CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    "วัยรุ่น" กับปัญหาเรื่อง "sex" ในมุมมองของผม..

    (ก่อนอื่นต้องขออภัยหากตั้งกระทู้ผิดกลุ่ม เพราะไม่รู้จะเอาไปลงกลุ่มไหนดี..)
    ===================
    ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่นักวิชาการ
    ไม่ใช่ดอกเตอร์ด๊อกแต๋วอะไรที่มักจะออกมาสั่งสอนเด็กรุ่นหลังเกี่ยวกับเรื่องsex
    ที่จะเขียน(พิมพ์)ต่อไปนี้มันก็แค่"มุมมองส่วนตัว"ที่อยากจะให้คนอื่นๆได้ลองอ่านกันบ้าง
    ใครจะเห็นด้วยก็เชิญ หรือใครไม่เห็นด้วย ก็จะด่าจะว่า หรือจะค้าน ตรงนี้แล้วแต่ครับ..

    รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มัน"สองแง่สองง่าม"มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะกับสังคมไทย
    แต่ผมรู้สึกอึดอัดจนบอกไม่ถูก ไม่รู้จะไประบายที่ไหน เพราะทุกวันนี้ยังยืนอยู่บนประเทศไทย
    ก็เลยต้องหลบมาในที่ๆมีความเป็นอิสระสูงสุด สามารถหาคนมารับฟังเรื่องราวในประเด็นนี้จากผมได้บ้าง

    ..ก็เท่านั้น

    ประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง sex กับสังคมไทย ตอนนี้ผมว่ามันแย่ และปัญหามันกำลังรุนแรงและลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
    และที่สำคัญคือมันกำลังไร้ทิศทางอย่างที่สุด!!
    อาจเป็นเพราะตอนนี้มันกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของวัฒนธรรม ที่มีทั้งคนยุคเก่าซึ่งมีชีวิตมาตั้งแต่สมัยโลกยังไม่ได้มีการสื่อสารก้าวล้ำไร้พรหมแดนเหมือนอย่างปัจจุบัน เอาเป็นว่าผมขออนุญาติเรียกง่ายๆว่าเป็น"คนรุ่นเก่า" และแน่นอนก็มี"คนรุ่นใหม่"อยู่ในสังคมนี้ ซึ่งผมไม่อยากจะเหมาไปว่าเป็นเฉพาะวัยรุ่น หรือไม่อยากจะกำหนดกรอบช่วงอายุตายตัวอะไร เพราะปัจจัยทางด้านอื่นๆมันซับซ้อนกว่านี้เยอะ

    ทุกวันนี้ หลายๆคนบอกว่า"ปัญหาเด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันควร"มันกำลังเป็นปัญหาใหญ่
    ผมอยากจะถามกลับไปนิดนึงว่า จุดไหนที่เป็นปัญหา และเวลาอันควร คือช่วงเวลาใด??
    ปัญหาคือวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์(ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือแอบๆมีกัน) หรือ วัยรุ่นเรียนรู้เรื่องsex หรือ วัยรุ่นมีsexโดยยังไม่แต่งงาน
    เวลาอันควรล่ะ คืออะไร กำหนดโดยการแต่งงาน หรือว่าต้องอายุเลย 20 หรือ 30 หรือ 40 อะไรกันแน่??
    ผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆคน ออกมารณรงค์ต่างๆนานา ว่าให้เยาวชน โดยเฉพาะผู้หญิงนั้นรักนวลสงวนตัว

    ถาม : คำว่า"รักนวลสงวนตัว" คืออะไร?? ขอบเขตแค่ไหน??
    ถ้าตอบกันง่ายๆ ก็คงได้คำตอบว่า"เรื่องแบบนี้มันอย่ที่จิตสำนึกแหละน่า.. อะไรควรไม่ควรก็น่าจะรู้กันอยู่"
    ไอ้คำตอบแบบนี้ ผมว่าอย่าตอบเลย..

    คำว่า"รักนวลสงวนตัว"คืออะไร??
    ก. การห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย(รวมถึงการกอด จูบ หอม) ก่อนที่จะแต่งงาน แต่มีความรักได้
    ข. การห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย(รวมถึงการกอด จูบ หอม) ก่อนอายุจะผ่านเกณฑ์ จนเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่มีความรักได้
    ค. การห้ามมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับหญิงหรือชาย(รวมถึงการกอด จูบ หอม) แต่มีความรักได้
    ง. การห้ามมีเพศสัมพันธ์ แต่กอด จูบ หอมได้ และมีความรักได้
    จ. การห้ามมีความรักในวัยเรียน ต้องทำงานก่อนจึงจะมีความรักได้ แต่ห้ามมีเพศสัมพันธ์(รวมถึงการกอด จูบ หอม) จนกว่าจะแต่งงาน
    ฉ. การห้ามแตะเนื้อต้องตัวชายจนกว่าจะแต่งงาน แต่มีความรักได้
    ช. การห้ามแตะเนื้อต้องตัวชาย และห้ามมีความรัก จนกว่าจะทำงานจึงจะมีความรักได้ และเมื่อแต่งงานจึงจะมีเพศสัมพันธ์กันได้
    ...

    เหนื่อยครับ ..จริงๆไอ้ที่แยกชอยส์ให้ดูตรงนี้ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรเลย แค่จะแสดงให้เห็นเล่นๆว่าทุกวันนี้ การออกมาประกาศปาวๆว่าควรจะรักนวลสงวนตัว
    มันก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาตรงนี้เบาบางไปเลย
    มันก็ไร้ทิศทางอยู่เหมือนเดิม..
    และที่เขียนมาข้างต้นทั้งหมด ก็เป็นการเกริ่นนำถึงเรื่องราวเท่านั้นเอง

    เมื่อมองในมุมมองหนึ่ง sex มันเป็นแรงขับจากธรรมชาติที่มนุษย์มีกันทุกคน โดยเฉพาะเมื่อถึงวัยเจริญพันธ์ ก็จะมีฮอร์โมนออกมากระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
    เพราะฉะนั้นถ้าพูดกันดิบๆเลย การที่ทั้งชายและหญิง จะตัดสินใจไปมีเพศสัมพันธ์กันนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ถือเป็นความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย
    จริงๆแล้วมันไม่ใช่ปัญหาสังคมอะไรเลย

    แต่.. งานนี้มี"แต่"แน่นอนครับ

    แต่การมีเพศสัมพันธ์ของ ช และ ญ นั้นจะต้องเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายรู้จัก"รับผิดชอบ"ในผลที่จะเกิดตามมา
    การรับผิดชอบนี้ ไม่ใช่ว่าหมายความถึงการที่ฝ่ายชายคิดจะรับผิดชอบชีวิตของฝ่ายหญิงหากมีการตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว แต่มันหมายรวมถึงการรู้จักมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัยต่างหาก
    ดังนั้นการป้องกันอย่างเหมาะสมเท่าที่ปัจจุบันมีอยู่ ควรที่จะถูกนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการคุมกำเนิด หรือการป้องกันโรคติดต่อ
    ซึ่งบรรทัดข้างบนนี้ต่างหากที่มันเป็น"ปัญหาสังคม" เพราะคนไม่รู้จักป้องกัน อย่าเหมาแค่วัยรุ่นเลยครับ
    ลองไปดูตามชนบทหรือแหล่งชุมชนแออัด ยากจนกันแค่ไหน บางคู่แต่งงานกันแล้วก็มีลูกกันเป็นโหล เงินไม่พอจะเลี้ยงดูได้อย่างดี เด็กเกิดมาอดๆอยากๆ หนังสือหนังหาไม่ได้เรียน ไม่ได้รับความอบอุ่น บางส่วนถูกทอดทิ้ง บางคนก็ต้องไปเป็นอาชญากร
    นี่ล่ะ เป็นปัญหาสังคมมั้ย??... แล้วถามว่าตรงนี้ "การมีเพศสัมพันธ์หลังแต่งงาน" มันช่วยได้มั้ยครับ???

    ทุกวันนี้สังคมไทยกำลังไร้ทิศทางกับเรื่องนี้อย่างไรเหรอครับ ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆ
    สมมติว่าเยาวชนคนหนึ่งนอนดูทีวี
    เปิดไปที่ช่องแรก มีรายการเกี่ยวกับเพศศึกษา มีวิทยากรเป็นนายแพทย์ กำลังไปนั่งคุยแบบสัญจรกับนักเรียนมัธยมหรือระดับมหาวิทยาลัย คุยเกี่ยวกับเรื่องเพศ มีการแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างเป็นกันเอง
    เปิดไปช่องที่สอง มีการสัมภาษณ์ใครซักคน ก็เจอแต่บอกให้เด็กสมัยใหม่รักนวลสงวนตัวนะ อย่าไปริรักในวัยเรียน อย่าไปทำตัวให้พ่อแม่เสียใจ
    พอเดินออกไปนอกบ้าน เจอคุณป้าคนนึงกำลังสอนหลานสาว ว่าถ้าผู้ชายคนไหนมาขอมีอะไรด้วยเนี่ย อย่าไปยอมให้มันเด็ดขาดนะ อย่าไปคิดว่ามันจะรักเรามากกว่าพ่อแม่เราสิ เรื่องแบบนี้ให้ตายดีกว่าจะไปยอมให้มัน เสียศักดิ์ศรีนะ แล้วฟงแฟนเนี่ย อย่าเพิ่งไปมีมันเลย ไร้สาระ เรียนให้มันจบแล้วทำงานก่อนค่อยหาก็ได้
    เดินออกไปอีกหน่อย ถึงเซ็นเตอร์พอยนท์พอดี มีงานเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แจกถุงยางอนามัยกันอย่างเปิดเผย วัยรุ่นรับไปแบบง่ายๆ บรรยากาศในงานพยายามจะบอกว่าเรื่องsexไม่ได้ไกลตัว การป้องกันไว้ก่อนคือสิ่งดี

    จะให้มองว่าเยาวชนควรจะเชื่อและคิดตามใครดี?? ฟังทีวีช่องแรก หรือช่องที่สอง หรือคุณป้าคนนั้น หรือจะเข้าใจไปกับงานที่จัดขึ้นกลางเซ็นเตอร์พอยนท์
    และการที่เชื่อใครคนใดคนหนึ่ง มันย่อมส่งผลไปสู่พฤติกรรมและทัศนคติต่อเรื่องเพศแน่นอน
    ผู้หญิงที่ผมรู้จักหลายคน ถูกสอนมาอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ แต่ไปในทำนองปิดหูปิดตาออกจากเรื่องแบบนี้ไปเลย
    นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง!!
    พ่อแม่หลายคน ผมขอเรียกว่า"มือไม่ถึง"หรือ"ไม่มีฝีมือ"(ด้วยความเคารพครับ ไม่ได้ดูถูกแต่อย่างใด)ที่จะเลี้ยงลูกให้เรียนร้เรื่องเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ว่าจะมีลูกสาวหรือลูกชาย ผมก็เห็นพ่อแม่ที่"มือไม่ถึง"มาแล้วทั้งสิ้น
    แน่นอน.. ผมเข้าใจในเจตนาและความรักที่มีต่อลูกยา ก็เลยพยายามหาทางป้องกันลูกจากเรื่องแบบนี้ ไม่อยากให้ลูกต้องมาเสียความบริสุทธิ์ก่อนจะแต่งงาน ซึ่งถือเป็นสิ่งอับอายในสังคมไทย
    แต่สิ่งที่พ่อแม่หลายคนทำ ก็คือกอดรัดลูกเอาไว้ให้ใกล้ตัวที่สุด ให้ลูกห่างผู้ชาย ไม่ให้ลูกคบเพื่อนชาย ไม่ให้ลูกมีแฟน
    และที่สำคัญอีกอย่างสำหรับครอบครัวไทยก็คือ การพูดคุยเรื่องเพศหรือเรื่องความรักกับพ่อแม่จะน้อยมากจนเข้าใกล้ศูนย์เลยทีเดียว เด็กวัยรุ่นจะหันไปปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้เฉพาะกับเพื่อนเท่านั้น
    ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกจุดที่อันตราย เพราะเพื่อนมีอำนาจในการชักจูงสูงมาก เช่น คนไม่เคยเที่ยวก็อยากจะลองเที่ยวเพราะเพื่อน คนไม่เคยสูบบุหรี่ก็สูบได้เพราะเพื่อน.. นี่คือข้อเท็จจริง
    ดังนั้น การปล่อยให้วัยรุ่นปรึกษาปัญหาเรื่องเพศหรือความรักกันเองนั้น มีโอกาสที่จะถูกแนะนำไปในทางที่ผิดค่อนข้างมาก
    ง่ายๆเลยครับ นิสัยวัยรุ่น คืออยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง และเมื่อถูกปิดมากๆ ก็คงไม่พ้นต้องไปแอบลองกันเอง..

    จะดีกว่ามั้ย ถ้าผู้ใหญ่ ทำตัวให้ใกล้กับเด็กมากกว่านี้
    อย่าลืมนะครับว่า คุณสมบัติข้อหนึ่งของวัฒนธรรม ก็คือมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
    ดังนั้น..ยอมรับกันเถิดครับ ว่าวันนี้วัฒนธรรมมันเปลี่ยนไป
    และในช่วง10-20ปีหลังนี้มันเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าที่เคยเปลี่ยนมาในช่วง 50 ปีก่อนหน้านั้นด้วยล่ะมั้งครับ
    สาเหตุคือเจ้าคำที่เรียกว่า"โลกาภิวัฒน์"นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ หรือลาม(ปาม)ไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลเยาวชนของประเทศชาติ
    ได้เวลาแล้วครับ ที่จะปฏิรูปการเรียนรู้เรื่องเพศให้กับเด็กไทย หยุดยั้งการถูกปิดหู ปิดตา ปิดปากจากพ่อแม่เสียที
    ให้เค้าได้เรียนรู้อย่างถูกทาง ถูกวิธี ..ได้รู้จักทางหนีทีไล่ของตึกเอาไว้ มันก็ดีกว่ารอให้เกิดไฟไหม้จริงๆแล้วค่อยหาไม่ใช่เหรอ
    ส่วนทางด้านพ่อแม่ผู้ปกครอง ผมอยากเห็นการเปลี่ยนค่านิยมใหม่...การหวงลูกจนเกินเหตุ มันเกิดประโยชน์เพียงแค่ตัวคุณเท่านั้นที่อุ่นใจ
    พยายามทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมและโลกปัจจุบัน พยายามเข้าถึงตัวเค้าให้มากที่สุด การพูดคุยกับลูกแบบเพื่อนจะเป็นหนทางให้คุณสามารถคอนโทรลเค้าได้ดีที่สุด
    แต่ถ้าคุณทำแบบเก่าๆ ได้แต่ปิดหูปิดตาลูกออกจากเรื่องราวเหล่านั้น ต่อต้าน"วัฒนธรรมโลก"ที่กำลังเปลี่ยนไป
    ซักวัน คลื่นของวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จะซัดกระแทกเข้ามาจนคุณไม่สามารถปรับความคิดตัวเองได้ทัน เมื่อนั้นคุณก็จะได้แต่นั่งเสียใจ

    ที่ผมบอกว่า"วัฒนธรรมโลก" ไม่ได้จะหมายความว่าวัฒนธรมไทยไม่มีความหมาย มันยังคงมีความหมายและงดงามอยู่อย่างนั้น แต่ต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้ได้เกิด"วัฒนธรรมโลก"ขึ้นมาซ้อนทับกับวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติไปเสียแล้ว

    ผมไม่ได้อยากจะเชียร์ให้เมืองไทยเป็นประเทศ Free Sex
    มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องประกาศตัวว่าเราเป็นแบบนั้น แต่แก่นสำคัญอยู่ที่การสร้างระบบการเรียนรู้ในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง
    ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามมีตามเกิด จนผสมกันมั่วซั่วระหว่างวัฒนธรรมและประเพณีเก่าๆ กับองค์ความรู้และวัฒนธรรมสมัยใหม่
    คนนึงพูดอย่าง อีกคนพูดอย่าง ฟังไปก็น่าเชื่อทั้งนั้น..

    เขียนมาซะยืดยาว ออกนอกเลนไปก็ไม่น้อย ขอสรุปประเด็นคร่าวๆละกัน

    การที่วัยรุ่นหรือใครจะมีsexกัน มันไม่ได้เป็นปัญหาสังคม
    ปัญหาคือ sexที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ(ป้องกันโรคและการตั้งครรภ์)
    พ่อแม่ไม่ควรปิดหูปิดตาลูก ควรจะใกล้ชิดลูก และเข้าใจไปตามวัยของลูก
    รัฐควรจะมีแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องเพศกับเยาวชน

    ถ้าสังคมไทยยังปล่อยให้เรื่องนี้กึ่งปิดกึ่งเปิดต่อไป ยังไงๆปัญหามันก็ไม่มีทางหมดไปอย่างแน่นอน

    จากคุณ : iNFeRNaL - [ 11 ก.ค. 48 01:14:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป