ความคิดเห็นที่ 1 เท่าที่ผมทราบมาบ้างนะครับ  ในฝรั่งเศสนี่ยังมีทายาทอยู่แน่ๆครับและมีตั้งสามสาย 1. ทายาทสายพระเจ้าหลุยส์ที่14 เป็นพวกบูร์บงเชื้อสายสเปน 2. ทายาทสายพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิป  เป็นพวกบูร์บงที่มาจากทาง ดยุคแห่งออร์เลออง 3.แน่นอนครับสายตระกูลโบนาปาร์ต  พวกนี้สืบสายมาจาก เจโรม อนุชาของนโปเลียน   ผิดพลาดประการใดก็ขออภัย จากคุณ : มังกรล่อแก้ว - [ 24 ธ.ค. 48 21:29:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่มีพระยศแล้วครับ ทายาทรุ่นหลังๆจะกลายเป็นสามัญชนไปโดยปริยาย ในประเทศรัสเซีย ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ราชวงศ์สุดท้ายคือราชวงศ์โรมานอฟถูกล้มล้างหมดแล้ว แต่หลายๆคนก็ยังเชื่อว่า อาจจะยังมีทายาทหลงเหลือ แต่ก็ไม่ปรากฎหลักฐานหรือสิ่งยืนยันว่าราชวงศ์โรมานอฟมีเชื้อสายหลงเหลือรึเปล่า ส่วนราชวงศ์ในประเทศอื่นๆที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ยังคงมีทายาทสืบเชื้อสายต่อมา เพียงแต่ไม่มีพระยศหรือฐานันดรใดๆอีกครับ จากคุณ : เปลือยเดือด - [ 24 ธ.ค. 48 22:19:26 A:203.113.35.8 X:203.151.140.114 TicketID:106175 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ราชวงศ์ กรีก  อิตาลี และ เยอรมัน ก็ยังหลงเหลืออยู่ ยังมีข่าวในวงสังคมเรื่อยๆ จากคุณ : น้องหอมแดง - [ 24 ธ.ค. 48 22:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่ทราบกันดีต้องสาธารณรัฐบัลแกเรีย เพราะ นายกรัฐมนตรีของประเทศที่เพิ่งจะพ้นตำแหน่งเมื่อเดือน สิงหาคม 2548 ที่ผ่านมา เชื่อหรือไม่ว่านายกท่านนี้เป็นอดีตกษัตริย์ของราชอาณาจักรบัลแกเรียนั่นเอง ทรงพระนามว่า พระเจ้าซิเมออนที่ 2 (Simeon II of Bulgaria) แห่งราขวงศ์แซก-โกเบิร์ก-โกตา ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของบัลแกเรีย (ครองราชย์ ค.ศ.1943–1946) ต่อมาทรงเข้าเล่นการเมืองจนได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 ดำรงตำแหน่งจนครบวาระในปี 2548 ปัจจุบันทรงมีโอรสธิดา 5 พระองค์ คือ เจ้าชาย Kardam of Saxe-Coburg ,เจ้าชาย Kyrill ,เจ้าชาย Kubrat ,เจ้าชายKonstantin-Assen ,เจ้าหญิง Kalina เดี๋ยวมีต่อ จากคุณ : hijack02 - [ 24 ธ.ค. 48 23:15:54 A:203.113.70.73 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 มาถึงประเทศกรีซ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรีซทรงพระนามว่า พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 2 (Constantine II, King of the Hellenes) แห่งราชวงศ์ Schleswig-Holstein-Sonderburg-Glucksburg ครองราชย์ระหว่าง 6 March 1964 – 24 July 1973 ก่อนที่ทรงจะถูกพวกสาธารณรัฐโค่นล้ม พระองค์พร้อมสมาชิกราชวงศ์ลี้ภัยไปอยูอังกฤษ ปัจจุบันทรงมีโอรสธิดา 5 พระองค์ คือ เจ้าหญิง Alexia of Greece and Denmark ,เจ้าชาย Pavlos มกุฏราชกุมารแห่งกรีซเจ้าชายเดนมาร์ก ,เจ้าชาย Nikolaos of Greece and Denmark ,เจ้าหญิง Theodora of Greece and Denmark ,เจ้าชาย Philippos of Greece and Denmark มาถึงอิตาลีบ้าง กษัตริย์องค์สุดท้ายทรงพระนามว่า พระเจ้าอัมเบิร์ตโตที่ 2 (Umberto II of Italy) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ Savoy ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. May 9, 1946 to June 12, 1946 เพียง 1ปี ทรงถูกประชาชนออกเสียงให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ ทำให้พระองค์ต้องลี้ภัยไป แต่ยังทรงดำรงในสถานะกษัตริย์พลัดต่อไปจนสิ้นพระชนม์ในปี 1983 ปัจจุบันพระองค์มีโอรสธิดา 4 พระองค์ คือ เจ้าหญิง Maria Pia ,เจ้าชาย Vittorio Emanuele เจ้าชายแห่งเนเปิล ปัจจุบันทรงเป็นกษัตริย์อิตาลีพลัดถิ่นองค์ปัจจุบัน ,เจ้าหญิง Maria Gabriella ,เจ้าหญิง Maria Beatrice นอกจากนี้ราชวงศ์อิตาลียังมีรัชทายาทองค์ใหม่คือ เจ้าชาย Emanuele Filiberto เจ้าชายแห่งเวนิส และพีตมอร์น(Prince of Venice and Piedmont) จากคุณ : hijack02 - [ 24 ธ.ค. 48 23:39:20 A:203.113.70.73 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาถึงประเทศยูโกสลาเวีย (ปัจจุบัน เซอร์เบีย & มอนเตเนโกร) กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชอาณาจักรยูโกสลาเวียคือ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 ( Peter II of Yugoslavia) แห่งราชวงศ์ Karadjordjevic ทรงเป็นพระนัดดาใน พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 กษัตริย์เซอร์เบีย ผู้ทรงรวบรวมดินแดนโครเอเชียและสโลเวเนียแล้วตั้งราชอาณาจักรยูโกสลาเวียขึ้น พระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 ทรงครองราชย์ระหว่าง March 27, 1941 to November 29, 1945 ก่อนถูกปฏิวัติคอมมิวนิสต์ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อปี 1970 ปัจจุบันพระโอรสของพระองค์คือ เจ้าชายอเลกซานเดอร์ (Alexander, Crown Prince of Yugoslavia) หรือชื่อสามัญ Aleksandar Karadordevic ทรงดำรงตำแหน่งมกุฏราชกุมารแห่งยูโกสลาเวีย นะตอนนี้ มาถึงโรมาเนีย กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชอาณาจักรโรมาเนียทรงพระนามว่า พระเจ้าไมเคิลที่ 1 (Michael I of Romania) แห่งราชวงศ์ Hohenzollern-Sigmaringen ทรงครองราชย์อยู่สองครั้ง ครั้งแรกช่วง July 20, 1927 to June 8, 1930 ต่อมาราชสมบัติตกไปเป็นของพระเจ้าแคโรลที่ 2 พอสิ้นรัชกาลพระองค์ก็กลับมาครองราชย์อีกครั้งช่วงปี September 6, 1940 to December 30, 1947 ก่อนที่พวกคอมมิวนิสต์จะปฏิวัติ แล้วทรงลี้ภัยนอกประเทศ ปัจจุบันมีพระธิดาทั้งหมด 5 พระองค์ คือ มกุฏราชกุมารี เจ้าหญิงมาการิตา (Princess Margarita of Romania) ,เจ้าหญิง Elena ,เจ้าหญิง Irina ,เจ้าหญิง Sophie ,เจ้าหญิง Maria จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 01:49:07 A:203.113.70.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาถึงเยอรมัน ประเทศนี้เพิ่งร่วมตัวเป็นปึกแผ่นเมื่อปี ค.ศ.1871 ตั้งเป็นจักรวรรดิเยอรมัน มีจักรพรรดิองค์แรกคือ จักรพรรดิไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 1 แห่งราชวงศ์ Hohenzollern (เดิมคือพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1ของแคว้นปรัสเซีย) หลังจากนั้นก็มาถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือ จักรพรรดิไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 พระองค์นำประเทศพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อพระองค์หนีไปพร้อมรัชทายาทที่ฮอลแลนด์ ประชาชนต่างโกรธแค้นที่พระองค์ทิ้งประเทศไว้เบื้องหลัง เยอรมันจึงจัดตั้งสาธารณรัฐขึ้น จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงมีพระโอรสธิดา 7 พระองค์คือ มกุฏราชกุมารเจ้าชาย Wilhelm ,เจ้าชาย Eitel Friederich ,เจ้าชาย Adalbert ,เจ้าชาย August Wilhelm ,เจ้าชาย Oskar ,เจ้าชาย Joachim ,เจ้าหญิง Viktoria Luise แต่สายที่มีบทบาทมากของราชวงศ์คือสายของ มกุฏราชกุมารวิลเฮล์มแห่งเยอรมัน ซึ่งขึ้นเป็นหัวหน้าราชวงศ์ระหว่าง 1941–1951 มกุฏราชกุมารมีโอรสธิดา 6 พระองค์ คือ Wilhelm (1906-1941) Louis Ferdinand (1907-1994) Hubertus (1909-1950) Friedrich (1911-1966) Alexandrine (1915-1980) Cecilie (1917-1975) Friedrich หรือ เจ้าชาย Frederick of Prussia มีโอรสธิดาคือ เจ้าชาย Frederick Nicholas (b. 3 May 1946), เจ้าชาย William Andrew (b. 14 November 1947) เจ้าหญิง Victoria Marina Cecilie (b. 22 February 1952), เจ้าชาย Rupert Alexander Frederick (b. 28 April 1955), เจ้าชาย Antonia Elizabeth Brigid Luise (b. 28 April 1955), ทางด้าน Louis Ferdinand หรือ เจ้าชาย Louis Ferdinand of Prussia ได้รับตำแหน่งหัวหน้าราชวงศ์ต่อจากมกุฏราชกุมารวิลเฮล์มผู้เป็นพระบิดา ระหว่าง 1951–1994 เจ้าชายทรงมีโอรสธิดา 8 คน เกือบทุกพระองค์เป็นสามัญชน ยกเว้น เจ้าชายหลุยส์ เฟอร์ดินานที่ 2 ซึ่งเจ้าชายหลุยส์ทรงมี โอรสธิดา 2 พระองค์ องค์ที่เด่นคือ เจ้าชาย Georg Friedrich Ferdinand of Prussia เมื่อเจ้าชาย Louis Ferdinand of Prussia ผู้เป็นปู่สิ้นพระชนม์ในปี 1994 เจ้าชาย Georg Friedrich Ferdinand of Prussia ก็ทรงสืบทอดรับตำแหน่งหัวหน้าราชวงศ์ Hohenzollern ของเยอรมัน-ปรัสเซีย จนถึงปัจจุบัน จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 02:54:33 A:203.113.70.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาถึงรัสเซีย หลังจากประชาชนพากันประท้วงรัฐบาลจนจักรพรรดิซาร์นิโคลัสที่ 2 ต้องสละราชสมบัติ Mikhail Aleksandrovich Romanov พระอนุชาของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ต่อเป็น แกรนด์ดุ๊ก Michael Alexandrovich of Russia และต่อมาได้เป็น จักรพรรดิ Tsar Michael II แต่ครองราชย์ไม่ถึงปี ก็เกิดการประท้วงของประชาชนโดยการนำของพรรคบอลเชวิค ทำให้พระองค์สละราชสมบัติ และรัสเซียก็ได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในที่สุด ต่อมาทายาทของพระองค์คือ Kirill Vladimirovitch Romanov ได้ขึ้นเป็น แกรนด์ดุ๊ก Cyril Vladimirovitch of Russia ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิรัสเซีย (แค่ในนาม) ระหว่าง September 13, 1924–October 12, 1938 ต่อมาเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ Vladimir Kirillovich Romanov พระโอรสของพระองค์ได้รับแต่งตั้งเป็น แกรนด์ดุ๊ก Vladimir Cyrillovich of Russia ขึ้นเป็นจักรพรรดิรัสเซีย (แค่ในนาม) ระหว่าง October 12, 1938–April 21, 1992 เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ดำแหน่งก็ตกไปเป็นของ Mariya Vladimirovna Romanova พระธิดาของพระองค์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น แกรนด์ดัชเชส Maria Vladimirovna of Russia เป็นจักรพรรดินีถึงจนปัจจุบัน และเป็นหัวหน้าสภาราชวงศ์โรมานอฟคนปัจจุบัน แกรนด์ดัชเชสสมรสกับ เจ้าชาย Franz Wilhelm of Prussia ในปี 1976 ทรงมีโอรส 1 พระองค์คือ Georgiy Mikhailovich Romanov ต่อมาสภาราชวงศ์แต่งตั้งให้พระองค์เป็น เจ้าหญิง Maria Vladimirovna of Russia จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 03:37:43 A:203.113.70.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความเห็นที่ 1 ตอบดีแล้วครับสำหรับฝรั่งเศส อยากเสริมแค่ว่าพวกที่มีพระยศแล้วยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีพระยศนำหน้านะครับ เคยดูข่าวในฝรั่งเศส ยังเคยเห็น Pricess หรือ Prince จากตระกูลโบนาปาร์ตเลยครับ จริงครับที่ฝรั่งเศสล้มล้างระบบไปหมดแล้ว แต่บางพระองค์ก็ยังดำรงชีวิตอย่างเจ้าอยู่นะครับ เพียงแต่ไม่ออกข่าวเป็นทางการ แต่บางพระองค์ก็ลงเล่นการเมืองท้องถิ่น แต่งงานกับหญิงชาวบ้านธรรมดาๆครับ ในอีกกรณีหนึ่งนั้น เราก็ยังพบว่าบางคนที่ไม่ได้มีพระยศเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง แต่ก็ยังมียศเช่น ดยุค ท่านเค้าท์ บารอน อะไรประมาณนี้ พวกเขาก็ยังมีคำเรียกนำหน้าเช่นกันนะครับ ส่วนลูกหลานที่ไม่มียศอะไรเลยก็จะมีนามสกุลที่ขึ้นว่า de ครับ ก็เหมือนกับคำว่า ณ ต่างๆในบ้านเราครับ จากคุณ : ซอร์บอนน์ - [ 25 ธ.ค. 48 03:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มาถึงประเทศออสเตรีย หรืออดีตจักรวรรดออสเตรีย-ฮังการี จักรพรรดิองค์สุดท้ายคือ จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 ( Karl I of Austria ครองราชย์ 1916–1918) แห่งราชวงศ์Habsburg นอกจากนี้ยังเป็นกษัตริย์แห่งฮังการีและแคว้นโบฮิเมีย (เชค-สโลวัก) ในเวลาเดียวกัน เมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่พระบิดาของพระองค์คือ จักรพรรดิฟรานส์โจเซฟที่ 1 พาประเทศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 ทำให้พระองค์ประกาศสละราชสมบัติในปี 1918 โดยที่พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้าราชวงศ์ Habsburg ต่อไปจนสิ้นพระชนม์ในปี 1922 จักรพรรดิคาร์ลอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิง Zita แห่ง Bourbon-Parma มีโอรส 6 พระองค์ ธิดา 2 พระองค์ ได้แก่ - Otto (1912-) - Adelhaid (1914-1971) - Robert (1915-1996) - Felix (1916-). สมรสกับ Anna-Eugenie (เจ้าหญิง von Arenberg - Carl Ludwig (1918-). สมรสกับ Yolande (เจ้าหญิง de Ligne) - Rudolph (1919-). สมรสครั้งแรกกับ Xenia (เคาต์เตส Tschernyscheva-Besobrasova) สมรสครั้งที่สองกับ Anna (เจ้าหญิง von Wrede) - Charlotte (1921-1989). สมรสกับ Georg ดุ๊ก von Mecklenburg. - Elisabeth (1922-1993). สมรสกับ Heinrich เจ้าชาย von und zu Liechtenstein Otto หรือ Otto von Habsburg โอรสองค์แรกของจักรพรรดิคาร์ล อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิง Regina แห่ง Saxe-Meiningen มีโอรสธิดา 7 พระองค์ (ปัจจุบันถ้ารวมพระนัดดาด้วยก็เป็นทั้งหมด 22 องค์) ก็คือ - Andrea (1953 -). สมรสกับ Hereditary เคาต์ Karl Eugen von Neipperg - Monika(1954 -). สมรสกับ Luis Gonzaga de Casanova-Cárdenas y Barón - Michaela(1954 -). สมรสครั้งแรกกับ Eric Teran d'Antin สมรสครั้งที่สองกับ เคาต์ Hubertus von Kageneck - Gabriela(1956 -). สมรสกับ Christian Meister ในปี 1978 หย่าในปี 1997 - Walburga(1958 -). สมรสกับ เคาต์ Archibald Douglas - Karl (born January 11, 1961), ทรงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าราชวงศ์ Habsburg องค์ปัจจุบัน สมรสกับ Baroness Francesca von Thyssen-Bornemisza de Kászon ซึ่งเป็นธิดาของ Hans Heinrich Baron von Thyssen-Bornemisza Karl มีบุตรธิดา 3 คน คือ Eleonore Jelena (b. February 28, 1994) Ferdinand Zvonimir (b. June 21, 1997), and Gloria Maria (b. October 15, 1999), - Georg(1964 -) สมรสกับ ดัชเชส Eilika von Oldenburg ส่วนพระโอรสอีกพระองค์ของจักรพรรดิคาร์ล คือ Robert หรือ อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este อภิเษกสมรสกับ Margherita Isabella Maria Vittoria Emanuella Elena Gennara เจ้าหญิงแห่ง Savoy-Aosta ที่เนเปิล ,อิตาลี เมื่อปี 1953 มีโอรสธิดา 5 พระองค์ คือ 1. Maria Beatrice (December 11, 1954 -). สมรสกับRiprand เคาต์ von Arco-Zinneberg 2. Lorenz เจ้าชาย Lorenz, อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este(December 16, 1955 -). สมรสกับ เจ้าหญิง Astrid แห่ง Belgium มีโอรสธิดา 5 พระองค์ คือ - เจ้าชาย Amedeo, อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este (เกิด. 1986 -) ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าชาย Imperial และ อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este, เจ้าชายแห่ง Hungary and Bohemia - เจ้าหญิง Maria Laura, อาร์ชดัชเชสแห่ง Austria-Este(เกิด. 1988 -) ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงImperial และ อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este, เจ้าหญิงแห่ง Hungary and Bohemia. - เจ้าชาย Joachim, อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este (เกิด. 1991 -) ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าชาย Imperial และ อาร์ชดยุคแห่ง Austria-Este, เจ้าชายแห่ง Hungary and Bohemia - เจ้าหญิง Luisa Maria, อาร์ชดัชเชสแห่ง Austria-Este(เกิด. 1995 -) ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิง Luisa Maria Anna Martine Pilarแห่ง Belgium, อาร์ชดัชเชสแห่ง Austria-Este - เจ้าหญิง Laetitia Maria, อาร์ชดัชเชส Austria-Este(เกิด. 2003 -) เจ้าหญิง Laetitia Maria Nora Anna Joachim Zita แห่ง Belgium 3. Gerhard (October 30, 1957 -) 4. Martin (December 21, 1959 -). สมรสกับ Katharina เจ้าหญิง zu Isenburg 5. Isabella (March 2, 1963 -). สมรสกับ เคาต์ Andrea Czarnocki-Lucheschi จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 16:53:59 A:203.113.70.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาถึงประเทศสาธารณรัฐแอลเบเนีย แอลเบเนียมีระบอบกษัตริย์มาตั้งแต่ ค.ศ. 1190 ต่อมาถูกจักรวรรดิออตโตมันเติร์กเข้ามามีอิทธิพลอยู่ถึงห้าร้อยปี จนเมื่ออิทธิพลของพวกเติร์กหมดไปจากคาบสมุทรบอลข่าน เจ้าชายอิสมาอิล Ismail Bej Qemali (1912–1914) แห่งแอลเบเนีย จึงประกาศตั้งราชอาณาจักรแอลเบเนีย ต่อมาช่วงสงครามโลกครั้งที่แอลเบเนียถูกเยอรมันยึดครอง โดยเยอรมันแต่งตั้งให้ William of Wied เป็นผู้นำแอลเบเนีย ต่อมาชาวแอลเบเนียปลดแอกจากเยอรมัน มีกษัตริย์องค์ใหม่คือ Essad Pasha แต่ปกครองได้ปีเดียว (1920) ประเทศก็เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐมี เจ้าชาย Ahmet Bej Zogu เป็นผู้นำจนถึงปี 1928 พระองค์ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้า Zog I จนถึงปี 1939 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีภายใต้การนำของมุสโสลินีก็บุกยึดแอลเบเนีย พระเจ้า Zog I ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่กับพระเจ้าฟารุกกษัติย์อียิปต์พระสหายของพระองค์ ขณะเดียวกันอิตาลีได้สถาปนา พระเจ้า Victor Emmanuel III กษัตริย์อิตาลีให้ครองบัลลังค์กษัตริย์แอลเบเนียด้วย เมื่ออิตาลีแพ้สงครามโลกครังที่ 2 ในปี 1943 กษัตริย์อิตาลีก็ทรงสละอำนาจจากแอลเบเนีย ต่อมาเกิดสงครามกลางเมือง พรรคคอมมิวนิสต์แอลเบเนีย เข้ายึดประเทศล้มระบอบกษัตริย์ แล้วสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนแอลเบเนียขึ้น ในปี 1946 พระเจ้า Zog I ทรงอภิเษกสมรสกับ เคาต์เตส Geraldine Apponyi de Nagy-Apponyi ลูกครึ่งฮังกาเรียน-อเมริกันในแบบอิสลามปี 1938 ทั้งคู่มีพระโอรสหนึ่งองค์คือ เจ้าชาย Leka Zogu(เกิด April 5, 1939) พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมกุฏราชกุมารแห่งแบลเกเรีย ทรงสมรสกับ Susan Cullen-Ward ใน1975 หลังจากที่พระบิดาสิ้นพระชนม์ในปี 1961 เจ้าชาย Leka ได้รับการตั้ง เป็น Leka I กษัตริย์แห่งแอลเบเนีย ทั้งคู่มีพระโอรสคือ Leka Anwar Zog Reza Baudouin Msiziwe (เกิดMarch 26, 1982) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น มกุฏราชกุมารเจ้าชาย Leka II of Albania แล้วพระราชินี Geraldina of the Albanians พระมารดาของกษัตริย์ Leka ก็สิ้นพระชนม์ 22 October 2002 หลังจากนั้นไม่กี่ปี เจ้าหญิง Susan Barbara Cullen-Ward มเหสีของพระองค์ก็สิ้นชีพเมื่อวันที่ July 17, 2004 ที่กรุง Tirana, Albania. ด้วยโรคมะเร็งปอด จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 19:05:34 A:203.113.70.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อมูลแน่น เลยครับ คุณ hijack02 ขอบคุณครับ... จากคุณ : sticnin - [ 25 ธ.ค. 48 22:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คราวนี้ขอนอกประเด็นกระทู้หน่อยนะครับ จะเอาราชวงศ์เกาหลี (ราชวงศ์โชซอน) ราชวงศ์เดียวกับเรื่องแดจังกึมนั่นแหละ ของยุคปัจจุบันมาฝากครับ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของ Gu (I Gu) เจ้าชายแห่งเกาหลี เนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2548 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่า "สายหลัก" ของราชวงศ์จักรวรรดิเกาหลีได้สิ้นสุดลงแล้ว เข้าเรื่องเลยนะ ฐานันดรจักรพรรดิและราชวงศ์จักรวรรดิแห่งเกาหลีในปัจจุบัน ก่อนที่เกาหลีจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งแบ่งแยกเป็น เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ดังเช่นในปัจจุบันนั้น เกาหลีเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเช่นเดียวกับญี่ปุ่นและจีนมาก่อน แต่เมื่อเกาหลีถูกรุกรานและยึดครองโดยกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่น ทำให้จักรวรรดิเกาหลีสูญเสียอำนาจ และเสื่อมโทรมลงเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบัน "ราชวงศ์จักรวรรดิเกาหลี" จึงมีแต่เพียงในนามเท่านั้น ในทางปฏิบัติมีฐานะเฉกเช่นสามัญชน และในระดับนาชาชาติก็ไม่มีฐานะเป็นราชวงศ์แต่อย่างใด ปราสาทของจักรวรรดิเกาหลีจึงเป็นเพียงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ และสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น ไม่ใช่เขตพระราชวังอีกต่อไป เมื่อถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง หลังจากญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีได้สำเร็จ ก็ได้ทำการบังคับให้จักรพรรดิ Gwangmu (พระปรมาภิไธย Gojong) สละราชบัลลังก์ และให้มกุฎราชกุมาร Sunjong ขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระอิสริยยศว่า "จักรพรรดิ Yunghui" ซึ่งเสมือนดำรงราชสำนักไว้เท่านั้น เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของญี่ปุ่น พร้อมกันนั้น จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ส่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเกาหลีทั้งหมดไปอยู่ที่ญี่ปุ่น เพื่อร่ำเรียนภายใต้ระบบการศึกษาญี่ปุ่น รวมถึงการจับคู่อภิเษกสมรสกับราชวงศ์ญี่ปุ่นด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการล้มล้างจักรวรรดิเกาหลีไปโดยปริยาย เพราะเป็นการบังคับเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และตัดการสืบสายราชสกุลเกาหลีดั้งเดิม ผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิเกาหลี เมื่อจักรพรรดิ Sunjong ขึ้นครองราชย์ จึงมีการเลือกผู้มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ ซึ่งในขณะนั้นมีสองพระองค์ คือ เจ้าชาย Gang ( I Gang) เจ้าชาย Eun ( I Eun) ทั้งสองพระองค์เป็นพระอนุชา (น้องชาย) ของจักรพรรดิ Sunjong แต่เจ้าชาย Gang ผู้ทรงมีพระชันษามากกว่าก็ไม่ได้รับเลือก เนื่องจากทางญี่ปุ่นไม่ชอบใจเจ้าชาย Gang นัก รวมถึงพระมารดาของเจ้าชาย Gang สิ้นพระชนม์ไปแล้วทำให้ขาดแรงสนับสนุน จึงได้เลือกเจ้าชาย Eun พระอนุชาต่างพระมารดา เฉลิมพระอิสริยยศเป็น "เจ้าชาย Eun มกุฎราชกุมาร (Crown Prince)" แทน จักรพรรดิ Sunjong ได้อภิเษกสมรสสองครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งพระราชโอรสและพระราชธิดา สิทธิ์ในการสืบทอดราชสมบัติจึงยังเป็นของเจ้าชาย Eun ต่อไป ในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) ญี่ปุ่นประกาศผนวกดินแดนเกาหลีเป็นของญี่ปุ่น (Japan-Korea Annexation Treaty) นับเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิเกาหลี (Korean Empire) จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 23:50:45 A:203.113.70.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 เจ้าชาย Eun ผู้เติบโตในญี่ปุ่น หลังจากญี่ปุ่นได้บังคับเปลี่ยนองค์จักรพรรดิเกาหลีแล้ว เจ้าชาย Eun มกุฎราชกุมาร ผู้ทรงพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ก็เป็นหนึ่งในเจ้าชายเจ้าหญิงที่ถูกส่งไปศึกษาเล่าเรียนในญี่ปุ่น ครั้นปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) ทรงมีพระชนมายุ 22 พรรษา ก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง Masako Nashimoto แห่งญี่ปุ่น และทรงมีพระโอรสด้วยกันสองพระองค์ คือ เจ้าชาย Jin ( I Jin) เจ้าชาย Gu ( I Gu) กษัตริย์พลัดถิ่น ในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) เมื่อจักรพรรดิ Sunjong เสด็จสวรรคต เจ้าชาย Eun ทรงรับการราชาภิเษกเป็น "กษัตริย์ Lee แห่งเกาหลี (His Majesty King Lee of Korea)" ซึ่งเป็นพระอิสริยยศที่ถูกทางญี่ปุ่นลดลงมาจากชั้นจักรพรรดิ ส่วนเจ้าหญิง Masako ก็ทรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าหญิง Bangja ( I Bangja) มกุฎราชกุมารีแห่งเกาหลี" แต่ทั้งเจ้าชาย Eun และเจ้าหญิง Masako ก็ยังคงประทับอยู่ในญี่ปุ่นต่อไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ที่เกาหลีเป็นอิสรภาพจากญี่ปุ่น และแตกเป็นเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้แล้ว เจ้าชาย Eun ทรงขอเสด็จกลับเกาหลีใต้ แต่ถูกปฏิเสธโดยประธานาธิบดีคนแรก Rhee Sangman ( I Seung-man) เจ้าชาย Eun จึงยังประทับอยู่ญี่ปุ่นเรื่อยมา เสด็จกลับมาตุภูมิ เวลาผ่านพ้นจนปี พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) ประธานาธิบดี Park Chung Hee ( Bak Jeong-hui) ได้ส่งคำเชิญถึงเจ้าชาย Eun และเจ้าหญิง Masako ให้เสด็จกลับสู่เกาหลีใต้ นับเป็นเวลาถึง 56 ปีที่เจ้าชายได้จากแผ่นดินเกิดไป แต่จากการที่เกาหลีไม่มีสถาบันจักรพรรดิมานานกว่า 37 ปีนับแต่การล่มสลายของจักรวรรดิเกาหลี ประกอบกับเจ้าชาย Eun ประชวรด้วยโรคหลอดพระโลหิตอุดตันในสมอง ทำให้ต้องใช้ชีวิตอยู่บนพระแท่น (เตียง) ไปตลอดชีวิต จึงไม่มีการขึ้นสืบราชสมบัติ ทั้งสองพระองค์เข้าประทับ ณ พระตำหนัก Nakseon ในเขตพระราชวัง Changdeokgung ซึ่งอยู่ภายในกรุงโซล เมืองหลวงเกาหลีใต้ สิ้นสุดมงกุฎราชันย์ เจ็ดปีหลังจากเสด็จกลับสู่เกาหลี เจ้าชาย Eun ก็สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) พระศพของพระองค์ทรงนำไปฝังไว้ที่ Hong'yu-reung เมือง Namyangju และภายหลังการสิ้นพระชมน์ พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักกันในพระนาม "เจ้าชาย Euimin มกุฎราชกุมารแห่งเกาหลี (Crown Prince Euimin of Korea)" ส่วนเจ้าหญิง Masako นั้นก็ยังประทับอยู่ที่พระตำหนัก Nakseon ต่อไป จนกระทั่งสิ้นพระชมน์ด้วยโรคมะเร็งในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) และทรงนำพระศพไปฝังไว้เคียงข้างพระสวามี หลังจากเจ้าชาย Eun สิ้นพระชมน์ ก็มิได้มีการแต่งตั้งพระอิสริยยศ "มกุฎราชกุมาร/กุมารี" อีก เจ้าชาย Eun จึงทรงเป็น "มกุฎราชกุมารพระองค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิเกาหลี" จากคุณ : hijack02 - [ วันคริสต์มาส 23:55:38 A:203.113.70.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 เจ้าชาย Gu เจ้าชายสถาปนิก เจ้าชาย Gu ( I Gu) พระราชโอรสลำดับที่สองในเจ้าชาย Eun มกุฎราชกุมาร และเจ้าหญิง Masako ประสูติบนผืนแผ่นดินญี่ปุ่น และทรงถือสัญชาติญี่ปุ่น แต่ทรงเป็นทายาทพระองค์เดียว เนื่องจากเจ้าชาย Jin ( I Jin) พระเชษฐา (พี่ชาย) สิ้นพระชนม์ด้วยพระชันษาเพียง 8 เดือน เจ้าชาย Gu ทรงเข้าศึกษาเล่าเรียนในโตเกียว และทรงศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกาที่ Centre College มลรัฐเคนตักกี หลังจากนั้นทรงเข้าศึกษาในสาขาสถาปัตยกรรมที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตต์ (MIT) ภายหลังจบการศึกษา ทรงเข้าทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ในมลรัฐนิวยอร์ก จนกระทั่งเสด็จกลับเกาหลีตามคำเชิญของประธานาธิบดี Park Chung Hee พร้อมกับพระบิดา จากสัญชาติญี่ปุ่น สู่สัญชาติเกาหลีใต้ เจ้าชาย Gu ประสูติพร้อมด้วยสัญชาติญี่ปุ่น แต่ทรงถูกถอนสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อทรงพระชันษา 15 ปี กลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติ จวบจนกระทั่งพระชันษาได้ 27 ปี จึงทรงได้รับสัญชาติอเมริกา และครั้นเสด็จกลับสู่เกาหลีใต้จึงทรงสัญชาติเกาหลีในที่สุด ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) ระหว่างทรงงานเป็นสถาปนิก พระองค์อภิเษกสมรสกับ Julia Mullock ผู้เป็นสามัญชน ซึ่งทรงพระยศใหม่ว่า "เจ้าหญิง Julia Lee แห่งเกาหลี (Princess Julia Lee of Korea)" เสด็จสู่เกาหลีใต้ ครั้นเจ้าชาย Eun พระบิดา และเจ้าหญิง Masako พระมารดา ทรงรับคำเชิญเสด็จกลับสู่เกาหลีใต้ ในปี พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) เจ้าชาย Gu พร้อมด้วยภริยาจึงเสด็จจากสหรัฐอเมริกามาประทับ ณ พระตำหนัก Nakseon ในเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน เจ้าชาย Gu ทรงเป็นอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) และทรงดำเนินกิจการสายการบิน Shinhan ของพระองค์เอง โชคชะตาพลิกผัน อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) พระองค์ทรงล้มละลาย และเสด็จไปยังญี่ปุ่นอีกครั้ง เนื่องจากแรงกดดันจากการที่ไม่มีพระทายาท เจ้าหญิง Julia จึงทรงหย่าร้างในปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) กลับไปเป็นสามัญชน ปัจจุบันเธอยังคงอาศัยอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เจ้าชาย Gu ทรงมีพระประสงค์ที่จะพำนักอยู่ในเกาหลีอย่างถาวร แต่พระองค์ไม่สามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินแม่ได้ จึงต้องเสด็จไปมาระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสิ้นพระชมน์เนื่องจากการทำงานของพระหทัยล้มเหลว ขณะประทับอยู่ในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) ด้วยพระชันษา 74 ปี ผู้นำราชวงศ์จักรวรรดิผู้ไร้บรรดาศักดิ์ ภายหลังการสิ้นพระชมน์ของเจ้าชาย Gu ทำให้ราชวงศ์จักรวรรดิเกาหลี (Korean Imperial Household) ต้องสรรหาผู้นำราชวงศ์คนใหม่ เนื่องจากเจ้าชาย Gu ไม่มีรัชทายาท จึงต้องสรรหาจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นแทน ซึ่ง Yi Won ( I Won) พระราชปนัดดา (เหลน) ในจักรพรรดิ Gojong ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้ สำหรับ Yi Won เองนั้นมิได้มีบรรดาศักดิ์ใด ๆ และก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกราชวงศ์เท่าใดนัก แม้จะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำราชวงศ์ลำดับที่ 30 ก็ตาม และนี่คือ การสิ้นสุดการสืบราชสันตติวงศ์ของราชวงศ์จักรวรรดิเกาหลี จากคุณ : hijack02 - [ 26 ธ.ค. 48 01:02:29 A:203.113.70.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 http://image4.miodio.co.kr/photo/album37/363321/5603/org/o_20050501125602_50BAB.jpg แผนผังเชื้อพระวงศ์ของเกาหลี จากคุณ : hijack02 - [ 26 ธ.ค. 48 01:07:17 A:203.113.70.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเป็นของพม่า ปัจจุบันเชื่อสายราชวงศ์คองบองของพม่าคือ มกุฏราชกุมารเจ้าชายชเวโบมิน Crown Prince Shwebomin ปัจจุบันประทับที่อังกฤษ จากคุณ : hijack02 - [ 26 ธ.ค. 48 10:53:32 A:203.113.70.76 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ในฝรั่งเศส ถ้าอย่างเป็นทางการ ทุกคนก็คือนายและนาง เป็นคนธรรมดาเหมือนกันทั้งหมด แต่ตามหนังสือซุบซิบมักเติมยศฐาบรรดาศักดิ์นำหน้าชื่อผู้สืบเชื้อสายต่างๆ สร้างความภาคภูมิให้ผู้ถูกเรียกและความครื้นเครงแก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ประมาณว่า อ้ะนะ ยังไม่ตื่นจากฝันก็ฝันซะให้มันอิ่มๆแล้วกัน จากคุณ : ประมาณนั้น - [ 26 ธ.ค. 48 17:22:00 A:218.225.176.86 X: TicketID:102916 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ได้ความรู้เยอะขึ้นมากเลยค่ะ ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ จากคุณ : Vanida Cafe (Vanida Cafe) - [ 26 ธ.ค. 48 22:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เซฟ.. จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 27 ธ.ค. 48 16:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 21 David Love III จากคุณ : praphrut608 - [ 27 ธ.ค. 48 22:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 โห ขอบคุณมากเลย จากคุณ : piaoliang - [ 28 ธ.ค. 48 09:04:38 ]