ความคิดเห็นที่ 1 เอาแบบให้น้ำหยดปลายท่อไอเสียก็พอครับ เนียน ๆ พอดีๆ แค่นี้ก็แรงประหยัด โดยไม่เปลืองแก๊สด้วยนะครับ จากคุณ : nat_ - [ 21 เม.ย. 50 21:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จูนหนาใช่ว่าจะแรงเสมอไป  จูนหนาไปก็แรงตก ผมไม่มี Dyno  O2sensor   ใช้ auto tune แล้วค่อยๆแต่งค่าเอาโดยใช้นาฬิกาจับเวลา รอบต่ำทำยังไงก็สู้ 95 ไม่ได้  จูนตั้งแต่บางยันหนา  จุดแรงสุดก็สู้ไม่ได้ รอบกลางถึงสูงทำได้ใกล้เคียง แต่ topspeed ไหลกว่าน้ำมัน จากคุณ : ton99 - [ 21 เม.ย. 50 22:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องตั้งองศาจุดระเบิดใหม่ด้วยครับ ( ไฟแก่ ) ถ้าอยากแรงจริงๆ แต่มีข้อเสียคือ ถ้ากลับไปใช้น้ำมัน จะทำให้เครื่องน็อคได้  และอีกอย่าง แก๊สก็ต้องเป็นแบบหัวฉีดด้วยนะครับ ถ้าใช้มิกเซอร์ ยังไงก็สู้ไม่ได้ เพราะพื้นที่หน้าตัดของท่อไอดีหายไปเกือบ 50 % จากคุณ : The Peak - [ 22 เม.ย. 50 01:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้ครับ  จูนให้ดียังไง ก็ทำได้แค่ใกล้เคียงกับน้ำมัน จากคุณ : ปากหวาน - [ 22 เม.ย. 50 07:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โอ้..โห ทอปสปีดแรงกว่าน้ำมันจริงรึครับ ถ้างั้น ใครละจะไปใช้น้ำมันให้เปลืองเงิน ไปทำมั้ย จากคุณ : New (utccinter) - [ 22 เม.ย. 50 08:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ต้อง top speed ดีกว่าน้ำมันหรอกครับ แค่ประหยัดกว่าน้ำมันคนก็ใช้กันเยอะแล้ว top speed คงไม่ได้ใช้กันบ่อยๆ หรอก เห็นรถบ้านเราแรงกันชะมัด แต่กว่าความเร็วจะ topspeed ลุ้นแล้วลุ้นอีก แทบจะหมอบช่วยเลย จากคุณ : CK5 - [ 22 เม.ย. 50 09:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าจูนถูกต้อง อุปกรณ์แมทช์กับรถและเครื่อง รอบต่ำๆผมให้ 95 เอาไปกิน(ตีนต้นๆ) แต่กลางกับปลายแล้ว 95 หนีไม่ออกครับ แต่ต้องเป็นระบบฟิกส์นะครับ และอย่าคิดว่าระบบหัวฉีดแก๊สจะแรงกว่าระบบมิกส์เสมอไปนะครับ เพราะว่ารถเครื่องเทอร์โบใช้ระบบแก๊สหัวฉีดยังมีอาการแก๊สจ่ายไม่พอเลย(ในบางรุ่น) เหมือนเครื่องยนต์หัวฉีด กับคาร์บู หัวฉีดมันแรงมาแต่แรกอยู่แล้วแถมประหยัดกว่าคาร์บู แต่ถ้าเอาเครื่องเดิมมาโมดิฟาย ถามว่าหัวฉีดกะคาร์บูอันไหนจะแรงได้ง่ายกว่าและใช้งบประมาณต่ำกว่ากัน จากคุณ : dum.d - [ 22 เม.ย. 50 09:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แต่ต้องเป็นระบบฟิกส์นะครับ >>>>>>>> คุณ dum.d พูดน่าฟัง น่าคิด  ... ผมเห็นด้วย ระบบมิกส์ ก็เหมือน คาร์บูที่มี venturi เดียว พอเร่งรอบสูงขึ้นๆ ความเร็วลมผ่าน venturi ยิ่งสูง ค่า vacuum มันเพิ่มเป็นยกกำลังไม่ได้เพิ่มเป็นเส้นตรง หรือ บัญญัติไตรยางค์ นะครับ ดังนั้น ที่รอบสูงๆ ค่า A/F ratio จะหนากว่าปกติ ครับ การที่ "A/F หนา" นี่แหละที่ทำ Power ได้ดีขึ้น ทำไมถึง ดีขึ้น ?? เรามองที่ "ปั้มเร่ง" ของคาร์บู เวลาเราเร่งแซง เราต้องการ Power เพิ่ม ก็ต้องทำให้ A/F หนาขึ้น โดยใช้ปั้มเร่งฉีดน้ำมันมากขึ้น effect เดียวกัน ก็เกิดจาก Fixed Mixer ซึ่งมี venturi เดียว ทำให้ส่วนผสม A/F หนาขึ้น ที่รอบสูงๆ แต่การทำอย่างนั้น ก็มีผลเสีย คือ อัตรากินน้ำมันมันก็เพิ่มขึ้นด้วย  ==> ไม่ประหยัด รถคาร์บิวทั่วไป เขาแก้ไขให้ประหยัด โดยทำคาร์บิวเป็น 2 ท่อ -ท่อแรก ใช้งานที่ความเร็วต่ำ partial load -ท่อ2 ใช้งานที่ full-load จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 22 เม.ย. 50 09:44:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่หัวฉีดใส่กับเครื่องแรงๆแล้วจ่ายน้ำมันไม่พอ เพราะว่าเบอร์หัวฉีดใหญ่สุดที่ใช้กัน  มันไม่ได้ทำเอาไว้รองรับกับรถแรงม้าสูงๆ ผมว่าที่เมืองนอกคงมีเบอร์ใหญ่ๆให้ใช้กัน   ไม่งั้นคงไปแช่กัน 310km/h ไม่ไหวแน่ๆ จากคุณ : ton99 - [ 22 เม.ย. 50 10:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จูนให้แรงกว่าได้ครับ เคยถามมือจูนมา แต่เค้าบอกว่าเครื่องจะไปเร็วกว่ามาก การจูนรถหัวฉีดที่ถูกต้องคือ ขับไปจูนไปครับ ขึ้นไดโนก็ไม่เหมือนกับขับไปจูนไป จากคุณ : EITHER - [ 22 เม.ย. 50 13:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 จูนให้แรงกว่าได้ครับ เคยถามมือจูนมา >>>>>>>> คำว่า "แรงกว่า" มือจูน คงไม่ได้หมายถึง  "แรงม้า-มากกว่า" เพราะว่า ค่า(พลังงาน)ความร้อน Hu ของแก็ส "ต่ำกว่า" น้ำมันเบนซิน ==>ในเมื่อพลังงานความร้อน input  "ต่ำกว่า" มันจะได้แรงม้า output มากกว่า จากไหนครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 22 เม.ย. 50 15:16:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่า มันแล้วแต่เครื่องนะ เพราะดั้งเดิมมันออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมัน พอเอามาติดแก๊ส  เงื่อนไขมันเปลี่ยนไป มีความเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละว่า รอบเครื่องต่ำแรงกว่าเดิม แต่รอบเครื่องสูงแรงสู้ตอนใช้น้ำมันไม่ได้ หรือ รอบเครื่องต่ำแรงสู้น้ำมันไม่ได้ แต่มาได้แรงเพิ่มในรอบสูงๆ จากคุณ : P_Wut - [ 22 เม.ย. 50 15:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องลองก่อนครับ  แล้วจะเปลี่ยนความคิด จากคุณ : ton99 - [ 22 เม.ย. 50 20:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จริงครับคุณต้น ต้องลองก่อน ในเวปแกสไทยมีสมาชิกหลายท่านที่ใช้แก๊สแล้ววิ่งได้ความเร็วสูงสุดมากกว่าน้ำมัน ไอ้เรื่องกินขี้ กินข้าว ผมไม่สนใจหรอกครับ เพราะว่าไร้สาระ ก็เมื่อก่อนน้ำมันมันถูกมากๆๆพอๆกับแก๊ส ใครจะไปใช้แก๊สทำไม รถก็ต้องผลิตมาเพื่อใช้น้ำมันถ้าเราจะไปใช้แก๊สเราก็ต้องไปติดเสียเงินอีก แล้วต้องมาเติมแก๊สราคาถูกพอๆกับน้ำมัน ใครจะไปติดครับ แต่เดี๋ยวนี้น้ำมันราคาเท่าไรครับ เบนซ์ยังออกเอ็นจีวีมาเลย แล้วสมรรถนะก็ไม่แตกต่างอะไรกับน้ำมันด้วย ถ้าไม่ใช้กระแสน้ำมันแพงจะได้เห็นรถเบนซ์รุ่นนี้ไหมครับ พลังงานทางเลือกจะพัฒนาต่อไปในอนาคตก็ต่อเมื่อน้ำมันมีราคาแพงอย่างนี้แหละครับ ถ้าน้ำมันราคาถูก โครงการต่างๆเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกก็จะแผ่วหายไปในที่สุด ส่วนเรื่องหัวฉีดแก๊สนั้นน่าจะเป็นที่คุณต้นว่า เพราะว่าบ้านเราระบบหัวฉีดแก๊สยังไม่ค่อยพัฒนามากถึงจุดสูงสุด มีหลายอู่ที่จูนไม่จบ ถ้าเจอช่างดีก็ดีไป ถ้าเจอช่างมั่วแก้ปัญหาให้ไม่จบก็จะปวดหัวจนอยากจะถอดทิ้งเลยละครับ จากคุณ : dum.d - [ 22 เม.ย. 50 21:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จูนให้แรงกว่าได้ครับ เคยถามมือจูนมา >>>>>>>> คำว่า "แรงกว่า" มือจูน คงไม่ได้หมายถึง  "แรงม้า-มากกว่า" เพราะว่า ค่า(พลังงาน)ความร้อน Hu ของแก็ส "ต่ำกว่า" น้ำมันเบนซิน ==>ในเมื่อพลังงานความร้อน input  "ต่ำกว่า" มันจะได้แรงม้า output มากกว่า จากไหนครับ ------------------------------- ผมก็ไม่ได้เรียน ยานยนต์มาโดยตรง ผมเข้าใจว่า สามารถจูนได้แรงกว่า รถน้ำมันเดิมๆ อย่างน้อย LPG ก็มี Octane สูงกว่า ก็ทำให้ค่า Compression Ratio สูงกว่า LPG สามารถสูงถึง 12:1 น้ำมันอยู่ประมาณ 10:1 อย่างสมมุติ เอา Vios มาติดแก้ส ก็สามารถจูนให้ แรงกว่า Vios น้ำมันเดิมๆ ได้ แต่ให้แรงกว่า Vios ที่จูนเครื่องน้ำมันมา ก็คงไม่ใช่ สรุปว่า สามารถจูนให้สามารถแรงกว่ารถน้ำมันเดิมๆ ได้ครับ F1 ใช้น้ำมันอะไร ผมก็ไม่รู้ แต่จะใช่ 95 ธรรมดา ที่เราๆ ใช้เหรอ รถ Drag ยังมีการใส่สารเพิ่ม Octane เวลาแข่ง ปล. เข้าใจผิดรบกวนชี้แนะ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 50 22:08:52 แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 50 21:56:52 จากคุณ : EITHER - [ 22 เม.ย. 50 21:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Octane สูงกว่า ก็ทำให้ค่า Compression Ratio สูงกว่า LPG สามารถสูงถึง 12:1 น้ำมันอยู่ประมาณ 10:1 >>>>>>>>>>> เอ้า ... อย่างนี้ ไม่ใช่ การจูน แล้วครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 22 เม.ย. 50 22:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ๋อ อันนั้นผมตอบตรง "ในเมื่อพลังงานความร้อน input  "ต่ำกว่า" มันจะได้แรงม้า output มากกว่า จากไหนครับ " นี้อ่ะครับ ผมเข้าใจว่า จขกท หมายความถึงรถ น้ำมันเดิมๆ เมื่อไปติดแก้ส แล้วจะจูนให้แรงกว่าน้ำมันได้มั้ย ความคิดเห็นผม คือได้ ที่ผมสรุปนะครับ หมายถึง รถแก้ส สามารถจูนให้แรงกว่า รถน้ำมันเดิมๆ ได้ครับ แต่ถ้าจูนแก้ส แข่งกับรถจูนน้ำมัน อันนั้นคงสู้ไม่ได้ จากคุณ : EITHER - [ 23 เม.ย. 50 00:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ที่ผมสรุปนะครับ หมายถึง รถแก้ส สามารถจูนให้แรงกว่า รถน้ำมันเดิมๆ ได้ครับ >>>>>>>>> นั่นซิครับ คุณจะจูนยังไง มีหลักยังไงถึงทำให้รถเดิมๆ แรงขึ้นได้ อย่าบอกว่า คุณไม่ใช่ช่างยนต์ ไม่มีความรู้ทางช่างอะไรเทือกนี้ เพราะมันไม่ใช่คำตอบที่มีเหตุ มีผล ผมไม่ได้คุยเรื่องยากจนต้องใช้ความรู้มากมายเลย ผมคิดด้วยหลักบัญชีง่ายๆว่า input คือ ค่าพลังงานของแก้ส มันต่ำกว่า คุณจะได้ output แรงกว่ามาจากไหน ? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 23 เม.ย. 50 07:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ปรับความหนาบางของแก้ส ครับ อัตราส่วนน่ะ ก็เหมือนการใช้กล่องพวก E-manage มาจูนน้ำมัน ให้อัตราส่วนมันบางขึ้น แต่ผลที่ได้ คือ ความร้อนในห้องเผาไหม้สูงขึ้น ก็ทำให้เครื่องโทรมเร็วขึ้นน่ะครับ การติดแก้ส LPG ที่เปนหัวฉีด มันก็มีกล่องมาเหมือนกัน สามารถปรับอัตราส่วนได้ เหมือนพวกกล่อง E-manage ก็เหมือนเป็นกล่องจูนนั่นแหล่ะครับ ถึงบอกไงครับ ว่าจูนให้แรงกว่ารถใช้น้ำมันธรรมดาๆ ได้ แต่ไปจูนแข่งกับรถน้ำมันที่จูน น่ะมันไม่ได้ ผมเราว่าเราใจเกือบตรงกันนะ แต่มันอาจจะคนละจุด ปล. ผมยอมรับว่าไม่ใช่ช่างยนต์ ก็อาศัยถามผู้รู้ อ่านเอา ศึกษาเอา อันไหนน่าเชื่อถือก็ดูเหตุผล อาศัยที่็เรียนสายวิศวะมา ก็พอจะเข้าใจได้บ้าง แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 50 09:35:05 จากคุณ : EITHER - [ 23 เม.ย. 50 09:30:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 LPG แรงกว่าน้ำมันได้ครับ อยู่ที่ว่าองค์ประกอบในการปรับ แต่งมีอะไรบ้าง ปรับแค่หนาบาง หรือปรับองศาไฟจุดระเบิด ด้วย หรืออะไรอีกก็ตาม อยู่ที่องค์ประกอบการจูนครับ LPG Octain 105 NGV Octain น่าจะ 120 (แบบกลั่นมานะครับ ไม่ใช่ขุดขึ้น มาแล้วเอามาเติมเลย เหมือนมหาชนบ้านเรา) พื้นฐานมันมาดีกว่าทำไมจะจูนให้แรงกว่าไม่ได้ละครับ จากคุณ : Accabu (tomfreeidea) - [ 23 เม.ย. 50 13:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Top speed ยังไงก็แรงกว่าอยู่แล้วครับ ( หัวฉีด , หม้อต้มกับขนาดหัวฉีด ก็ต้องสัมพันธ์กันด้วย) เพราะรถญี่ปุ่น มีก็หลายรุ่น ที่ทางโรงงานเขาล็อค ECU top speed  ของการจ่ายน้ำมัน ที่ 180 km/hr   ครับ  แต่ถ้าอัตราเร่ง สู้น้ำมันคงยากครับ ยิ่งถ้าเป็นมิกเซอร์ด้วย เพราะอากาศจะเข้าได้น้อยกว่าปกติมาก ( เป็นทั้งใช้แก๊ส และน้ำมัน ในรถที่ใช้มิกเซอร์ ) จากคุณ : The Peak - [ 23 เม.ย. 50 14:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เราไม่ได้คุยเรื่องยาก จนต้องใช้ความรู้มากมาย คิดง่ายๆว่า -input คือ ค่าพลังงานของแก้ส มันต่ำกว่า -พวกคุณจะได้ output แรงกว่า มาจากไหน ? ไปโลด ถึงกับ Top speed ดีกว่า   ฝันไปซิครับ Top speed มันได้มาจาก Max-HP นะครับ ปรับให้ A/F หนา เท่าไร ก็ปรับได้ ครับ แต่การปรับจูนหนาๆ ตามใจชอบนั่นนะ A/F หนายังอยู่ใน "ย่านติดไฟได้" หรือเปล่า ? มีเหตุผลกันหน่อย จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 23 เม.ย. 50 20:36:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ค่าพลังงานของแก้ส ต่ำกว่าก็จริงครับ แต่ถามหน่อยครับ ถ้า O2 ที่เป็นส่วนผสมในการเผาไหม้น้อยกว่า แล้วมันจะยังได้ พลังงานเต็มที่ที่มัน Input เข้าไปหรือปล่าว input ไม่ได้มีแค่ค่าพลังงานจากเชื้อเพลิงอย่างเดียวนะครับ ขึ้นกับอย่างอื่นอีก เช่น ปริมาณของ O2 ถามหน่อยครับ ถ้ามันขึ้นกับ พลังงานของเชื้อเพลิงอย่างเดียว ทำไมรถที่มีระบบอัดอากาศถึงให้กำลังที่มากกว่า ทั้งที่ใช้น้ำมันแบบเดียวกัน ถ้าคุณบอกว่าเป็นเพราะ ค่าพลังงานอย่างเดียว มันก็ต้องเท่าเดิมสิครับ แต่เพราะมันได้ค่า A/F ratio ที่สูงขึ้น น้ำมันบาง (ก็เหมือนการจูน น้ะแหล่ะครับ) ได้กำลังที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยอุณหภูมิเผาไหม้ที่สูงขึ้น ในขณะที่แก้ส เรามีกล่องจูน ซึ่งก็เหมือนกล่องจูนน้ำมันเบนซิน ที่เข้าเอามาจูนรถแข่ง (รู้จักใช่มั้ยครับ พวก E-manage อ่ะ) เราก็จูนให้ ออกซิเจนมันมากกว่า แล้วพลังงานที่ได้ ก็สามารถมากกว่าได้สิครับ ผมไม่ได้เปรียบเทียบ แก้ส ที่มีค่า A/F เท่ากับ น้ำมัน นะครับ อันนั้นผมเข้าใจครับ แต่ผมพูด รวมทั้งย้ำแล้วว่า จูนแก้ส ได้แรงกว่า เมื่อเทียบกับรถใช้น้ำมันที่ไม่ได้ผ่านการจูน ตัวอย่างนะครับ AF ratio ของ แก้ส ที่ 15:1 กับน้ามันที่ 10:1 อันไหนได้กำลังมากกว่ากันครับ จากคุณ : EITHER - [ 23 เม.ย. 50 21:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 นั่นสิครับ บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในการจูนนะ ครับ ไม่ใช่แค่ปรับหนาบาง จากคุณ : accabu (tomfreeidea) - [ 24 เม.ย. 50 09:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 รถบ้านหลายๆรุ่น ที่รอบสูง  เหมือนจะถูกตอนเอาไว้จากโรงงานด้วยค่า A/F ที่หนาๆ อยากพวกกล่องแต่งต่างๆ  เขาก็จะเล่นตรงจุดนี้กันคือ ปรับให้กล่องจ่ายน้ำมันบางลง ในการใช้แกสแทนน้ำมัน  มันไปส่งผลให้ค่า A/F ตรงนี้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะพวกแกสหัวฉีดนั้นสามารถปรับให้บางหรือหนาได้ก็เลยได้ผลที่ดีขึ้นกว่าเดิน จากคุณ : ton99 - [ 24 เม.ย. 50 09:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คนที่บอกว่า ค่าพลังงานของแก๊สต่ำกว่านั้น ต่ำกว่าแค่ไหน ช่วยบอกหน่อยครับ ( ไม่รู้จริง ๆ ) เช่น แก๊ส = xx   กิโลแคลอรี , น้ำมัน = xxx  กิโลแคลอรี ผมรู้แต่ว่า ออกเทนของแก๊สสูงกว่าประมาณ 105 แต่น้ำมันอยู่ที่ 95 จึงทำให้ใช้เวลาในการสันดาปที่นานกว่า ดังนั้นแล้วเราจึงต้องปรับองศาจุดระเบิดล่วงหน้า เพื่อแก้ไขในจุดนี้ จึงทำให้ได้จังหวะเวลาของการระเบิด อยู่ในจุดที่ลูกสูบอยู่ที่ TDC พอดี จากคุณ : The Peak - [ 24 เม.ย. 50 17:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ^ ฮั่นแน่ท่าน The Peak  เล่นบท "ลูกนก" ตีบทแตก อ้าปาก พะงาบๆ จะให้แม่นกคาบมาป้อน เชียวหรือ ? มันไม่ใช่เรื่องของผมที่จะเที่ยวค้นหาข้อมูลมาป้อนคุณ แถม ป้อนแล้ว ยังต้องเคี้ยวให้อีก จะต้องกลืนแทนไหมครับ  ? จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 เม.ย. 50 08:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เพื่อแก้ไขในจุดนี้ จึงทำให้ได้จังหวะเวลาของการระเบิด อยู่ในจุดที่ลูกสูบอยู่ที่ **TDC พอดี ** >>>>>>>>>> ที่คุณบอกนั่นนะมันเป็น จินตนาการ ของ process Gasoline เขาเรียก process แบบนี้ว่า constant volume คือ จุดพรึบเดียว ติดไฟหมดเลย ได้ peak Pe ทันทีที่จุด TDC ในทางปฏิบัติ เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขายอมให้มันไป peak ที่ After TDC ที่จุดหนึ่งครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 เม.ย. 50 08:55:37 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ค่าพลังงานของแก้ส ต่ำกว่าก็จริงครับ แต่ถามหน่อยครับ ถ้า O2 ที่เป็นส่วนผสมในการเผาไหม้น้อยกว่า แล้วมันจะยังได้ พลังงานเต็มที่ที่มัน Input เข้าไปหรือปล่าว >>>>>>>>> คุณ EITHER ไม่น่าบอกว่าเรียนวิศวะเลย   ผมพูดถึง A/F ratio ข้างบนไม่เห็นหรือ คุณคิดว่าในที่นี้ A คือ อะไร ถ้าไม่ใช่ Air อันประกอบด้วย O2 และอื่นๆ A/F ratio มันมี "ย่านที่ติดไฟได้" = จำกัด ไม่ใช่คุณนึกจะจูนปรับให้  F=fuel เข้าไปมากเท่าไร ได้ตามใจชอบ A/F too rich ==> ไม่ติดไฟ เครื่องก็ไม่ติด ครับ ทีนี้มาดู เรื่อง"ค่าความร้อนของเชื้อเพลิง" เรื่องนี้เป็นของง่ายที่วิศวะกรจะต้องเข้าใจ เอาละครับ ผมจะอธิบายในแบบลูกทุ่ง 1) ค่าพลังงานความร้อนของเชื้อเพลิงมี มากหรือ น้อย มันส่งผลให้เราได้ "พลังงาน output" ออกมา มาก หรือ น้อย ตามไปด้วย ..... คิดแบบนักบัญชี บาลานซ์ชีตง่ายๆ คือ รายได้ = รายจ่าย 2) เพื่อความเข้าใจเรื่องค่าความร้อนง่ายๆ ขอสมมติว่า เครื่องยนต์ของเราไม่ต้องใช้ Air สำหรับการจุดระเบิดเลย ใช้แค่ Fuel เพียวๆ เพียงอย่างเดียว .... ตกลงนะครับ คราวนี้ คุณเชิญปรับจูนให้เครื่องได้รับ F คือ fuel เข้าไป มากน้อยตามใจคุณ 3) เอาให้สุดโต่งไปเลย คุณจูนเครื่องยนต์ขนาด 100 cc ได้แก็ส LPG เข้าไปจนเต็ม 100 cc เปรียบเทียบกับ จูนให้ Benzin เข้าไปเต็มกระบอกสูบ 100 cc เท่ากัน ทั้ง LPG และ เบนซิน ในเมื่อ LPG มีค่าความร้อน ต่ำกว่า ถามว่า เครื่อง LPG หรือ เบนซิน จะได้ Output สูงกว่า ที่เทียบนี้จูนกันสุดโต่ง ปรับจูนดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ครับ อธิบายอย่างนี้ ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ก็ตัวใคร ตัวมันแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 50 09:21:34 จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 เม.ย. 50 09:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ในทางปฏิบัติ จริงๆ เครื่องยนต์ที่มีปริมาตรกระบอกสูบ 100 cc (กี่สูบก็ตามใจ) เราจูนปล่อยแก็สเข้าไปในสถานะ vapor คือ เป็น แก็ส ไม่ใช่ของเหลว -Volume ของแก็สที่เข้า"กินที่" Volume กระบอกสูบไปแล้ว===> Volume ที่เหลือในกระบอกสูบ = 100-x cc -Volume ของ Air (อันประกอบด้วย O2 ที่เราต้องใช้) ที่จะเข้าไปในกระบอกสูบ ได้มากที่สุดเต็มที่ = 100-x cc ในขณะที่ เบนซิน เราจูนเบนซิน ให้มันฉีดเข้าไปในสภาพ Liquid เกือบ 100% -Volume ของเบนซินที่ปล่อยเข้าเครื่อง จึง "กินที่" น้อยกว่า -Volume ที่เหลือในกระบอกสูบ จึงเหลือที่ว่างให้อากาศเข้าได้ "มากกว่า" ดังนั้น จะเห็นว่า mass flow ของ A/F เบนซิน จะเข้าเครื่องได้มากกว่า ....ทุกกรณี ไม่ว่าจะจูนแก้สยังไง ก็ไม่มีทางทำให้ได้ mass-flow ของไอดี ได้มากกว่าเบนซิน ส่งผลให้เบนซินมี ==> output สูงกว่า ก็เทอร์โบ นั่นไง (ผมเกือบลืม) ที่เราใช้รีดพลังออกมา จนหลังติดเบาะ มันได้ output มากๆ ออกมาโดยการ "อัดอากาศ" เข้าไปมากกว่า "ดูดเอง" ==> ส่วนผสม A/F ก็เข้าเครื่องได้มากกว่า ตรงนี้คือ input ที่มากขึ้น ในเมื่อ input มากขึ้น ===> output ของเครื่องเทอร์โบ จึงมากกว่า ==> แรงกว่า...... หวังว่าคงจะเข้าใจ นะครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 เม.ย. 50 09:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ค่าความร้อน ของเชื้อเพลิงก็คือ input LPG มีค่าความร้อนต่ำกว่า จึงได้ output ออกมาต่ำกว่า ....ไม่ว่าจะจูนดีแค่ไหน ทำยังไง ก็ต้องต่ำกว่า เพราะต้นทาง คือ input มันต่ำกว่าโดยกำเนิด ช่างจูนมือดีที่สุด ถ้าเขาสามารถแก้ค่าความร้อน LPG ให้มากกว่าเดิม ... ทำได้ซิครับ ถึงจะคุยว่า จูนให้ output สูงกว่าเบนซินได้ นี่คือ ข้อเท็จจริง และ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 เม.ย. 50 10:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ของผมเครื่องโบราณแบบคาร์บิว ติด ฟิกมิกเซอร์  1600 cc ใ ช้แกส ความเร็วปลายไม่หยุดครับ 150 ไปต่อ แต่น้ำมันสุดแถว 140 แต่อัตราเร่งดีกว่าครับ จากคุณ : trakulsom - [ 26 เม.ย. 50 11:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้ารู้จริงก็ควรบอกค่าความร้อนได้ครับ แต่ไม่บอกค่าก็ไม่เป็นไร แต่ถามอีกอย่างนีงนะครับ  ในแก๊สเมื่อเราจ่ายเข้าไปเป็นสภาพ vapor จึงทำให้ประสิทธิภาพ ของการเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน นั้นเกือบ 100%      แต่ถ้าเป็น น้ำมันที่เราฉีดเข้าไปเป็นฝอยเล็กๆที่เป็นของเหลว ประสิทธิภาพของการเปลี่ยนเป็นความร้อน จะลดลงเหลือกี่เปอร์เซนต์ อันนี้ต้องตอบให้ได้นะครับ เพราะถ้าคุณจะฟันธงว่า น้ำมันที่จ่ายในรถยนต์ให้ค่าความร้อนมากกว่าแก๊ส และถ้าตอบได้แล้ว คุณสามารถเอาข้อมูลของคุณ ไปให้สำนักพิมพ์ เขาพิมพ์ไปขาย ให้นักศึกษาที่เขาเรียนได้เลยครับ   ในจุดนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้ แต่ในบรรดา คนที่ใช้แก๊ส เขาได้ทดลองกับของจริงมาแล้วครับ เขาจึงกล้าพูด หรือลองไปตั้งคำถามใน  gasthai.com  ดูก็ได้ครับ จะมีคนมาให้ข้อมูลกับคุณอย่างเยอะเลยครับ เพราะองค์ประกอบในรถยนต์มีตั้งหลายๆ อย่าง จะเอาแค่เปิด Fuel Energy Table  มาตอบอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : The Peak - [ 26 เม.ย. 50 12:49:32 ]

ความคิดเห็นที่ 35 >> จูนให้ Benzin เข้าไปเต็มกระบอกสูบ 100 cc เท่ากัน ทั้ง LPG และ เบนซิน ในเมื่อ LPG มีค่าความร้อน ต่ำกว่า ถามว่า เครื่อง LPG หรือ เบนซิน จะได้ Output สูงกว่า ที่เทียบนี้จูนกันสุดโต่ง ปรับจูนดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ครับ - ตรงนี้เข้าใจครับ เนื่องจากทุกอย่างมันเท่ากัน แต่ตรงนี้ครับ >>ในขณะที่ เบนซิน เราจูนเบนซิน ให้มันฉีดเข้าไปในสภาพ Liquid เกือบ 100% -Volume ของเบนซินที่ปล่อยเข้าเครื่อง จึง "กินที่" น้อยกว่า -Volume ที่เหลือในกระบอกสูบ จึงเหลือที่ว่างให้อากาศเข้าได้ "มากกว่า" ผมไม่ได้พูดสักคำนะครับ ว่าจูนแก้ส ให้แรงกว่ารถจูนเบนซิน (ผมย้ำหลายรอบแล้ว) ตรงนั้นผมไม่มีข้อมูล ผมบอกว่าจูนแก้สให้แรงกว่ารถน้ำมันเดิมๆ สมมตินะครับ จากสมการเคมี   เชื้อเพลิง + O2 ---> CO2 + H2O ถ้าการเผาไหม้ ที่ทำปฏิกริยาพอดี เชื้อเพลิง:O2 อยู่ที่ 1:20 แต่ O2 ที่ใส่เข้าไปเป็นแค่ 10 ถามว่ามันใช้น้ำมันเท่าไรครับ ก็ต้องเป็น 0.5 ถูกมั้ยครับ แล้วพลังงานมันจะออกมาเต็มเท่าที่ใส่มั้ยครับ ECU มันก็ควบคุมไว้ เวลาเร่ง ทำให้พลังงานที่ออกมาไม่ได้เต็ม 100 อย่างที่ควรจะเป็น  แต่ได้ผลดีในเรื่องอุณหภูมิ มาถนอมเครื่องยนต์ (เพราะบอกแล้วว่าเราไม่ได้แข่งกับรถน้ำมันจูนกลอง) ขณะที่แก้ส พลังงานต่ำกว่า แต่เราทำการปรับจูน (ทุกอย่าง) ได้ สมมติ O2 เป็น 16 ส่วน เชื่อเพลิงที่ใช้เป็น 0.8 ก็อาจจะให้พลังงานสูงกว่าได้ ทั้ง ดูด หรือหัวฉีด ก็ไม่ต่างอะไรกับการจูนเครื่องยนต์เพิ่มความแรง ดังนั้นค่าพลังงานที่ออกมาจะมากกว่ารถน้ำมัน (ที่ไม่ได้จูน) มันจะแปลกตรงไหน แต่เครื่องก็พังเร็วตามไปด้วย จากคุณ : EITHER - [ 26 เม.ย. 50 23:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 17   Octane สูงกว่า ก็ทำให้ค่า Compression Ratio สูงกว่า LPG สามารถสูงถึง 12:1 น้ำมันอยู่ประมาณ 10:1 >>>>>>>>>>> เอ้า ... อย่างนี้ ไม่ใช่ การจูน แล้วครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม   - [ 22 เม.ย. 50 22:23:18 ] ทำไมการปรับ compresstion ratio ให้สูงขึ้นถึงไม่ใช่การจูนอ่ะครับ ผมว่าการไสฝาสูบ เปลี่ยนฝาสูบหรือทำอะไรที่ทำให้ compresstion ratio เปลี่ยน ก็น่าจะเป็นการจูนนะครับ หรือถ้าในระบบน้ำมันเบนซิน ผมเปลี่ยนฝาสูบจากแบบ indirect injection เป็น แบบ direct injection ได้ซึ่งสามารถทำให้ compresstion ratio สูงขึ้น มันก็น่าจะเป็นการจูนนะครับ หรือถ้า จูน ไม่เท่ากับ modify อืม ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยนะครับ ผมอาจจะงงเองครับ เขียนจบพึ่งคิดได้อ่ะ จากคุณ : Mr. Coffee - [ 27 เม.ย. 50 09:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 37 รถผมก่อนติดแก๊ส Top speed ได้ 180 km/hr  หลังจากติดแก๊สแบบมิกเซอร์ Top speed ได้ 150 km/hr   ดังนั้นแล้ว ถ้าเป็นการติดแบบมิกเซอร์ ยังไงๆ   ก็สู้น้ำมันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่อไอดีหายไปตั้งเกือบครึ่งนึง ในพวกที่เขาแต่งรถนั้น เขาจะรู้เป็นพื้นฐานอยู่แล้วครับว่า ขนาดของ Intake และ ท่อไอเสีย สำคัญมากๆ บางคนลงทุนขัดพอร์ทให้ลื่น เพื่อลด Friction loss ของอากาศ จากคุณ : The Peak - [ 27 เม.ย. 50 12:02:12 ]

ความคิดเห็นที่ 38 LPG ให้พลังงานความร้อนต่อหน่วยสูงกว่า และเผาไหม้ได้ดีกว่า ที่รอบสูง (นอกจาก octain ที่สูงกว่า ที่สามารถเพิ่มกำลังอัดได้ง่ายๆ) ข้อเสีย คือเรื่องความปลอดภัย มี่ต่ำกว่าการใช้น้ำมัน ============================= LPG             11,800 กิโลคารอรี/กิโลกรัม เบนซิน         11,300 กิโลคารอรี/กิโลกรัม http://www.gmcworkshop.com/new_lpg/lpg81.asp จากคุณ : YJ - [ 27 เม.ย. 50 16:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณ คุณ YJ มากครับ ที่หาข้อมูลมาให้ ขอเสริมนิดนึงจาก link นะครับ LPG  คือ ส่วนผสมของ โพรเพน 11,900 kcal/kg และ บิวเทน 11,800 kcal/kg  ส่วน เบนซิน ก็อย่างที่คุณ YJ บอกคือ 11,300 kcal/kg จากคุณ : The Peak - [ 27 เม.ย. 50 22:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ค่าความร้อน BTU/ปอนด์ แกสโซลีน           20 930 LPG(propane)     21 500 natural gas(methane)-NGV  23 811 จากคุณ : ton99 - [ 28 เม.ย. 50 01:25:42 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เบนซิน (Gasoline) ความหนาแน่นที่ 15 C :  0.73kg/litre ความร้อนจำเพาะ : 43.5MJ/kg A/F ratio : 14.8/1 โดยน้ำหนัก ค่าออกเทน RON : 91 ดีเซล ความหนาแน่นที่ 15 C :  0.83kg/litre ความร้อนจำเพาะ : 42.5MJ/kg A/F ratio : 14.5/1 โดยน้ำหนัก ค่าออกเทน RON :  - LPG ความหนาแน่นที่ 15 C :  0.64kg/litre ความร้อนจำเพาะ : 46.1MJ/kg A/F ratio : 15.5/1 โดยน้ำหนัก ค่าออกเทน RON : 105 CNG ความหนาแน่นที่ 15 C :  0.14kg/litre ความร้อนจำเพาะ : 47.7MJ/kg A/F ratio : 17.2/1 โดยน้ำหนัก ค่าออกเทน RON : 120 จากคุณ : ton99 - [ 28 เม.ย. 50 01:25:59 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แต่ครับแต่ LPG ต้องการ A/F ที่สูงกว่า เชื้อเพลิงที่มี A/F สูงๆ  ทำให้แรงยากกว่าพวกที่มี A/F ต่ำๆนะครับ เพราะอากาศที่เข้าเครื่องมีจำกัด LPG ฉีดเป็นแกส  ตอนฉีดออกมาตัวแกสมันไปกินที่ของอากาศ ทำให้อากาศเข้าเครื่องลดลงไปอีก  ปริมาณเชื้อเพลิงที่ฉีดต้องน้อยลงอีก ลองคิดคร่าวๆ เบนซิน (Gasoline) ความร้อนจำเพาะ : 43.5MJ/kg A/F ratio : 14.8/1 โดยน้ำหนัก LPG ความร้อนจำเพาะ : 46.1MJ/kg A/F ratio : 15.5/1 โดยน้ำหนัก คิดเอาแบบง่ายๆ สมมติว่าเครื่องดูดอากาศได้ 100g ถ้าใช้เบนซินต้องฉีดเชื้อเพลิงอีก  100/14.8 = 6.76g เชื่อเพลิงจำนวนดังกล่าวจะให้ความร้อน = 294kJ ถ้าใช้ LPG ต้องฉีดเชื้อเพลิงอีก  100/15.5 6.45g เชื่อเพลิงจำนวนดังกล่าวจะให้ความร้อน = 297kJ ข้างบนนั้นคิดว่าสามารถดูดอากาศได้เท่ากันเฉยๆ ในการใช้ LPG แทนเบนซิน  ปริมาตรอากาศจะถูกแทนที่ด้วยปริมาณของ LPG ทำให้มวลอากาศที่เข้าเครื่อง  ลดลงไปอีก จริงๆน้ำมันที่ใช้กันทุกวันนี้  ค่า A/F จะลงไปอยู่ที่ 14.3/1  แต่ค่าความน้อยจะน้อยกว่าน้ำมันสมัยก่อน ตัวเลขข้างบนที่ยกมาบอกเฉยๆว่าเบนซิน  ผมเดาว่าน่าจะเป็นเบนซินแบบดั้งเดิม ส่วนแกสโซฮอลค่า A/F จะอยู่ที่ 14.0/1   คิดออกมาแล้วจะได้ความร้อนสูงกว่าเบนซิน ดังนั้นเครื่องเบนซิน ถ้าสามารถปรับตั้งค่า A/F ให้ใช้แกสโซฮอลได้ดี จะเห็นว่าเครื่องจะแรงขึ้นกว่าใช่เบนซิน  แต่จะกินน้ำมันมากกว่าเบนซินอีกนิดราวๆ 3% แต่ถ้าเครื่องมันปรับตัวเองไม่ได้  ก็จะกลายเป็นว่ามี A/F ที่บางไป  ทำให้แรงตก อย่างรถผมพอมาเติมโซฮอล  เครื่องมันจะพยายามปรับตัวเอง  แต่มันปรับได้ไม่ดี คือสวิงค่า A/F หนา-บาง(รุนแรง) ตลอด  ทำให้เครื่องสั่น และแรงตก แถมกินน้ำมันขึ้นอีกเยอะ พูดไปไกลขอกลับมาที่ LPG ต่อ การที่ใช้ LPG ได้ topspeed มากขึ้นนั้น อาจจะเป็นได้สองกรณี 1. ของเดิมใช้น้ำมันมี A/F ยังไม่ถึงจุดที่แรงที่สุด  พอใช้แกสแล้วจูนให้ A/F ถึงจุดที่แรงที่สุดได้ 2. ของเดิมใช้น้ำมันมี A/F หนามากเกินไป  รถโรงงานหลายๆรุ่นที่รอบสูงๆมักจะจ่ายให้ น้ำมันหนามากจนเกิดเหตุ  ประเภทหนาจนแรงตก   พอมาใช้ LPG จูนแล้วได้ A/F ตรงจุดแรงพอดี  เครื่องเลยมีแรงมากขึ้น จากคุณ : ton99 - [ 28 เม.ย. 50 01:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 20 ปรับความหนาบางของแก้ส ครับ อัตราส่วนน่ะ ก็เหมือนการใช้กล่องพวก E-manage มาจูนน้ำมัน ให้อัตราส่วนมันบางขึ้น แต่ผลที่ได้ คือ ความร้อนในห้องเผาไหม้สูงขึ้น ก็ทำให้เครื่องโทรมเร็วขึ้นน่ะครับ การติดแก้ส LPG ที่เปนหัวฉีด มันก็มีกล่องมาเหมือนกัน สามารถปรับอัตราส่วนได้ เหมือนพวกกล่อง E-manage ก็เหมือนเป็นกล่องจูนนั่นแหล่ะครับ ถึงบอกไงครับ ว่าจูนให้แรงกว่ารถใช้น้ำมันธรรมดาๆ ได้ แต่ไปจูนแข่งกับรถน้ำมันที่จูน น่ะมันไม่ได้ ผมเราว่าเราใจเกือบตรงกันนะ แต่มันอาจจะคนละจุด ปล. ผมยอมรับว่าไม่ใช่ช่างยนต์ ก็อาศัยถามผู้รู้ อ่านเอา ศึกษาเอา อันไหนน่าเชื่อถือก็ดูเหตุผล อาศัยที่็เรียนสายวิศวะมา ก็พอจะเข้าใจได้บ้าง แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 50 09:35:05 จากคุณ : EITHER - [ 23 เม.ย. 50 09:30:19 ] ถูกต้องแล้วครับ นานๆจะเจอคนรู้จริงถูด้องเสียที สรุป นะครับ ทำให้แรง จะประหยัด เพราะส่วนผสมบาง ที่เขาทำมาให้หนา เครื่องจะใด้อยู่รองมือรองเท้าไปนานๆไงครับ คำว่าใช้ใด้ของผู้ผลิต เขาคำนึงถึงอายุการใช้งานด้วยครับ ไม่ใช่แค่วิ่งบนถนน 2-3รอบแล้วบอกว่าดีแล้ว ใครที่ติดระบบหัวฉีด เหมือนใด้กล่อง แต่งครับ ปรับแมบใด้เองเลย แต่ต้องเก่งและเข้าใจแบบน้องที่ตอบข้างบนนะ ผมรับติดแก๊สอยู่ครับวิ่งจูนอยู่ทุกวัน จากคุณ : YutCopter - [ 28 เม.ย. 50 11:02:00 A:58.8.122.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอสรุปหน่อยนะครับ เดี๋ยวออกนอกประเด็น  1. แก๊ส จะให้ Energy Input มากกว่า น้ำมัน  2. ส่วนอันที่ตามมาคือ การจูนนิ่ง ไม่ว่า จะแก๊สหรือน้ำมัน ขึ้นอยู่กับ ความต้องการและความสามารถของผู้จูนเอง  3. การปรับองศาจุดระเบิด จะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของการจูนแก๊ส ในกรณีที่ต้องการเครื่องแรงๆ แต่การทำจริงๆนั้น จะทำได้ยาก เพราะจะมีผลทำให้ เครื่องน็อค ในกรณีที่กลับมาใช้น้ำมัน  4.เพราะถ้าหากว่าเราไม่ทำการปรับองศาจุดระเบิดใหม่ ต่อให้ Energy Input มากแค่ไหน พลังงานก็ถูกเผาทิ้งไปเปล่าๆอยู่ดี เพราะ จังหวะที่จุดระเบิด ดันไปอยู่ช่วงเวลาที่ อัตราส่วนกำลังอัดน้อยลง    5.  AF ratio อย่าเพิ่งคิดเลยครับ เพราะสมการการเผาไหม้ของ เบนซิน และ LPG เป็นคนละตัวกัน ถึงแม้ว่า O2 sensor จะสามารถวัดค่า Voltage ที่ท่อไอเสียมาได้ แต่เราจะมีปัญหาเรื่องการ convert จาก Voltage ไปเป็น AF ratio เพราะจำนวนโมเลกุลของเชื้อเพลิงและ ออกซิเจน ในสมการตั้งต้นของแต่ละเชื้อเพลิง จะมีไม่เท่ากัน ดังนั้นถึงแม้ว่า sensor จะสามารวัดจำนวนออกซิเจน ที่ท่อไอเสียมาได้ แต่ถ้าเราเอามาคำนวณกับสมการของน้ำมัน ( จำนวนโมเลกุลของเชื้อเพลิง และ ออกซิเจน เป็นอีกอย่างนึง )จะทำให้ค่าที่ได้นั้น ไม่ตรงกับความเป็นจริง สรุปก็คือว่า AF ratio  ของ น้ำมัน และ LPG จะต้องใช้คนละโปรแกรมในการคำนวณ . เมื่อก่อนเห็นบางคน calibrate โปรแกรมจากรถ แล้วทำออกมาขาย อันนี้ค่าก็ไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นโปรแกรมของน้ำมัน อันนี้จะใช้ดูค่าจริงไม่ได้ แต่ใช้ในการเปรียบเทียบได้ครับ ว่าค่า หนาขึ้นหรือบางลง จากคุณ : The Peak - [ 28 เม.ย. 50 21:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมก็อยากเห็น  รถติดแกสหัวฉีดที่วิ่งดีกว่าน้ำมันเดิมๆเหมือนกัน อยากรู้ว่ารุ่นไหน  และสาเหตุที่ทำให้แรงกว่าน้ำมันได้ ถ้ารถใช้น้ำมันใส่กล่องจูน  คงไม่มีใครบอกว่าแกสจะแรงกว่านะครับ จากคคห 44 1. ถ้าเอาแกสกับน้ำมันเท่าๆกันมาเผา  แกสให้ความร้อนมากว่าจริงครับ แต่ถ้าเอามาใส่เครื่องแล้วจูนให้ปกติเหมือนกัน  ดูแล้วแกสจะให้ความร้อนน้อยกว่า 3. รถใหม่ๆที่เป็น direct coil คงไปปรับองศาไฟไม่ได้แล้ว ยกเว้นว่าใช้อุปกรณ์อื่นๆมาช่วย  ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าก็ไปหมุนจานจ่ายเพิ่มกันเอา 4. คือเครื่องหรือกล่องมันไม่รู้หรอกครับว่า A/F มันเท่าไหร่ มันมองจาก O2 ที่เหลือในท่อไอเสีย  แล้วเทียบแรงดันออกมาเป็น lamda ถ้า lamda เท่ากับ 1 มันก็จะได้ 14.3 เมื่อใช้น้ำมัน95  หรือ 15.5 เมื่อใช้ LPG ถ้าจะดูว่า A/F เท่าไหร่ก็ค่อยไปเทียบกันอีกที คือถ้าเอาเครื่องวัด A/F ของน้ำมันไปวัดแกสแล้วมันอ่านได้ 14.3 หรือ lamda = 1  ก็แสดงว่าได้ A/F อยู่ 15.5 หรือ lamda = 1 เช่นกัน จากคุณ : ton99 - [ 29 เม.ย. 50 03:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ผมหลงทางหลายวัน ไม่ได้มาร์กกระทู้ไว้ มาอ่านอีกที ไปไกลมาก เรื่องค่าความร้อน ผมยอมรับผิด !!!! แต่โดยดี แถม ---> ผมเปิดตำราแล้ว ผมจำค่าความร้อนผิด ค่าความร้อน LPG สูงกว่า เบนซิน ..... ถูกแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังยืนยันว่า ( ดื้อ ด้าน จริงๆ นะ ช่างกล) ช่างมือดี วิเศษแค่ไหนในโลกนี้ "ก็ไม่สามารถจูนแก็ส ให้แรงกว่าน้ำมันได้" ข้อจำกัดมันอยู่ที่ค่า Lamda ( ปริมาตรการบรรจุ ) เพราะ เราจะทำยังไงก็ตาม  ในที่สุด "ส่วนผสมไอดี" ที่บรรจุเข้ากระบอกสูบ ไอดีของ LPG จะ "น้อยกว่า" ไอดีของเบนซิน แม้จะใช้ Direct Injection LPG เข้าไปในสภาพ Liquid (ปัจจุบันมีแล้วครับ) "ไอดีแก็ส"  ก็ยังบรรจุกระบอกสูบได้ "น้อยกว่า" ครับ รายการโม้ injection LPG นี่ ผมทำเอง (ง่ายๆ สไตย์ช่างกล) มาตั้ง 20 ปีแล้ว .... เคยโพสเล่าไว้ในกระทู้เก่า  ไม่เชื่อค้นดูได้ รถผมติดแบบมิกซ์ เสริมหัวฉีดทำหน้าที่ "ปั้มเร่ง" ออกตัวล้อดิ้นดังเอี้ยด อ้าด เชียวละ ทำไปทำมา ก็คิดไกล เตลิด ถึงกับคิดจะทำ direct injection LPG ฉีด LPG เข้าโดยตรงในสภาพแก็ส แต่มันจะเย็นจัด ซิครับ ฉีดมากๆ เมื่อ Liquid กลายเป็น vapor มันจะไปดูดความร้อนบริเวณหัวสูบลดลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้แตกได้ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 29 เม.ย. 50 07:08:27 ]

ความคิดเห็นที่ 47 1. ถ้าเอาแกสกับน้ำมันเท่าๆกันมาเผา  แกสให้ความร้อนมากว่าจริงครับ แต่ถ้าเอามาใส่เครื่องแล้วจูนให้ปกติเหมือนกัน  ดูแล้วแกสจะให้ความร้อนน้อยกว่า >>>>>>>>>>>> ถูกต้อง จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 29 เม.ย. 50 07:09:51 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ ที่ขยายเรื่อง AF  ส่วนการตั้งไฟนั้น ในทางเป็นจริง คงทำไม่ได้หรอกครับ รถ.ผมเคยปรับจานจ่ายจนสุด ยังหาจุดน็อค ไม่เจอเลย แต่พอกลับไปน้ำมัน เครื่องเขกดังมาก ดังนั้นจึงแสดงว่า เรายังสามารถปรับไฟไปได้อีก เพื่อหาค่า peak สำหรับแก๊ส แต่มันทำไม่ได้    ส่วนแบบหัวฉีดนั้น ก็ต้องลองดูกับรถ.ที่เป็นหัวฉีดล่ะครับ ลองตั้งไฟ เท่าที่ทำได้ แล้วลองดูผล แต่ถ้าเป็นแบบมิกเซอร์ คงเลิกคิดไปได้เลยครับ เพราะ Air flow ใน intake จะน้อยมากๆ เพราะมี loss เกิดขึ้นเยอะ อย่างรถ.ผมเอง กว่าจะได้ 150-160 km/hr นี่ลุ้นเอาเหนื่อยเหมือนกัน จากคุณ : The Peak - [ 29 เม.ย. 50 07:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ลืมกระทู้นี้ไปแล้วนะเนี่ย ไม่คิดว่าจะมาถึงเกือบ 50 คคห. ไม่ค่อยรู้เรื่องวิชาการนักครับ แต่ตามที่อ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ (ไม่ขอสรุป)ว่ารถรุ่นใหม่ๆ หรือรถใหม่ๆ เครื่องยนต์+ระบบจ่ายน้ำมันสมบูรณ์ๆนำมาติดแก๊สแล้วจะให้สมรรถนะด้อยกว่าน้ำมัน เล็กน้อย หากว่าเป็นรถที่เก่าหน่อยระบบน้ำมันเริ่มไม่สมบูรณ์เต็มร้อยอันนี้เมื่อใช้แก๊ส มีโอกาสว่าจะวิ่งได้ดีเกินหน้าระบบน้ำมันเิดิมๆที่ใช้อยู่ ใช่ไหมครับเพื่อนๆ อยากจะขอขอบคุณแทนเจ้าของกระทู้เลยครับ ไม่รู้หายไปไหนแล้วสงสัยงง จากคุณ : dum.d - [ 29 เม.ย. 50 09:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เรื่องตั้งไฟแก่  ผมก็เคยเจอแบบคุณ The Peak ผมเลยสไลด์ขาจานจ่ายมันต่อไปอีก  คราวนี้ได้น็อคสมใจ เรื่องติดแกสแรงกว่าน้ำมัน ผมว่าคงสรุปแบบเหมารวมไม่ได้ คงต้องดูเป็นคันๆไป ต่อให้เป็นเครื่องคาร์บู  ถ้าของเดิมจูนน้ำมันปรับนมหนูตั้งไฟซะจนเต็มที่ ผมว่ามาใช้ LPG ก็คงยากที่จะแรงกว่า กลับกันเป็นรถรุ่นใหม่  กล่องหัวฉีดสุดอัฉริยะ แต่ทางโรงงานได้จูนน้ำมันตอนแรงมันเอาไว้ในรอบสูง  (รถแบบนี้มีเยอะด้วย) ก็อาจจะได้เห็นว่า LPG แรงกว่าในช่วงรอบสูง แต่รอบต่ำๆผมว่ายากนะ ผมก็อยากเห็นรถเครื่องหัวฉีดแล้วติดแกสแบบหัวฉีด จูนแล้วรอบต่ำๆวิ่งดีกว่าเดิมเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าเขาทำกันยังไงบ้าง   เพราะผมลองจูนดูแบบพอดีก็แล้ว  หนาก็แล้ว  บางก็แล้ว ทำไงก็สู้น้ำมันไม่ได้    คิดแล้วเจ็บใจเหมือนกัน จากคุณ : ton99 - [ 30 เม.ย. 50 02:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าใครมี ตารางเปรียบเทียบช่วงเวลาการติดไฟ ระหว่าง โพรเพน บิวเทน และ เบนซิน ก็ดีนะครับ เพราะตอนนี้ ผมได้ตั้งสมมุติฐานเองว่า ช่วงเวลาในการสันดาป จนกว่าจะหมดของ LPG  คงสูงกว่าเบนซิน และคงจะสูงเกินกว่า cycle  ของรถยนต์ จึงทำให้ ถึงแม้ว่า LPG  จะให้ Energy Input สูงกว่า แต่ Energy  ที่ออกไปดันออกมาไม่พร้อมกัน คือ ค่อยๆ ออกมาทีละส่วน จึงยังคงทำให้พลังงานบางส่วน ถูกปล่อยออกมาหลังจากลูกสูบเลย TDC ไปมากแล้ว  ข้างบนเป็นแค่แนวคิด เฉยๆนะครับ ยังสรุปไม่ได้ จนกว่าจะเห็นตัวเลขที่แท้จริง จากคุณ : The Peak - [ 30 เม.ย. 50 13:00:31 ]