Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ประสบการณ์มะเร็งตับระยะสุดท้ายกับการรักษาที่ผิดพลาด และข้อคิดที่อยากจะฝากถึงคนอื่นเพื่อเป็นวิทยาทาน ติดต่อทีมงาน

เมื่อคืนฝันถึงพ่ออีกแล้ว ตื่นขึ้นมาเสียใจในการตัดสินใจที่ผิดพลาด เสียใจที่ไม่กล้าตัดสินใจ เสียใจครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ทั้งที่ผ่านมาปีกว่าแล้ว วันนี้จึงตัดสินใจที่จะเล่าประสบการณ์ เผื่อว่ามันจะช่วยเหลือคนอื่นๆที่ยังมีโอกาสได้ จริงๆผมอยากจะเล่าประสบการณ์นี้นานแล้ว แต่ช่วงแรกๆก็ยังทำใจไม่ได้ หลังๆก็ไม่อยากพูดถึง จึงได้เพิ่งมาเขียนเอาป่านนี้

ผมพอจะทราบว่าเรื่องนี้ยาวมาก แต่ก็มีประสบการณ์แฝงอยู่หลายจุด คนที่เป็นญาติกับผู้ป่วย น่าจะคุ้มค่าที่จะอ่านครับ

พ่อผมมีอาการเสียงหายประมาณเดือนกันยา 2551 ไปตรวจที่รพ.Aที่เป็นรพ.รัฐอันดับ 1 เพราะพ่อเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ที่นั่น ทางรพ.ก็ส่งไปรอตรวจที่แผนกคอ แล้วก็มีการส่งไปส่งมากับแผนกแลป ซึ่งแต่ละครั้งที่ส่งไปส่งมาก็ต้องรอคิวเป็นสัปดาห์(ทั้งๆที่ใช้บริการคลีนิคพิเศษเพื่อความรวดเร็วแต่มันก็ไม่เร็วเท่าไหร่) พ่อจึงไปตรวจที่คลีนิคใกล้บ้าน

หมอท่านนั้นเก่งและมีชื่อเสียงในจังหวัดอยู่แล้ว ท่านรู้แต่ไม่บอก ท่านเอาผลเอ็กซแรย์พร้อมเขียนจดหมาย บอกพ่อให้นำจดหมายไปพบแพทย์ที่รพ.A อีกครั้ง ซึ่งพอไปถึงแพทย์ก็พอรู้ว่าเป็นมะเร็งที่ปอด ไม่ต้องส่งไปแผนกหูคอจมูกแล้ว แต่ก็ต้องรอคิว ที่จะตรวจสอบเนื้อเยื่อของมะเร็งว่าเป็นชนิดไหนและระดับไหน อีกหลายสัปดาห์ ด้วยความเป็นห่วงพ่อและอยากให้ได้รับการรักษาโดยด่วน จึงพาพ่อไปที่รพ กรุงเทพ ซึ่งพ่อเคยตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ ซึ่งครั้งล่าสุดพ่อได้เอ็กซเรย์ปอดประมาณเดือนมิย. ซึ่งคุณหมอยังไม่พบสิ่งผิดปกติ (แต่พอมาดูเทียบกับฟิลม์เอ็กซเรย์ใหม่ถึงได้สังเกตุว่ามีความผิดปกติเริ่มในเดือนมิย.แล้ว) ทำให้ทราบว่าสาเหตุที่เสียงหายก็เนื่องมาจากก้อนเนื้องอกที่ปอดโตจนไปทับเส้นประสาทของกล่องเสียง พอทราบดังนั้นทางหมอก็ได้ทำการเจาะเนี้อเยื่อที่ต่อมน้ำเหลืองที่โต ไปตรวจสอบชนิดของเนื้อร้ายทันที

ประมาณ 3-4 วันต่อมาก็ไปฟังผล จึงได้ทราบว่าพ่อเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย(ซึ่งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองและลามไปที่ปอด ซึ่งการรักษาจะต่างกับมะเร็งที่มีจุดกำเหนิดจากปอด นี่คือเหตุผลที่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์อยู่นานจึงจะเริ่มการรักษาได้)

เนื่องจากน้องชายเป็นทหารหมอจึงแนะนำให้พ่อกลับไปรักษาต่อที่รพ.A เพราะเบิกได้ และคุณหมอที่รพ.กรุงเทพเป็นหมอผ่าตัดซึ่งอาการของคุณไม่สามารถทำการผ่าตัดได้อยู่แล้วท่านจึงแนะนำแพทย์ด้านเคมีที่รพ.A มาให้ โดยแนะนำว่าให้เอาผลตรวจจากรพ.กรุงเทพไปให้แพทย์ที่รพ.A จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอคิวตรวจสอบเนื้อเยื่อซึ่งน่าจะเริ่มการรักษาได้ทั้นที

แต่เมื่อกลับไปพบแพทย์เฉพาะทางที่รพ.A ที่คุณหมอแนะนำมา ทางแพทย์รพ.A ก็ไม่เชื่อผลตรวจตรวจนั้น เพราะคุณหมอท่านใหม่เห็นว่าพ่อไม่ค่อยดื่มเหล้าแต่สูบบุหรี่เยอะ น่าจะเป็นมะเร็งปอด จึงให้ไปนำเนื้อเยื่อที่รพ.กรุงเทพฯ มาตรวจซ้ำที่เลปของ รพ.A ซึ่งต้องขอบคุณทางรพ.กรุงเทพฯก็เร่งดำเนินการส่งเนื้อเยื่อให้โดยเร็วเพราะทราบว่าเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษา แต่ก็ต้องมารอคิวที่รพ.A เช่นเดิม

ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์เมื่อผลตรวจซ้ำที่รพ.A ออกมาว่าเป็นมะเร็งตับ ทางหมอก็ยังไม่เชื่อผลนั้นและคิดว่าน่าจะเป็นมะเร็งปอดมากกว่ามะเร็งตับ จึงให้ทางรพ.A เป็นคนเจาะเนื้อเยื่อที่ต่อมน้ำเหลืองไปวิเคราะห์เองอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องรอคิวเจาะและรอผลวิเคราะห์ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์

เมื่อผลวิเคราะห์สุดท้ายออกมาว่าเป็นมะเร็งตับอีกเช่นเดิม คุณหมอก็ยอมรับว่าเป็นมะเร็งตับ แต่แจ้งว่าที่ปอดน่าจะเป็นมะเร็งปอดร่วมด้วย ต้องเจาะเนื้อเยื่อที่ปอดไปตรวจสอบให้แน่นอน ญาติๆเห็นว่าที่ผ่านมาก็เสียเวลาทั้งรอคิวตรวจ รอคิวเจาะเนื้อเยื่อรอผลต่างๆมาร่วมเกือบ 2 เดือนแล้วยังไม่ได้เริ่มรักษา ทั้งๆที่หมอท่านแรกบอกว่าต้องเร่งรักษา(ใจอยากจะพาพ่อไปรพ.เอกชนตั้งแต่เห็นท่านลำบากรอคิวนานๆแล้ว แต่คุณพ่อท่านเชื่อในชื่อเสียงของรพ.นี้จึงไม่ยอมไปที่อื่น ซึ่งก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกผิดทุกวันนี้ ที่ยอมตามใจท่าน)

และก็เป็นว่าผิดอีกครั้งเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เร่งให้แพทย์ให้การรักษาอะไรซักอย่างกับพ่อ ทางคุณหมอจึงตัดสินใจให้คีโมมะเร็งปอดกับพ่อเพื่อรักษาอาการที่ปอด โดยทางหมอแจ้งว่ามะเร็งตับนั้นไม่สามารถรักษาได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของลูกๆที่คิดว่าการรับคีโมเพื่อรักษามะเร็งที่ปอดนั้น จะเป็นการยึดอายุพ่อออกไป ภายหลังจึงทราบว่า การรับคีโมนั้นจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ถ้าให้คีโมถูกชนิด มะเร็งก็จะตายไปพร้อมกับภูมิคุ้มกันด้วย แต่ถ้าให้ผิดชนิด มะเร็งกลับจะเจริญได้ไวขึ้นเพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งนี่เองเป็นเหตุให้หมอต้องวินิจฉัยให้ทราบแน่นอนก่อนว่ามะเร็งที่แพร่กระจายอยู่เป็นชนิดไหน แต่กับกรณีพ่อผม ไม่ว่าท่านจะเป็นมะเร็งปอดร่วมด้วยหรือไม่(ไม่มีผลตรวจ มีแต่การคาดเดาของแพทย์) การให้คีโมก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะต่อให้ถ้าท่านเป็นมะเร็งปอดร่วมด้วยจรึง และมะเร็งนั้นลดลงจากการใช้คีโม แต่ภูมิคุ้มกันที่ลดลง จะทำให้มะเร็งตับโตเร็วขึ้น ซึ่งมะเร็งตับนั้นร้ายแรงกว่ามะเร็งปอดมากนัก

หลังจากได้รับคีโม อาการของพ่อทรุดลงอย่างรวดเร็ว จากที่แข็งแรง ไปไหนมาไหนได้ปกติ ก็เริ่มเหนื่อยง่าย ผอมลง และเริ่มตัวเหลือง ซึ่งทางญาติก็ได้สอบถามทางโรงพยาบาลว่าเป็นอาการข้างเคียงของการรับคีโมหรือไม่ ซึ่งทางรพ.A บอกให้รอพบหมอเจ้าของใข้ ซึ่งพอดีไปต่างประเทศ จึงไม่สามารถปรึกษาได้ เมื่อคุณหมอท่านนั้นกลับมาคุณพ่อก็แย่มาก ลุกเดินไม่ค่อยไหวตัวเหลืองมากยังกับเอาขมิ้นทาตัวยังไงยังงั้น คุณหมอแจ้งว่าคีโมไม่ได้ผล และอาการตัวเหลืองเกิดจากมะเร็งรุกลามไปกดท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน ซึ่งต้องทำการส่องกล้องขยายท่อน้ำดีโดยเร็ว (จากการค้นหาข้อมูลภายหลังทำให้ทราบว่าท่อน้ำดีนั้นอยู่ภายในตับ ซึ่งการที่ท่อน้ำดีถูกกดนั้น เพราะมะเร็งตับขยายตัวนั้นเอง ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผลพวงมาจากที่รับคีโมมะเร็งปอดแล้วทำให้ร่างกายอ่อนแอลง)

คืนนั้นพ่อต้องนอนรอเตียงที่ทางเดินโรงพยาบาล และรอคิวผ่าตัดเช่นเดิม (เข้าใจว่ารพ.คนเยอะ เพราะก็เห็นนอนรอกันหลายคน) คุณหมอเจ้าของไข้บอกว่าอาการของคุณพ่อน่าเป็นห่วงต้องขยายท่อน้ำดีโดยเร็วซึ่งทางคุณหมอได้ติดต่อเร่งคิวให้แต่ก็ต้องรอหมอผ่าตัดยืนยัน ตอนเห็นคุณพ่อลำบากนอนบนรถเข็นที่ทางเดิน ก็อยากจะพาพ่อไปส่งกล้องที่รพ.เอกชน แต่พ่อก็ไม่อยากไป เลยตกลงกันว่าถ้าตอนเช้ายังไม่มีเตียง หรือยังไม่ได้คิวผ่าตัด ก็จะบังคับให้พ่อย้ายโรงพยาบาล แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ตอนเช้าคุณพ่อได้เตียงและได้คิวผ่าตัดโดยการส่องกล้องในอีก 2 วันถัดมา

ผมเฝ้าพ่ออยู่อีกวันแล้วเปลี่ยนน้องชายมา ตัวเองกลับไปเตรียมบ้านเพื่อจะให้พ่อมาพักรักษาตัวหลังจากผ่าตัด เพราะบ้านอยู่พ่อต่างจังหวัดและพ่อไม่ยอมมาพักกับผมที่กรุงเทพฯ และผมก็มัวแต่ยุ่งกับเรื่องงานและเรื่องบ้านสร้างใหม่เลยไม่ได้ไปดูแลพ่อ(อีกหนึ่งสิ่งที่รู้สึกเสียใจ) ชวนให้พ่อมาอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ยอมมา สุดท้ายมายอมก็ตอนที่ตัวเหลืองรู้ตัวว่าไม่ไหว แกยังแกล้งบอกผมว่าจะมาตายที่บ้านใหม่ผม แต่วันที่จะพาแกมาบ้านนั้น ตัวแกเหลืองมากและหมอกลับมาแล้ว จึงแวะพาแกไปพอหมอก่อน แล้วหมอก็ให้นอนรอผ่าตัดเลย เลยยังไม่ได้มาอยู่บ้านผม ผมจึงเปลี่ยนน้อยชายมาเฝ้า และไปเตรียมที่นอน ให้อยู่กลางห้องโถง อยากให้แกไม่เบื่อ อยากให้แกเห็นหลานๆนั่งเล่นใกล้ๆ โดยไม่รู้ตัวว่า พ่อจะไม่มีโอกาสมาบ้านใหม่ผม และผมจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพ่ออีกต่อไป

หลังจากเตรียมที่พักให้พ่อเสร็จ ในวันส่องกล้อง ผมขับรถไปโรงพยาบาลโดยกะว่าจะไปถึงหลังผ่าตัด แล้วจะเฝ้าแกจนกว่าจะพากลับบ้าน แต่ระหว่างทางน้องชายโทรมาบอกว่าเกิดปัญหาในระหว่างส่องกล้อง ทำให้ลำใส้ทะลุ พ่อช็อกหัวใจหยุดเต้นหมอถามว่าจะปั้มขึ้นมาไหม จึงบอกน้องชายไปว่าให้บอกหมอให้ช่วยจนถึงที่สุด ซักพักน้องชายก็แจ้งว่าหมอปั้มพ่อชีพจรขึ้นมาแล้วแต่ไม่สามารถใช้กล้องเย็บรอยรั่วได้ ต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน แต่สภาพของพ่อก็ไม่แข็งแรงเพียงพอมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เมื่อผมไปถึงรพ.ก็รีบไปไหวพระราชานุสาวรีย์ ขอพรพร้อมทั้งบนบานต่างๆให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี

เมื่อพ่อผ่าตัดเสร็จออกมา ตัวพ่อบวมไปหมดทั้งตัวทั้งหน้าจนจำไม่ได้ ผมเดินผ่านเตียงไปโดยจำไม่ได้เลย หมอบอกว่าปอดฉีก และมีการเจาะท่อเสียบเข้าไปเพื่อเอาลมออก หมอดมยาบอกว่าตอนนี้ต้องเพิ่งปาฏิหารย์ให้ทำใจไว้ พ่ออาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เพราะหมดฤทธิยาสลปไปแล้วแต่พ่อยังไม่ฟื้น อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่อเข้ากับพ่อจนนับไม่ถูก หมอแจ้งว่าห้อง ICU ยังไม่ว่างจึงต้องพักรอที่เตียงธรรมดาไปก่อน แต่หมอได้จัดเครื่องมือพิเศษต่างๆมาใช้ที่เตียงธรรมดานี้แล้ว

ในที่สุดปาฏิหารก็มาพ่อฟื้นขึ้นแต่ยังเบลอๆไม่รู้เรื่อง และพอห้อง ICU.ว่าง พ่อจึงถูกย้ายไปห้อง ICU จึงทำให้ทราบว่าเครื่องมือต่างๆในห้อง ICU นั้นดีกว่าที่เอามาใช้ในห้องธรรมดาตอนแรกมากนัก ความหวังต่างๆเริ่มกลับมา เพราะพ่อเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้วคิดว่าพอคงจะต่อสู้ไหว หมอบอกว่ายังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าพ่อหายใจเองได้เมื่อไหร่ก็จะย้ายออกจาก ICU ซึ่งตอนแรกพวกเราก็คิดว่าดี เพราะ ICU เข้าเยี่ยมไม่สะดวกดูแลไม่ได้ นี่คือความคิดที่ผิดอีกครั้ง

ตลอดเวลาที่อยู่ ICU. พ่อมีท่อหายใจในปาก พ่อพูดไม่ได้ แต่ก็ชี้โน่นนี้ไปเรื่อยเปี่อย สติพ่อยังไม่กลับมาจากอาการช็อค แต่ได้รับการดูแลอย่างดีมากที่ห้อง ICU นี้ ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ในห้อง ICU เป็นอย่างมาก

เมื่อติดตามหาสาเหตุและถามหาแพทย์ที่เป็นคนส่องกล้องพ่อ ทางรพ.ก็ไม่ตอบว่าใคร บอกแต่ว่าเป็นทีมของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง เมื่อสืบต่อมาจึงได้อีกข้อคิดที่จะฝากว่า พ่ออาจจะคิดถูกจริงที่ว่าแพทย์ที่นี่เก่ง เป็นถึงอาจารย์แพทย์ แต่การได้รับการรักษาจากตัวอาจารย์เลยแทบเป็นไปไม่ได้(สำหรับประชาชนปกติ) โดยจะนักศีกษาแพทย์จะเป็นคนลงมือ ส่วนอาจารย์แพทย์จะเป็นคนคอยดู หรือแก้ปัญหาหลังจากมีความผิดพลาด

เมื่ออาการดีขึ้นพอที่จะถอดเครื่องช่วยหายใจได้ พ่อก็ถูกย้ายจากห้อง ICU ไปที่ตึกผู้ป่วยรวม หมอบอกว่าการขอห้องพิเศษเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีพยาบาลดูแล ห้องพิเศษใช้เฉพาะผู้ป่วยที่อาการดี ไม่ต้องมีการสังเกตุใกล้ชิดเท่านั้น และห้องพิเศษนั้นต่อให้ใช้สิทธิของนายแพทย์ยังต้องรอเป็นเดือน

เมื่อมาอยู่ที่ตึกผู้ป่วยรวม ถึงได้รู้ว่าคิดผิดมากที่อยากให้พ่อออกจาก ICU การดูแลที่ตึกนั้นเนื่องจากพยาบาลมีไม่พอและมีการเปลี่ยนเวรตลอด มีความผิดพลาดในการรักษาเป็นอย่างมากเช่นให้อาหารผิดทางเข้าไปทางสายดูดเสมหะ ไม่มีพยาบาลมาดูดเสมหะตามเวลา แพทย์สั่งห้ามหนุนหมอน ก็หนุนประจำทั้งๆที่มีป้ายห้ามอยู่ ฯลฯ เพียง 2 วันพ่อก็ต้องกลับมาใช้เครื่องช่วยหายใจ เมื่อเห็นดังนั้นทางญาติก็พยายามจะขอย้ายพ่อออกไปรักษาที่อื่นแต่ได้รับการปฏิเสธตลอดบอกว่าสภาพร่างกายไม่พร้อม และรพ.นี้ใหญ่ที่สุดไม่สามารถย้ายไปรพ.เล็กกว่าได้ ถ้าจะให้ไปจริงๆก็ต้องให้แพทย์ร.พ.ปลายทางทำหนังสือรับผิดชอบหากมีปัญหาระหว่างการเคลื่อนย้าย

ซึ่งผมก็คิดเอาเองว่าคงไม่มีแพทย์คนไหนจะมาเซ็นรับผิดชอบให้ และหมอก็ให้ความหวังว่ารออีกหน่อยให้อาการดีขึ้นก่อน ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจใด้อีกครั้งก็จะอนุญาตให้ย้ายได้ ซึ่งก็เป็นความผิดพลาดอีกครั้งของผม ซึ่งไม่เด็ดดาดพอที่จะหักกับหมอทั้งที่ใจคิดว่ามันจะไม่ดีขึ้น ตอนนี้มาคิดดูว่าถึงหมอจะไม่อนุญาตถ้าเรากล้าพอก็น่าจะมีสิทธิ์ย้ายออกได้ หรือรพ.เอกชนก็อาจจะยินดีรับรองให้ก็ได้

จากการดูแลที่ไม่เพียงพอและมีผิดพลาดเป็นครั้งคราวกอปกับแพทย์และพยาบาลเปลี่ยนเวรทุกเดือน (เพิ่งรู้ว่าไม่มีหมอเจ้าของไข้ประจำ)ทำให้พ่อเดี๋ยวดีขึ้นเดี๋ยวทรุดลง จนในที่สุดพ่อก็เสียชีวิตจากปอดติดเชี้อเมื่ออยู่ที่รพ.ได้ 1 เดือนพอดี

สุดท้ายพ่อก็ไม่ได้จากไปเพราะมะเร็งที่เราเป็นห่วง และไปโดยไม่มีโอกาสได้สั่งเสีย (หลังจากช็อคตอนที่ส่องกล้องจนเสียชีวิตในหนึ่งเดือนนั้น พ่อตื่น รู้สึกตัว แต่ไม่มีสติ โบกไม้โบกมือไปเรื่อย ไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย) บางคนว่าโชคดีเพราะพ่อไม่เคยต้องทรมานกับโรคมะเร็งอย่างที่เราเคยได้ยิน แต่ผมไม่แน่ใจนัก เพราะครั้งสุดท้ายที่พ่อยังมีสติ พ่อไม่รู้ตัวว่าจะตายด้วยซ้ำ พ่อคิดว่าแค่ส่องกล้องเสร็จพ่อจะมาอยู่กับผม มาอยู่กับหลานๆ พ่อยังไม่ได้สั่งเสียอะไรเลยซักคำ

ระหว่าง 1 เดือนนั้นผมไปเฝ้าอยู่เกือบทุกวัน ทำให้รู้ว่าผู้ป่วยที่นี่ส่วนใหญ่ก็คือรอวันตาย เกือบทุกวันจะมีคนตาย น้อยนักที่จะเห็นหายดีกลับบ้านได้ซึ่งเป็นพวกเจ็บป่วยนิดหน่อยไม่ร้ายแรง ยิ่งถ้าใครใช้เครื่องช่วยหายใจยิ่งไม่มีสิทธิ หมอจะไม่อนุญาตให้ย้ายออก แรกๆก็จะมีญาติมาเฝ้า เมื่อนานเข้าก็ต้องร้างลาไปทำมาหากิน ก็ได้แต่รอให้เกิดความผิดพลาดหรือติดเชื้อแล้วเสียชีวิตในที่สุดเพื่อจบเวรกรรมนี้

ตัวอย่างความผิดพลาดนึงก็เช่นเตียงข้างๆพ่อ พยาบาลไม่ได้มาดูดเสมหะตามเวลา สุดท้ายก็ช็อคเพราะเสมหะอุดท่อหายใจทำให้ขาดอากาศ ก่อนหน้าผมก็เห็นอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่พอเริ่มช็อคพยายาลมาช่วยทัน แต่รอบนี้ไม่ทัน คุยกับเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจากภายนอก ที่มีคนจ้างมาเฝ้าไข้ที่ตึกประจำ ทราบว่า คนที่เข้ามาที่นี่มักจะไม่ได้กลับออกไป(แบบมีชีวิต)

อีกอย่างที่นี่ก็เป็นเหมือนแหล่งฝีกงานของแพทย์ฝีกหัด อาจเพราะมองว่าคนไข้ทั้งหลายรอวันตาย ญาติๆก็มักจะไม่ติดใจหากเสียชีวิต อย่างเช่นตอนแพทย์จะใส่ท่อช่วยหายใจซึ่งใส่ยากและทรมานมากให้พ่อ ก็จะให้แพทย์ฝึกหัดเป็นคนใส่ แล้วอาจารย์ก็ยืนดู แพทย์ฝึกหัดก็ใช้เครื่องมือยาวๆเสียบลงไปในคอแล้วพยายามใส่ พ่อก็ดิ้นทุรนทุรายโดยมีบุรุษพยาบาลคอยยึดไว้ เมื่อดึงเครื่องมือขึ้นมาก็เห็นเลือดแดงติดออกมา แพทย์ฝึกหัดพยายามดึงเข้าออกอยู่ 2-3 รอบก็ใส่ไม่ได้ อาจารย์หมอจึงลงมือเองรอบเดียวก็สำเร็จ พ่อโดนการฝีกทำให้ลำไส้แตกแล้ว ทำไมยังมาฝีกต่อให้ท่านต้องทรมานอยู่อย่างนี้

จริงๆถ้ามองเรื่องการฝึกโดยรวมก็เป็นเรื่องดี ซึ่งจะทำให้แพทย์ฝีกหัดมีประสบการณ์ และสามารถเป็นหมอที่เก่งได้ในอนาคต ถ้าใครอยากรักษาฟรี หรืออยากให้ญาติได้บุญอย่างนี้ก็แล้วแต่ครับ

อีกเรื่องที่นี่กลางคืนห้ามญาติเฝ้า ต้องจ้างพยาบาลพิเศษต้องเป็นพยาบาลหลักสูตร 4 ปีด้วยสำหรับคนใช้ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมก็จ้างเพราะอยากให้พ่อได้รับการดูแลที่ดี(กลางวันเฝ้าเองตลอด จะได้บอกพยาบาลเวรใหม่ๆถูกว่าหมอสั่งอะไรบ้างต้องดูแลพ่ออย่างไรบ้าง) แต่กลับกลายเป็นแย่ลงหลายครั้งที่เช้ามาพบว่าเกิดปัญหากับพ่อ พอลองเฝ้าดูถึงได้รู้สาเหตุ พยาบาลพิเศษที่นี่จะเป็นพยาบาลเพิ่งจบ(หรือเกือบจบก็ไม่แน่ใจ)

เด็กๆกันทั้งนั้นไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้จักเครื่องช่วยหายใจที่พ่อผมใช้อยู่ด้วยซ้ำ พอพยาบาลพิเศษมาพยาบาลประจำก็จะมาอธิบาย มาสอนการใช้อุปกรณ์ต่างๆ สรุปคือน้องๆเขามาทำพิเศษเพื่อหาประสบการณ์นั่นเอง

ซึ่งมีอยู่ 2 คืนที่ปล่อยให้พ่อดึงท่อช่วยหายออกมา ซึ่งการถอดใส่แต่ละครั้งจะทำให้อาการทรุดลงจากบาดแผลภายในหลอดลม (ผู้ป่วยทั้งที่มีสติและไม่มีสติหลายคนจะพยายามดึงท่อช่วยหายใจออกเพราะมันเจ็บและทรมาน จึงต้องระวังเป็นพิเศษ) หลังจากนั้นผมจึงเลิกจ้างพยาบาลพิเศษ ใช้การเอาใจพยาบาลประจำซื้อขนมมาฝาก เพื่อให้พวกเธอคอยดูแลพ่อตอนกลางคืน

อีกเรื่องก็คืออย่าเชื่อเพียงคำพูดและความหวังที่หมอให้ ทั้งๆที่ผมคิดอยู่แล้วว่ามีแต่จะแย่ลง แต่ก็เชื่อหมอว่าให้รอให้ดีขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยย้าย บอกว่ายังรักษาได้ยังมีหวัง บอกว่าพ่อน่าจะดีขึ้น สุดท้าย 1 วันก่อนที่จะเสียชีวิตถึงบอกว่าไม่มีหวังที่จะกลับบ้านแล้ว ทั้งๆที่ทางบ้านก็พอมีเงินให้พ่อไปรักษารพ.เอกชน คิดว่าถ้าหมอบอกรักษาไม่ได้ก็จะย้าย ก็ไม่รู้ว่าทำไมไปรอให้หมอพูดอย่างนั้น จริงๆก็ตั้งแต่ก่อนรับคีโมด้วยซ้ำ คิดว่าถ้าหมอบอกรักษาไม่ได้อย่างที่เคยได้ยิน ก็จะพาพ่อไปรักษาแนวทางธรรมชาติ ซึ่งคงยืดอายุพ่อได้มากกว่านี้ หรือถึงไม่รักษาเลยจากร่างกายที่แข็งแรงของพ่อ ถ้าไม่โดนคีโมก็คงไม่ทรุดลงเร็วอย่างนี้ จึงได้บทเรียนว่า ให้พาไปรักษากับแพทย์หรือรพ.ที่เราเชื่อถือ ไม่ใช่แค่หมอบอกว่ารักษาได้ เราก็เชื่อ

ผมถึงเพิ่งเข้าใจว่านี่เองทำให้บางคนยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อรักษาใน รพ.ที่ค่าใช้จ่ายสูง เพราะก่อนหน้านี้มีความคิดว่ารักษาที่ไหนก็เหมือนกัน แพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ที่นี่ก็มีไม่แพ้เอกชน จ่ายแพงก็เพื่อซื้อความสะดวกและบริการที่ดีเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงคุณภาพการรักษาเลย

สุดท้ายพ่อก็เป็นคูรให้แพทย์ฝึกหัด พยาบาลฝึกหัด และลูกชายคนนี้ ที่จะไม่ปล่อยให้คนในครอบครัวต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้อีก

สิ่งที่กล่าวมานี้อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด อาจมีบางคนเห็นว่าข้อคิดบางอย่างผิด หรือผมโทษคนอื่นมากเกินไป (แต่ที่ผมโทษที่สุดคือตัวเองที่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้) แต่คิดว่าอย่างน้อยคงมีบางอย่างที่ถูก บางอย่างที่จะเป็นข้อคิดที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เหมือนผมตอนแรก หากมีกุศลอันใด ที่จะมีขึ้นจากบทเรียนนี้ ก็ขออุทิศกุศลทั้งหมดให้กับ

คุณพ่อ สุเมธ สมิทธ์สมบูรณ์ คุณพ่ออันเป็นที่รักและเป็นตัวอย่างที่เข้มแข็งของลูกๆทุกคน

จากคุณ : BST
เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 53 12:14:40 A:58.8.67.34 X: TicketID:292190




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com