจะเป็นการทรมานสัตว์อย่างแสนสาหัส สรุปว่า พระญาติผู้นั้นก็กลับออกไปป่าและต้องไม่กลับเข้ามาจนกว่าจะจัดการภาระกิจให้เสร็จสิ้น จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จากการถวายงานปฏิบัติรับใช้สมเด็จพระราชินีและพระสวามี เจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอร์คมาสิบเอ็ดปี พอลสามารถกล่าวได้ว่า องค์สมเด็จฯ แม้ว่าจะเป็นประมุขของประเทศก็จริง หากแต่พระสวามีนั้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกัน ทั้งสองพระองค์เป็นคู่ที่คอยเกื้อหนุนกันในทุกๆด้าน ต่างมีหน่วยงานที่ต้องดูแลเป็นของตัวเอง ไม่เคยสักครั้งที่เขาได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดอกขัดใจเยี่ยงสามีภรรยาคู่อื่นๆ มิหนำซ้ำ ชีวิตส่วนพระองค์ภายในรั้วในวังนั้น   เจ้านายสั่งงานที่แท้จริงนั้นคือ พระสวามี เจ้าชายฟิลลิป ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานเลี้ยงเล็กเลี้ยงใหญ่ แบบลำลองหรือแบบเคร่งพิธีการ ถ้าใครลองทูลถามกับสมเด็จฯ  พระองค์มักบอกปัดให้ไปถามกับพระสวามีแทบทุกครั้ง และ เจ้าชายฟิลลิป นั้น ใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่า พระองค์ค่อนข้างเคร่งครัดเจ้าระเบียบมากมายขนาดไหน  ถ้าใครทำอะไรไม่ถูกใจเป็นได้เกิดเรื่องใหญ่ เหล่ามหาดเล็กนั้นต่างเคยโดนกริ้วด้วยเสียงสนั่นแบบฟ้าผ่า..หรือเคยโดนปิดประตูปึงปังใส่หน้ากันมาแล้วเป็นแถวๆ แต่กับพวกผู้หญิงฝ่ายในแล้ว..พระองค์มักไม่ค่อย"เคร่ง"สักเท่าไหร่ ส่วนสมเด็จพระราชินีนั้น..สำหรับเขาแล้ว พระองค์ทรงมีความเมตตากรุณาประทานให้อย่างไม่มีสิ้นสุด นับตั้งแต่ค่ารักษาพยาบาล หรือ การให้เกียรติต่อแม่ของเขาที่จัดว่าเป็นคนบ้านนอกให้เข้ามาร่วมงานคริสต์มาสในวัง หรือ แม้กระทั่งจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตให้กับเขาและมาเรีย( ผู้ซึ่งเป็นพนักงานรับใช้เช่นกัน) ทรงเป็นเจ้าภาพโดยเชิญแขกที่เป็นเชื้อพระวงค์เกือบทั้งหมดให้มาเป็นสักขีพยาน ที่สำคัญทรงอนุโลมยกเว้นในกฏเหล็กของพระราชวังให้กับเขาเป็นกรณีพิเศษ และเป็นครั้งแรก นั่นคือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องลาออก คงยังอยู่รับใช้ถวายงานได้ทั้งคู่ จนหลังจากที่เจ้าหญิงไดได้ทรงมีพระโอรสถึงสองพระองค์ คือเจ้าชายวิลเลี่ยม และ เจ้าชายเฮนรี่ แล้ว ในพระตำหนักไฮโกรฟอันเป็นที่ประทับใหม่ของครอบครัวเวลส์นั้นต้องการคนที่ไว้ใจมาช่วยดูแลถวายงาน เจ้าชายและเจ้าหญิงจึงขอให้เขาและมาเรียไปช่วยงานในฐานะพ่อบ้านแม่บ้าน โดยที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้กราบบังคมทูลต่อสมเด็จด้วยองค์เอง ซึ่งประจวบเหมาะต่อสถานะของครอบครัวของเขาพอดี   มาเรียต้องการมีที่พักเป็นสัดส่วนแบบครอบครัวเพราะเขาทั้งสองได้มีบุตรชายคนแรก ชื่อว่า Alexander Paul Burrell  ที่ถือกำเนิดในปี 1985 ซึ่งก็ไล่เลี่ยกับ เจ้าชายเฮนรี่ที่ประสูติในปี 1984 และการที่ครอบครัวเล็กๆของเขาจะไปตั้งต้นใหม่ในอาณาบริเวณของพระตำหนักไฮโกรฟ ก็นับว่าสะดวกด้วยประการทั้งปวง แต่การที่จะไม่ได้อยู่รับใช้สมเด็จพระราชินีนั้น เป็นเรื่องที่เขาทำใจได้ยากมาก หากแต่..พระองค์ได้เป็นฝ่ายตรัสว่า "ไปเถิด ไปทำงานช่วยเจ้าชายและเจ้าหญิง เพราะสักวันหนึ่งที่ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ต้องขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีแทน เธอก็ต้องวนกลับมาทำงานเดิมๆในที่เดิมๆอย่างนี้อีกนั่นแหละ และเธอจะได้มีความสุขอยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก..ไปเถอะ  ฉันอนุญาต" ตอนนั้นคือ ปี 1987 ที่เขาได้เตรียมตัวเข้าไปทำงานที่พระตำหนักไฮโกรฟ แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆถึงความระหองระแหงของเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เริ่มหนาหูขึ้น จนฝ่ายในที่ใกล้ชิดได้เรียกเขาไปถามถึงด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า แน่ใจมากน้อยแค่ไหนที่คิดจะเปลี่ยนเจ้านายในครั้งนี้ เพราะจากข่าวต่างๆที่เข้ามานั้นไม่ค่อยดี แต่..พอลได้ตอบกลับไปว่า มาถึงบัดนี้ เขาถอยออกไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจากต้องเดินหน้าต่อไป !! จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอจบภาคแรกไว้ตรงนี้นะคะ.. และขอฝากมือโพสต์รูปด้วยว่า ขอรูปเจ้าหญิงเกรซสวยๆด้วย รูปที่ถ่ายยืนคู่กับเจ้าหญิงไดที่ทรงชุดราตรีสีดำน่ะค่ะ เพราะ ตอนนี้ไม่ว่างหารูปให้เลย แต่ทราบดีว่า แฟนๆต่างมีเก็บกันไว้เป็นกระตั้ก ส่วนแฟนที่ตามอ่าน"เอาเรื่อง" ขอให้ใจเย็นๆไว้ก่อน อ่านไปและคิดตามไปด้วยประกอบกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นมาอื่นๆ แล้วอาจจะเข้าใจอะไรต่ออะไรดีขึ้น.. ยังมีให้อ่านอีกหลายตอนค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ส.ค. 48 01:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 70 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 48 01:52:41 จากคุณ : มาอ่าน - [ 3 ส.ค. 48 01:52:23 ]

ความคิดเห็นที่ 71 จากคุณ : มาอ่าน - [ 3 ส.ค. 48 02:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตามมารออ่านภาคต่อไปค่ะ คุณวิ จากคุณ : little kitty - [ 3 ส.ค. 48 12:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เข้าเป็นกระทู้แรกของวันเลยค่ะ ^  ^ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 3 ส.ค. 48 16:04:44 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เรื่องดีมากครับ ติดตามอย่างใกล้ชิด จากคุณ : กริชครับผม - [ 4 ส.ค. 48 13:17:47 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ไปขึ้นกระทู้ใหม่แล้วกันนะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ส.ค. 48 02:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ตามมาอ่านค่ะ ตามไปกระทู้ใหม่ด้วยคนนะคะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 9 ส.ค. 48 13:04:00 ]