ความคิดเห็นที่ 1 ... ยกตัวอย่าง ง่าย ๆ... .... สายยางฉีดน้ำ ถ้าเราเปิดน้ำก๊อกตามบ้านทั่วไปแล้วใช่สายยางขนาดพอดี ๆ น้ำมันก็จะพุ่งแรง ... แต่ถ้าเอาสายยางดับเพลิงมาใส่ก๊อกตามบ้าน มันก็แทบจะไม่ไหล ถึงไหลก็เอื่อย ๆ ไม่แรงเหมือนสายอันเล็ก ๆ... ... ท่อรถก็ เหมือนกัน ครับ ขนาดของมัน ต้อง ทำให้พอดีกับขนาดของไอเสียที่ระบายออกมา ถึงจะสมดุลย์ เล็กไปก็ระบายไม่ทัน ใหญ่ไป ก็โล่งเกิน รอรอบ แรงต้นอืด .... สังเกตุพวกแว้น ที่นิยมใส่ท่อดัง ๆ โดยใช้เครื่องเดิม ๆ วาล์วไอเสีย กะ แหวนลูกสูบ จะไปก่อนเพื่อน เพราะ มันไม่สัมพันธ์กัน ครับ... .... ผิดถูกอย่างไรรอ ผู้รู้ทั่นอื่นมา เสริมอีกทีนะครับ... แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 00:38:00 จากคุณ : บ่าวหละปูน (GlOcK18c) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 00:37:37

ความคิดเห็นที่ 2 ท่อไอเสียที่ดีจะต้องให้ความลื่นไหลในการคายไอเสียออกครับ ลองนึกภาพขณะที่ลูกสูบกำลังดันตัวขึ้นเพื่อไล่ไอเสียออกจากห้องเผาไหม้ ถ้าท่อไอเสียมีแรงต้านมาก ลูกสูบก็ต้องออกกำลังดันไอเสียให้ออกไปจาก ห้องเผาไหม้มาก จุดนี้ทำให้เสียกำลังไปฟรีๆ    ท่อไอเสียที่ดีจะต้องจัดระเบียบไอเสียในแต่ละสูบให้ไหลออกไปอย่าง ราบเรียบต่อเนื่องไม่ให้ไอเสียของแต่ละสูบแต่ละจังหวะมาปะทะกัน เป็นแรงต้าน จึงเห้นได้ว่ารถแต่งที่ใช้เฮดเดอร์ม้วนเป็นวงๆก้เพื่อรักษาจังหวะ และระยะของไอเสียในแต่ละสูบไม่ให้ออกมาชนกันเอง    ในขณะเดียวกันท่อไอเสียที่ดี จะสร้างแรงเฉื่อยที่ต่อเนื่องในท่อไอเสีย ที่จะเหนี่ยวนำไอเสียสูบถัดไปให้ไหลออกไปได้เร็วขึ้น รวมถึงเหนี่ยวนำไอดีให้วิ่งเข้าสู่ ห้องเผาไหม้ได้เร็วยิ่งขึ้น(ในจังหวะที่วาล์วเปิดโอเวอร์แลป) นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่อที่ โล่งเกินไปทำให้แรงม้าตกลง ก็เพราะไม่สามารถสร้างแรงเฉื่อยที่ต่อเนื่องได้      ขนาดและความยาวท่อไอเสียแต่ละแบบจึงต้องมีการออกแบบให้เหมาะกับรถแต่ละคัน เป็นรุ่นๆไป  ส่วนท่อแบบเน้นโล่งเน้นดังเข้าว่าไม่ได้ช่วยให้แรงขึ้นเสมอไปครับ ที่รู้ก็ประมาณนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 00:44:03 จากคุณ : todtoh เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 00:40:00

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนเราได้ขี้ได้เยี่ยว ก่อนเล่นกีฬา มันจะโล่งมากๆๆๆ ทำให้อะไรๆดีขึ้นตามลำดับ จากคุณ : tonky96 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 02:33:46

ความคิดเห็นที่ 4 ตาม คหที่ 2 เลยคับผม ท่อเล็กจะได้รอบต้นและกลางอีกนิดหน่อย ส่วนท่อใหญ่จะเสียต้นและกลางไปแต่จะได้ช่วงปลายมาแทนที่เพราะว่าอากาศเดินทางได้สะดวกในรอบเครื่องสูง ๆ โรงงานผลิตต้องคำนึงถึงค่ามลพิษและเสียง เค้าถึงไม่ได้ทำเป็นท่อสูตรออกมาจากโรงงานเลยคับ ท่อเดิม ๆ เหมาะกับรถที่ไม่ได้ปรับแต่งคับผม เพราะว่าทุกอย่างถูกคำนวณมาหมดแล้ว จากคุณ : maodarifto เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 03:00:51

ความคิดเห็นที่ 5 เราแบ่งรถออกเป็นสองแบบนะครับ... คือ รถที่หายใจเอง...อันนี้อย่าให้โล่งมาก...เพราะต้องอาศัยไอเสียในการดึง ไอดีเข้าเครื่องยนต์เช่นกัน...โล่งมากเกินไปท่อใหญ่เสียงดัง...แต่ไอดีถูก ถึงเข้าน้อย(เนือ่งจากเกิดสุญญากาศน้อยเกินไป ไอดีก็เลยเข้าได้น้อยกว่า เดิม...นอกจากจะไม่แรงแล้วยังเปลืองน้ำมันอีกด้วย...เข้าข่าย... "เสียงดัง หน้าแดง แฮงบ่อมี"... อีกประเภทคือ รถที่มีเครื่องช่วยหายใจ(อิอิ)เช่น เทอร์โบ หรือ ซูเปอร์ชาร์ต คือ เป็นเครื่องช่วยอัดอากาศด้านไอดีให้เข้าเครื่องยนต์ได้มาก...พวกนี้โดย มากท่อจะใหญ่กว่าสแตนดาร์ดเพื่อความโล่ง...ไอเสียออกไว(กังหันแกน เดียวกัน)ก็จะพาไอดีเข้าไวเช่นกัน ... แต่ทุกอย่างย่อมมีความพอดีครับจุดแต่ละเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน...คอท่อ เส้นผ่าศูนย์กลางท่อ...ก็ย่อมจะไม่เท่ากัน...ไหนจะจุดหักโค้งอีก...ของ จุดรวมท่อ...รถสูตรบ้านโดยมากก็ไม่ 4 รวม 1 ก็เป็น 4 รวม 2 รวม 1 หรือ 6 รวม 3 รวม 1 กรณ๊รถ หกสูบ... ศาสตร์เรื่องท่อไอเสีย ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูงครับ...ช่างท่อไอเสียน้อยรายจะรู้ ถ้าทำได้สูตรจริง ๆ จะได้แรงม้ากลับมาฟรี ๆ 5 ถึง 10 %...สำหรับรถหายใจ เอง...และประหยัดขึ้นด้วย...แต่ในความเป็นจริง พอรถแรงดี ก็ไม่ค่อย ยั้งเท้ากันหรอกครับ...เลยบ่น ๆ ยิ้ม ๆ ว่ารถแรงมันก็กินมากเป็น ธรรมดา...555 ส่วนถ้าเป็นรถเทอร์โบถ้าทำได้สูตรจริง ๆ ม้าจะมากขึ้นราว ๆ 10 ถึง 30 % และถ้ารวมกล่องแต่งด้วย...จะได้มาคร่าว ๆ ไม่ต่ำกว่า 50 % โดยไม่ยุ่ง กับไส้เดิมของรถเลย...(เครื่องดีเซลไส้ในจะทนกว่าเครื่องเบนซิน) ตัวอย่างของรถวีโก้ 3000 เดิม ๆ 163 แรงม้า กับ 300 กว่านิวตั้นเมตร เมื่อม้าลงพื้นจริง ๆ จะเหลือประมาณร้อยต้น ๆ กับ แรงบิดประมาณแตะ 300 แต่ถ้าได้ของครบ ๆ (ไม่ยุ่งไส้ใน)แรงม้าลงพื้นจริง ๆ จะมาราว ๆ 200 กว่าตัว และแรงบิดขึ้นไปถึงระดับ 500 กว่านิวตันเมตร ยาง 22 นิ้วก็ปั่นสบายครับ... ส่วนตัว 2.5 วีเอ็นเทอร์โบ เพิ่งออกมา คงเล่นได้แต่กล่องแต่งไปก่อน... ส่วนเรื่องท่อ ต้องรอสูตรอักสักพักนึงครับ...ก็จะตามมาเอง ร้านท่อไอเสียเป็นพัน ๆ ร้าน หาร้านที่ทำท่อเก่ง ๆ ได้ไม่เกิน 2 % ครับ... แชร์ ๆ ความรู้กันครับ จากคุณ : aaa_a...ครับผม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 03:51:58

ความคิดเห็นที่ 6 คำตอบท่านอื่นตอบไปกันหมดแล้วครับ เอาเป็นว่าผมเอาข้อมูลเกี่ยวกับท่อไอเสียมาบอกละกันน่ะครับ  หน้าที่หลัก ๆ ของมันเลย คือ - เอาไว้ระบายไอเสียที่เครื่องยนต์มันไม่ต้องการแล้วออกจากเครื่องยนต์   - เอาไว้ลดเสียงระเบิดในเครื่องยนต์ให้มันน้อยลง -  เอาไว้กรองมลพิษให้ออกมาสู่อากาศให้น้อยลง จากคุณ : แป๊ะปากซอย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 07:37:25

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนเรื่องรายละเอียดหลักการทำงานนี่ผมว่าท่านอื่น ตอบไปแบบชัดเจนหมดแล้วอ่ะครับ ผมขอเสริมอะไรนิดนึงเกี่ยวกับ ท่อพัก หรือบางท่านเรียก หม้อพัก ละกันครับ         บางท่านอาจจะเคยได้ยินกันมาว่า ท่อพัก สูตรเพิ่มแรงม้าอะไรทำนองนั้น อันนี้ไม่จริงครับ   ท่อพักที่ดีที่สุดก็คือ  ไม่มีหม้อพัก ครับ        แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงบนท้องถนนหลวงมันต้องมีท่อพักเพื่อไม่ให้คุณตำรวจที่หิวโหย     ที่ยืนรอที่หัวมุมถนนสนใจรถคุณมากนัก   อีกทั้งเป็นการช่วยลดภาระของคนอื่นที่ไม่ต้องมาสรรเสริญเยินยอบรรพบุรุษคุณตามหลัง   แต่ที่บอกว่ามันเพิ่มแรงม้านั่น  มันน่าจะหมายถึงว่ามันเอาแรงม้าที่มันเสียไป จากที่ใดที่หนึ่ง   กลับคืนมาให้รถคุณแบบที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง จากคุณ : แป๊ะปากซอย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 07:46:21

ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนเรื่องหลักการทำงานของท่อพัก  มันมีอยู่สามหลักครับคือ - แบบดูดซับเสียง(Absorption) - แบบจำกัดเสียง (Restriction)  - แบบสะท้อนเสียง (Reflection)         แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหม้อพักทุกหม้อจะมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ บางยี่ห้ออาจมีอย่างเดียว สองอย่าง หรือทั้งหมด แล้วแต่คุณภาพและราคา จากคุณ : แป๊ะปากซอย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 07:50:10

ความคิดเห็นที่ 9 แบบดูดซับเสียง(Absorption)  แบบนี้เป็นแบบที่ ข้างในจะบุด้วยใยแก้ว หรือใยโลหะ   ไอเสียจะวิ่งผ่านท่อข้างในที่เจาะเป็นรูพรุน (perforated tube)    ที่หุ้มใยพวกนี้ไว้   ทำให้เสียงลดลง   แต่ถ้าเป็นแบบดีขั้นมาอีกหน่อย  ภายในมันจะถูกกั้นเป็นห้องๆจากห้องใหญ่ไปห้องเล็ก เมื่อไอเสียวิ่งผ่านห้องพวกนี้ มันจะค่อยๆช้าลงเสียงมันจะลดลงด้วย ข้อเสียของแบบนี้คือไม่ค่อยลดเสียงเท่าไหร่ แต่ข้อดีคือไอเสียผ่านได้คล่อง จากคุณ : แป๊ะปากซอย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 07:52:09

ความคิดเห็นที่ 10 แบบจำกัดเสียง (Restriction) แบบนี้เป็นแบบมาตรฐานที่เห็นได้ในหม้อพักติดรถและตามร้านท่อไอเสียทั่ว ๆ ไป   เลยขอข้ามไปละกันครับ     แบบสะท้อนเสียง (Reflection) แบบนี้เด็ดมาก ต้องคำนวณออกแบบกันให้ดีเลยละครับ ไม่งั้นไม่ work แน่นอน ภายในจะออกแบบให้คลื่นเสียงสะท้อนหักล้างกันภายใน    ลองนึกถึงสมการคณิตศาสตร์ที่เรียนตอนเด็ก ๆ เมื่อโยกตัวแปรทุกอย่างมาทางซ้ายทางขวาจะเท่ากับศูนย์ แล้วคุณก็จัดการตัดเหล็ก พับเหล็ก ม้วนเหล็กตามค่าตัวแปรนั้นเสีย มันเป็นแบบนั้น นี่คือหลักการของท่อแบบสะท้อนเสียงด้วย                     เอาเป็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนมีสองด้านครับ มันเพิ่มความแรงก็จริงแต่มันก็มีผลเสียต่อเครื่องยนต์ เพราะถ้าคุณเอาไปใช้แบบไม่สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ มันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น ทุกอย่างมันต้องสัมพันธ์กันครับ   คนทั่วไปจึงมักบอกว่าของเดิม ๆ จากโรงงานดีที่สุดแล้ว เพราะเขาคิดคำนวนมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ควรจะใช้ท่อแบบไหนขนาดเท่าไร  เรื่องของล้อก็เหมือนกันครับ   เด็กไทยเราเล่นเอามายำซะเสียหมด     ผิดถูกประการใดขออภัยไว้ด้วยครับ  เครดิตข้อมูลบางส่วนจาก pantown ครับ จากคุณ : แป๊ะปากซอย เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:03:50

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกท่านนะครับ พอจะนึกออกแล้ว ประมาณว่า ถ้าออกไม่ดีก็เข้าไม่ดี ถ้าออกดีเกิน ก็อาจจะเข้ามากไป ว่าอย่างนั้นเถิด ก็พอนึกภาพออกแล้วครับว่าจะมีผลทำให้เครื่องเสีย ได้อย่างไร เช่นนั้น VIGO รุ่นใหม่ ที่มีวาวล์ แปรผันคอยควบคุมปริมาณไอเสีย คงวิ่งกันได้สุดเทวดาฟ้าดินเลยล่ะสิครับ ปกติเจ้าวีโก้นี่ ลากเกียร์ 5 ได้ตั้งแต่ 50 มันยังวิ่งเอาๆ ขอบคุณมากๆครับ  ถ้ามีอะไรจะมาสงสัยใหม่นะครับ จากคุณ : โกอ้วน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 08:37:28

ความคิดเห็นที่ 12   ท่อไอเสียจะมีผลกับความแรงมาก ฤ น้อย ขึ้นอยู่กับว่า รถรุ่นนั้นๆ มี "จังหวะโอเวอร์แลป" มาก ฤ น้อย อย่างพวกเวฟ 100 มีโอเวอร์แลปแค่ 2 องศา เปลี่ยนท่อไปก็แค่นั้น แต่ถ้าของแยมอะฮ่า ซึ่งมีโอเวอร์แลปมากกว่า การเปลี่ยนท่อก็ได้ผลมากกว่าเช่นกัน ยิ่งรอบสูงเท่าไหร่ โอกาสที่ไอดีจะวิ่งเข้ามาไม่ทันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แรงปลายตก แต่ในจังหวะโอเวอร์แลปนั้น วา์ล์วไอเสียยังไม่ทันปิด วาล์วไอดีก็เริ่มเปิดแล้ว ส่วนหนึ่งก็จะเป็นการไล่ไอเสียที่ค้างอยู่ให้ออกไปมากขึ้นและเป็นการเพิ่มไอดีให้เข้ามาเร็วขึ้นเช่นกัน ยิ่งมีจังหวะโอเวอร์แลปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นผลมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวก 2 จังหวะที่มีโอเวอร์แลปมาก แค่เปลี่ยนท่อใบเดียวเห็นผลชัดเจน แต่ข้อดีก็ต้องแลกมากับข้อเสียนั้นก็คือ ยิ่งมีจังหวะโอเวอร์แลปมากขึ้นเท่าไหร่ รอบเดินเบาก็จะยิ่งสะดุดมากขึ้น ถ้านึกถึงรถ 2 จังหวะเดิมๆ กับรถ 2 จังหวะแต่งพอร์ทเพิ่มจังหวะโอเวอร์แลป คงเข้าใจง่ายขึ้นเน้อ 666 จากคุณ : monsungja เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 09:21:11

ความคิดเห็นที่ 13 อันนี้ หม้อพัก เดิมๆ โรงงาน ของ civic FD2 จากคุณ : ชัยพร (c_sujjitporn) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 09:25:49

ความคิดเห็นที่ 14 เอ่อ ผมเคยเห็นพวกเรือแว๊นหางยาวที่ใช้เครื่องยนต์แถว ๆ คลองละแวกบางพลีน่ะครับ พี่ท่านไม่เห็นตีท่อพัก เสียงยังกับ a380 เครื่องไม่พังบ้างเลยเหรอ น่าจะเก็บเสียงให้มันเงียบ  ๆได้นะ จากคุณ : Eastern Far away เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:51:35

ความคิดเห็นที่ 15 ขอเก็บเข้าคลังนะครับ จากคุณ : un750 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:01:14

ความคิดเห็นที่ 16 พวกเรือเค้าใช้แค่ให้ได้รอบเครื่องที่มาเร็ว ๆอะคับ เลยเดินท่อยิงสดกันเลยทีเดียวเสียงเสนาะหูมาก ๆ รถที่เป็นเครื่องยนต์ NA คือหายใจเองเนี่ยความยาวของท่อและขนาดมีความสำคัญมาก ๆ ส่วนพวกเทอร์โบทั้งหลาย ระบายเร็วยิ่งดีเพราะว่าหากมีอะไรไปกั้นจะเกิดแรงดันย้อนซึ่งเครื่องเทอร์โบไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ จากคุณ : maodarifto เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:06:02

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเป็นเครื่องสองจังหวะนี่ท่อสำคัญมากเลยครับ ท่อไม่มีนี่วิ่งไม่ออกเลย แล้วท่อดีๆสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 40 กม/ชม เลยครับ ที่ทำให้เร็วได้ก็เพราะว่า ท่อรีดสามารถนำไอดีที่รั่วไหลออกมาทางท่อไอเสียให้กลับไปในห้องเผาใหม้อีกครับ หรือถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็เหมือนกับเทอร์โบที่อัดอากาศนั่นเอง เพียงแต่ว่า อันนี้เป็นลักษณะของการใช้ลมที่วิ่งออกมาเจอช่วงที่ตีบของท่อแล้วลมย้อนกลับไป ดันไอดี(อากาศดี)ย้อนกลับเข้าห้องเผาใหม้เพิ่มอัตราส่วนการอัดให้สูงขึ้นการระเบิดจึงรุนแรงขึ้นด้วย ส่วนในรถ 4 จังหวะไม่ใช้ท่อรีดแบบสองจังหวะกัน เพราะอะไรผมลืมไปแล้ว แต่ว่าถ้าโล่งไปมันก็วิ่งไม่ออก ผมก็คิดว่าน่าจะหลักการคล้ายๆกัน ส่วนหลักแล้วคือท่อเดิมๆจะต้องทำการลดค่าไอเสียให้ผ่านค่าทดสอบมลพิษ และทางเสียง ซึ่งก็จะมีสิ่งกรอง และกีดขวางทางเดินไอเสียมากมาย ทำให้ติดขัดหรือระบายไม่สะดวก พอเราใส่ท่อแต่ง หรือผ่าท่อเพื่อเอาสิ่งที่ขวางการเดินทางของไอเสียออกไป ส่งผลให้ระบายไอเสียได้เร็วขึ้นไม่มีการอัดอั้น จึงส่งผลให้รถเรามีสมรรถณะที่สูงขึ้น เหมือนคุณจะหายใจ แต่มีคนมาบีบจมูกไว้รูนึงทำให้คุณหารใจได้ไม่เต็มที่ ประมาณนั้น ส่วนที่บอกว่าใส่ท่อแต่งแล้วกินแหวน อันนี้ผมไม่เชื่อครับ แต่มันเป็นผลทางอ้อมคือ พอท่อคุณดัง เวลาคุณซัดหรือลากรอบ ยิ่งลากมันก็ยิ่งมันส์ เสียงหวานๆมันชวนใหญ่คุณลากรอบจนเรดไลน์เสมอๆ ยิ่งลากยิ่งสะใจ ยิ่งสะใจยิ่งมันส์ ส่วนท่อเดิมที่เงียบๆคุณกลับไม่ค่อยได้เพลิดเพลินกับเสียงเท่าใดนักเพราะเสียงเงียบจนไม่รุ้สึกมันส์จึงขี่ไม่ลากรอบเท่ากับตอนใส่ท่อดัง ใครบอกใส่ท่อแล้วกินแหวน ผมยังไม่เชื่อครับ ถ้าขี่ที่รอบเท่ากัน ใช้งานเท่ากัน เปลี่ยนเกียร์ที่รอบเท่ากัน มันจะกินแหวนได้ยังไงเหรอครับ ผมก็อยากรู้ พวกที่บอกว่าใส่ท่อแล้วกินแหวน ช่วยมาอธิบายหน่อยครับ ว่าใส่ท่อแล้วส่วนไหนของท่อมันไปเสียดสีกับแหวนลุกสูบที่อยู่ในเสื้อสูบได้ครับ ถึงบอกว่าท่อแต่งมันไปกินแหวน ปล.เป็นความเห็นส่วนตัวผมครับ ใครมีอะไรที่อธิบายได้ดีกว่านี้ช่วยแนะนำด้วยครับ ผมขอน้อมรับเพื่อเป็นความรู้ จากคุณ : popktb เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:27:44

ความคิดเห็นที่ 18 เพิ่มเติมครับ คห.2 - 5 -12โดนใจผมมากครับ ได้ความรู้มากมายเลย หลักๆของความแรงแล้วมันจะไปได้เสียกันในช่วงโอเวอร์แล็ปแบบที่คุณ คห.2 บอกนั่นแหละครับ เพราะมันช่วยในการพาไอดีเข้าสู้ห้องเผาไหม้ด้วย ยิ่งไอเสียไหลเร็ว ยิ่งดูดไอดีให้ไหลตามเข้ามาเร็วขึ้นและมากขึ้น ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุของความยาวของท่อ ยาวๆพอดีๆน่าจะนำไอดีเข้ามาให้เร็วขึ้น แต่ในส่วนของท่อรีดสองจังหวะ เนื่องจากสองจังหวะมีจังหวะที่รูไอดีและไอเสียมีจังหวะที่เปิดพร้อมๆกัน จังหวะนี้ไอดีจะไหลทิ้งออกทางพอร์ทไอเสีย แต่ท่อรีดช่วยดันกลับเข้าไปใหม่ทำให้เพิ่มแรงอัดและ ส่งผลเรื่องของความประหยัดด้วย ที่ผมมาอธิบายเรื่องท่อสองจังหวะเยอะเพราะว่าเมื่อก่อนผมอยู่กับร้านท่อไอเสียครับ ท่อที่กรวยหลังบานๆเนี่ยจะให้กำลังในรอบต้นดีมากๆเลย แต่รอบไม่จัด แต่ถ้าท่อที่เค้าเรียกว่าทรง pdk หรือไอ้ท่อกรวยหลังเล้กๆเนี่ย พวกนี้สร้างแรงย้อนกลับเยอะมากเลย ทำให้ได้รอบสูงและได้แรงอัดเพิ่ม แต่จูนยากมากเลยท่อกรวยหลังเล็กๆเนี่ย ต้องขุดเบ้าฝาสูบเพื่อลดแรงอัด เพราะว่าต้องไปชดเชยกับท่อที่ย้อนไอดีกลับเข้ามาอีก ถ้าไมขุดเบ้าฝาสูบเพื่อเพิ่มปริมาตรฝาสูบ เครื่องจะนีอกมีเสียงเขก ดังแกร๊กกกกก แล้วสูบจะทะลุ น้ำหม้อน้ำพุ่งปรี๊ด เพราะสูบพัง ฝาสูบแตกเลยครับ  จึงเป็นสาเหตุของการพัง ท่อที่กรวยหลังตีบๆอย่างท่อลอดใต้ท้องหรือท่อทรง pdk เนี่ย ถ้าสำหรับรถแข่งแล้ว ต้องเซตท่อกับฝาสูบ ชุดใครชุดมันเลยครับ เพราะในรถแต่งเยอะแค่ใส่ท่อ pdk เข้าไปเครื่องก็น๊อก ลูกสูบละลาย แล้วครับ ท่อ HRC ที่ใบละ 20000 บาท ผมก็ใส่มาแล้วครับ ให้กำลังในสนามดีมาก ให้ในรอบกว้างๆมากๆเลย แต่ถ้าเอามาซิ่งถนนนอกสู้ท่อคนไทยใบละ 700 บาท ยังไม่ได้เลยครับ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ท่อแต่ละใบใช้กับงานคนละประเภทกันครับ ข้างบนความรู้แน่นๆทั้งนั้นเลยครับ เจ๋งครับ ความรู้ทั้งนั้นเลย แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 16:59:32 จากคุณ : popktb เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:41:27

ความคิดเห็นที่ 19 มาเก็ยกระทู้ขึ้นหิ้งครับ ที่อธิบายมาหลักรู้อยู่แล้วแต่ไม่ละเอียดขนาดนี้เลย ความรู้เน้นๆ แต่เอาโยชิท่อไททาเนี้ยมมาใส่ nt400 bros จะดีไหมครับนี่อิๆ จากคุณ : Thanathoz เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:05:39

ความคิดเห็นที่ 20 เยี่ยมมากทั้งน้าเอและคุณแป๊ะครับ... จากคุณ : แมงกุดจี่ (Mangkoodjee) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:36:55

ความคิดเห็นที่ 21 ขอถามหน่อยครับ ตรงรูปใน #7 คือผมสงสัยว่าทำไมต้องมีสปริงที่ท่อด้วยน่ะครับ จากคุณ : Fatal1Ty เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 13:35:00