CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    อำนาจอธิปไตย "เป็นของ" ปวงชนชาวไทย

    ---------------------------------------------------------

    “...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของ ข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและ โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร”

    จากพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

    ---------------------------------------------------------

    ผมจำได้ว่าเคยได้ยินถ้อยคำนี้ตอนเรียนประถมหรือมัธยม และได้มาอ่านอีกทีจากคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" ของคุณ ลม เปลี่ยนทิศ (http://www.thairath.com/thairath1/2547/column/remark/jun/24_6_47.php)

    เมื่อตอนสมัยเด็ก ก็สักแต่ท่องจำ แล้วก็ลืม เพราะไม่ได้มีการแปลความหมายให้ลึกซึ้งว่า ถ้อยคำในพระราชหัตถเลขาดังกล่าว หมายความว่าอย่างใด

    เป็นเด็กก็แปลแบบเด็กๆ ได้ว่า พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์เพื่อประชาชน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

    วันนี้ได้อ่าน ทำให้ผมต้องคิดถึงความหมายนั้นอีกครั้งหนึ่ง ว่ามันมีมากกว่าความหมายว่า "เพื่อประชาชน" หรือ "เพื่อราษฎร"

    "...เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและ โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร"

    ถามว่า เสียงอันแท้จริงของราษฎร มาจาก คณะราษฎร์ หรือมาจากที่ใด?

    ในความเป็นจริงจะเห็นได้ว่า เมื่อเกิดการปฏิวัติ พระองค์มิได้ต่อต้านคณะราษฎร์ที่ทำการปฏิวัติแม้แต่น้อย

    แต่เหตุที่มีพระราชหัตถเลขาดังกล่าว เนื่องด้วยพระองค์ทรงต่อต้าน "การใช้สิทธิขาด" และ "การไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร" ของคณะราษฎร์

    ดังนั้น การสละราชสมบัติของพระองค์ จึงมิใช่ "เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน" ดังที่ผมเคยเข้าใจ

    แต่ความหมายโดยแท้นั้น คือการ "ยกอำนาจ" ให้กับ "ประชาชนโดยทั่วไป"

    ดังนั้นแล้ว จึงทรงต่อต้านคณะราษฎร์ ที่ดำเนินการต่างๆ โดยไม่ได้ฟังและไม่พยายามฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงตามพระราชประสงค์

    ในที่นี้ อาจมีผู้เห็นว่า เพราะคณะราษฎร์ มิได้มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นพระองค์ท่านจึงเห็นว่า คณะราษฎร์ไม่มีสิทธิขาด
    แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ดังนั้นจึงควรมี "สิทธิขาด" เพราะเป็นตัวแทนของประชาชนโดยชอบ และเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงของประชาชนก็ได้...

    แต่โดยหลักการทีแท้จริงแล้ว ถามว่าเป็นเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่?...

    ในที่นี้ ผมขอยกมาตรา ๓ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ พ.ศ ๒๕๓๔ ขึ้นมาพิจารณากัน

    มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน
    ชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้
    อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบท
    บัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้


    และเปรียบเทียบกับฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ พ.ศ.๒๕๔๐

    มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
    ชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้
    อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบท
    บัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้


    หากถามผมว่า เหตุใดจึงมีการเปลี่ยนจากคำว่า "มาจากปวงชนชาวไทย" เป็น "เป็นของปวงชนชาวไทย"

    การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ จึงมิใช่การแก้เพราะเห็นว่า คำพูดไม่สวยหรู เป็นแน่
    แต่ผมก็ไม่ทราบว่าจะหาข้อมูลได้จากที่ใด จึงขอบังอาจวิเคราะห์ด้วยตัวเอง
    และเมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ผมก็ถามตัวเองว่า "มาจาก" ต่างจากคำว่า "เป็นของ" อย่างไร?

    ..."มาจาก" ย่อมต่างจาก "เป็นของ" ในแง่ของการแสดงความเป็นเจ้าของ

    คำว่า "มาจาก" นั้น ไม่มีการบ่งบอกชัดเจนว่า เจ้าของอำนาจอธิปไตย คือใคร?
    ซึ่งต่างจากคำว่า "เป็นของ" ที่บ่งบอกโดยชัดแจ้ง ว่าปวงชนชาวไทย คือเจ้าของอำนาจอธิปไตย


    หากตีความตามมาตรา ๓  ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ ๒๕๓๔ อาจสามารถตีความไปได้ว่า รัฐมี "สิทธิขาด" เพราะได้รับมอบอำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทยแล้ว

    แต่หากตีความในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๔๐ ฉบับปัจจุบัน รัฐย่อมไม่มี "สิทธิขาด" ใดๆ เพราะอำนาจอธิปไตยยังเป็นของปวงชนชาวไทย

    ดังนั้นแล้ว รัฐ จึงมีหน้าที่เป็นเพียงผู้ดำเนินการ หรือ "ตัวแทน" ในการใช้อำนาจอธิปไตย ตามเจตจำนงของผู้เป็นเจ้าของ คือ ปวงชนชาวไทย เท่านั้น

    จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ ในฐานะ "ตัวแทน" ที่จะต้องพยายามฟังว่า "เสียงอันแท้จริง" ของประชาชนคืออะไร

    และหากแม้นรัฐไม่ปฎิบัติหน้าที่อันควรดังกล่าว ประชาชนก็ย่อมมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเรียกร้องหรือดำเนินการใดๆ โดยสันติ ในฐานะ "เจ้าของ" ของอำนาจอธิปไตย เพื่อทำให้รัฐปฏิบัติหน้าที่ "ตัวแทน" ของประชาชนอย่างถูกต้อง มิใช่ปฏิบัติตนเป็น "นาย" หรือ "ผู้ปกครอง" ที่ไม่ยอมฟังความคิดเห็นใดๆ ของประชาชน

    แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 47 01:17:47

    จากคุณ : ridkun - [ 25 มิ.ย. 47 01:07:26 ]