ความคิดเห็นที่ 2
เรื่อง อั้งยี่
(๑) เมื่อฉันเป็นนายพลผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกอยู่ในกรมยุทธนาธิการ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เคยมีหน้าที่ทำการปราบปรามพวกจีนอั้งยี่ในกรุงเทพฯครั้งหนึ่ง ต่อมาถึงสมัยฉันเป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ จน พ.ศ. ๒๔๕๘ มีหน้าที่ต้องคอยระวังพวกอั้งยี่ตามหัวเมืองอยู่เสมอบางทีต้องปราบปรามบ้างแต่ไม่มีเหตุใหญ่โตเหมือนเมื่อครั้งฉันอยู่ในกรมยุทธนาธิการ ถึงกระนั้นก็ยังได้ความรู้เรื่องอั้งยี่มากขึ้น ครั้นเมื่อฉันออกจากกระทรวงมหาดไทยมาจัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครมีกิจตรวจค้นโบราณคดี พบเรื่องอั้งยี่ที่มาในเมืองไทยแต่ก่อนๆในหนังสือพงศาวดารและจดหมายเหตุเก่าหลายแห่ง เลยอยากรู้ตำนานของพวกอั้งยี่ จึงได้ไถ่ถามผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าอั้งยี่ที่คุ้นเคยกัน คือ พระอนุวัติราชนิยม ซึ่งมักเรียกว่า "ยี่กอฮง" นั้นเป็นต้น เขาเล่าให้ฟังได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก จึงได้ลองเขียนบันทึกเรื่องอั้งยี่ไว้บ้างหลายปีมาแล้ว ครั้นออกมาอยู่เมืองปีนัง ฉันได้มาเห็นตำนานต้นเรื่องอั้งยี่ที่แรกเกิดขึ้นในเมืองจีน มิสเตอร์ ปิคเกอร์ริง (Mr. W.A. Pickering)แปลจากภาษาจีน ในตำราของพวกอั้งยี่ พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไว้ในหนังสือวารสารของสมาคมรอแยลอาเชียติก Journal of Royal Asiatic Society เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๘ (พ.ศ. ๒๔๒๑) เขาเล่าถึงพวกจีนมาตั้งอั้งยี่ในหัวเมืองขึ้นของอังกฤษในแหลมมลายูเป็นอันใด เรื่องเบื้องต้นต่อกับเรื่องอั้งยี่ที่ฉันเคยรู้มาก่อนอีกตอนหนึ่ง จึงลองรวมเนื้อความเรื่องอั้งยี่เขียนนิทานเรื่องนี้
(๒) เหตุที่เกิดอั้งยี่ในเมืองจีน เมื่อพวกเม่งจูได้พวกจีนไว้ในอำนาจ ตั้งราชวงศ์ไต้เช็งครองเมืองจีนแล้ว ถึง พ.ศ. ๒๒๐๗ พระเจ้าคังฮีได้เสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลนั้นมีพวกฮวนเฮงโน้วอยู่ทางทิศตะวันตกยกกองทัพมาตีเมืองจีน เจ้าเมืองกรมการที่รักษาหัวเมืองชายแดนจีนต่อสู้ข้าศึกไม่ไหว พระเจ้ากรุงจีนคังฮีจะแต่งกองทัพออกไปจากกรุงปักกิ่ง หาตัวแม่ทัพไม่ได้ จึงให้ออกประกาศว่า ถ้าใครอาสาปราบปรามพวกฮวนได้ จะประทานทองเป็นบำเหน็จ ๑๐,๐๐๐ ตำลึง และจะให้ปกครองผู้คน ๑๐,๐๐๐ ครัวเป็นบริวาร ครั้งนั้นที่วัดแห่งหนึ่งบนเขากุ้ยเลงแขวงเมืองเกี้ยนเล้งในแดนจีนฮกเกี้ยนมีหลวงจีนอยู่ด้วยกัน ๑๒๘ องค์ ได้ร่ำเรียนรู้วิชาอาคมมาก พากันเข้ามาอาสารบพวกฮวน พระเจ้ากรุงจีนทรงยินดี แต่วิตกว่าหลวงจีนมีแต่ ๑๒๘ องค์ด้วยกัน พวกข้าศึกมากนัก จึงตรัสสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ เต็งกุนตัด คุมกองทัพไปด้วยกันกับพวกหลวงจีน ไปรบข้าศึกที่ด่านท่งก๊วน พวกหลวงจีนกับพวกกองทัพกรุงปักกิ่งมาชัยชนะฆ่าฟันพวกฮวนล้มตายแตกหนีไปหมด พระเจ้ากรุงจีนจะประทานบำเหน็จรางวัลตามประกาศ พวกหลวงจีนไม่รับยศศักดิ์และบริวาร ขอกลับไปจำศีลภาวนาอยู่อย่างเดิม รับแต่ทอง ๑๐,๐๐๐ ตำลึงไปบำรุงวัด พระเจ้ากรุงจีนก็ต้องตามใจ ส่วนเต็งกุนตัดขุนนางผู้ใหญ่ที่ไปช่วยพวกหลวงจีนนั้นได้รับบำเหน็จเป็นแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองโอ๊วก๊วง
เต็งกุนตัดกับพวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ เคยชอบพอกันสนิทสนมมาตั้งแต่ไปรบพวกฮวน เมื่อจะออกจากเมืองปักกิ่งแยกกันไป เต็งกุนตัดจึงเชิญหลวงจีนทั้งหมดไปกินเลี้ยงด้วยกันวันหนึ่ง แล้วเลยกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันต่อไปในวันหน้า ก็ในเวลานั้นมีขุนนางกังฉิน ๒ คน เคยเป็นอริกับเต็งกุนตัดมาแต่ก่อน ทูลพระเจ้ากรุงจีนว่า เมื่อเต็งกุนตัดจะออกไปจากเมืองปักกิ่งได้ลอบกระทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องไว้กับพวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ดูผิดสังเกต สงสัยว่าเต็งกุนตัดจะคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จึงได้สาบานเป็นพี่น้องไว้กับพวกหลวงจีนที่มีฤทธิ์เดช โดยหมายจะเอาไว้ป็นกำลัง เวลาเต็งกุนตัดออกไปเป็นแม่ทัพบังคับบัญชารี้พลมาก ถ้าได้ช่องจะสมคบกับพวกหลวงจีนพากันยกกองทัพเข้ามาชิงราชสมบัติ น่ากลัวคนในเมืองหลวงจะไม่กล้าต่อสู้เพราะกลัวฤทธิ์เดชของพวกหลวงจีน พวกขุนนางกังฉินคอยหาเหตุทูลยุยงมาอย่างนั้น
จนพระเจ้ากรุงจีนคังฮีเห็นจริงด้วย จึงปรึกษากันคิดกลอุบายตั้งขุนนางกังฉิน ๒ คนนั้นเป็นข้าหลวง คนหนึ่งให้ไปยังเมืองโอ๊วก๊วง ทำเป็นทีว่าคุมของบำเหน็จไปพระราชทานเต็งกุนตัด อีกคนหนึ่งให้ไปยังวัดบนภูเขากุ้ยเล้ง ทำเป็นทีว่าคุมเครื่องราชพลี มีสุราบานและเสบียงอาหาร เป็นต้นไปพระราชทานแก่พวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ เมื่อข้าหลวงไปถึงเมืองโอ๊วก๊วง เต็งกุนตัดออกไปรับข้าหลวงถึงนอกเมืองหลวงตามประเพณี ข้าหลวงก็อ่านท้องตราว่าเต็งกุนตัดคิดกบฏต้องโทษถึงประหารชีวิต แล้วจับตัวเต็งกุนตัดฆ่าเสีย ฝ่ายข้าหลวงที่ไปยังภูเข้ากุ้ยเล้ง พวกหลวงจีนก็ต้อนรับโดยมีการเลี้ยงรับที่วัด ข้าหลวงเอายาพิษเจือสุราของประทานไปตั้งเลี้ยง แต่หลวงจีนเจ้าวัดได้กลิ่นผิดสุราสามัญ เอากระบี่กายสิทธิ์สำหรับวัดมาจุ่มลงชันสูตร เกิดเปลวไฟพลุ่งขึ้นรู้ว่าเป็นสุราเจือยาพิษ ก็เอากระบี่ฟันข้าหลวงตาย แต่ขณะนั้นพวกข้าหลวงที่ล้อมอยู่ข้างนอกพากันจุดไฟเผาวัดจนไหม้โทรมหมด พวกหลวงจีน ๑๒๘ องค์ตายอยู่ในไฟบ้าง พวกข้าหลวงฆ่าตายบ้าง หนีรอดไปได้แต่ ๕ องค์ ชื่อ ฉอองค์หนึ่ง บุงองค์หนึ่ง มะองค์หนึ่ง โอองค์หนึ่ง ลิองค์หนึ่ง พากันไปซ่อนตัวอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในแขวงเมืองโอ๊วก๊วง ที่เต็งกุนตัดเคยเป็นแม่ทัพอยู่แต่ก่อน
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงจีน ๕ องค์นั้งลงไปที่ริมลำธาร แลเห็นกระถางธูปสามเขามีหูสองข้างใบหนึ่ง ลอยมาในน้ำกำลังมีควันธูปในอากาศ นึกหลากใจจึงลงไปยกขึ้นมาบนบกพิจารณาดู เห็นมีตัวอักษาอยู่ที่ใต้กระถางธูปนั้น ๔ ตัว ว่า หวน เชง หก เหม็ง แปลว่ากำจัดเชงเสีย กลับยกเหม็งขึ้น นึกสงสัยว่าเทวดาฟ้าและดินจะสั่งให้ทำอย่างนั้นหรืออย่างไร ลองเสี่ยงทายดูหลายครั้งก็ปรากฏว่าให้ทำเช่นนั้นทุกครั้ง หลวงจีนทั้ง ๕ ประจักษ์แจ้งแก่ใจดังนั้น จึงเอาหญ้าปักต่างธูปที่ในกระถางจุดบูชา แล้วกระทำสัตย์กันตามแบบที่เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยสัญญากันแต่ก่อน ว่าจะช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน และจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งเอาบ้านเมืองคืนให้แก่ราชวงศ์ไต้เหม็งตามเดิม เมื่อปฏิญาณกันแล้ว เห็นสมุดตำราพยากรณ์มีอยู่ในก้นกระถางด้วยก็พากันยินดี แต่ในขณะนั้นเองพวกข้าหลวงที่เที่ยวติดตามก็ไปถึงจะเข้าล้อมจับ พวกหลวงจีนจึงอุ้มกระถางธูปวิ่งหนีไป เผอิญวันนั้นนางกู้ส่วยเองเมียงเต็งกุนตัดที่ถูกฆ่าตาย พาลูกและญาติพี่น้องออกไปเซ่น ณ ที่ฝังศพเต็งกุนตัด ในเวลากำลังเซ่นอยู่ได้ยินเหมืองเสียงคน แลไปดูเห็นกระบี่เล่มหนึ่งโพล่ขึ้นมาจากแผ่นดิน เอามาพิจารณาดูเห็นมีตัวอักษรจารึกที่กั่นกระบี่ว่า น่อ เล้ง โต๊ว แปลว่ามังกรสองตัวชิงดวงมักดากัน และที่ในตัวกระบี่ก็มีอักษรจารึกว่า หวน เช็ง หก เหม็ง แปลว่าให้กำจัดราชวงศ์ไต้เช็งคืนแผ่นดินให้ราชวงศ์เหม็ง ในเวลาที่กำลังพิจารณาตัวอักษรอยู่นั้นได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย นางกู้ส่วยเองก็ถือกระบี่ที่ได้ใหม่มาพาพวกพ้องออกไปดูเห็นข้าหลวงกำลังไล่หลวงจีนทั้ง ๕ องค์มา พวกนางกู้ส่วยเองเข้าป้องกันหลวงจีน เอากระบี่ฟันถูกข้าหลวงตาย พรรคพวกก็หนีไปหมด นางกู้ส่วยเองกับพวกหลวงจียไถ่ถามและเล่าเรื่องฝ่ายของตนให้กันฟัง ก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแต่เดิม และได้ถูกเนรคุณอย่างเดียวกัน นางจึงให้พวกหลวงจีนอาศัยอยู่ที่บ้าน จนเห็นการสืบจับสงบเงียบ แล้วจึงให้หลวงจีนทั้ง ๕ กลับไปอยู่วัดตามเดิม หลวงจีนทั้ง ๕ นี้ได้นามว่า โหวง โจ๊ว แปลว่า บุรุษทั้ง ๕ ของอั้งยี่ต่อมา
ถึงตอนนี้หลวงจีนทั้ง ๕ แน่ใจว่าเทวดาฟ้าดิน ให้คิดอ่านกูบ้านเมืองด้วยกำจัดราชวงศ์ไต้เช็ง ก็ตั้งหน้าเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ร่วมคิดได้พรรคพวกมากขึ้น แต่กิติศัพท์รู้ไปถึงเจ้าเมืองกรมการก็ให้ออกไปจับ หลวงจีนทั้ง ๕ จึงต้องหนีออกจากเมืองโอ๊วก๊วงต่อไป ไปพบนายโจรพวกทหารเสือ ๕ คน เมื่อได้พูดสนทนากัน พวกนายโจรก็เลื่อมใส รับจะพาโจรบริวาลของตนมาเข้าพวกด้วย แล้วพาหลวงจีนไปสำนักอยู่ภูเขาเหล็งโฮ้ว แปลว่า มังกรเสือ ในเวลานั้นมีหลวงจีนองค์หนึ่งชื่อตั้งกิ๋มน้ำ เคยเรียนรู้หนังสือมากจนได้เป็นขุนนางรับราชการอยู่ในกรุงปักกิ่ง อยู่มาสังเกตว่าราชวงศ์ไต้เช็งปกครองบ้านเมืองไม่เป็นยุติธรรม เกิดท้อใจจึงลาออกจากราชการไปบวชเป็นหลวงจีนจำศีลศึกษาวิชาอาคมของลัทธิศาสนาเต๋าอยู่ ณ ถ้ำแป๊ะเฮาตั้ง แปลว่า นกกระสาเผือก จนมีผู้คนนักถือมาก วันหนึ่งลูกศิษย์ ๔ คนไปบอกข่าวว่า หลวงจีน ๕ องค์ได้ของวิเศษ คิดอ่านจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งกู้บ้านเมือง หลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำก็ยินดีพาศิษย์ ๔ คนตามไปยังสำนักของหลวงจีน ๕ องค์ ณ ภูเขามังกรเสือ ขอสมัครเป็นพวกร่วมคิดช่วยกู้บ้านเมืองด้วย ในพวกที่ไปสมัครนั้นยังมีคนสำคัญอีก ๒ คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชื่อ จูฮุ่งชัก เป็นราชนัดดาของพระเช่งจง ในราชวงศ์ไต้เหม็ง อีกคนรหนึ่งเป็นหลวงจีนชื่อ บั้งลุ้ง รูปร่างใหญ่มีกำลังวังชากล้าหาญมาก เมื่อรวบรวมพรรพวกได้มากแล้ว พวกคิดการกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งจึงประชุมกันทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกันทั้งหมด แล้วยก เจ้าจูฮุ่งชัก ขึ้นเป็นรัชทายาทราชวงศ์ไต้เหม็ง ตั้งหลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำซึ่งเป็นผู้มีความรู้มากเป็นอาจารย์(จีนแส) และตั้งหลวงจีนบั้งลุ้งเป็น "ตั้วเฮีย" แปลว่าพี่ชายใหญ่ และเป็นตำแหน่งจอมพล ตัวนายนอกจากนั้นก็ให้มีตำแหน่งและคุมหมวดกองต่างๆ แล้วพากันยกรี้พลไปตั้งอยู่ที่ภูเขาฮ่งฮวง แปลว่า ภูเขาหงส์ (จะเป็นแขวงเมืองไหนไม่ปรากฏ) หวังจะตีเอาบ้านเมืองคืน ได้รบกับกองทัพประจำเมืองนั้น รบกันครั้งแรก พวกกบฏมีชัยชนะตีกองทหารหลวงแตกหนีเข้าเมือง แต่รบครั้งหลังเกิดเหตุอัปมงคลขึ้นอย่างประหลาด ด้วยในเวลาหลวงจีนบั้งลุ้งตั้วเฮีย ขี่ม้าขับพลเข้ารบ ม้าล้มลงจอมพลตกม้าตาย พวกกบฏก็แตกพ่ายพากันหนีกลับไปยังเขามังกรเสือ หลวงจีนตั้งกิ๋มน้ำผู้เป็นอาจารย์เห็นว่าเกิดเหตอันมิบังควรผิดสังเกต ตรวจตำราดูก็รู้ว่าเป็นเพราะพระราชวงศ์ไต้เช็งยังรุ่งเรืองในตำราว่า ศัตรูไม่สามารถจะทำร้ายได้ จึงชี้แจงแก่พวกกบฏว่า ถาจะรบพุ่งต่อไปในเวลานั้นก็ไม่สำเร็จได้ดังประสงค์ ต้องเปลี่ยนอุบายเป็นอย่างอื่น แนะให้พวกที่ทำสัตย์สาบานกันแล้วแยกย้ายกระจายกันไปอยู่โดยลำพังตัวตามหัวเมืองต่างๆ และทุกๆคนไปคิดตั้งสมาคมลับขึ้นในตำบลที่ตนไปอยู่ หาพี่น้องน้ำสบถร่วมความคิดกันให้แพร่หลาย พอถึงเวลาชะตาราชวงศ์ไต้เช็งตก ก็ให้พร้อมมือกันเข้าตีเมือง จึงจะกำจัดราชวงศ์ไต้เช็งได้ พวกกบฏเห็นชอบด้วย จึงตั้งสมาคมลับให้เรียกชื่อว่า "เทียนตี้หวย" แปลว่า ฟ้าดินมนุษย์ หรือเรียกโดยย่ออีกอย่าง "ซาฮะ" แปลว่า องค์สาม คือฟ้าดินมนุษย์ และตั้งแบบแผนสมาคม ทั้งวิธีสบถสาบานรับสมาชิกและข้อบังคับสำหรับสมาชิก กับทั้งกิริยาอาการที่จะแสดงความลับกันในระหว่างสมาชิกให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงเกิดสมาคมลับที่ไทยเราเรียกว่า "อั้งยี่" ขึ้นในเมืองจีนด้วยประการฉะนี้ รัฐบาลจีนรู้ว่าใครเป็นพวกอั้งยี่ก็จับฆ่า ถึงอย่างนั้นพวกสมาคม "เทียนตี้หวย" หรือ "ซาฮะ" ก็ยังมีอยู่ในเมืองจีนสืบมา รัฐบาลทำลายล้างไม่หมดได้
(๓) อั้งยี่ในแหลมมลายู
จากคุณ :
กัมม์
- [
22 ส.ค. 48 16:59:20
]
|
|
|