ความคิดเห็นที่ 1 ใช้ไฟจากเเบตเตอรรีครับ ไดชาจน์เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือจะเรียกว่าไดนาโมก็ได้ครับโดยออกแบบมาให้ใช้กำลังงานในการหมุนของเครื่องยนต์มาปั้นให้เกิดกระเเสไฟที่มากกว่าเเรงดันของแบตเตอรรีเพื่อเป็นการชาจน์ไฟให้เต็มตลอดเวลาสำหรับการใช้งานในรถครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 14:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ส่วนที่ว่าเปลี่ยนเเบตใหญ่ขึ้นหรือเปลี่ยนไดชาจให้ใหญ่ขึ้นผมมองว่าเป็นการเพิ่มกะเเส เเละสำรองปริมาณกะเเสมากกว่าครับ เพราะที่กล่าวมาไม่ได้มีการเพิ่มเเรงดันเลยครับ กะเเสสำรองมากก็เปิดได้นานกว่า กะเเสก็ตกยากกว่า เสียงก็คงที่ตลอดครับ จากคุณ : tao mockup (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 14:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ^^^ โอ้...เฮียเต้า....ไม่ได้เป็นบัตรผ่านแล้วครับ...ดีใจด้วยครับ แต่น่าจะมีอมยิ้มนะ ผมจะได้ให้กิฟท์ จากคุณ : สารวัตร ปักษ์ใต้ - [ 6 ก.พ. 52 15:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทายยังไงครับถึงจะมีอมยิ้มครับ เเหะ เเบบว่ามีพี่ๆในพันทิบมาเที่ยวที่ร้านสมัครให้นะครับ ทำเองไม่เป็นครับ เเละถามหน่อยครับไอ้กิ๊บที่ได้นะครับถ้าได้เยอะๆจะเอาไปเเลกรางวัลหรือครับ อิอิ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 15:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โดยหลักๆ ไฟมาจาก alternator หรือ ไดชาร์ต ครับ  แต่มันก็จะจ่ายกระแสได้ระดับหนึ่งตามที่มันถูกกำหนดไว้   เช่น  10A  แต่ถ้า ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ในเพลงมีคนตีลองไปที่กลองทิมปานี  ในความถี่ที่ต้องมีการผลักให้ กรวยลำโพงทำการสั่นสะเทือนในความดัง 100dB  แล้วแอมป์ต้องการกระแส 15A    ส่วนที่เกินจะมาจากไหน?   ก็มาจากแบตที่จะเข้ามาช่วยเสริมให้ครับ   ซึ่งสถานะการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแค่ภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง แบตเตอรี่  มีหน้าทีหลักๆ คือ 1. ใช้สำรองไฟตอนเครื่องยนต์ดับ 2. เป็นตัวสนับสนุนกระแส แบบทันทีทันใด  ที่ไดชาร์จไม่สามารถจ่ายให้ได้ทัน จากคุณ : sunsetbeach - [ 6 ก.พ. 52 15:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลอง DIY project นี้ดูสิครับ http://ววว.siliconchip.คอม.au/cms/A_30551/article.html เปลี่ยน ววว เป็น www คอม เป็น com จากคุณ : PV - [ 6 ก.พ. 52 15:50:36 A:203.155.78.243 X: TicketID:102349 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเข้าใจว่าแบตเตอรี่ทำหน้าที่สำรองไฟครับให้ระบบใช้งานครับ เปรียบไปก็เหมือนถังเก็บน้ำ แล้วไดชาร์จก็เปรียบเหมือนปั้มน้ำที่คอยสูบน้ำไปใส่ไว้ในถังนั่นเองครับ ดังนั้นถ้าถังใบใหญ่ก็ใช้งานได้นาน , ปั้มตัวใหญ่ก็สูบน้ำได้เร็ว จากคุณ : ชีวิตที่เหลืออยู่ - [ 6 ก.พ. 52 15:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไฟที่ใช้ในรถมาจากแบตเตอรี่ ไดชาร์จทำหน้าที่ชาร์จไฟให้แบตครับ ที่ตัวไดชาร์จนั้น จะมีวงจรตัดการชาร์จไฟเมื่อไฟเต็มแบต หรือที่ช่างเค้าเรียกว่า คัทเอาท์ ในคัทเอาท์ก็จะมีวงจรพวก คาปา ไดโอต ฯลฯ ซึ่งตัวไดโอตจะทำให้ที่กั้นการไหลของไฟฟ้าไม่ให้ไหลกับมาที่ได้ชาร์จ ที่กล่าวว่าตอนสตาร์ทเครื่อง รถใช้ไฟจากไดชาร์จนั้น จะพูดว่าถูกก็ไม่เชิง เพราะไฟในรถดึงจากแบต แบตก็ได้ไฟอัดจากได้ชาร์จ มันก็เหมือนส่งไฟต่อกันไป ถ้าจะเปรียบเทียบให้ง่ายๆ ก็เหมือนกับเราเสียบที่ชาร์จมือถือแล้วคุยไปด้วย น่าจะเห็นภาพได้ง่ายกว่าไม๊ครับ ส่วนเรื่องไดชาร์จลูกใหญ่นั้น ก็คือ ชาร์ไฟได้กระแสมากขึ้น เมื่อชาร์จหรือสร้างกระแสได้มากขึ้น โอกาสที่รถจะดึงไฟจากแบตไปใช้ก็น้อยลง เพราะในขณะที่แบตโดนดึงไฟไปใช้ กระแสและแรงดันไฟฟ้าในตัวแบตก็จะลดลงระดับหนึง ดังนั้นถ้าเราใช้ไดชาร์จตัวเล็ก กระแสและแรงดันที่จะไปชดเชยให้ตัวแบตก็จะใช้เวลานานกว่าไดชาร์จตัวใหญ่ ไม่รู้ว่างงป่าวครับ พอดีรถผมมีปัญหาเรื่อง ไฟ ได แบตมาเยอะ เลยพอศึกษามาบ้างครับ จากคุณ : HAVANA CLUB - [ 6 ก.พ. 52 16:14:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 "แล้วทำไมเวลาที่เราเปลี่ยนแบตลูกใหญ่ขึ้น มันส่งผลถึงอุปกรณ์ ไฟฟ้าในรถรวมถึงเครื่องเสียง ให้ดีขึ้นอย่างชัดเจนได้ล่ะ" เนื่องจาก Batt ลูกใหม่ที่เปลี่ยนมีการเพิ่ม กระแสมากขึ้น ทำไห้มีกระแสมากพอที่จะไปเลี้ยงอุปกรณ์ในรถมากขึ้น เนื่องจากปรกติ Batt เดิมในรถยนต์เค้าออกแบบมาสำหรับจ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่างๆในรถเดิมๆ อาจจะเผื่อกระแสมาบ้างนิดหน่อย.. เมื่อคุณทำระบบเครื่องเสียงชุดใหญ่ ต้องใช้กระแสไฟมากขึ้น ถ้าคุณไม่เปลี่ยน Batt กระแสไฟที่จ่ายให้ระบบเครื่องเสียงชุดใหญ่ของคุณอาจจะไม่เพียงพอ ทำไห้เสียงอาจจะเพี้ยนหรือทำได้ไม่ดีตามความสามารถของระบบเครื่องเสียง จากคุณ : InBox - [ 6 ก.พ. 52 16:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 .....มีสองกระแสแล้ว... 1.ไฟมาจากไดชาร์จ 2.ไฟมาจากแบต โดยส่วนตัวผม เชื่อว่า ไฟมาจากแบต น่ะครับ...เพราะว่า - ถ้าไฟมาจากไดชาร์จโดยตรง เวลาไฟกระชาก หรือ เร่งเครื่องกระทันหัน ทำให้กระแสไฟสูงขึ้นชั่วขณะ จะมีผลเสียกับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทั้งหมดทันที     - ถ้ามีเครื่องวัดกระแสไฟเป็นกราฟ จะเห็นได้ว่าไฟฟ้าจากไดชาร์จ ไม่นิ่ง ครับ มันจะกระเพื่อมเป็นคลื่นทะเล เลย ตามหลักการใช้งานแล้ว สถานะแบบนี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้งานเลยครับ เครื่องใช้ไฟฟ้าพังหมด....เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ไฟจะตก เมื่อไหร่ ไฟจะสูง - แบตเตอรี่ มีหน้าที่จ่ายไฟให้กับระบบ พร้อมกับทำหน้าที่เป็นตัว กรอง กระแสไฟฟ้า ที่ไม่สม่ำเสมอ จากไดชาร์จให้นิ่งครับ (แบตก็ถือเป็นตัว เก็บประจุ หรือ capacitor นั่นแหละ)  เพราะไฟฟ้าที่ไหลออกจากแบต จะนิ่งกว่าครับ ไม่ค่อยกระเพื่อม ไม่กระตุก ไม่กระชาก ปลอดภัยกับเครื่องไฟฟ้ามากกว่าครับ - ถ้านึกไม่ออก ลองนึกถึง UPS ที่ใช้กับคอมฯ หรือ ตู้เอทีเอ็ม ก็ได้ครับ.....มันมีหน้าที่เก็บไฟ และ จ่ายไฟให้กับระบบในเวลาเดียวกัน ....ถ้าเราเล่นคอมฯ ตอนฝนตก ฟ้าผ่าขึ้นมา ไฟกระชาก ถ้าไม่มี UPS กั้นกระแสไฟ อุปกรณ์คอมบางชิ้น จะไหม้ได้ทันที ครับ.... แต่ถ้ามี UPS จะไม่เป็นอะไรเลย - เวลาสตาร์ทเครื่อง จะต้องใช้ไฟฟ้าจากแบต มาหมุนไดสตาร์ท พร้อมทั้งระบบจ่ายเชื้อเพลิงให้เริ่มทำงานก่อนอันดับแรก  เครื่องหมุนได้และเข้าระบบการจ่ายน้ำมันแล้ว ไดชาร์จ จึงค่อยทำงานต่อ ดังนั้น ผมจึง เชื่อว่า ไฟฟ้า ในระบบรถทั้งหมด มาจากแบตเตอรี่ ครับ...แต่มีไดชาร์จช่วยเติมไฟให้เรื่อยๆครับ...ถ้าเต็ม ไดชาร์จ ก็จะตัดการจ่ายกระแส  เพราะถ้าไม่ตัด น้ำกลั่นจะเดือดได้ครับ เพราะประจุเกินทำให้อุณหภูมิร้อนจัด จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 6 ก.พ. 52 16:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้าใจและเห็นภาพมากขึ้นเลยครับ ถึงความเกี่ยวพันกัน และถ้างั้น ขนาดหรือประสิทธิภาพของทั้งสองสิ่งนี้ควรสอดคล้องต้องกันด้วย จึงจะดีเป็นแน่แท้ พอดีเห็นมันรวมอยู่ที่ขั้วบวกที่เดียวกัน ถ้าตัวแบตมันแบ่งเป็นขาเข้า กับขาออก ก็จะชัดเจนเลย   เอ่ งั้นน่าจะแสดงว่าแบตมันคงมีระบบหรือคุณลักษณะอะไรสักอย่าง ที่ขั้วบวกอันเดียวกันเป็นทั้ง ที่รับและที่ส่ง และเป็นที่เชื่อมประสานให้ส่งผลออกมาได้เช่นดังกล่าวมานี้ (เอ่อ จะให้ give ท่านที่มีรูปเป็นหน้ามือถือไม่ได้) แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 16:44:30 จากคุณ : จขกท (tveeroj) - [ 6 ก.พ. 52 16:36:05 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมคิดว่าขณะติดเครื่องยนต์ ไฟน่าจะมาจากแบต ไดชาร์ททำหน้าที่ปั่นไฟเข้าแบตอย่างเดียว เครื่องเสียงชุดใหญ่ ต้องการไฟมากขึ้น จึงต้องเพิ่มแบต ถ้าเพิ่มแบตเกินกำลังที่ไดชาร์ทจะปั่นเข้าแบตทัน ก้อต้องเปลี่ยนไดชาร์ทให้ใหญ่ขึ้นด้วย ผมคิดว่าแบบนี้นะครับ จากคุณ : ของมีคม - [ 6 ก.พ. 52 16:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โน๊ตบุ๊คผมใช้แบตฯ ก้อนหนึ่ง... ตอนผมไม่เสียบปลั๊ก ไฟก็ดึงมาจากแบตฯ แต่พอผมเสียบปลั๊ก ไฟจากปลั๊กก็ถูกดึงมาใช้ และชาร์จเข้าแบตฯ ไปด้วย(ถึงจะน้อยนิดก็ตาม) ถ้าไม่กลัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์เสีย เมื่อสตาร์ทรถแล้ว ลองถอดขั้วแบตฯ ออกสิครับ รถดับมั้ย ? เปิดวิทยุได้มั้ย ? แต่อย่าเปิดเครื่องเสียงติดแอมป์นะ เพราะกระแสกระชากเกินไป ไดชาร์จทำงานไม่ทัน จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 6 ก.พ. 52 17:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ้างถึง คห 10 นะครับ - ถ้าไฟมาจากไดชาร์จโดยตรง เวลาไฟกระชาก หรือ เร่งเครื่องกระทันหัน ทำให้กระแสไฟสูงขึ้นชั่วขณะ จะมีผลเสียกับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทั้งหมดทันที     - ถ้ามีเครื่องวัดกระแสไฟเป็นกราฟ จะเห็นได้ว่าไฟฟ้าจากไดชาร์จ ไม่นิ่ง ครับ มันจะกระเพื่อมเป็นคลื่นทะเล เลย ตามหลักการใช้งานแล้ว สถานะแบบนี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้งานเลยครับ เครื่องใช้ไฟฟ้าพังหมด....เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ไฟจะตก เมื่อไหร่ ไฟจะสูง ----- ที่ไดชาร์จ จะมีตัวอุปกรณ์ที่เรียกกว่า เรกกูเลเตอร์(regulator) หน้าที่ปรับแรงดันไฟฟ้า(V) ให้สม่ำเสมอเหมาะสมในการชาร์จ ส่วนเรื่องคลื่นไฟนั้น น่าจะหมายถึงไฟกระแสสลับ(AC)ปกติไฟที่ได้จากขณะที่ไดชาร์จหมุนจะเป็นกระแสสลับ แต่ที่ตัวไดชาร์จก็จะมีวงจรปรับไฟให้เป็นไฟกระแสตรง(DC) เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถใช้ไฟกระแสตรงครับ รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านหลายอย่าง(ไม่แน่ใจว่าเกือบทุกอย่างหรือเปล่า)ก็เป็นกระแสตรงครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ทีวี คอมฯ โดยในตัวอุปกรณ์นั้นๆก็จะมีหม้อแปลงครับ แปลงจากกระแสสลับมาเป็นกระแสตรง แล้วถ้าถามว่าแล้วทำไมไฟบ้านไม่จ่ายมาเป็นกระแสตรงเลย เหตุก็เพราะว่ากำลังในการส่งไฟฟ้าตามสายไฟฟ้านั้น กระแสสลับสะดวกกว่า ทำได้ดีกว่า ถ้ายังไงว่างๆลองไปแอบยืนอ่านตามร้านหนังสือก็ได้ครับ พวกหนังสือ ไฟฟ้ารถยนต์เบื้องต้น ครับ ผมก็ศึกษากับการยืนอ่านนี่แหล่ะ จากคุณ : HAVANA CLUB - [ 6 ก.พ. 52 17:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ้างถึง คห. 14 นะครับ "โดยในตัวอุปกรณ์นั้นๆ ก็จะมีหม้อแปลงครับ แปลงจากกระแสสลับมาเป็นกระแสตรง" น่าจะไม่ใช่นะครับ ^_^ หม้อแปลง (Transformer) ทำหน้าที่แปลงจากไฟบ้าน 220 / 50 Hz ให้มีแรงดันต่ำลง (Step down) แต่ยังคงเป็นไฟสลับอยู่ครับ หลังจากได้ Low Voltage (AC) แล้วจึงจ่ายผ่านตัวแปลงไฟ AC เป็น DC ทซึ่งเรียกวงจรนี้ว่า "เรกติไฟเออร์ (Rectifier)" ซึ่งมีหลายแบบด้วยกัน ทั้งแบบ Half bridge, Full bridge ... หลังจากได้ไฟตรงที่ไม่ราบเรียบจาก Rect. แล้ว จะผ่านวงจรกรองความถี่ต่ำผ่าน (Low pass filter) ทำให้ความถี่พื้นฐาน (Fundamental frequency) 50 Hz นั้นถูกกำจัดออกไปให้มากที่สุด และความไม่ราบเรียบนี้เราเรียกว่า "Ripple factor"  (ภาษาไทยไม่รู้อ่ะครับ)... เจ้าตัวกรองไฟนี้มีหน้าทีเดียวกันกับ LPF ที่ตัดสัญญาณความถี่ต่ำเข้าสู่ซับวูฟเฟอร์นั่นแหล่ะครับ เพียงแต่ว่านี่เป็น LPF ในระบบไฟฟ้า การเลือกใช้งานและการออกแบบจึงต่างกัน หลังจากได้ไฟ DC ดีพอในระดับที่รับได้แล้วจึงจ่ายไปเข้าตัวปรับแรงดันไฟฟ้า (Voltage regulator) จะทำหน้าที่รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าที่ออกมาจากตัวมันให้คงที่ทีสุด ดังนั้นจึงมักจ่ายไฟ DC ให้ตัว Reg. มากสักหน่อย ส่วนที่เกินนี้จึงกลายเป็นความร้อนที่แผ่นระบายความร้อน (Heat sink) เช่น เราจ่ายไฟ 13.8 Vdc ไปที่เรกกูเรเตอร์ 12 V ส่วนที่เหลือจึงเหมือนส่วนเกินสำรอง ส่วนที่ว่าทำไมไม่ใช้ไฟ DC นั้นไม่กล้าตอบครับ เรียนไม่ถึง ^_^" แต่ที่แน่ๆ อุปกรณ์กำลังส่วนใหญ่มีสนามแม่เหล็กเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความถี่ครับ และความถี่เป็นพื้นฐานของสัญญาณ งงมั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 17:51:49 จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 6 ก.พ. 52 17:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขณะ Start รถ ใช้ไฟ (เป็นหลัก) จาก Alternator หรือ ไดชาร์จครับ รถจะใช้ไฟจาก Batt ก็แค่ตอน Start เท่านั้นครับ ถ้าไม่เชื่อ Start เสร็จถอดขั้วแบตออกเลย รถวิ่งได้ตลอดครับ ถ้าสังเกตว่ารถที่แบตเสียจะ Start ไม่ได้แต่พอพ่วงแล้วจะวิ่งได้แต่รถที่ Alternator เสียจะวิ่งได้จนกระทั่งแบตหมดเพราะระบบจะดึงไฟจากแบตถ้าไม่มีไฟจาก Alternator ฉะนั้นไฟในรถมาจาก Alternator ครับ นอกจากไฟที่มากกว่า Alternator สามารถจ่ายได้ก็จะถูกดึงมาจาก Batt แต่ถ้าระบบใหญ่ๆ ใช้กระแสเยอะๆ เปลี่ยน Batt ใหญ่อย่างเดียวไม่พอครับ เพราะ Alternator ต้องใหญ่กว่า Batt เสมอครับ ไม่เช่นนั้น Batt จะถูก Charge ตลอดเวลาทำให้เสียเร็วขึ้นทั้ง Batt และ Alternator ลองอ่านดู Article อันนี้ครับเป็นภาษาอังกฤษ http://www.caraudiohelp.com/car_audio_electrical_basics/car_audio_electrical_basics.htm จากคุณ : นอต (coolknott) - [ 6 ก.พ. 52 18:04:02 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ : sunsetbeach ครับถ้าอย่างนี้ผมปลี่ยนไดชาจน์ ใหญ่ๆ หรือใส่หลายๆลูก ผมไม่ต้องเปลี่ยนเเบตใหญ่ได้ไม่ครับ เพราะเราใช้ไฟจากไดชาจน์นะครับ คุณบอกว่า แบตเตอรี่  มีหน้าทีหลักๆ เป็นตัวสนับสนุนกระแส แบบทันทีทันใด  ที่ไดชาร์จไม่สามารถจ่ายให้ได้ทัน เเล้วเขาคิดคำนวณอย่างไร ในการ ให้ขนาดเเบตเตอรรี่ที่เหมาะสมกับการสนับสนุนเเบบทันที จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 18:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ดังนั้นพอจะสรุปได้หรือไม่ว่า ไฟที่ดึงมาใช้ในรถมาจาก "แบตเตอรี่" ไม่ใช่จากไดชาร์ท >>>>>>>> ตลอดเวลาที่เครื่องติด ไฟจะมาจากไดชาร์ท ไม่ใช่แบตฯ ครับ ถ้าคุณบอกว่า "ใช้ไฟมาจาก แบตฯและไดชาร์ท พร้อมกันทั้ง 2 แหล่ง" คุณลองพิจารณา อย่างนี้ เมื่อคุณ "ถอนเงิน" จากธนาคาร 2 แห่ง ... ตลอดเวลา เงินในธนาคารทั้ง 2 จะค่อยๆ ร่อยหรอ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ในไม่ช้า เงินใน "ธนาคาร-แบตเตอรี่ลูกใหญ่ยักษ์" ของคุณก็ค่อยๆหมดไป พอถึงเวลานี้ ธนาคารต้อง ปิดบัญชี ไม่ให้คุณถอนอีกต่อไป ถามว่า คุณจะทำอย่างไร ??? หรือจะบอกว่า "ธนาคาร-ไดชาร์จ" ใจดี แปลงกายเป็น "ธนาคาร-ซานตาคอส" แอบส่งเงินไปให้ "ธนาคาร-แบตฯลูกใหญ่" ใช่ไหม ?? ตกลง เงินทั้งหมดมาจาก ได-ชาร์จ หรือ มาจากแบตฯ ละครับ ลองคิดดู ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 ก.พ. 52 19:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เราจะรู้ว่าไดชาร์จ จ่ายไฟพอหรือไม่ เราวัดจาก รอบเดินเบา   โดยเปิดโหลดทั้งหมดในรถ จะติดวิทยุ เครื่องเสียงใหญ่ก็เปิดให้หมด แล้ววัดแอมป์ หรือ Volt ต้องแสดงค่าว่า "ชาร์จ" ถ้าไฟชาร์จต่ำได้ x V หรือ แอมป์แสดงค่า - คุณจะต้องเพิ่ม ไดชาร์จ ไม่ใช่เพิ่มขนาด แบตเตอรี่ เพราะแบตฯ ไม่ใช่แหล่งกำเนิดไฟ แบตฯเป็นเพียงธนาคารที่รับฝากเงิน มันมี วงเงินจำกัด ครับ จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 ก.พ. 52 19:13:15 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ : ช่างกล-หนุ่มผมจะกลับไปเปลี่ยนไดครับพอดีในรถไฟมันดูตกๆนะครับ ผมติดเครื่องเสียงมีแอมป์คลาสดีวัตน์สูงนะครับ มันกินไฟที่ 500 แอมป์ ครับ ผมใช้แบตเตอรรี่ อยู่เเค่ลูกเดียวครับ  100 แอมป์ ไดชาจน์ผมมันเขียนว่า 65 แอมป์ ผมเลยจะถามต่อว่าผมต้องใช้ไดชาจน์ขนาดเท่าไหร่ครับถึงจะพอให้เเอมป์กิน ครับรบกวนหน่อยนะครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 19:26:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าไม่กลัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์เสีย เมื่อสตาร์ทรถแล้ว ลองถอดขั้วแบตฯ ออกสิครับ รถดับมั้ย ? เปิดวิทยุได้มั้ย ? <== เคยทำตอนเปลี่ยน แบ็ต ช่างสตาร์ทรถทิ้งไว้แล้วถอดแบ็ตเปลี่ยน รถไม่ดับ วิทยุยังมีไฟเลียงอยู่เพราะไม่ต้องใส่ code ใหม่ตอนใช้วิทยุ (แต่ไม่ได้เปิดวิทยุฟังตอนเปลี่ยน) กระจกไฟฟ้ายังจำค่าที่ set ได้อยู่ จากคุณ : IZAM - [ 6 ก.พ. 52 19:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไดชาร์จกับแบตเตอรรี่ ต่อขนานกันอยู่ ไดชาร์จเป็นแหล่งกำหนิดไฟ 12 v แบตเตอรี่ ก็ 12 v หรือสูงกว่านิดหน่อย โหลดที่ใช้งานก็จะใช้งานแหล่งกำเนิดไฟทั้ง 2 อย่าง ช่วยกันจ่ายกระแสไฟ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่แบตกระแสลดลง แบตจะดึงกระแสจากไดชาร์จมาเก็บด้วย จากคุณ : ปูมป๋อม - [ 6 ก.พ. 52 20:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ติดเครื่องเสียงชุดใหญ่ๆที่เขาเพิ่มแบตกันก็เพื่อเอาไว้เปิดตอนดับเครื่องได้นานๆครับ ส่วนถ้าติดเครื่องแล้วอาการเหมือนไฟไม่พอใช้ถึงค่อยเปลี่ยนไดชาร์ตครับ ตอบแบบชาวบ้านๆ ครับ จากคุณ : dum.d - [ 6 ก.พ. 52 21:00:53 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เยี่ยมมากครับ คุณ dum.d จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 ก.พ. 52 21:04:09 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ้อหรือครับ ผมไม่ค่อยได้ดับเครื่องเล่นเครื่องเสียงหรอกครับ ส่วนมากจะสตาทเครื่องตลอดเลยนะครับเเต่รู้สึกวูบบๆตกลงผมต้องเพิ่มเเอมป์เท่าไหร่ครับ คุณ : ช่างกล-หนุ่ม จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 21:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอโทษพิมตก ที่ต้องเพิ่มไดชาจน์กี่เเอมป์ ครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 6 ก.พ. 52 21:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณครับพี่ช่างกล-หนุ่ม จากคุณ : dum.d - [ 6 ก.พ. 52 22:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ sarawut ครับ ระบบใหญ่ขนาดไหนครับ ลองดูสาย/ฟิวส์ ก่อนครับว่าใหญ่พอรึเปล่า เดินสายจากแบตเข้าซีดี/แอมป์ ต่างหากรึเปล่า อาจเป็นเหตุให้แย่งไฟกันใช้กับอุปกรณ์ในรถได้ครับ เริ่มจากง่ายๆก่อนครับ อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนไดชาร์ต จากคุณ : dum.d - [ 6 ก.พ. 52 22:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รูปที่ คห #22 เขียนมาถูกครับ แต่การจ่ายไฟไม่ได้จ่ายพร้อมกัน 2 แหล่ง ตลอดนะครับ แบตเตอร์จะชาร์ตได้ก็ต่อเมื่อมีความต่างศักย์ 13.8 โวลต์เข้ามา คร่อมนะครับ แต่แบตเตอรีเองมีความต่างศักย์แค่ 12 โวลต์ นั่นหมายความว่าเมื่อโหลดดึงกระแสไปใช้ไม่มาก หรือต่ำกว่าความสามารถ ของไดชาร์ตที่สามารถจ่ายได้ ไฟก็จะถูกนำมาใช้จากไดชาร์ตทั้งหมด รวมทั้ง ชาร์ตแบตเตอร์รีไปด้วย แต่ถ้ามีโหลดมากเกินกว่าไดชาร์ตจะจ่ายได้ ผลที่ตามมาคือ(ความต่างศักย์ก็ต่ำกว่า 13.8 โวลต์) เป็นผลให้ไฟจากแบตเตอร์รีจะถูกนำมาใช้ด้วย แต่พอโหลดกลับมาปกติแบตเตอร์รี่ก็จะถูก ชาร์ตใหม่จนเต็ม เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครไปติดเครื่องเสียงหรือทำอะไรที่ใช้ไฟมากกว่าที่ไดชาร์ตจะจ่ายได้เป็น ระยะนาน ผลที่ตามมาแบตเตอร์รี่จะจ่ายไฟจนหมด พอดับเครื่องยนต์ก็จะไม่ สามารถสตาร์ทเครื่องได้อีกเลย สรุป ก็คือแบตเตอร์มีใช้เพื่อสำรองไฟขณะเครื่องยนต์ดับอยู่เท่านั้น และช่วย เหลือไดชาร์ตในช่วงที่มีกระแสกระชากเท่านั้น ที่เหลือจะใช้ไดชาร์ตทั้งหมด เหมือนที่คุณหนุ่ม-ช่างกลเขียนไว้ จากคุณ : DASH2537 - [ 6 ก.พ. 52 22:40:22 A:124.157.178.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบ คห. 17 นะครับ ในสมัยก่อนๆ ในรถมักจะติดเกจ์ตัวหนึ่ง  มีเข็มอยู่ตรงกลาง  ด้านซ้ายจะเป็น scale ลบ ด้านขวา จะเป็น scale บวก   โดยวิธีการต่อจะเป็นดังในรูป   เจ้าเกจ์ตัวนี้บอกอะไร ? มันจะเป็นตัวบอกว่าขณะนี้  กระแสไฟไหลเข้า  หรือไหลออกจากแบตเตอรี่เท่าไร   ซึ่งสมัยก่อนตัว regulator ของไดชารจ์จะเป็นแบบกลไก  ซึ่งจะต้องมีการปรับตั้งเพื่อให้ได้กระแสไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน  กล่าวคือ  ไม่น้อยเกินไป  จนไม่พอจ่ายให้อุปกรณ์ในรถและทำให้ต้องดึงไฟจากแบตมาช่วยจ่ายเพิ่ม ( มิเตอร์จะเอนไปทางด้านลบ)  หรือชาร์จมากเกินไป  จนทำให้น้ำกลั่นเดือด (มิเตอร์ไปทางบวกมากเกินไป)   อธิบายตรงนี้เก่อน  เพื่อให้เห็นว่า  แบตทำอะไร  ไดชาร์จทำอะไร ต่อมา  คำถามที่ว่า "เเล้วเขาคิดคำนวณอย่างไร ในการให้ขนาดเเบตเตอรรี่ที่เหมาะสมกับการสนับสนุนเเบบทันที" ตรงนี้คงไม่ต้องคำนวณกันเป๊ะๆ  เพราะในทางวิศวกรรม  จะใช้การประมาณการแล้วก็เผื่อค่า safety factor เข้าไปอีกหน่อย  ไม่จำเป็นต้องใช้ค่า Exact แบบเป๊ะๆ เหมือนนักวิทยาศาสตร์หรอกครับ ถ้ารถใช้ไฟไม่มาก   ดังจะเห็นได้จากรถรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า  ใช้แบตติดรถลูกเล็กๆ กันทั้งนั้น  เช่น 30-35A  ในขณะที่ไดชาร์จจ่ายกระแสสูงสุดได้ถึง 80-100A   ดังนั้น  ถ้าคุณจะใช้เครื่องเสียงวัตต์สูงๆ ส่วนมากเค้าก็แนะนำให้ใส่แบตลูกใหญ่ที่สุดที่จะวางลงไปในห้องเครื่องที่เดิมของมันได้  (ถ้าไม่ต้องการดัดแปลงรถ)   แต่กระนั้น  แบตเองมันก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องความฉับไวในการจ่ายกระแสอยู่ดี   เค้าถึงต้องใช้ตัว capacitor มาเสริม  โดยติดไว้ใกล้ๆ ตัว amp ไงครับ แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 23:39:19 จากคุณ : sunsetbeach - [ 6 ก.พ. 52 22:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านจบ  ผมเป็นเซียนไฟฟ้าแล้วครับ จากคุณ : ไฟลามทุ่ง - [ 6 ก.พ. 52 23:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตาม คห ถ กับ  คห 16 เลยครับ   หลายคนเปรียบกับคอม   .... คอมถ้าใช้ไฟจากปลั๊ก แล้ว เอา แบตออกได้เลยครับ   ถ้าติดเครื่องแล้ว เครื่องเสียงรถใช้ไฟจาก ไดชาทร์ครับ  ไม่พอค่อยเอาจากแบต แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 52 00:12:12 จากคุณ : climaxdive - [ 7 ก.พ. 52 00:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 33 P = IV, P = Power, I = กระแส, V = Volt แต่เวลาคำนวณดูว่าเปิดเพลงระดับไหน เปิด 100% ก็คือกินตาม Watt ซึ่งก็คือ P ครับ แต่ปกติผมว่าฟังซัก 70% ก็แย่แล้วครับ หูจะแตกเอา V รถผมได้ 14.2V วัดที่ Alternator 140 Amp (BMW S7) Pmax = 1500W (SUB)+ 400W (Front SUB) + 200W(Mid range & Mid bass) + 100W (Tweeter) = 2200W 70% ของ Pmax = 1540W รถผมต้องการกระแสจาก Alternator  I = P/V = 1540/14.2 = 108.45 Amp สรุป Alternator ผมจ่ายพอครับ จากคุณ : นอต (coolknott) - [ 7 ก.พ. 52 03:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ^ ^ ^ น้านอตกะว่าจะไม่เปิดแอร์และอื่นๆ ในรถเลยหรือครับ ^_^" รถผมขณะ No load จ่ายได้ 105 แอมป์ ขณะ On load เหลือให้เครื่องเสียงประมาณ 65-75 แอมป์ จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 7 ก.พ. 52 09:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผมอาจจะสับสนนะครับ ที่บอกว่าใช้ไฟจากเเบต เเต่ความจริงเเล้วมันใช้จากทั้งสองอย่างร่วมกันเเละผมยังให้น้ำหนักไปที่เเบตเตอรรี่มากกว่าครับ ลองมาคิดเเบบผมดูครับ 1 ไดชาจน์ มีหน้าที่สำหรับชาจน์ไฟไม่ใช้มีหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟหรือเจนเทอเนเตอร์ หลายคนอาจจะบอกว่ามันก็ปั่นไฟ เเต่ต้องเข้าใจว่าเขาออกเเบบมาให้ชาจน์ครับไม่ได้ออกเเบบมาให้ยืนระยะปล่อยไฟที่ 12-14 v ได้เพียวๆโดยที่ไม่มีเเบตเป็นโหลด 2 เเบตเตอรรี่ มีหน้าที่เก็บไฟใว้เพื่อเอาไฟไปใช้ในระบบครับใช้ไฟได้เลยตามที่ระบุเช่นจ่ายไฟได้ 100 แอมป์ที่หนึ่งชั่วโมงก็ใช้ได้ตามนั้นเลยครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆครับถ้าคิดว่าไดชาจน์เป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาสำหรับปั่นไฟใช้กับระบบไฟในรถ โดยที่เเบตรับไฟชาจน์เป็นเเค่ผลพลอยได้เล็กๆน้อยๆที่เหลือจากการปั่นนะครับ ถ้าอย่างงั้นในรถคันไหนที่มีระบบเครื่องเสียงชุดใหญ่ๆ อาจจะเป็นรถโชว์เครื่องเสียงก็ได้ครับ จำเป็นไม่ที่ต้องเพิ่มเเบต เราเเค่ต่อไดชาจน์หลายๆลูกให้จำนวนเเอมป์หรือกระเเสพอกับในระบบได้ไหมครับ ซึ่งในความจริงนั้นทำอย่างที่ว่าไม่ได้ครับ การที่ในรถเรามีโหลดเท่าไหร่นะครับ เเล้วจะต้องใช้ไฟเท่าไหร่ วิธีการคิดนะครับไม่ใช้เอาโหลดมาคิดกับไดชาจน์นะครับเขาคิดกันที่ฐานเเบตเช่นรถคันนี้กินไฟที่ 100 แอมป์ต่อ ชั่วโมง เขาก็ใส่เเบตที่ 120 แอมป์ พร้อมไดชาจน์ อาจะ 90 หรือ 120 แอมป์เพื่อที่จะรักษาเเรงดันของเเบตเตอรรีเอาใว้ในขณะที่ใช้งาน ส่วนที่บอกว่าสตาทเครื่องยนต์เสร็จเเล้วก็เอาเเบตออกรถยังติดเครื่องอยู่ได้ นั้น ถ้าเร่งรอบขึ้นมาไฟจะขึ้นถึง 20 v ซึ่งจะทำให้ระบบไฟฟ้าในรถหรือเครื่องเสียงในรถเสียหายได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องนำเเบตมาเป็นโหลดเพื่อให้ ไดชาจน์ทำงานร่วมกันเเละรักษาเเรงดันเอาใว้ ไดชาจน์เลี้ยงระบบไม่ได้เเต่ปั่นไฟชาจน์ได้ เเบตเตอรรีเลี้ยงระบบได้เเต่มีเวลาจำกัดเเละมีการพร่องของกะเเสจึงต้องมีไดชาจน์ชาจน์ไฟให้ คิดว่าที่กล่าวมาน่าจะไม่สบสน ถ้าอย่างไรมีใครเป็นร้านไดหรือร้านเเบตออกมาช่วยชี้เเจงให้ทราบก็ขอขอบพระคุณมากนะครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 7 ก.พ. 52 10:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ที่อ่านมาหลายๆรอบก็เข้าใจขึ้นนะครับ ว่าที่เพื่อนๆสื่ออะไร เเต่ที่ผมเข้าใจนะครับสำหรับเรื่องเครื่องเสียง ผมกลัวว่าเพื่อนๆจะเเห่ไปเพิ่มไดชาจน์กันหมด เเบบว่ากะติอาวุธให้รถตัวเอง  แบบว่าไฟเหลือๆอะไรทำนองนี้ ผมว่าปานนี้น้าริมเเอบไปเพิ่มไดเเล้วมั้ง อิอิ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 7 ก.พ. 52 11:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมชอบคำนี้จัง แบตฯเป็นเพียงธนาคารที่รับฝากเงิน(พลังงาน)มันมี วงเงินจำกัด ครับ จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ - [ 7 ก.พ. 52 12:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นกระทู้ที่ดีสาระ ดีแท้ครับท่าน จากคุณ : ป๊าเฮียเจี๊ยะ - [ 7 ก.พ. 52 14:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อ้างถึง   ความคิดเห็นที่ 16 ถูกต้องตามนั้นครับ จากคุณ : ลำไผ่ บ้านท่า - [ 7 ก.พ. 52 15:30:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 Vote ให้นะ จากคุณ : REX-REX - [ 8 ก.พ. 52 06:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ชอบกระทู้นี้โครต ๆ ครับ เถียงกันด้วยความรู้ คนอ่านได้ประโยชน์สุด ๆ Vote จากคุณ : *PIPPO* - [ 8 ก.พ. 52 07:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ตกลงจะมีครายอาสาเอารถมาสตาทเเล้วถอดเเบตวิ่งเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนๆไมคราบ อิอิ(จากความเห็น กะทู้ ที่ 16 ) จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 10:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เถียงอะไรกันแปลกๆ อิอิ แต่ก็สนุกดี เครื่องยนตร์ใช้ไฟจากไดชาร์จเป็นหลักครับ แบตตารี่มีสองหน้าที่ คือ 1) เก็บไฟสำรองไว้เพื่อใช้ในการสตาร์ท 2) จ่ายไฟออกเมื่อกระแสในวงจรเพียงพอ (smooth up current) (ในระบบพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้า แบตตารี่ทำหน้าที่นี้เท่านั้น) ตอนสตาร์ทใช้ไฟจากแบตแน่นอน แต่พอเครื่องยนต์ติด และกระแส (แอมแปร์) ที่ผลิตจากไดชาร์จเพียงพอ (อุดมคติ) ระบบจะตัดไฟจากแบตออกและใช้กระแสจากแหล่งไดชาร์จเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณกระแส ที่จำเป็นต้องใช้ในระบบ สมมุติว่า ไดชาร์จ 65A ถ้ารถกินกระแสทั้งระบบไม่เกิน 65A (รวมหมด ทั้งเครื่อง ไฟหน้า ไฟอื่นๆ แอร์ เครื่องเสียง ฯลฯ) จะไม่มีการดึงไฟจากแบตมาใช้ สามารถถอดแบตวิ่งได้แน่นอนครับ โดยไม่มีผลต่อระบบเลย แต่ คำว่า 65A หมายถึง เมื่อไดชาร์จทำงานเต็มที่ ประสิทธิภาพเต็มที่ ไดชาร์จไม่เสื่อม และรอบเครื่องยนต์ไม่ต่ำ (แอมแปร์ที่ได้แปรผันกับความเร็วรอบที่ไดชาร์จหมุน เพราะมันคือการเหนี่ยวนำ) กรณีพวกนี้ แบตไม่ต้อง smooth up ครับ ถ้ากรณีไดชาร์ทประสิทธิภาพน้อยลง เครื่องรอบต่ำๆ หรือระบบกินกระแสไฟมาก เช่น ท่านเปิดไฟหน้า เปิดสปอต์ไลท์ เปิดแอร์ ติดเครื่องเสียงกำลังมหาศาล ฯลฯ (หมายถึงความต้องการกระแสในระบบ มากกว่ากระแสที่ผลิตได้จากไดชาร์ท "ในขณะนั้น") แบตจะต้องจ่าย smooth up จึงมีการดึงไฟจากแบต และถึงแม้จะไม่มีแบตต่ออยู่ มันก็ยังไม่ดับครับ อาจจะกระตุกๆ ไฟอื่นๆหรี่ไปหมด ถ้ารถของท่านเป็นตามนี้ แบตจะหมดง่าย หมดบ่อย และจะเสื่อมเร็ว ท่านที่ติดสปอร์ตไลท์ เครื่องเสียงกำลังมหาศาลจึงต้องขยายขนาดไดชาร์ทครับ และอาจต้องขยายแบตด้วย เนื่องจากไดชาร์จไม่เร็วพอที่จะจ่ายกระแสที่กระชากๆ ตอนเบสลงตึ้บๆ ได้ครับ รถผมตอนนี้ ไฟฮาโลเจน สปอรตไลท์สอง เครื่องเสียงขนาดย่อมๆ หนึ่งชุดใช้ไดชาร์จ 85A แบต 60A ครับ สรุปแล้ว เครื่องยนต์กินกระแสจากไดชาร์จเป็นหลัก แบต ทำแค่ สตาร์ท กับ smooth up ในบางครั้งเมื่อกระแสไม่เพียงพอ ถอดแบตวิ่ง ผมทำมาแล้วครับ แบตเสื่อม สตาร์ทไม่ติด ก็สตาร์ทตูด แล้วถอดแบตวิ่งไปซื้อแบตใหม่เลยครับ (ไม่รวมถึงรถยนตร์รุ่นใหม่มากๆ ซึ่งมีระบบจ่ายไฟแบบพิเศษนะครับ เช่นรถที่มีระบบแปลงโวลต์แบบพิเศษจากแบต อาจถอดแบตวิ่งไม่ได้ครับ) และใส่แบตวิ่งล้วนๆ โดยไดชาร์จพัง ก็ทำมาแล้วเช่นกัน วิ่งได้ประมาณยี่สิบกว่านาที ไปอู่แถววัดดงครับ เสียวและสนุกดี ฮ่าๆๆ จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 11:34:06 A:210.246.75.247 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 กำ พิมผิด 2) จ่ายไฟออกเมื่อกระแสในวงจร ไม่ เพียงพอ จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 11:38:33 A:210.246.75.247 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 1 (แอมแปร์ที่ได้แปรผันกับความเร็วรอบที่ไดชาร์จหมุน เพราะมันคือการเหนี่ยวนำ)น่าจะถูกครึ่งเดียวครับจะแอมป์มากน้อยน่าจะอยู่ที่ชุดควบคุมที่เรียกคัทเอ้าท์นะครับ ที่มันวัดจากเเรงดันที่โหลดการใช้ด้วยนะครับว่าจะจ่ายมากน้อยเเค่ไหน 2 สตาร์ทตูด ทำอย่างไรครับอยากรู้นะครับ อิอิ 3 รถพี่รถอะไรหรือครับที่ถอดเเบตวิ่งได้นะครับ พอดีผมถามเพื่อนที่เป็นร้านไดนะครับเขาบอกว่าถ้าถอดเเบตวิ่งเเล้วไปเร่งรอบเครื่อง ชุดควบคุมจะทำงานผิดพลาดไฟจะเกินกว่12 v อาจจะถึง 20 v สมมุติเป็นรถดีเซล นะอาจจะวิ่งได้เพราะเเค่มีไฟเลี้ยงปั้มนิดหน่อยก็คงพอ เเละระบบการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลไม่ได้ใช้ไฟในการจุดระเบิด คงจะขับได้เเต่พวกอุปกรณืไฟฟ้าจะเสียหรือป่าวไม่รู้ เเต่เพื่อนบอกว่าเเบตเสียหรือเสื่อมถ้าไม่ได้ถอดออกก็ไม่เกิดอาการอย่างที่ว่าเพราะมันเเค่เสื่อมมันยังมีไฟอยู่ ว่าเเต่ เเล้วคิดอย่างไรอะครับกับการจะเพิ่มไดดีหรือจะเพิ่มเเบตก่อนดีครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 12:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบพี่ sarawut ครับ 1 และ 3 คัทเอาท์ ผมรู้จักครับ แต่ผมไม่ทราบโดยละเอียด รถผม toyota ปี 1985 TT141 ครับ รุ่นเก่ามากๆ ถอดแบตวิ่งเป็นวันก็ได้ครับ ทำมาแล้ว แต่รุ่นใหม่ๆนั้นผมไม่ทราบ รถผมไดชาร์จจ่ายออก 14 โวลท์กว่าๆครับ ก็ปกติดีนิ เกินหรือไม่เกินตอนถอดแบตก็ไม่รู้ครับ ท่านอาจถูกถ้าผมถอดวิ่งนานๆ ก็ไม่รู้จะพังไหม 2. สตาร์ทตูด ก็ เข็น ครับท่าน 55555555555555 ป.ล. มันเป็นฟังก์ชั่นพิเศษในรถรุ่นเก่าๆอย่างผมครับ รถใหม่ๆ เกียร์ออโต้ทำมะได้ อิอิ 3. ของผม เพิ่มไดก่อนครับ เพราะลงเครื่องเสียงแล้วแบตหมดบ่อย ยิ่งขับกลางคืนเปิดไฟหน้า เปิดแอร์ด้วย เช้าต้องสตาร์ทตูดประจำเลย ก็เลยเปลี่ยนไดเป็น 85A แล้วพอแบตหมดอายุ ก็เลยเพิ่มแบตเป็น 60 ถ้าถามว่าเพิ่มอะไรก่อน ส่วนตัวก็คงตอบว่า ไดชาร์จ ครับ เพื่อให้กระแสในวงจรโดยเฉลี่ยเป็นบวก และชาร์จเข้าแบตได้ จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 13:03:52 A:210.246.75.247 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 อิอิ คุณทำเอาผมหัวเราะสะ สตาทตูด ผมเข้าใจเเล้วครับว่าเเต่พอสตาทเสร็จเเล้วค่อยถอดเเบตหรือว่าถอดเเบตเเล้วค่อยสตาทครับเนี่ยะ ส่วนที่ว่าเพิมไดนะครับของเดิมเท่าไหร่หรือครับเเล้วเเบตกี่เเอมป์คราบ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 13:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอโทษเเบต 60 แอมป์ ทราบเเล้วครับ ดีเหมือนกันครับไดรุ่นเก่าไฟไม่เกิน เเต่ที่ถูกคงต้องให้มันสัมพันธ์กันนะครับใช้ไฟมากก้เเบตใหญ่ขึ้นเเละก็ควรเปลี่ยนไดชาจน์ด้วยถึงจะถูก ไม่งั้นไดน้อยๆทำงานเหนื่อยตายครับ อืมรถพี่น่าจะลองถอดเเบตวิ่งดูสักวันนะอิอิ เเล้วส่งผลให้เพื่อนๆฟัง (อารายเสียไม่เกียวกับผมนะ) จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 13:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อิอิ สตาร์ทตูด ไม่มีแบตก็สตาร์ทได้ครับ เข้าเกียร์สอง ใช้เพื่อนไปดันตูดครับ พอมันวิ่งลื่นๆ ก็ปล่อยคลัช เอิ๊กๆ ของผมถอดแบตสตาร์ทตูดเลยครับ แล้ววิ่งจากหนองแขมไปตรอกจันทร์ครับ (น่าอายหรือน่าภูมิใจหว่า 5555) ตอนเพิ่มไดชาร์จ เอารถไปวัดกระแสที่รอบเดินเบา โดยเปิดโหลดที่กินกระแสทุกอย่างในรถครับ ปรากฏว่ามันดึงกระแสออกจากแบตตลอดเวลาครับ ต้องเร่งเครื่องจนถึงประมาณ 2500 รอบถึงจะเป็นบวก ก็เลยหาซื้อไดชาร์จลูกโตที่มีอะครับ ได้มาลูก 85A ครับ ช่างเขาว่าพอเหลือเฟือ ก็ใส่เลยครับ ไม่ได้คำณวนหรอก ของเดิม ได 60A แบต 45A มั้ง (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ สิบห้าปีกว่าแล้วล่ะ และไดอาจเสื่อมด้วยคงจ่ายไม่ถึงหกสิบแน่ๆ) ก็หมดปัญหาไปนะครับ ไม่ต้องสตาร์ทตูดตอนเช้าๆ ที่มาเปลี่ยนแบต ก็เพราะแบตหมดอายุการใช้งานพอดีน่ะครับ ก็เลยขึ้นเป็น 60A ลูกโตอีกนิดนึง ป.ล. ผมเพิ่งย้อนไปอ่านความเห็นหลายๆอัน ท่านช่างกลหนุ่ม ให้ความรู้ไว้ดี ละเอียด และถูกต้องนะครับ ส่วนอันอื่นบางอัน มีเรื่อง capacitor ด้วย ก็ถูกต้องนะครับ เพื่อสันบสนุนกระแสกระชาก โดยต่อไว้ใกล้ๆ แอมป์เลย เร็วทันใจ จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 14:02:08 A:210.246.75.247 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 พี่เล่นสร้างบรรทัดฐานใหม่เลยนะครับ เดียวน้าๆในนี้เวลาเเบตหมดก็เข็นกันตายเลย อิอิ  ว่าเเตผมว่าการเพิ่มไดชาจน์ น่าจะมีข้อจำกัดนะครับ ทีบอกคงจะถูกไม่หมดทั้งหมดหรอกครับ อย่างที่ผมบอกครับเอาไดชาจน์สัก10ลูก รวมเเล้ว 1000 แอมป์ เเต่ใส่เเบตสัก 45 เเอมป์ ผมใส่เเอมป์ 4500 วัตน์สักสองตัวไม่ทราบว่ามันจะพอใช้ไหมครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 18:19:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอโทษครับพิมพ์ตกไปหน่อยครับที่ว่าเฉพาะเวลาสตาทเครื่องนะครับ ที่ตั้งคำถามมิได้กวนเเต่ประการใดเเต่อยากให้รู้สึกว่ามันต้องทำงานควบคู่กันครับระหว่างเเบตเเละไดชาจน์ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 18:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมมิได้สร้างบรรทัดฐานอันใดครับ รถผมเป็นรถเก่า เกียร์กระปุก เข็นได้แน่นอน และระบบไฟอาจไม่เหมือนรถใหม่ๆหลายรุ่น ถ้าใครรถใหม่ๆ เกียร์ออโต้ อยากเข็นก็เชิญเลยครับ ถึงเชียงใหม่ก็ไม่ติดครับ ถูกต้องครับ ถ้าต้องการรถที่ทั้ง "วิ่งได้" และ "เครื่องเสียงสมบูรณ์" ท่านต้องมีทั้งไดชาร์จและแบต แต่ไดชาร์จเป็นตัวหลักครับ ใช้แบตและคาปาเสริมกระแสให้พอที่จะให้เครื่องเสียงของท่านเปล่งเสียงออกมาสมบูรณ์ครับ ตามที่หลายความเห็นข้างบนบอกว่า ไดกำเนิดกระแสไม่คงที่นั้นถูกต้องครับ แบตและคาปาขนาดเท่าใดท่านต้องคำณวนหรือทดลอง ผมยังไม่กล้าใส่ระบบเครื่องเสียงที่แพงกว่ารถครับ จึงยังไม่มีความรู้ถึงขั้นคำนวนแบบนั้น :-((( ไดชาร์จ ที่คนไทยเรียกนั้น แท้จริงแล้ว ฝรั่งเรียกว่า Dynamo, Generator หรือ Alternator มีความหมายถึงอุปกรณ์ที่ผลิตกระแสไฟฟ้า มิได้แปลโดยตรงว่ามีหน้าที่หลักเพื่อ ชาร์จ แบตนะครับ แต่คนไทยเราเรียกว่า ได "ชาร์จ" ไดสตาร์ท ก็เช่นกัน มันคือ มอเตอร์ที่รับกระแสจากแบตไปฉุดเครื่องตอนสตาร์ท คนไทยก็ดันเรียกว่า "ได"(นาโม)สตาร์ท ทั้งที่มันไม่ได้ผลิตกระแสไฟอีกเช่นกัน ระบบตัวอย่างของท่าน sarawut ตามความเห็นของผม ถ้ากระแสสูงสุด (วัตต์ input เข้าสู่แอมป์) ตอนกระชาก น้อยกว่ากำลังของไดในขณะนั้น ก็ใช้ได้ครับ แต่ผมไม่เคยมีระบบที่ใหญ่ขนาดนั้น ให้ท่านผู้เชี่ยวชาญการต่อเครื่องเสียงมาตอบท่านเถอะนะครับ ผมมีประสบการณ์เพียงแค่ต่อระบบเล็กๆ ในรถผมเองให้ฟังเพลงได้สมบูรณ์ และ รถวิ่งได้โดยไม่มีปัญหาไฟหมดน่ะครับ ป.ล. ไม่ตอบแล้วนะครับ ไม่มีชื่ออ่ะ มันต้องไปเปิดเมล์ยืนยันอะ ปวดหัว จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 19:35:00 A:192.168.0.17 X:210.246.73.51 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แหะๆขอโทษจริงๆอะครับ ที่ทำให้ยุ่งยาก เอาเป็นว่าระบบใหญ่ๆเช่นรถโชว์นะครับ เขาเพิ่มเเบตก่อนไดนะครับถ้าเพิ่มมากๆเขาก็เพิ่มไดชาจน์เข้าไปให้เหมาะสมกันนะครับ ระบบถึงจะเสถึยรครับ เรื่องเวลาสตาท์เเล้วใช้ไฟจากอะไรคงจบได้ที่ใช้จากระบบไฟของรถนะครับ โดยมีไดชาจน์ให้ไฟกับเเบตโดยรักษาเเรงดันเอาใว้ครับส่วนที่ว่าจะเอาจากอะไรอย่างเดียวคงไม่ใช้ ลองเเค่ถอดเเบตก็วูบวาบเเล้วครับ ถ้าผิดพลาดตรงไหนขออภัยเพื่อนๆด้วยนะครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 20:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ปล รถพี่นี้เจ็งอะ ไม่ต้องใช้ไฟไม่ต้องมีเเบต ถ้าเป็นดีเซลก็ไม่ต้องมีไฟเปิดปั้มหัวฉีด ถ้าเบ็นซินก็ไม่ต้องใช้ไฟจุดระเบิด หรือไม่ก็พอเข็นปุปไดชาจน์ก็จ่ายไฟออกมาเลย อืม น่าสนใจ อิอิ ผมต้องกลับไปหาความรู้เพิ่มอย่างจริงๆจังๆอีกเเล้วครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 20:08:32 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ว่าจะไม่ตอบแล้ว คุณ sarawut ครับ คำตอบของคุณเหมือนจะเป็นการถกเถียงที่มีคุณค่า เหมือนสุภาพ แต่ทุกคำพูดของคุณนั้นกระแนะกระแหนคนอื่นเขาหมด โดยคุณไม่มีอะไรมายืนยันเลยว่าเป็นตามที่คุณบอก หลายคนเขาอธิบายทำไมคุณไม่ฟังละครับ ถ้าคุณเจ๋ง คุณเข้าใจดีแล้ว มานั่งแดกดันคนอื่นเค้าทำไม คุณเขียนมาเลยดีกว่าครับ ว่าไอ้ระบบไฟในรถที่คุณว่าถูกต้อง และยืนยันว่าใช้ไฟจากแบตนั้น เป็นอย่างไร? ไอ้ที่ว่าไดชาร์จต่อแบตรักษาแรงดันนั้นทำอย่างไร? คัทเอาท์ที่คุณบอกว่ารู้ ทำอะไรวาดมาเลยครับ? ขอชมหน่อย รถเบนซินส่วนไหนของจานจ่ายที่ต่อกับแบตครับ? ไอ้ที่ว่าให้น้ำหนักไปยังแบตเนี่ย เป็นยังไง ถ้าให้น้ำหนักแบตมาก ทำไมถอดแบตวิ่งได้? ทำไมพอไดชาร์ตพัง วิ่งด้วยแบตเพียวๆ ถึงวิ่งได้แปปเดียว? นี่ขอแค่เรื่องระบบไฟนะครับ ระบบเครื่องเสียงยังไม่ต้อง และผมขอถามคำถามหลักหนึ่งคำถามครับ รถ ออกแบบให้ใช้พลังงานคือ น้ำมัน ในเมื่อคุณมีน้ำมันแล้ว ต้องการแค่ไฟมาจุดระเบิดและห่ลอเลี้ยงอื่นๆ เขาจึงออกแบบให้มี ไดชาร์จ พ่วงกับกลไกของเครื่องเพื่อกำเนิดไฟนั้น และใช้แบตเก็บพลังงานไว้ตอนสตาร์ท นั้นไม่ถูกต้องหรือ? มันจะไม่เป็นการไม่ฉลาด (โง่) ไปหน่อยหรือครับ ถ้าเขาออกแบบให้รถใช้ไฟจากแบตเป็นหลัก ?????? รถโชว์เครื่องเสียง มันจอดโชว์หรือวิ่งโชว์ครับ? และที่ว่ามันเสถียรมันเปิดโชว์ได้นานเท่าไหร่? หนังกลางแปลงสองหมื่นวัตต์ เค้าใช้แบตหรือเครื่องปั่นไฟดีเซลครับ? ผมมีเพียงแค่ความรู้ปฏิบัติที่เคยทำมาครับ รถรุ่นใหมๆที่ซับซ้อนผมก็ไม่ทราบ คงต้องขอแนะนำล่ะครับ รบกวนด้วย จะรออ่าน จากคุณ : quintix - [ 8 ก.พ. 52 21:12:06 A:210.246.73.158 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 จริงๆผมไม่ได้เดกดันนะครับผมเองก็ไม่ด้เก่งกาจหรอกครับเเต่ก็พยายามหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ผมคงไปสอนใครไม่ได้ เเต่อะไรที่ผมไม่เข้าใจผมก้ถามมิน่าคิดว่าเป็นคำเเดกดันนะครับ ผมว่าใจเย็นๆนะครับหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจโดยที่ผมอยากได้คนที่รู้จริงๆมาตอบเเละถ้าคำตอบนั้นผมสงสัยผมก็ถามหวังว่าคงเข้าใจครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 21:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 57 รถเบนซินส่วนไหนของจานจ่ายที่ต่อกับแบตครับ? ถ้ารถคุณน่าจะต้องมีคอลย์จุดระเบิดเเล้วส่งต่อมาที่จานจ่ายนะครับถ้ามันไม่มีไฟไปเลี้ยงคงจุดระเบิดไม่ได้(แบบว่าเที่ยวป่าเเรกๆผมใช้รถเบนซินเก่าๆนะครับ) ไอ้ที่ว่าให้น้ำหนักไปยังแบตเนี่ย เป็นยังไง ถ้าให้น้ำหนักแบตมาก ทำไมถอดแบตวิ่งได้? ทำไมพอไดชาร์ตพัง วิ่งด้วยแบตเพียวๆ ถึงวิ่งได้แปปเดียว? ผมไม่ได้บอกว่าถอดแบตวิ่งไม่ได้เลยครับ เเต่คิดว่าถ้าไม่มีเเบตอยู่ในรถเลยไม่น่าสตาทติดได้ครับ ผมสงสัยเเค่เนียะถึงกับว่าผมเเดกดันเลยหรือครับ เเละที่สตาทเสร็จเเล้วถอดเเบตออกวิ่งได้นะครับโดยปกติไฟที่ออกจากไดชาจน์จะให้ไฟออกมาเกินกว่า 12 v ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายต่อระบบไฟฟ้า ในรถ เเละรถอีกหลายยี้ห้อเเค่ถอดออกก็ดับเเล้ว ส่วนที่ว่ามีเเค่เเบตวิ่งได้แปปเดียว อันนี้จะนานเเค่ไหนผมมองว่าอยู่ที่โหลดนะครับว่ากินเเค่ไหน ถ้าเเค่เลี้ยงปั้มน้ำมันโซล่า ผมว่าก็น่าจะวิ่งได้หลายชั่วโมง จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 21:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วยกับคุณ quintix  คคห.55 กระทู้นี้เริ่มต้นดี แต่ท้ายๆชักแปร่งๆ คุณ sarawut เป็นแบบนี้หลายกระทู้แล้วนะครับ โดยเฉพาะเรื่องเครื่องเสียง บางครั้งคุณเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อนๆเค้าก็พยายามตอบให้เป็นอย่างดี แต่ก็ดูเหมือนคุณจะมีคำตอบหรือรู้อยู่แก่ใจแล้ว คุณก็เลยเข้ามาหาคนที่รู้แบบเดียวกับคุณ ตรงกับคุณ ต่อไประวังจะไม่มีใครตอบกระทู้นะครับ เราเข้ามาถามแล้วความเห็นไม่ตรงกับเราก็เฉยๆไว้ครับ เดี๋ยวใครเขาจะว่า"รู้แล้วมาถามทำไม" ............................................. ด้วยความเคารพครับ ............................................ ขอโทษ จขกท.ด้วยครับ จากคุณ : dum.d - [ 8 ก.พ. 52 21:47:33 ]

ความคิดเห็นที่ 59 และผมขอถามคำถามหลักหนึ่งคำถามครับ รถ ออกแบบให้ใช้พลังงานคือ น้ำมัน ในเมื่อคุณมีน้ำมันแล้ว ต้องการแค่ไฟมาจุดระเบิดและห่ลอเลี้ยงอื่นๆ เขาจึงออกแบบให้มี ไดชาร์จ พ่วงกับกลไกของเครื่องเพื่อกำเนิดไฟนั้น และใช้แบตเก็บพลังงานไว้ตอนสตาร์ท นั้นไม่ถูกต้องหรือ? มันจะไม่เป็นการไม่ฉลาด (โง่) ไปหน่อยหรือครับ ถ้าเขาออกแบบให้รถใช้ไฟจากแบตเป็นหลัก ?????? ผมว่าคุณอ่านช้าๆครับ สุดท้ายผมก็บอกว่าต้องใช้ทั้งสองอย่าง ระดับผู้ผลิตให้เราใช้นะไม่โง่หรอกครับเพราะสุดท้ายในการใช้เครื่องยนต์ก็ต้องมีระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องทุกทีและใช้แบตเตอรรีเป็นหลักทั้งนั้นเเต่เเบตเตอรรีก็ยังต้องใช้ไดชาจน์ในการชาจน์เก็บปะจุไปใช้ การที่มีเพื่อนๆหลายๆคนบอกว่าใช้ไฟจากไดชาจน์ในขณะที่สตาท รถโดยที่ไม่ต้องใช้เเบตผมว่ามันไม่น่าใช้ก็เเค่นั้น ผมมีความคิดเห็นอะไรผมก็ถามหวังว่าคงไทให้คุณรำคาญจนเกินไปนะครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 21:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ : dum.d ผมว่าการที่ผมถามเนียะเเละไปโทรหาคำตอบจากเพื่อนๆเพื่อที่ว่าจะได้เข้าใจนะครับเเละผมมองว่าการซักถามเนียะมันปะเทืองปัญญามากว่า การตั้งธงนะมันคงมีกันทุกคน เเต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับโดยเหตุผล ไม่ใช้ใครคิดไม่เหมือนคุณก็หาว่าเเดกดัน ผมว่าที่ผมทำอยู่คงไม่ได้ผิดมากนะครับ (ปล กะทู้ไหนหรือครับจะกลับไปอ่นอีกสักรอบ) ด้วยความเคารพ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 21:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 61 รถโชว์เครื่องเสียง มันจอดโชว์หรือวิ่งโชว์ครับ? และที่ว่ามันเสถียรมันเปิดโชว์ได้นานเท่าไหร่? หนังกลางแปลงสองหมื่นวัตต์ เค้าใช้แบตหรือเครื่องปั่นไฟดีเซลครับ? อืมผมว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับจอดหรือวิ่งนะครับ เพียงเเค่คิดว่ามันทำไม่ได่นะครับถ้าใช้ไฟจากไดอย่างเดียว เชื่อไมครับผมอาจจะตั้งธงเรื่องนี้จากความรู้สึกนึกคิดของตังเองโดยมองจากประสบการณ์ เเต่พอมีคนเข้ามาบอกอะไรที่ไม่เหมือนผมผมถามเรื่องนี้กับลูกน้องที่เคยเปิดร้านได เพื่อนที่ทุกวันนี้ทำมาหากินกับเครื่องปั้นไฟ เเละน้องๆที่เป็นวิศวกรก็หลายคน ว่าที่ผมคิดนะผิดไหมเขาก็บอกว่าผิดที่คิดว่าใช้ไฟจากแบตอย่างเดียวมันขนานกันเเต่ไดก็ไม่สามารถจ่ายไฟเพียวๆได้ครับเพราะการออกเเบบมันไม่ได้เหมือนเครื่องปั่นไฟที่เราเห็นๆกัน มันต้องมีเเบตเป็นโหลด(เขาใช้คำๆนี้นะครับ) ส่วนผมไม่ได้จบวิศวมาผมคงไม่กล้ามาบอกที่ว่าบางท่านพูดผิดหรอกครับเเต่อะไรที่คิดว่าสงสัยก็ถามเป็นเรื่องๆไปนะครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 22:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 การที่ผมเข้ามาตอบกระทู้มิได้ต้องการให้ใครคิดเหมือนผมเลยครับ และ คคห.ที่ 58 ของผมยังไม่ได้กล่าวคำว่าแดกดันเลยสักนิดเดียว ผมขอยกตัวอย่างนิดนึงว่า ถ้ามีใครมาถามอะไรคุณ แล้วคุณก็ตั้งใจอธิบายเสียดิบดียืดยาว แต่คนคนนั้นกลับแย้งว่ามันไม่น่าจะใช่ มันน่าเป็นอย่างนี้มากกว่า คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ แล้วคุณอยากจะบอกกับเขาว่าอย่างไร อ้อ แล้วคุณเปิดร้านเครื่องเสียงอยู่ใช่ไหมครับ ไม่ทราบอยู่แถวไหนเผื่อผ่านไปแถวนั้นจะได้แวะไปเยี่ยมเยียน จากคุณ : dum.d - [ 8 ก.พ. 52 22:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ : dum.d การอธิบายยาวๆสำหรับผมคงไม่ได้หมายความว่าผมต้องยอมรับนะครับ เเละผมมักมีคำถามกลับไปเพื่อหวังว่าจะตอบคำถามที่นำมาสู่ความรู้ที่ผมหวังพึงได้ ผมว่าเพื่อนๆที่โพสถ้าว่างเขาก็เข้ามาตอบเองละครับ ถ้าเขามีปะเด็นโต้เเย้งก็คงเข้ามาคุย เเละถ้าเขาว่าผมบ้าเขาก็คงเลิกคุยกับผม(สงสัยอย่างหลังครับ) ครับผมเปิดร้านเครื่องเสียงอยู่ครับ อยู่เเถวรัชดาครับมีโอกาสเเวะมาคุยกับผมก็ดีครับเเบบว่าผมค่อนข้างเหงานะครับ เเละลองมาคุยกับผมดูครับว่าผมบ้าจริงไม(ล้อเล่นครับ )ผมอาจจะเกินเลยไปบ้าง เเต่ก็หวังว่าคงจะเข้าใจในเจตนาที่ดีของผม จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 8 ก.พ. 52 22:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เคยไดชาร์ตเสียทีสระบุรีตอนกลางคืน สามารถขับมาถึงกรุงเทพได้ แสดงว่าแบตล้วนก็วิ่งได้ จากคุณ : ตุ๋ย (kongking) - [ 8 ก.พ. 52 23:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เข้าใจครับ คุณ sarawut คุณเปิดร้านแสดงว่ามีความรู้เครื่องเสียงพอสมควร ผมแค่ "นักเล่น" เครื่องเสียงครับ จากคุณ : dum.d - [ 8 ก.พ. 52 23:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เคยไดชาร์ตเสียทีสระบุรีตอนกลางคืน สามารถขับมาถึงกรุงเทพได้ แสดงว่าแบตล้วนก็วิ่งได้ จากคุณ : ตุ๋ย (kongkin) ครับวิ่งได้ แต่จะได้มาก/น้อย อยู่ที่พลังไฟของแบตและการเปิดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ จากคุณ : dum.d - [ 8 ก.พ. 52 23:35:57 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอโทษอีกครั้ง สำหรับข้อคิดที่ คุณ : dum.d บอกครับบางทีผมอาจจะล้ำเกินไปนะครับ เเต่ก็อยากให้บอด์นี้อุดมไปด้วยความรู้ นะครับ ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่รับฟัง จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 00:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เพิ่งมีโอกาสมาอ่านตอนเช้าน่ะครับ ได้ครับ แลกเปลี่ยนเพิ่มพูนความรู้ ต่อกันเลย คุณ sarawut ครับ คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมทั้งหมดเลยนะครับ ผมถามว่า การออกแบบที่ให้แบตทำหน้าที่เป็นหลัก เป็นเรื่องฉลาดหรือโง่ในความคิดของคุณ คุณไม่ได้ตอบ คุณตอบแต่เพียงว่า ต้องมีทั้งสองอย่าง และแบตเป็นตัวหลัก ขอคำตอบครับ โดยเฉพาะจากผู้ที่เป็นช่างโดยตรงอย่างคุณ ในรถรุ่นเก่าอย่างผม ระบบง่ายๆครับ แบตเตอรี่ต่อขนานอยู่กับไดและเครื่องยนต์ เหมือนภาพในความเห็นบนๆ และมีตัวคัทเอาท์มาช่วย ซึ่งคัทเอาท์ทำหน้าที่คล้ายคัทเอาท์ไฟฟ้าตามบ้านนี่แหละครับ เป็นตัวตัดชาร์จและตัดดิสชาร์จสำหรับกระแสของแบตเตอรี่ เพียงแต่คัทเอาท์ตามบ้านเราใช้มือโยกน่ะครับ แต่ของรถต้องมีกลไกมาตัดให้มันสลับให้ตรงกับความต้องการกระแส ซึ่งก็คือตัวควบคุมที่คุณเรียกนั่นแหละครับ ส่วนเรื่องควบคุมแรงดันและกระแสสำหรับอุปกรณ์และอิเลคโทรนิคนั้น ปกติก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Regulator ซึ่งช่างก็เรียกว่า ตัวกรองไฟ ทำให้ไฟเรียบน่ะครับ (ข้างบนๆ ก็มีคนอธิบายนะครับ) ถึงผมจะไม่มีประสบการณ์กับรถรุ่นใหม่ๆ ที่ระบบไฟซับซ้อนมากและไฮเทคกว่ามากๆ ผมก็ยังคาดได้ว่าถอดแบตวิ่งได้เช่นกัน และอุปกรณ์ใดที่รับไฟผ่านจาก regulator จะไม่เสียหายแน่นอนครับ การที่รถเก่าๆอย่างผม เข็นสตาร์ทได้ ก็เพราะการเข็นและปล่อยคลัชทำให้เครื่องหมุน และไดชาร์จก็หมุนตามเครื่อง จึงเกิดกระแสไฟเข้าไปที่คอลย์และจานจ่าย เข้าไปจุดระเบิด เครือ่งจึงติดได้ครับ คุณเคยเห็นเครื่องตัดหญ้าหรือเรือหางยาวที่สตาร์ทโดยใช้เชือกกระชากเครื่องไหมครับ มันเป็นเครื่องยนต์ใช่ไหมครับ? มันมีแบตไหม? แล้วมันใช้ไฟจากไหนจุดหัวเทียนครับ? รถเกียร์ออโต้ ไม่มีทางสตาร์ทตูดได้ คุณกระชากให้เครื่องหมุนไม่ได้ เพราะคุณไม่สามารถควบคุมคลัชได้ ทำให้คลัชปล่อย-จับไม่ได้ครับ ส่วนรถเกียร์ธรรมดารุ่นใหม่ ผมไม่แน่ใจครับ เพราะอาจมีอุปกรณ์ เช่น หัวฉีดและกล่องอิเลค ที่ต้องการไฟเลี้ยงที่แตกต่างกัน ส่วนนี้คุณต้องถามท่านอื่นที่มีความรู้มากกว่าผมนะครับ รถโชว์เครื่องเสียง มันจอดโชว์หรือวิ่งโชว์ครับ? และที่ว่ามันเสถียรมันเปิดโชว์ได้นานเท่าไหร่? คำถามนี้ ถ้าคุณเปิดร้านเครื่องเสียงอยู่ คุณน่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของคำถามนะครับ รถจอดโชว์ก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องเสียงบ้าน เป็นการฉลาดที่เลือกใช้แบต เพราะคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ลงทุนทำเครื่องยนต์พ่วงด้วยได จำนวนหนึ่งโหล ตามที่คุณตั้งคำถาม แล้วนั่งเร่งเครื่องจนได้กระแสสูงสุดจากไดนะครับ คุณเป็นช่าง คุณควรทราบว่า อุปกรณ์เช่น ได คอมแอร์ พัดลมหม้อน้ำ ที่พ่วงเข้าไปนั้น กินกำลังเครื่องยนต์ขนาดไหน นี่ยังไม่รวมถึงรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์และวิธีการติดตั้งเครื่องยนต์และได และไม่รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีทางการค้าเครื่องเสียงนะครับ ส่วนที่ผมถามว่า มันเปิดโชว์ได้นานเท่าไหร่? ก็เพราะคำว่าเสถียรของผม หมายถึง รถวิ่งได้และเครื่องเสียงฟังได้สมบูรณ์ไปพร้อมๆกัน โดยไม่ต้องหยุดพัก (ก็คือสิ่งที่คุณต้องทำให้ลูกค้าร้านของคุณนั่นแหละครับ) หรือหยุดปั่นชาร์จไฟเข้า battery bank เยอะๆนั่น แบตแห้งรุ่นใหม่ๆ จ่ายไฟได้เยอะ ต่อหลายๆลูกเข้าอาจขับระบบยักษ์ใหญ่นั้นได้เป็นวัน มันฟังได้สมบูรณ์หลายขั่วโมง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ระบบเสถียรโดยรถวิ่งใช้งานได้เหมือนปกตินะครับ ผมจึงถามว่ามันโชว์ได้นานเท่าไหร่ และผมท้าให้เขาเอารถมาวิ่งปกติ เปิดเครื่องเสียงวิ่งไปทำงานและวิ่งกลับบ้านเหมือนผมทุกวันครับ ผมจึงเรียกว่า เสถียร (เรากำลังคุยกันเรื่องเครื่องเสียงรถยนต์ มิใช่รถที่จอดเปิดเครื่องเสียงครับ และโดยแท้จริงแล้ว กระทู้นี้เริ่มต้นเพียงแค่ รถใช้ไฟจากแหล่งใดแค่นั้น) ในส่วนระบบเครื่องเสียงยักษ์ๆ ผมอยากทราบจากท่านผู้รู้เช่นกันครับ ท่านใดจะกรุณาก็ดีครับ คุณ sarawut เป็นเจ้าของร้านเครื่องเสียง ซึ่งผมตั้งสมมุติฐานได้ว่าจะต้องมีความรู้เรื่องระบบไฟเป็นอย่างดี และผมเป็นเจ้าของรถเก่าอายุ 24 ปี ที่เปลี่ยน ซ่อมแซม บำรุงรักษา อุปกรณ์ในรถมาเกือบครบทุกชิ้นแล้ว รถผมยังวิ่ง 140 ไปกลับกรุงเทพ-ขอนแก่นสบายๆ ครับ แอร์เย็น เพลงเพราะ และถ้าไม่เป็นการโอ้อวดจนเกินไปผมกล้ายืนยันว่ารถผมเป็น TT141 ที่สภาพเดิมๆ ที่สุด และสภาพดีที่สุดในประเทศไทย คุณคงพอเดาได้ว่าผมได้ทำการรักษารถ เข้าใจรถ ด้วยมาตรฐานการบำรุงรักษาระดับใด คุณจะแลกเปลี่ยนความรู้หรือเถียงกับผม คุณคงต้องลำบากอธิบายภูมิรู้ของคุณหน่อยละครับ มิใช่ด้วยถ้อยคำค้านสั้นๆ ว่าไม่ถูก หรือการเหน็บแนมล่ะครับ ผมรอฟังจริงๆแล้วนะครับ พิมยาวๆเกินไป เหมือนอวดรู้สอนจระเข้ ผู้มีความรู้จริงๆ ในนี้ยังอีกหลายคนนัก ขอบคุณครับ จากคุณ : quintix - [ 9 ก.พ. 52 05:24:41 A:210.246.75.199 X: ]

ความคิดเห็นที่ 69 เย็นไว้ครับ  กระทุ้ หัวเกรียน     คนไทยรักกันนะครับ จากคุณ : pirsoner - [ 9 ก.พ. 52 07:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 70 Dynamo พ่วงกำลังเครื่องยนต์มาทำให้เกิดการหมุนของแกน (จำศัพท์เทคนิคไม่ได้แล้ว) แบต่ฯ ส่งแรงดันไฟฟ้าไปสร้างสนามแม่เหล็กภายใน Dy.... เมื่อเกิดการหมุนของแกน Dy ตัดสนามแม่เหล็กที่สร้างจากแรงดันไฟฟ้าของแบตฯ จึงเหนี่ยมนำและสร้างออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้านี้ผ่าน Rectifier เพื่อปรับให้รูปคลื่นมีความราบเรียบ และผ่าน Regulator เพื่อ "ปรับ" ระดับแรงดันให้สูงพอ... พอสำหรับการชาร์จกระแสเข้าไปเก็บไว้ในแบตฯ เพราะฉะนั้นหลายคนจึงเจอปัญหาว่าแบตฯ เสื่อม หรือแบตฯ หมด รถจะสตาร์มไม่ได้ เพราะมันไม่มีแรงดันไฟฟ้าไปสร้างสนามแม่เหล็กตัดกับการหมุนของแกน Dy .... Dy จึงหมุนแต่ไม่สร้างแรงดันไฟฟ้าออกมา และแบตฯ ก็ไม่สามารถจ่ายไฟให้กับระบบอื่นในรถ.... เพราะฉะนั้น แบตฯ หมด แบตฯ เสื่อมสตาร์มไม่ได้... แต่ถ้าสตาร์มได้ด้วยสตาร์ทตูดหรือพ่วงแบตฯ ก็ตามได้แล้ว มันจะวิ่งต่อไปเองได้เพราะแรงดันจาก Dy ที่สร้างขึ้นมาหลังจากเครื่องยนต์วิ่งแล้วนี้จะทำหน้าที่ต่อเอง เพราะฉะนั้น "หัวใจ" ของไฟในรถก็คือ Dy ครับ แบตฯ ใส่ไว้ด้วยเหตุผล 1081009 ตามที่โพสต์ไว้ข้างบนนั่นแหล่ะครับ ที่โพสต์ๆ กันท้ายกระทู้นั้น ผมคิดว่ารู้อยู่แก่ใจกันหมดครับ อยู่ที่ว่าจะหาคำพูดมาโพสต์ต่ออย่างไรให้รู้สึกที่เคยโพสต์ๆ ไว้ข้างบนนั้นไม่ได้ผิดพลาดจนหน้าแตก และเพื่อให้การโพสต์แก้ตัวนี้ดูเนียนๆ จึงพยายามใช้คำถามเพื่อเปิดทางและใช้คำพูดเพื่อโน้มน้าวเพื่อให้การโพสต์แก้ตัวนั้นสมบูรณ์มากขึ้น กระทู้สาระดีๆ ให้มีไว้มากๆ หน่ะดีครับ อ้อ..... ก่อนไป ขอถามนิดนึง ถ้าผมให้เลือกเพียงตัวใดตัวหนึ่ง 1. ไดชาร์จ 500 A + แบตฯ 10 A 2. ไดชาร์จ 10 A + แบตฯ 500 A จะเลือกอะไรกันสำหรับเน้นระบบฟังเพลงตอนสตาร์ทรถครับ จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 9 ก.พ. 52 08:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 71 วันนี้วันพระ อิอิ การออกแบบที่ให้แบตทำหน้าที่เป็นหลัก เป็นเรื่องฉลาดหรือโง่ในความคิดของคุณ ผมคิดว่ามันเป็นความจำเป็นในการคอนโทรลระบบไฟให้นิ่งเเละให้กะเเสคงที่เเบบสม่ำเสมอ ส่วนคำว่าฉลาดหรือโง่ ผมว่าคงไม่โง่มั้ง ในความคิดของผม เรื่องรถที่ติดระบบเครื่องเสียงใหญ่ๆ เขาก็วางไดเป็นสิบก็มีเยอะนะครับ เเต่เขาก็วางเเบตเป็นจำนวนมากเช่นกัน กำลังเครื่องคงต้องเร่งใว้สัก 2000 รอบนะครับต้องได้เเรงบิดนะครับ เเต่ถ้าไดเพียวๆยังไม่มีใครทำ ส่วนตัวเคยเเต่ใช้สวิทชิ่งจำนวนมาก นะครับไม่ต้องเร่งเครื่อง เเต่ก็ต้องมีเเบตเยอะหน่อยเป็นฐานเช่นกัน เพราะถ้าใช้เดี่ยวๆมันวูบๆนะครับ ผมว่าคุณรักษารถดีนะครับ เเละรถคุณนะทำเอาผมงงงวยเลยครับอย่างที่ผมพิมไปในกะทู้บนๆว่าเเค่เข็นก็ติดโดยที่ไม่ต้องมีเเบตในรถเลย  ผมคงต้องไปศึกษาหาข้อมูลใหม่ๆอีก เเปลกดีครับ ส่วนเรื่องที่ผมคิดว่าเเบตกับไดชาจน์ว่าต้องทำงานร่วมกันนะ  ในความคิดเเรกผมคิดว่า ระบบใช้ไฟจากเเบตเป็นหลัก เเละไดชาจน์มีหน้าที่ชาจน์เพิ่มกะเเส(แอมป์) ให้เเบตเตอรรี่ เเต่หลังจากที่อ่านๆมาเรื่อยๆ มีความคิดเห็นขัดเเย้งผมก็ สอบถามคนที่รู้(คิดว่าน่าจะรู้นะ ) เขาก็บอกว่ามันต้องทำงานร่วมกันเเละเเบตเป็นพื้นฐานของระบบไฟ โดยมีได คอยชาจน์เเละจ่ายกะเเสให้เเก่ระบบ เเต่มีบางกะทู้บอกว่าใช้ไดชาจน์อย่างเดียว ไม่ใช้เเบตยังได้ในกรณีนี้ คนที่เขาทำร้านได เขาบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะต้องใช้ฐานเเบตเตอรรี่เป็นโหลด ไดชาจน์ทำงานอย่างนั้นไม่ได้ครับ มันจะทำให้ชุดควบคุม ทำงานบกพร่อง  ไฟที่ได้จะเกินกว่าที่ระบบไฟฟ้าในรถรับได้ เเละในที่สุดถ้ามีโหลดมาก ไดชาจน์จะใหม้ ผมว่ามันไม่ได้ออกเเบบที่จะต้องทำงานคนเดียว มันต้องทำงานร่วม  ส่วนที่บอกว่าเครื่องปั่นไฟที่ใช้ตามงานไม่เห็นมีเเบตเลยก็นั้นเขาออกเเบบมาอย่างนั้น เล่นไปตามโหลดเลย ดูเข็มเอา ผมเข้าใจในมุมมองคุณนะ เเต่ก็อยากให้เข้าใจในมุมมองผม มันอาจจะผิดก็ได้ ก็เอาปะเด็นมาโต้เเย้งกัน ถึงพี่ริมครับ เเหะผมมาสร้างวีรกรรมอีกเเล้ว ที่พี่ว่า ที่โพสต์ๆ กันท้ายกระทู้นั้น ผมคิดว่ารู้อยู่แก่ใจกันหมดครับ อยู่ที่ว่าจะหาคำพูดมาโพสต์ต่ออย่างไรให้รู้สึกที่เคยโพสต์ๆ ไว้ข้างบนนั้นไม่ได้ผิดพลาดจนหน้าแตก และเพื่อให้การโพสต์แก้ตัวนี้ดูเนียนๆ จึงพยายามใช้คำถามเพื่อเปิดทางและใช้คำพูดเพื่อโน้มน้าวเพื่อให้การโพสต์แก้ตัวนั้นสมบูรณ์มากขึ้น ในส่วนตัวผมนะครับผมว่าหน้าเเตกได้นะถ้าผมจะได้อะไรอะไรมากขึ้น เพราะไอ้กลัวหน้าเเตกฟอรม์มากนี้เเหละ เราถึงเป็นเเก้วเติมเต็มไงครับ ผมอาจเข้าใจอไรผิดถ้ามัวฟอรม์ดี เเล้วไม่ถามต่อผมอาจจะไม่ทราบเลยว่าเเล้วจริงๆจะเป็นอย่างไร ก็คิดตามๆกันไปนะครับ  ขอโทษ เจ้าของกะทู้ด้วยเเล้วกันครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 09:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ลืมไปเลย ถ้าผมให้เลือกเพียงตัวใดตัวหนึ่ง 1. ไดชาร์จ 500 A + แบตฯ 10 A 2. ไดชาร์จ 10 A + แบตฯ 500 A ผมว่าอย่างเเรกนี้ถ้ามีโหลดน้ำกลั่นเเห้งเเน่เเบตมันน่าจะเสียเลยนะครับ เเละถ้าอย่างหลัง ผมว่าฟังได้นานสักสองชั่วโมงเเล้วต้องปิดระบบก่อนเเล้วชาจน์สักห้าชั่วโมง วันนี้วันพระ คำพระท่านว่า เราต้องเดินสายกลางครับ อิอิ ขอเป็น 100 แอมป์ ไดชาจน์สัก 80 ก็น่าจะพอเพียง จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 09:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 73 น้าริมคราบ Dynamo พ่วงกำลังเครื่องยนต์มาทำให้เกิดการหมุนของแกน (จำศัพท์เทคนิคไม่ได้แล้ว) แบต่ฯ ส่งแรงดันไฟฟ้าไปสร้างสนามแม่เหล็กภายใน Dy.... เมื่อเกิดการหมุนของแกน Dy ตัดสนามแม่เหล็กที่สร้างจากแรงดันไฟฟ้าของแบตฯ จึงเหนี่ยมนำและสร้างออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้านี้ผ่าน Rectifier เพื่อปรับให้รูปคลื่นมีความราบเรียบ และผ่าน Regulator เพื่อ "ปรับ" ระดับแรงดันให้สูงพอ... พอสำหรับการชาร์จกระแสเข้าไปเก็บไว้ในแบตฯ ผมก็สงสายนะครับ ถ้าเราไม่มีเเบตเลย เเล้วพลังงานกลจากการหมุนจะใช้ไปทำอะไรกับเเกนกับคอลย์นอกนะครับ เเต่ถ้ารถสตาทเเล้ว เอาเเบตออกนี้ระบบมันครบวงจร มีไฟไหลกลับมาที่ไดชาจน์เเล้วอย่างนี้ไม่น่าเเปลกครับ ถามต่อนะครับ (ผมนี้ถ้าจะบ้าจิง) จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 10:05:08 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ sarawut ครับ ขอถามเกี่ยวกับไดชาร์จหน่อยครับ ไม่ทราบว่าเคยวัดไฟที่ออกมาจากไดชาร์จหรือไม่ว่า มันผลิตไฟฟ้าออกมาที่กี่โวล์ท และ ได้แอมป์ตามที่ระบุไว้ที่ไดชาร์จที่รอบเครื่องเท่าไหร่   รถผมเวลาติดครื่องตอนเช้าจะวัดโวล์ทได้ที่ 14.3v แล้วพอขับไปเรื่อย ๆ จนเครื่องร้อนวิ่งไม่เร็วในเมือง โวล์ทจะค่อย ๆ ลดลงมาที่ 13.8-13.9v มีความเห็นยังไงครับ และพอวิ่งทางยาวที่ความเร็วมากหน่อย ได้โวล์ทที่ 14.0+ แต่ไม่เคยเกิน 14.4v ย้อนมาที่กระทู้ เคยมีประสบการ์ณแบ็ตเตอรี่เสีย(ลัดวงจรไปหนึ่งช่อง) เวลาวิ่งกลางคืนแล้วเปิดไฟหน้า โวล์ทจะตกลงต่ำกว่า 12v ทำให้ต้องปิดแอร์ ได้โวล์ทกลับมาที่ 13v ขับกลับไปเปลี่ยนแบ็ตเตอรี่ลูกใหม่ และเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ไดชาร์จเสีย(มีรูปแบ็ตเตือนที่หน้าปัทม์) ก็ยังสามารถขับรถกลับบ้านได้โดยที่ระดับโวล์ทจากเครื่องวัดลดต่ำกว่า 13v จากข้างต้นผมคิดว่าถ้าไม่มีแบ็ตและขับรถโดยมีการใช้ปริมาณกระแสไฟฟ้าไม่มากก็น่าจะขับได้ แต่เมื่อมีการใช้ปริมาณไฟฟ้ามากกว่าที่ไดชาร์จจะจ่ายได้ จะทำให้โวล์ทต่ำลงจนอาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานต่อไปไม่ได้ ทำให้คิดไปได้ว่าทั้งไดชาร์จและแบ็ต ทำงานร่วมกัน จากคุณ : bass&treble - [ 9 ก.พ. 52 10:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คอมผมเเฮงค์ อะ ความเห็นหรือครับไฟเต็มโวล์สูงครับ เเอมป์ที่จ่ายออกมาจะน้อย ไฟตกโวล์ต่ำเเต่ไดจ่ายเเอมป์สูงครับ เพื่อรักษาเเรงดัน รอบเครื่องเป็นปัจจัยหนึ่งครับ เพราะถ้ารอบต่ำกะเเสก็น้อยลงครับ จริงๆถ้าเพื่อนไม่ได้ขู่ผมใว้ ผมลองไปเเล้วครับ อิอิ ผมว่าถ้าใครไม่กลัวน่าจะลองถอดแบ็ตวิ่งมาร้านผมดูเดียวผมจาเลี้ยงข้าวเลยอะจริงๆ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 11:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 76 คุณ sarawut ครับ ผมก็ได้บอกแล้วว่า ผมมีความรู้แค่ปฏิบัติกับรถเก่าๆ ของผม และผมก็แค่พยายามอธิบายความรู้เพื่อแบ่งปันกับเพื่อนในเวปนี้ ผมก็ได้พยายามพิมอย่างตรงไปตรงมา และไม่กลัวจะถูกจะผิดจากความเข้าใจและมุมมองของผมตามที่คุณบอกน่ะแหละครับ แต่ผมสงสัยอยู่ว่า ในเมื่อคุณมีความรู้ ซึ่งน่าจะดีและถูกต้องกว่าผม เหตุใดคุณจึงไม่อธิบายโดยละเอียด ปล่อยให้ผมนั่งพิมเพื่ออะไรครับ คำถามวนไปมาเพื่ออะไร คุณริมกรุงทพก็ออกมาอธิบายสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความและทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น ได้ทราบที่จุดผมรู้ไม่ถึงเช่นกัน คุณไม่ผิดหรอกครับ ที่คุณว่าถามเพื่อนและวิศวกรมาว่า รถต้องมีแบตเป็นโหลด เพราะรถไม่มี dump load ต่อไว้สำหรับทิ้งกระแสไฟที่เกินจากได ผมทราบครับว่า กระแสไฟ ไม่ใช่น้ำในถังที่จะเททิ้งได้ง่ายๆ แบตเป็นโหลดผมก็ทราบครับ ผมบอกว่าผมถอดแบตขับไปใส่แบตใหม่ ทำมาแล้วจริงๆ ผมบอกว่า ใช้ได้ครับ ถอดแบตวิ่งได้ และผมก็บอกด้วยว่าคุณอาจถูกเพราะผมก็ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานๆอะไรจะเสียหรือไม่ และผมก็ทราบด้วยว่า เมื่อวิ่งแบบแบตเสื่อมนั้น ไฟหน้ารถผมขาดง่าย บ่อย และเร็วกว่าปกติ และถ้าไม่มีแบต แต่โหลดกินกระแสทั้งหมดมากกว่าได ไดก็ไหม้ ผมก็ทราบครับ แต่คุรไม่ได้อธิบายอะไรเลย มีแต่คำประชดประชันว่า รถพี่เจ๋ง ขอรถมาลองหน่อย กล้าวิ่งมาร้านผมไหม มีไฟจากไดชาร์จเองได้ด้วย ไหนล่ะครับคำอธิบายที่ถูกต้องของคุณ??? อาการทั้งหมดนี่กินเวลานานครับ หลายวัน รถผมน่ะผมกล้าวิ่งไปแน่ครับ ขอแค่มีคนเข็นให้ถ้าผมขับดับกลางทาง ผมขอแค่คุณอธิบายระบบไฟโดยละเอียดให้ทุกคนและเจ้าของกระทู้ได้ความรู้นะครับ คุณทำไหม? คุณถามว่า รถผม เพิ่มไดหรือเพิ่มแบตก่อน ผมก็ตอบว่า เพิ่มไดก่อนครับ เป็น 85A เพราะผมมัปัญหาแบตหมด แล้วผมจึงเพิ่มแบตทีหลัง ระบบของผมจึงเป็น 85-60 ซึ่งก็ดูสมดุลดี คุณถามผมว่าผมจะ “เลือก” “เพิ่มอะไรก่อน” ผมก็เลือก เพิ่มได ครับ เพราะไฟไม่ชาร์จ และผมก็บอกว่าเพิ่มแบตทีหลังตามเวลาที่แบตหมดอายุการใช้งานเท่านั้น ตามนั้น ผมไม่ได้บอกว่าต้องเพิ่มไดเพียงอย่างเดียว แต่คุณก็นำประเด็นนี้มาตั้งคำถามว่า ไดสิบลูก เครื่องเสียงเก้าพันวัตต์ ใช้ได้ไหม ผมตอบว่า ใช้ได้ครับ “ตราบใดที่กระแสจากไดเพียงพอตอนแอมป์กระชาก” คุณก็มาตอบว่า เขาต้องเพิ่มแบตก่อน และบอกในตอนหลังว่า มีรถใส่ไดเป็นสิบลูก แต่กระแสก็ยังไม่เพียงพอ มันวูบ จึงต้องใช้แบตต่างหาก ผมสงสัยว่า ที่คุณอธิบายในตอนหลังนั้น มันไม่ตรงกับคำตอบของผมอย่างไร (รถไดสิบลูกผมก็เห็นมาแล้วครับ ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันวิ่งใช้งานจริงได้ไหม) และแบตมันขับได้นานเท่าไหร่ คุณก็ยังไม่ตอบผม เสถียรไหมครับ? การที่มันวูบๆ นั้นแปลว่าไดไม่สามารถผลิตกระแสได้เพียงพอ (ตรงตามความเห็นของผมหรือไม่) และถ้าผมย้อนคำถามเดียวกันให้กับคุณว่า ผมมีจำนวนไดยี่สิบลูก สองเท่าของเดิม กับแอมป์เก้าพันวัตต์ของคุณ มันจะไหวไหม คุณมีร้านเครื่องเสียง ทำไมคุณไม่ลองวัดแอมป์จากไดสิบลูกตามคำถามคุณ แล้วมาตอบล่ะครับ ทดลองใส่ไดจนกระทั่งกระแสรวมมากกว่าโหลดแอมป์ แล้วดูว่ามัน วูบ ไหม หรือคุณจะกรุณาช่วยอธิบายว่า "ทำไม" จึงต้องใช้ไฟแบตแทนที่จะเป็นำไฟไดชาร์จเพียวๆ คำตอบว่า “วูบ” อาจไม่ได้แปลว่า ไฟจากไดใช่ไม่ได้นี่ครับ มันแปลว่า ไม่พอหรือเปล่า? ขอโทษนะครับ คำถามของคุณไม่เหมือนคนที่จะแลกเปลี่ยนความรู้เลย เป็นคำถามเหมือนพวกลองวิชา ตั้งคำถามสุดขั้ว มาหลอกล่อให้คนอื่นพยายามตอบ ดึงให้เข้าทางของคุณ แล้วคุณก็รอหักเขา ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว กับผู้ตอบคนอื่นๆ บนๆ ก็เช่นกัน ที่ผมตอบผมก็ไม่เคยไปหักหรือฉีกหน้าคนอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับผม ผมก็อธิบายของผมไป คนอ่านใช้วิจาณานเอาว่ามีน้ำหนักเชื่อได้ไหม คนรู้มากเขาก็รู้ถูกผิด ผมก็อ่านของคนอื่นนะครับ ไม่ใช่ไม่อ่าน พอผมย้อนไปอ่านหลายๆความเห็นบนๆ ของคุณ มันดูเหมือนคุณเล่นเกมฉีกหน้าคนอื่นซะมากกว่า นี่ไม่ใช่วิสัยของคนที่มีความรู้แชร์ความรู้นะครับ คนเขาพยายาม “ช่วย” กันทั้งนั้น แต่คุณเป็นพวกอวดรู้ที่พยายามจะให้เห็นว่าตัวเองรู้มากกว่าคนอื่นซะมากกว่านะครับ ผมคงหน้าใหม่สำหรับเวปพันทิปมากเกินไป ไม่รู้ว่าที่นี่เขาเล่นอะไรกัน แต่ผมบอกสั้นๆ นะครับ มัน “ทุเรศ” ไม่ต้องทำเป็นถ่อมตัวว่าไม่มีความรู้ไม่กล้าสอนใครหรอกครับ เพราะการกระทำแบบหักและเหน็บของคุณมันแปลว่า “คนอื่นโง่ และคุณรู้มากกว่า” โดยปริยายครับ คุณไม่ต้องขอโทษเจ้าของกระทู้หรอกครับ ถ้าคุณเขียนมาเป็นเรื่องเป็นราวตามที่คุณเข้าใจ ผิดหรือถูกมันก็เป็นการ contribution สร้างแหล่งความรู้ได้แน่นอนไม่มากก็น้อย อย่างที่คุณอ้างว่าพันทิปเป็น “แหล่งองค์ความรู้” แหละครับ แต่ผมยังไม่เห็นว่า เขาได้คำตอบความรู้ที่ถูกต้องอะไรจากคุณเป็นชิ้นเป็นอันเลย คุณไม่ได้พยายามอธิบายอะไรเขาเลยด้วยซ้ำไป คนที่เข้ามา มาด้วยความอยากรู้ แต่ได้คำตอบออกไปว่า “เออ กรูก็ไม่รู้เหมือนเดิม” มัน ทุเรศ ไหมครับ จากคุณ : quintix - [ 9 ก.พ. 52 14:52:05 A:210.246.74.156 X: ]

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ : quintix  ผมว่าคุณคิดมากไปเเล้วนะครับ มันม่ใช้การเสียหน้านะครับ ผมก็ตอบผิดเหมือนกัน เเต่ว่าก็หาข้อมูลเพิ่ม เเต่คุณ กับมีความรู้สึกว่า นี้เป็นการขุดหลุมดัก ทั้งๆที่ผมเองขนาดทำงานด้านนี้มานานยังรู้สึกว่าที่ตัวเองเคยคิดนะมันผิด มันมีอะไรมากกว่านั้น ผมว่าคุณไม่รู้อะไรก็น่าจะระวังคำพูดในการเเสดงความเห็นเเละรับผิดชอบสิ่งที่พูดน่าจะดีกว่าครับ อันไหนพลาดก็ถือว่าได้ความรู้ใหม่ ผมสิเวลาพลาดน่าจะเจ็บตัวกว่าเพราะผมมีอาชีพในด้านนี้  ทำไม่ครับต้องถูกใจใช่ไหมครับ ผมว่าคุณไม่น่าจะเป็นหน้าใหม่เลยนะครับ ผมงงกับคุณพอสมควรคุณโกรธผมที่บอกว่ารถคุณ ดีที่สตาทได้โดยที่ไม่มีเเบตหรือครับถ้าใช่ก็ขอโทษเเล้วกัน ปล่อยให้มันเป้นอากาศว่างเปล่าไปนะครับ  ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ คนอ่านเขาคงเข้าใจในตัวคุณดีขึ้นครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 9 ก.พ. 52 16:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 78 อ้างถึง คคห. 76 ... หน้าใหม่หน้าเก่าไม่เกี่ยวครับ รู้มากรู้จริงและเต็มใจเปิดเผยก็มีแต่คนยกย่อง รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่เต็มใจโอ้อวดก็หน้าแตกไปเอง หน้าแตกแล้วเต็มใจรับฟังแต่โดยดี ปล่อยให้ผิดเป็นครูก็เติมได้เรื่อยๆ จนเต็ม หน้าแตกแล้วทำตัวเป็นชาล้นถ้วย ใช้คำพูดหลบไปหลีกมาเพื่อให้กลับรำได้เนียนๆ ก็จะทำให้ผู้อ่านที่อ่านตั้งแต่ คห. 1 รู้ได้เองครับ.... น้า quintix อย่าซีเรียสครับ การเล่นเวบบอร์ดพันทิพย์ใน คคห. ส่วนตัวผมสำคัญที่ "ความจริงใจ", "สปิริต", "มารยาท" และ"ความถ่อมตน" รู้ก็โพสต์ ไม่รู้ก็ไม่โพสต์ ไม่รู้แต่อยากโพสต์ก็ค้นคว้า เข้าใจผิดก็รับฟังเพิ่มเติม แต่ถ้าทำตัวเป็นชาล้นถ้วนผิดไม่เป็นก็รู้อยู่แค่นั้นแหล่ะครับ ไม่มีใครอยากเติมให้อีก เพราะหลายคนคงคิดว่าวันนี้รู้แค่นี้ยังผยองขนาดนี้ วันหน้ารู้มากกว่า(ด้วยความรู้ทีกรูให้ไป)จะผยองเยี่ยงใด ????? พรุ่งนี้ก็เช้าครับน้า quintix จากคุณ : ริมกรุงเทพ - [ 9 ก.พ. 52 18:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 79 1. แบต 10a มันพอสำหรับการสตราร์ทรถรึเปล่าก็ไม่รู้ (เดาว่าไม่พอ) 2. แบต500a แต่ไดแค่ 10a แบบนี้ไดก็พังพอดี แล้วอีกกี่ปีไดถึงชาร์จไฟเข้าแบตจนเต็มได้ ไดกับแบตต้องสัมพันธ์กันสิครับ ผมเดาเอาเองว่ามันน่าจะใช้ไฟจากทั้งไดและแบตเพราะมันพ่วงต่อกันหมด เหมือนมีบ่อน้ำ 2 บ่อ ต่อท่อถึงกัน เมื่อสูบน้ำออกจากบ่อที่ 1 น้ำในบ่อที่ 2 ก็จะลดลงด้วย และเมื่อเปิดก๊อกน้ำเข้าบ่อที่ 2 น้ำในบ่อที่ 1 ก็จะเพิ่มด้วยเช่นกัน ถ้ารถใช้ระบบไฟฟ้าเยอะๆ จนไฟจากไดไม่พอ แบตก็จะต้องทำหน้าที่ในการสำรองส่วนต่างตรงนั้นแต่ก็จะได้ในช่วงเวลานึงเท่านั้นจนไฟหมดแบต แต่ถ้าไดใหญ่พอก็ไม่มีปัญหา ถ้าสตาร์ทรถได้แล้ว ถอดแบตออก รถยังวิ่งได้เพราะไดชาร์จปั่นไฟเข้าระบบ ในทางกลับกัน รถที่ขับๆ อยู่แล้วไดเกิดเสียขึ้นมา รถก็ยังวิ่งต่อได้เหมือนกันเพราะแบตยังมีไฟเก็บไว้ เมื่อไฟสำรองในแบตหมด รถก็ดับ จากคุณ : k.bom - [ 9 ก.พ. 52 19:09:18 ]

ความคิดเห็นที่ 80 อ่าน คคห.78 อยากให้ กิฟคุณ ริมกรุงเทพ สัก 1,000 กิฟ จากคุณ : dum.d - [ 9 ก.พ. 52 21:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 81 พอดีไปเจอเวปนี้คิดว่าให้ความรู้ดีๆ และน่าจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆครับ http://www.civicfdthailand.com/ipb_forum/index.php?showforum=15 ใครว่างๆก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ครับ จากคุณ : dum.d - [ 9 ก.พ. 52 21:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ว่าจะมาอธิบายเท่าที่พอจะหาเหตุผลได้เพิ่มเติม  และหาความรู้ไปในตัว อ่านมาถึงตรงนี้ไม่โพสละ   เริ่มมปัญญาอ่อนละ   ก็เห็นด้วยกับคุณ quintix ครับ  และก็อย่างว่าครับ .... ผมว่าใครอ่านถึงตรงนี้ก็คงได้สาระไปมากมายจนเข้าใจระบบไฟในรถระดับหนึ่งเลยละครับ .... อืมมม และก็คงได้สาระเรื่องคนๆธรรมดา พยายามจะไม่ธรรมดา ไปอีกระดับหนึ่งเช่นกัน จากคุณ : climaxdive - [ 10 ก.พ. 52 00:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 83 จุดประสงค์ของการใช้แบตเตอรี่ ประโยชน์ของแบตเตอรี่รถยนต์มี 3 ประการ 1. จ่ายพลังงานให้สตาร์ทเตอร์และระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน 2. จ่ายพลังงานส่วนเกินให้กับรถยนต์เมื่อการใช้ไฟฟ้าในรถยนต์เกินปริมาณที่ระบบชาร์จไฟในรถยนต์สามารถผลิตได้ 3. รักษาระดับโวล์ทเทจของระบบไฟฟ้าในรถยนต์ให้คงที่ ช่วยป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้เกิดความเสียหาย ข้อมูลจาก winandwill.com ครับ เพื่อนๆคงได้ความรู้เพิ่มนะครับ ส่วนที่ว่า ขณะสตาร์ทเครื่องไว้ ไฟจะมาจากแบต หรือจากไดชาร์ท จากข้างบนคงตอบเหมือนที่คุณ: sunsetbeach หรือเพื่อนๆหลายคนบอกนะครับที่ว่าถ้าไม่เกินโหลดที่ไดชาร์ทให้ได้ก็กินไฟจากไดชาร์ทถ้าเกินโหลดก็กินจากเเบต(ต้องมีทั้งคู่ในระบบนะครับ มันเกี่ยวกับข้อ 3) จากข้อ 3 จะเห็นได้ว่าเเบตเป็นอุปกรณ์หลักตัวหนึ่งที่ทำให้ระบบไฟในรถทำงานได้ การขาดเเบตจะทำให้เเรงดันไม่คงที่เเปรเปลี่ยนไปตามรอบเครื่องครับ เเละถ้าเเบตใหญ่ไปไดชาร์ทมีขนาดเล็กกว่าก็ทำงานหนัก ควรเปลี่ยนไดชาร์ทให้เหมาะสมกับขนาดเเบต จริงๆเเล้วที่ผมตั้งคำถามเพราะรู้สึกได้ว่าเราไม่สามารถใส่ไดชาร์ทขนาดใหญ่มากๆเพียงเพื่อต้องการกระเเสมันจำเป็นต้องไล่ขนาดเเบตเพิ่มควบคู่กันไปนะครับ ผมถึงตั้งคำถามไปเช่นนั้น เเละยิ่งการที่บางท่านบอกว่าใช้ไดชารท์ได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีเเบต ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้(จากการที่สอบถามเพื่อนๆที่ทำร้านได) เเละ จากคำถามจากเจ้าของกะทู้นะครับ ผมอาจคิดลึกเกินไปจริงๆ ผมว่ามันน่าจะมีข้อมูลที่มากกว่าการที่ระบบไฟในรถขณะสตารท์ กินไฟจากไดชารท์โดยที่ไม่เกินโหลดนั้น ไม่ได้เกิดจากฐานไฟของเเบตเตอรรี เเต่ในเมื่อสิ่งที่ผมสงสัยยังหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆยังไม่ได้ก็ขอยืนตามข้อมูลทางด้านบนไปก่อนนะครับ คำถามอะไรที่ผมตั้งขึ้นถ้ามองว่าประชดประชัน เเดกดันก็ขออภัยใว้นะที่นี้ด้วยครับ อะไรที่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ก็อย่าไปเชื่อทั้งหมดนะครับ อะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็หวังจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้กับเพื่อนๆครับ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 10 ก.พ. 52 00:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 84 พอดีช่วงวันหยุดไม่ได้เข้า net วันนี้พอเข้ามาก็ตะลึงนิดหน่อยไม่นึกว่า มีถึง 80 กว่าโพสแล้ว อ่านแล้วส่วนตัวได้รับข้อมูลและแง่คิดมากมาย (ไม่คาดคิด) และคิดว่าหลายๆท่านก็ได้รับด้วย ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ตอบและให้ความเห็นนะครับ ความสัมพันธ์และเกี่ยวพันกันของทั้งไดและแบต เป็นสิ่งที่น่าชวนคิดและคำนึงถึงไม่น้อยสำหรับ ผู้ชอบเครื่องเสียง ว่าจะจัดการให้ทั้งสองสิ่งนี้มีขนาดหรือประสิทธิภาพที่สอดคล้องกันในระดับใด (อ้อ และแน่นอนว่าเรื่องระบบไฟยังมีเรื่องอื่นที่ควรใส่ใจด้วยอีก เช่น สายไฟ/กราวน์ ขั้ว ฯลฯ) สำหรับส่วนตัวที่มีการไปเปลี่ยนแบตมาแล้ว สเตปต่อไปคงต้องมองไปที่ตัวไดชาร์จด้วยแล้วหล่ะ 55 ว่าแล้วงานก็มีงานเข้า... แต่ว่าในทางปฏิบัติมีความรู้สึกว่า การเปลี่ยนหรือปรับปรุงไดชาร์จมัน ยุ่งยากกว่าการเปลี่ยนแบตไม่ใช่น้อยเลย !!! จากคุณ : จขกท (tveeroj) - [ 10 ก.พ. 52 15:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อ่านแล้วอึ้งครับ ผมคิดเหมือน จขกท ในความเห็น 84 เป๊ะเลยครับ ปล. งานนี้คุณ sarawut (tao mockup) โดนคุณ quintix ด่าได้ถูกใจผมเลยครับ  ผมอ่านวนซ้ำสองรอบ (ยาวจริงๆ) ความรู้สึกเหมือนที่คุณ quintix ว่าเอาไว้เลยครับ ถ้าคุณ sarawut จะขอโทษคุณ quintix ด้วยความจริงใจ (ถึงแม้จะไม่มีเจตนาทำแบบที่โดนว่าเอาไว้ก็ตาม) จะเป็นการดีครับ ช่วยคลี่คลายบรรยากาศ และไม่ให้น้าๆ ทั้งหลายทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่เข้าใจผิดหรือหมั่นไส้เอาได้นะครับ ขอเสริมความรู้นิดนึงครับ ไดชาร์จ (ที่เราเรียกกัน) ฝรั่งเรียก Alternator นะครับ ไม่มีใครเรียกไดชาร์จ ผมเคยเจองานสัมมนาครับ ฝรั่งบรรยาย โดนคนไทยถาม "ไดชาร์จ" ฝรั่งยืนงงตั้งนาน ต้องมีคนช่วยแปลอังกฤษเป็นอังกฤษให้ฝรั่งฟังอีกที (ทั้งขำทั้งเศร้าที่คนไทยชอบเรียกอะไรผิดๆ) Alternator เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แต่ถ้าเป็น Generator เขาใช้เรียกเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ครับ สมัยโบราณเรียก Dynamo ย้ำอีกครั้งครับ คนไทยหัวโบราณครับ เพราะเรียก "ไดนาโม" ซึ่งเป็นชื่อเก่า สมัยใหม่ไม่ค่อยมีคนเรียก เขาเรียก Electric Generator หรือเรียกย่อๆ ว่า Generator ครับ มีบ้างที่ฝรั่งจะเรียก AC Generator หรือ DC Generator แต่โดยความเข้าใจส่วนใหญ่ในปัจจุบัน AC Generator จะเรียกว่า Alternator ส่วน DC Generator ก็เรียกเป็น Generator เฉย สมัยก่อนในรถยนต์จะใช้ Dynamo ครับ แต่ประสิทธิภาพต่ำ สมัยใหม่จึงใช้ Alternator แล้วก็มีวงจร Rectifier เรียงกระแสให้กลายเป็นไฟ DC จะมีประสิทธิภาพมากกว่า ไดนาโมที่เห็นง่ายสุดก็ในล้อจักรยาน (คนรุ่นผมเห็นเยอะ แต่รุ่นนี้คงไม่ค่อยเห็นแล้วมั้ง) ไว้ปั่นไฟให้หลอดไฟหน้าจักรยานครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 52 23:38:01 จากคุณ : ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน - [ 10 ก.พ. 52 23:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ไม่ได้เข้ามาอ่านซะหลายวัน     พอเข้ามาอ่านก็ได้เจอกระทู้ดีๆแบบนี้   ขอร่วมโหวตด้วยอีกคนนึง พึ่งรู้ว่าในนี้มีหลายคนที่ซุ่มอ่านอยู่   แต่ก็มีความรู้ทางด้านไฟฟ้าในรถที่เก่งเอาเรื่องหลายคนเลยครับ   ขอคาราวะซัก   รวมถึงขาเก่าที่ตอบเป็นประจำด้วย   นับถือๆๆๆๆ ตัวผมก็ไม่ทราบอะไรมากทางทฤษฎีเลยอาจจะตอบไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ขอออกความเห็นอย่างง่ายๆว่า ความต้องการกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานในรถทั้งหมด(รวมเครื่องเสียงที่ใช้ไฟเพิ่มมากขึ้นจากเดิมเยอะ )       มันต้องสมดุลย์กับความจุไฟของแบตเตอรี่และต้องสมดุลย์กับกำลังไฟชาร์ทที่มาจากไดชาร์ท หากอย่างใดอย่างหนึ่งไม่สมดุลย์กัน    จะต้องมีผลเสียต่ออย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งหมดในสามอย่างนี้อย่างแน่นอนครับ ๕๕๕....ดีที่มาอ่านที่หลัง    ไม่งั้นคงจะต้องพิมพ์ยาวเหยียดแน่ๆ   ดีที่มีคนมาอธิบายยาวๆก่อนหน้า   ทำให้ผมพิมพ์ได้สบาย   จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 10 ก.พ. 52 23:32:16 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ความเห็นที่ 85 จริงครับที่ฝรั่งหรือทางสากลเค้าเรียกกันอย่างนี้ แต่อย่าไปสนใจความถูกต้องมากเกินไปเลยละครับ  อิอิ จะว่าไปตัวผมถนัดที่จะเรียกแบบนี้ละครับ   แหะๆ เคยลองเรียกตามที่ฝรั่งมันเรียก  ในการสั่งงานกะลูกน้อง ปรากฎว่าต้องเสียเวลาอธิบายให้มันฟัง   และพอเวลาผ่านไปได้ไม่ถึงชั่วโมง     ลูกน้องมันก็มาบอกว่า "พี่ เปลี่ยนน๊อตขาได.เสร็จแระ" ผมว่าจะเรียกยังงัยก็ได้   ขอให้เป็นที่เข้าใจในบ้านเราดีกว่าครับ   จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 10 ก.พ. 52 23:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เข้าใจและเห็นด้วยครับ กับคุณเสือปลาขี้เมา แต่ไอ้ผมมันประเภทช่างตรวจคำผิดครับ ก็เลยอยากบอกให้รู้กันว่าที่เรียกๆ กันทุกวันนี้ ไอ้ไดๆ ไดชาร์จ ไดสตาร์ท เรียกผิดทั้งนั้น ไม่ว่าช่างเก่ง ช่างไม่เก่ง หรือแม้แต่ช่างเลือกอย่างผม บอกเป็นความรู้ จะได้ไม่ตกม้าตายตอนเจอฝรั่ง เหมือนกรณี "โช้คอัพ" กับ "โหลดเตี้ย" นั่นแหล่ะครับ เรียกที ฝรั่งแทบบ้าไปเลย เจอภาษาอังกฤษแบบไทย จากคุณ : ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน - [ 10 ก.พ. 52 23:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ว่าแล้วก็เอารูป "ได" ของจริงให้ดูซะเลย "ได" อันนี้ไม่ชาร์จ เพราะไม่ได้ต่อแบต แต่จ่ายไฟให้กับรถได้ หากใครจะลองต่อเครื่องเสียงรถดูก็น่าจะเท่ห์ดีนะครับ รถ...จักรยานนะ จากคุณ : ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน - [ 10 ก.พ. 52 23:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขอบคุณ คุณ ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน สำหรับการเตือนสติครับ ผมว่าผมคงจะเกินเหตุไป แฮะๆเเปลว่าที่ รถคุณ quintix เข็นติดเพราะรถเเกใช้ไดนาโมชนิดเดียวกับที่ใช้ในจักรยานหรือครับ? คุณ : ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน ส่วนเรื่องทีผมตั้งคำถามบ้าๆบอก็คงต้องขอโทษคุณ quintix ด้วยครับ ผมอาจจะร้อนวิชามากไปครับ ผมขอโทษครับ อะไรที่ล่วงเกินไปผมก็ขออภัยด้วยเเล้วกันครับ อะไรที่เคยคิดว่าใช่ก็ได้เพิ่มเติมความรู้ขึ้นครับ ผมว่าดีครับสำหรับความรู้ที่ได้ ผมเองพอโดนต่อว่าผมก็หาข้อมูลเพิ่มตลอดนะครับ เเต่ก็หาได้แบบไม่เคลียร์ เลยตามมาด้วยคำถามที่มันตรงกับการใช้งานในชีวิตจริงของผมเช่นการที่บอกว่า ใช้เเอมป์ 4500วัตน์ 2 ตัว กินกะเเส 1000 แอมป์ ผมมีไดชาจน์ 1000แอมป์ เเค่นี้ผมใส่เเบตน้อยๆได้ไม่ (ผมไม่ได้ตั้งคำถามเเบบก่อกวนจริงๆ ผมทำรถพวกนี้อยู่ และมันทำไม่ได้จริงๆ) เเละก็ยังไม่ได้คำตอบเเบบที่มันกะจ่างเห็นเเจ้ง ถึงผลกะทบของระบบไฟนะครับ จริงๆอยากให้คนที่รู้เรื่องจริงๆเข้ามาอธิบายข้อสงสัยที่เกิดขึ้น เอาเเบบ คุณ: ศิษย์หลวงตา..ใฝ่หานิพพาน น่าจะหาข้อมูลในส่วนที่ผมต้องการได้ก็ขอรบกวนด้วยครับ สุดท้ายครับผมขอโทษเพื่อนๆด้วยครับที่ต้องมานั่งทนอ่านข้อสงสัยของผม อันมากมาย หวังว่าคงน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่มีคนที่คิดเห็นในอีกมุมหนึ่งครับ ไม่ใช้มีเเต่คนที่เออออห่อหมกไม่กล้าที่จะถามในข้อสงสัยที่ตัวเองมีครับ(เดียวจะไม่มีตัวโกงเสียเลยครับ) จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 11 ก.พ. 52 01:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 91 สรุปนะครับ คำนวณดูแล้วกันครับ P = IV ว่าต้องการกระแสเท่าไหร่ อย่าลืมบวก Load ต่างๆของรถไปด้วยนะครับ 20 - 50 Amp ก็แล้วแต่รถครับ จากนั้นก็มาดูว่า Alternator หรือ ไดชาร์จ ผลิตกระแสได้เท่าไหร่ 1. ถ้ามีเพียงพอกับที่ต้องการก็ไม่ต้องทำอะไร อยากเพิ่มแบตเพื่อดับเครื่องฟังเพลงให้นานขึ้นก็ได้ครับ หรือจะเปลี่ยนแบตแห้งพวก Optima หรือ Stinger พวก Deep Cycle ที่มัน Discharge กระแสได้เร็วๆกว่าแบตน้ำก็ได้ครับตามความพอใจ แต่แบตต้องสมดุลกับ Alternatorครับ 2. ถ้ากระแสที่ต้องใช้มากกว่าที่ Alternator ผลิตได้ เปลี่ยนแบตไม่ช่วยครับ ต้องแก้ที่แหล่งต้นตอ คือ Alternator เท่านั้น หา Alternator ที่ผลิตได้มากขึ้นครับ จากนั้นจะเปลี่ยนแบตก็ตามสะดวก 3. ถ้าคำนวณแล้วกระแสที่ผลิตไม่พอ แต่เปลี่ยนแบตไปแล้วแต่กลับรู้สึกว่าดีขึ้นก็เพราะว่า คุณไม่ได้เปิดที่ Max Power ตลอดเวลาเหมือนรถโชว์ คุณอาจจะมีฟังเบาๆ ฟังข่าวบ้างซึ่ง ณ เวลานั้น ไม่ได้ต้องการกระแสมากกว่าที่ Alternator ผลิตได้มันจึงมีเหลือไป Charge แบตได้ ก็เป็นไปได้ว่าแบตเลยมีพอที่จะสำรองให้คุณใช้ได้ แต่ถ้าเปิดที่ Load ที่มากกว่า Alternator ผลิตได้ มันก็ต้องดึงจากแบตในส่วนที่เกิน สุดท้ายแบตก็ต้องหมด คุณก็ต้องมาปรับปรุง Alternator อยู่ดี Alternator generate AC (กระแสสลับ) จริงครับแต่มีตัวแปลงเป็น DC (กระแสตรง) และทำใฟให้นิ่งอยู่ใน Range ไม่เกิน 14.4 ครับ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่า Alternator ใหญ่อุปกรณ์จะพังครับ มันมีตัวที่ Sensitive กว่า เช่น ECU ครับ เค้าออกแบบมาแล้ว ฉะนั้นไม่มีแบตไฟก็วิ่งได้โดยไม่ทำความเสียหายแก่อุปกรณ์ครับ Post ตาม Link นี้น่าจะตอบคำถามได้หมดครับ เพียงแต่เป็น ภาษาอังกฤษ Topic: Second battery, bigger alternator or a second cap? http://www.audiogroupforum.com/csforum/showthread.php?t=36549 อันนี้สิ่งที่ควรทำกับระบบไฟสำหรับรถที่ทำเครื่องเสียง เค้าเรียกว่า Big 3 Upgrade สรุปโดยย่อ Definition: the "Big Three" upgrade means improving the current capacity of three cables: 1) alternator positive to battery positive, 2) battery negative to chassis, and 3) engine ground to chassis.  Some people replace the factory wiring; others add additional cables to the factory wiring.  This instruction is to add cables to existing OEM wiring. กระทู้เต็มๆ http://www.the12volt.com/installbay/forum_posts.asp~TID~73496~PN~1 อย่าเป็นชาล้นถ้วยเลยครับ ความรู้อีกเยอะในโลก Cyber เปิดหูเปิดตา หาข้อมูล รับฟังผู้อื่นบ้างครับ โชคดีครับ จากคุณ : นอต (coolknott) - [ 11 ก.พ. 52 02:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณครับคุณนอต    ได้ความรู้ดีจัง จากคุณ : climaxdive - [ 11 ก.พ. 52 02:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เต้า เราเป็นร้าน อย่าอาจหารตำหนิคน เต้า จะอยู่ทน หมั่นฝึกฝน การพูดจา เต้า ครับผมได้ยินคำชมจากผู้ใหญ่หรือคนเก่าแก่ในวงการถึงเต้ามามากพอสมควรในเรื่องความเก่ง พี่ก็ได้แต่แอบชื่นชมเวลาเห็นรูปเต้ารับถ้วยรางวัลว่าคนเก่งคือคนนี้นี่เอง แต่พี่ก็แอบเห็นเงาตัวเองอยู่บ้างบางทีเวลานึกถึงสมัยก่อน เต้าอย่าลืมนะครับวงการเครื่องเสียงรถยนต์มันเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับวงการอื่นๆ พี่เองเคยทำงานที่ต้องพบปะผู้คนมากมายทั้งพ่อค้า นักธุรกิจ รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีท่านหรือสองท่านให้พี่เข้าพบได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องต่อคิวหรือเดินถือซองเอกสารอะไรวุ่นวาย มีเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ตลอดเวลาโดยที่ผู้ใหญ่หรือเอ็มดีของพี่ยังต้องติดต่อผ่านเลขาอีกที แต่วันดีคืนดีพี่ต้องออกจากที่ทำงานก็เพราะรัฐมนตรีเต้าจะเชื่อหรือเปล่าพี่ไม่รู้นะ พี่เคยได้ยินผู้ใหญ่ในวงการว่า "มือะไรบอกกูจะช่วยไปถามใครก็ได้ว่าอิทธิพลกูขนาดไหนในวงการ" แต่พี่ก็ไม่เคยไปใช้บริการผู้ใหญ่คนนั้นหรอกนะ เพราะอิทธิพลในวงการเล็กๆ แค่เนี๊ยมันไม่ได้มากมายอะไรเท่ากับที่พี่เคยเจอมาหรอกนะ พี่ได้ประสบการณ์อย่างนึงจากการทำงานตรงนั้นแล้วนำมาใช้ในวงการนี้ว่า ให้อยู่อย่างพอดี ยอมเป็นลูกแมวให้คนเค้าอุ้มชูดีกว่าเป็นลูกหมูรอเค้าเชือดสักวัน เรื่องที่เต้าโดนตำหนิพี่เข้าใจเลยครับว่ามาจากความรู้ที่คิดว่ามากหรือน้อยซึ่งพี่เองก็เคยเป็นบางที บางอารมณ์ก็อยากจะบอกคนบางคนว่าไม่รู้อย่าอวดได้ไหมแต่เราก็ทำไม่ได้เพราะเราอาจไม่รู้ก็ได้ว่าเราคิดผิด ยังงัยก็ขอเพียงแค่มีสติให้มากกว่าคนเล่นทั่วไปเวลาการเอื้อนเอ่ยออกมา มันจะเป็นผลดีกับเรามากกว่านะ เต้าครับ เย็นไว้ครับ จากคุณ : คนโดนยึดอมยิ้ม - [ 11 ก.พ. 52 02:59:33 A:125.24.182.225 X: TicketID:138048 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณคราบพี่ไมค์ ผมจะเก็บใว้ในเมเมรีครับ จะพยายามลดอาการปลาหมอลงคราบ จากคุณ : sarawut (tao mockup) - [ 11 ก.พ. 52 08:24:06 ]