ความคิดเห็นที่ 25
ยอดเยี่ยมครับ ท่านจำปูน ขอรอไว้ก็นะครับ
(ต่อ) คติธรรมในเวลามีทุกข์
มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดจะหนีทุกข์สุขพ้นได้ฉันใดก็ดี เสด็จพ่อผู้ซึ่.ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นบาปของพระองค์ท่านเลย ก็ยังต้องทรงอยู่ในอำนาจโลกธรรมคือหนีไม่พ้น ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่น่ารู้ว่าท่านทรงรับทุกข์อย่างไรเพื่อผู้ที่จะต้องประสบทุกข์บ้าง บางเวลาจะได้ดูเป็นเยี่ยงอย่างไม่ได้เจตนาเขียนขึ้นเพื่อเจ็บใจหรือคุมแค้นอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
เนื่องแต่มีการเปลี่ยนแปลงปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เหตุการณืในชีวิตเราก็ต้องเปลี่ยนไปด้วยเป็นธรรมดา เมื่อเสด็จพ่อทรงได้รับการปล่อยออกมาจากที่คุมขังแล้วได้ ๓ วัน ก็ได้รับแจ้งจากทางการให้ไปรับเบี้ยบำนาญซึ่งถูกตัดลงทันทีจาก ๓,๖๐๐ เป็น ๑,๕๐๐ บาท เราทุกคนต่างลืมตาโตไม่รู้จะทำอย่างไร มีเสด็จพ่อพระองค์เดียวที่สั่งได้ทันทีว่า "ตัดภายในลงให้มากจนพอกับเงิน" เราก็เอาหัวชนกันคิดตัดทอนเสียแทบตาย เพราะเสด็จพ่อทรงมีเงินแต่เงินเดือนและเงินปีที่พระราชทาในฐานะเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่และได้ทำการงานมามากปีละ ๑๐,๐๐๐ บาทเท่านั้นจริงๆ ถ้าจะพูดกันให้รู้เรื่องจะต้องอธิบายถึงเรื่องการมั่งมีของเจ้านายให้รู้ความจริงเสียก่อน เจ้านายที่เรียกกันว่ามั่งมีนั้น คือ พระองค์ที่ได้รับมรดกตกทอดกันมาจากพระองค์หญิงที่ไม่ได้ทรงสมรส และการที่ไม่มีเจ้าผู้หญิงสมรสนั้นก็ไม่มีกฎหมายบังคับอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นแต่เพียงไม่ใช่พระราชนิยมของพระผู้ทรงเป็นหัวหน้าราชตระกูลเท่านั้น เพราะทรงเข็ดเรื่องสืบสันตติวงศ์ เช่น เรื่องเจ้าฟ้าเหม็นเป็นต้น คราวนี้ในพระมารดาใดที่มีพระองค์หญิงมาก มรดกก็ตกลงมามากตามจพำนวน พระองค์ที่อยู่หลังก็เรียกว่ามั่งมี บางพระองค์ท่านรับจำนำหลุดเกิดเป็นผลประโยชน์มากขึ้นเพราะเวลาก็มี แต่รัฐบาลมิได้เคยเลี้ยงดูเจ้าเช่นในประเทศพม่า นอกจากถวายแต่พระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสี และเจ้าฟ้า ๒-๓ พระองค์เท่านั้น ส่วนเสด็จพ่อนั้นทรงเป็นลูกองค์เดียวของคุณย่า ไม่มีมรดกอันใดตกทอด นอกจากวังเก่าที่สามยอด ซึ่งเป็บ้านคุณชวดบิดาคุณย่าถวายเป็นมรดก และวังหลานหลวงนี้ คุณย่ารับจำนำหลุดแต่เมื่อยังเป็นสนามควาย และพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานที่ล้อมรอบเป็นรางวัลที่ได้จัดมณฑลสำเร็จ เสด็จพ่อจึงทรงสั่งพวกเราไว้ว่าอย่าขายใคร ให้เก็ยไว้ดูเป็นตัวอย่างว่าพ่อได้มาเพราะเหงื่อ ส่วนตัวตำหนักและเรือนต่างๆนั้น สมเด็จพระพันปีหลวง ร.๖ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน พระองค์ละครึ่ง และพวกลูกศิษย์ของเสด็จพ่อช่วยกันทำถวายคนละอย่างสองย่าง เราจึงแลดูเหมือนคนมั่งมีกับเขาด้วย เมื่อพูดถึงรายได้แล้วก็ต้องพูดถึงรายจ่ายด้วยจึงจะได้ความจริงและยุติธรรม เงินเดือนและรายได้ประจำปีของพ่อไม่ได้อยู่ที่วังเพราะเสด็จพ่อทรงให้หลวงอนุรักษ์ฯ(จุล) กองบัญชีของกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้เก็บ ตรัสว่าเขาจะได้รู้ว่าเสนาบดีมีอะไรบ้าง ทางกระทรวงส่งมาให้เป็นค่าเสวย และเงินเดือนคนในวังรวมทั้งค่าเล่าเรียนเด็กๆในวังด้วยเดือนละ ๒,๔๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตร็จรวมทั้งการเลี้ยงดูแขกและซื้อของช่วยการงานและทำบุญ เดือนละ ๘๐๐ บาท ในสมัยนั้นไม่มีเบี้ยรับรอง เบี้ยประชุม และรถประจำตำแหน่ง เวลามีแขกเมืองใหญ่โตมา กระทรวงต่างประเทศก็ส่งกระดาษเปล่ามาให้จดว่าจะทรงเลี้ยงดูรับรองอย่างไรบ้าง ตามธรรมดาการเลี้ยงส่งเลี้ยงรับเพียงราชทูตทุกสถานทูตก็มิได้เว้นแต่ละอาทิตย์ ผลที่ได้คือพวกเราต้องทำงานเก่งทุกคน เสด็จพ่อทรงกะงานให้รับผิดชอบกันคนละแผนกเสมอ เมื่อตรัสบอกพระประสงค์แล้ว ท่านจะไม่มารบกวนอีกเลย เป็นแต่ถึงเวลาจวนแขกจะมาท่านลงมาเดินดูเสีย ๑ รอบแล้วขึ้นรถไปอื่น จนถึงเวลากลับมาสรงน้ำแต่งพระองค์ ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะให้เวลาเราเมที่ไม่ต้องรื้อถอนใหม่
รถยนต์นั้นมี ๕ คัน รถตราจักร ร.๕ พระราชทาน รถเนเปียร์ ร.๖ พระราชทาน รถเล็ก Wanderer สมเด็จพระพันปีหลวง ร.๖ พระราชทาน รถราชสีห์พระเจ้าเชียงใหม่ซื้อฝากไว้ให้ทรงใช้ ถ้าท่านลงมากรุงเทพฯท่านจึงจะใช้ มีรถเฟียตอีกคันหนึ่งมี่ซื้อเองโดยผ่อนส่ง ที่ทรงใช้จริงเป็นประจำ มีรถตราจักรคันเดียว นอกจากนั้นก็เก็บไว้ในโรงโดยมาก ส่วนรถเนเปียร์ลงท้านก็ถวายคืนไป เพราะทนค่ายางค่าน้ำมันไม่ไหว แรกๆทรงว่ามหาดไทย ใครๆก็พากันว่าๆคราวนี้รวยตาย เขาว่ากันเพียงภาคเดียวเขายังรวย นี่รวมหมดทุกทิศต้องรวยแน่ๆ แต่เสด็จพ่อตรัสกับพวกเราว่า "เธอคงจะโกรธว่าพ่อทำให้จน แต่พ่อคิดว่าเงินมันไม่อยู่ ชื่อเสียงมันอยู่ ถ้าพ่อหากิน คนอื่นคือเทศา เจ้าเมือง นายอำเภอเขาก็ทำได้ งานมันก้เสีย พ่อจึงคิดว่าเอาชื่อเสียงไว้ให้เขากรุณาลูกดีกว่า" ข้าพำเจ้าคิดว่าพระกุศลอันนี้เองที่ทำให้ชาวต่างประเทศนับถือ และพวกเราลูกๆก็ยังไม่ถึงต้องคุกเข่าลงขอทานใครกินแม้จะมีกันอยู่หลายคน เมื่อแรกเปลี่ยนแปลงใหม่ๆพวกใส่ความเจ้าเพื่อโปรปะกันดาของเขา กล่าว่าเจ้านายมีเงินกันเป็นล้านๆ เสด็จพ่อมี ๑๑ ล้านเป็นจนกว่าทุกพระองค์ เราได้ขอร้องให้ตั้งศาลชำระ และยอมให้เปิดแบงก์ทั่วโลกด็ด้วย ขออย่างเดียวแต่ว่าถ้าพบหนี้ต้องใช้ให้ ถ้าเป็นเงินหรือของแล้วให้ริบไป แต่ก็ไม่มีใครฟังจึงยังด่ากันเล่นสบาย ตามที่จริงแล้วเสด็จพ่อเพิ่งทรงขายนาใช้หนี้ ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อก่อนสิ้นพระชนม์ได้สองเดือนเท่านั้น
ต่อจากได้รับการปลดปล่อยจากราชการแล้ว หมอแนะนำให้ไปอยู่เสียชายทะเล คือ หัวหิน เราเห็นด้วยเพราะกลัวต้องรับฝรั่งโดยไม่มีเงิน จึงไปอยู่หัวหินเลี้ยงไก้เป็ด และพยายามปลูกผักกิน อยู่ได้ ๑ ปีในหลวงเสด็จยุโรป เสด็จพ่อจึงกราบถวายบังคมลาไว้ว่า จะไปอยู่ปีนุง เพราะต้องการความสงบและจะออกให้พ้นการเมือง ท่านตรัสกับเราว่า "พ่อยังมาลูกศิษย์และเพื่อนฝูงมากทั่วพระราชอาณาจักร เขาไม่มาหาก็ดูเป็นอกตัญญู ถ้ามาก็จะถูกหาว่าเป็นพวกเจ้า เราให้สุขเขาไม่ได้ก็อย่าให้ทุกข์เขา ไปเสียให้พ้นดีกว่า เราก็สบายเขาก็สบาย" เราจึงได้สู้สละบ้านเมืองไปอยู่ที่เงียบ แต่ผลที่ได้เริ่มต้นด้วยน้องชายที่กระทรวงมหาดไทยขอไปเป็นนักเยนของกระทรวง ถูกเรียกกลับจากอังกฤษเพราะเกิดเป็นเจ้า เธอแวะไปเฝ้าเสด็จพ่อที่ปีนัง ท่านตรัสว่า "เธอต้องเข้าไปรายงานตัวแก่กระทรวง ถ้าเขาเอาไว้ในราชการก็ต้องอยู่ เพราะเราเกิดมาเป็นเจ้า ต้องให้ชีวิตแก่บ้านเมืองก่อน ถ้าบ้านเมืองไม่จต้องการก็อย่าคุกเข่าลงของาน จงไปขุดดินกินหญ้า เราอยู่ในปีนังต่อไปด้วยความสงบสุข ใช้ชีวิตในการอ่านเขียนและเที่ยวหาความรู้ในที่ต่างๆด้วยเงินปีซึ่งถูกตัดเมื่อรัชกาลที่ ๗ เศรษฐกิจตกต่ำเป็นปีละ ๖,๐๐๐ บาท แต่วันหนึ่งเรากำลังลงเรือข้ามทะเลจากปีนังมาเมืองไทร เพราะตนกูมะหะหมุดเชิญไปกินกลางวัน ได้พบกับคุณมังกร สามเสน ในเรือข้ามฟาก เธอทูลเสด็จพ่อว่า "ข้าพระพุทธเจ้าอยากเชิญเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะมีคนแนะนำสภาว่า ให้ตัดเงินเจ้านายที่ไปอยู่ต่างประเทศ เว้นแต่กรมพระนครสวรรค์ เพราะเขาให้ท่านไป ข้าพระพุทธเจ้ารู้ดีว่าฝ่าพระบาทไม่ใช่เจ้านายที่ทรงมั่งมี จึงไม่อยากเห็นทรงลำบากในเวลาทรงพระชราแล้ว" เวลานั้นพระชันษาเสด็จพ่อ ๗๘ ปี ท่านพระพักตร์แดงยืดพระองค์ตรงแล้วตรัสว่า "ขอบใจคุณมาก แต่กรมดำรงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ถ้าจะให้คุกเข่าลงเพื่อเงินเป็นอันไม่กลับ"
จากคุณ :
กัมม์
- [
19 ก.ย. 48 19:40:20
]
|
|
|