ความคิดเห็นที่ 1 รอบแรก  ยางล้อหลัง 255/35/18 ยกล้อลอยไว้ด้วยแม่แรง เติมลมยางจนวัดได้  20 ปอนด์ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 12:25:29 จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:23:01

ความคิดเห็นที่ 2 อ้าวววววววว โทษที รูปแรก มันเป็น ลมยาง 20 psi งั้น เอาแก้เป็นรอบ 20psi เลย ครั้งนี้ ปล่อยรถลงมา ให้น้ำหนักรถกดลงพื้น ยังคงวัดได้ 20 psi เหมือนเดิม(มองด้วยตาปล่าวไม่เห็นการเปลี่ยนเลย) จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:25:08

ความคิดเห็นที่ 3 ครั้ง ที่ สาม เพิ่มคนขึ้นไปนั่ง ด้านนี้ ที่เลื่อนเบาะมาหลังสุด กดลงไปอีก เพิ่ม ตามรูป จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:26:31

ความคิดเห็นที่ 4 คนนั่งเพิ่มถ่วงลงไปสองคน ยังคง ได้ 20 psi ตามเดิม และเมื่อคนลงมาแล้ว ยกรถลอย ขึ้นไป ก็ยังคงได้ 20 psi เท่าเดิม จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:27:37

ความคิดเห็นที่ 5 ขยับมาเป็นที่ 40 psi รถลอย วัดได้ 40psi จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:28:20

ความคิดเห็นที่ 6 ปล่อยน้ำหนักรถกดลงไป ยังคง 40 psi เช่นเดิม จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:28:49

ความคิดเห็นที่ 7 เพิ่มขึ้นไปอีก สองคน ก็ยังคง เป็น 40 psi เท่าเดิม และ เช่นกัน คนลง ยกลอย ยังคงวัดได้ 40 psi เท่าเดิมลมที่เสียไปนิดๆจากการวัด ไม่ได้มีผลอะไร จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:29:51

ความคิดเห็นที่ 8 รอบสาม เพิ่มเป็น 50 psi  วัดตอนล้อลอย จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:30:24

ความคิดเห็นที่ 9 ปล่อยล้อให้กดลง ก็ยังคง 50 psi จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:31:03

ความคิดเห็นที่ 10 เอาคนไป ถ่วงอีก 2 คน ก็ยัง 50 psi เท่าเดิม รวมทั้งหลังยกลอยวัดใหม่ ก็ 50 psi จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:31:50

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าแค่นี้หนักคน มันก็เท่านั้นแหละครับท่านพ่อตา เพราะว่า ตอนเปลี่ยน ยางใหม่ ที่ร้านเขาก็เติมลม ตั้งกะตอนที่ไม่ได้ใส่เข้าไปในรถ พอเอาใส่ รถเสร็จ จอดวัด มันก็เท่ากันกับที่เติมตอนไม่ได้ใส่รถนั่นแหละครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:38:19

ความคิดเห็นที่ 12 โหสุดยอดค่ะเป็นประโยชน์จริงๆๆ รถสวยงามมากเลยค่ะ ขอบคุณมากๆๆนะคะพี่ จากคุณ : อินคา (myiam) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:39:38

ความคิดเห็นที่ 13 สรุป ผลที่ออกมา แม้จะเป็นยางแก้มเตี้ย ก็ตาม การที่เราวัดลมยางก่อน หรือ หลัง มีน้ำหนักกดลงล้อ ถ้าแรงดันยางที่เราใช้ มันอยู่ในเกณฑ์ปกติ อ่อนกว่าปกติ หรือ แม้จะแข็งกว่าปกติ มาก แต่ ยังไม่ได้ มากขนาดเป็นแรงดันที่แข็งจนยางจุบตัวกระจายน้ำหนักลงพื้นไม่ได้ (เรียกว่า ถ้าบรรทุก เติมที่แล้วมันยังรับได้) แม้จะยกล้อลอยขึ้น มา แรงดันมันก็ไม่ได้ลดลงไป (หรือ ถ้าพูดกลับกัน ถ้าเพิ่มน้ำหนักลงไป มันก็ไม่ได้เพิ่มมา ถ้าแรงดันนั้นมันยังไม่เกินขีดที่ยางทนทานได้ ) ถ้ายางมันแข็งจนไม่สามารถยุบตัวลงกระจายน้ำหนัก ลงไปที่พื้นที่แทน อันนั้นแหละ ที่จะทำให้ยางระเบิด อีกครั้ง ที่อยากบอก คือ ความหมายว่าไม่เปลี่ยนแปลง นี่ คือเรามองไม่เห็นการแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ (อ่านจากเกจ์ ดีๆที่ใช้งานกันทั่วไปมันไม่แตกต่างกัน) เพราะว่าจะให้ไปหา เกจ์แบบละเอียด ขนาดเป็น 0.1 psi อะไรอย่างนั้นจนปัญญาหา) แต่ ระดับความแตกต่าง 1-2psi นี่การใช้งาน เราก็ไม่ต่างกันอยู่แล้ว แต่อันนี้ มองไม่เห็นความต่างเลย ซึ่งถ้าสมมุติว่าจะบอกว่าอาจะต่างกันจากความละเอียด scale ผมให้อย่างมากมันก็ไม่เกิน 0.1-0.2 psi แต่โดยทฤษฏี แล้ว เราไม่ได้เพิ่ม ปริมาตรอากาศ และ อุณหภูมิเข้าไป ถ้ายางมันกระจายน้ำหนักลงพื้นได้หมด ก็ไม่ควรจะมี แรงดันเปลียนเช่นกัน อย่างที่บอกในกระทู้ก่อน หมดแล้ว ครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:39:41

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบตาหยึ๋มกึ๋ย โหลดน้ำหนักรถ ล้อละ 300-400 กับคน ที่ผมว่า นี่ มากกว่า น้ำหนักผักที่ หยึ๋มต้องการอีกนะ  มันก็คือการกดเพิ่มลงไปบนยางเหมือนกันไง ทำไม ถึง เข้าใจยากล่ะ อิๆ พอดีผมหารถผัก มาแถวนี้ไม่ได้ เด๋วถ้ามีรถบรรทุกหนักๆมา ผมจะทดลองให้ (แต่มันก็คือเหมือนกันกับการทดลองอันนี้แหละหยึ่มเอ๊ย ) แต่ผมเชื่อว่า รถขนผัก บรรทุกซักหนึ่งตัน ที่เติมลมยางปกติ ของเค้า ถ้ายกล้อลอย แรงดันลม ยางไม่ลดลงเกิน 2 psi แน่นอน ท้าพนัน กระบะตาหยึ๋ม กับ SLK ผมเลยก็ได้ อิๆ แต่ถ้าให้เตะ ไม่เตะหลอก  เจ็บเท้าวุ้ย จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:44:07

ความคิดเห็นที่ 15 อันนี้ เป็นความรู้ดีครับ เพิ่มความมั่นใจว่า เติมลมแล้ว ใช้บนถนน ไม่ต้องกังวล จากคุณ : napatn เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:49:20

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เชื่อครับ ขอทดสอบอีกครั้ง ตอนอัดลมไปที่ ๑๕๐ ปอนด์/ตร.นิ้ว ...       จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:51:18

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาดู พ่อตา กะลูกเขย เค้าถกกันเรื่องลมยาง ปอลิง  ใครอัดลมเข้าร่างลูกเขยเกินมาตรฐานเป่าเนี่ย จากคุณ : เถียงกันตลอดคู่นี้ 5555+++ (~huiha 666~) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:52:53

ความคิดเห็นที่ 18 คราวนี้คงหมดข้อกังขา ชวนสงสัยกันแล้ว ขอบคุณพี่หมอมากๆค่ะ  ที่สละเวลามาทดสอบให้เราได้ดูกัน จากคุณ : Rarin-รริญ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:54:14

ความคิดเห็นที่ 19 ใช้แค่ "ความรู้สึก" อย่างเดียวไม่ได้ครับ ต้องพิสูจน์เพื่อค้นหา "ความจริง" ถูกแล้วครับ ผมก็ว่ามันไม่แตกต่าง อย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน อากาศในล้อเป็นระบบปิด แถมมียางเป็นตัวยืดหยุ่น ให้คงปริมาตรของอากาศในยางได้สมดุล จะรถเปล่าหรือจะบรรทุก แรงดันลมในล้อ จึงไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ ผมว่า "อุณหภูมิ" ต่างหาก ที่จะเป็นตัวแปร สร้างความแตกต่าง ... จากคุณ : The Titan เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:56:28

ความคิดเห็นที่ 20 ตามกฏของก๊าซแล้ว ตราบใดที่จำนวนโมเลกุลของก๊าซยังเท่าเดิมและปริมาตรของยางเท่าเดิม แรงดันก็ไม่เปลี่ยนครับ ผมเชื่อว่าโครงสร้างยางรถยนต์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปริมาตรภายใน เพียงแต่อาจเปลี่ยนรูปร่างตามแรงกดเท่านั้น จากคุณ : MirrorLake เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:00:54

ความคิดเห็นที่ 21 เดี๋ยวกลับมาอ่านครับ ลงชื่อไว้ก่อน ขอบคุณพี่หมอที่สละเวลามาทดลองให้ครับ จากคุณ : แมงแกลบ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:02:36

ความคิดเห็นที่ 22 วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ ที่หลายคนได้แต่สงสัย จากคุณ : DogGold เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:09:08

ความคิดเห็นที่ 23 ตามทฤษฏี เป็นอย่าง 19 และ 20 ว่า ครับ แต่ผมว่า ที่เรา คิดว่ามันน่าจะเพิ่ม คง มาจากสองอย่าง หนึ่งเห็นยางมันถูกดลงแบนกับพื้น เลยคิดว่า น่าจะเหมือนกับมันถูกบีบ ลดปริมาตรยางลง ทำให้ลมถูกกักในที่จำกัด แรงดันจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว มันแค่เปลี่ยนรูปทรงยางเท่านั้น ปริมาตร ยังค่อนข้างคงเดิม อีกอย่าง คงเป็นจากกรณีที่ เติมลมยางไปเรื่อยๆแรงดันมันก็สูงมากๆขึ้นเรื่อยๆจนขีดจำกัดของยาง พอเพิ่มโหลดกดลงไปยางที่แข็งตัว มากๆ ไม่สารถยุบตัวลงมาให้ มีพื้นที่หน้าตัดสัมผัสพื้นถ่ายแรงลงพื้นได้หมด  นั่นแหละ มันถึงจะกดจนยางระเบิด จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:09:23

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ได้ดู เกจวัดเลย ดูแต่โลโก้ BRABUS จากคุณ : ปลาโลมา_:P เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:10:18

ความคิดเห็นที่ 25 น่าจะลองแบบ ใช้พิ่มน้ำหนักไปเรื่อย ๆ จนกว่ายางจะระเบิด (ไม่เอารถดี ๆ มาลองนะครับ) อาจจะเป็นยางเก่า ล้อเหล็ก น่าจะเห็น ตัวเลขที่แตกต่าง แต่อย่างน้อยก็ได้ข้อสรุป จากการทดลองของหมอ สำหรับการใช้งานทั่วไป ขอบคุณทีแชร์ จากคุณ : KU_EE เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:11:56

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ 25 จริงๆ อยากให้ทดลอง อย่างที่ว่าเหมือนกันนะ อยากรู้เหมือนกันว่ายางที่ใช้กันนี่สุดๆ เรามเติมมันได้ ซักกี่ PSI ก่อนที่ปล่อยโหลด แล้วมันจะแตก แต่ขอตอนยางหมดอายุก่อนนะครับ ยางใหม่ เส้นๆล่ะ หกเจ็ดพัน เสียดายตังค์ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:19:02

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ได้ดูการทดลองเรยครับพี่หมอ  ดูแต่รถ ..ทำพรีวิวเรยครับ พี่หมอเจ จากคุณ : ถูกทิ้งที่รังสิต เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:33:41

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณสำหรับการทดลองครับ..อย่าให้ระเบิดเลยครับ..เสียววว จากคุณ : tus_sks เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:40:27

ความคิดเห็นที่ 29 ตามทฤษฎี กฎของก๊าซก็น่าจะตาม คห.19 / 20 แต่ว่าเรียนตั้งแตปี 1 แล้วจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน อิอิ.. ถ้าปริมาตรมันไม่เปลี่ยน ( หมายถึงยุบตรงนี้ ก็ไปโป่งตรงโน้น แบบ " ลูกโป่ง ") คุณจะปีบลูกโป่งยังงัย แรงดันมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรอก ถ้ามันยังหนีไปโป่งที่อื่นได้อีก ไม่เหมือน " ลูกสูบ " แบบสลิงค์ฉีดยา อันนั้นกดลงไป ปริมาตรจะลด ความดันก็เพิ่มขึ้นแน่นอน แต่ยางรถยนต์ ก็เหมือนลูกโป่ง ที่ยังพอ..ให้ตัวได้ เมื่อปริมาตรมันไม่ลด ความดันมันจึงเท่าเดิม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโหลด ** ปล.แต่ผมว่าเมื่อเพิ่มโหลดถึงระดับหนึ่ง จนยางไม่สามารถให้ตัวได้อีกต่อไป คราวนี้แหละปริมาตรจะลด ความดันจะเพิ่มขึ้น แล้วระเบิดได้ในที่สุด เหมือนเอาลูกโป่งใส่ ถ้วยเอาไว้ไม่ให้มันขยับตัว พอบีบ มันก็แตก เพราะให้ตัวไม่ได้แล้ว อิอิ.. จากคุณ : listeria เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:30:52

ความคิดเห็นที่ 30 รถอย่างหล่อเลยครับ จากคุณ : โรคจิตคอยแอบมองให้เธอมีรอยยิ้ม เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:35:40

ความคิดเห็นที่ 31   แรงดันมันเรื่องเล็ก แรงกดดัน จากคนนั่งข้าง ๆ ขึ้นลงมาก จนน่ากลัว จริงปะ จากคุณ : kloyman เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:45:19

ความคิดเห็นที่ 32 ผมว่าถ้าให้มองเห็นภาพชัดๆ คงจะดูได้จากการที่เราบีบลูกโป่ง เมื่อเราบีบมันก็จะไปป่องออกทีอื่น เทียบกับน้ำหนักของรถที่กดลงบนล้อ ไม่ว่ามันจะไปป่องตรงไหนแต่อากาศข้างในก็ยังเท่าเดิม ไม่เพิ่มหรือลด(ถ้าไม่รั่ว) จากคุณ : cagiva เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 15:17:35

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ลอง ไม่รู้จริงครับ  ขอบคุณมากสำหรับการทดลอง เพราะผมคงไม่ทดลองเองแน่ๆ จากคุณ : ฟากฟ้าสวย เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 15:25:42

ความคิดเห็นที่ 35 รถสวยมากครับ เห็นตั้งแต่กระทู้โชว์ทะเบียนแล้ว........ เป็นการทดลองที่น่าสนใจครับ ผมเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้ ตอนนี้กระจ่างแล้ว จากคุณ : NJ THE KOP เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 15:34:58

ความคิดเห็นที่ 36 ยางแข็ง ไม่น่าที่จะระเบิดง่าย ๆ หรอกครับ หากเทียบกับยางที่ "อ่อน" และยางที่อ่อน ตอนระเบิด ก็ไม่ได้เกิดจากลมยาง...แต่เกิดจากโครงยางเสียหาย... เนื่องจากแรงกดทับ...ยืดออก...สลับกันไป...จะมันร้อน...จนโครงยางรับไม่ไหว... ถึงจะระเบิด... ตะก่อนเท่าที่ทราบ...รถกระบะเมืองจันทร์ฯ ได้ชื่อว่าขนหนัก...2.5-3 ตันกันเป็นปกติ... อ่อ...เสริมแหนบด้วยนะครับ...เห็นเติมลมหน้า 80 ลมยางหลัง 100...(ยางลีโอ) ก็วิ่งได้ปกติ และ ไม่ระเบิด... ผมว่าเติมลมมาก และ มีน้ำหนักกดทับ...หากวิ่งทางเรียบ ก็ยังไม่เท่ากับตอนที่ รถบั๊ม ลงจากสะพาน หรือ ลมหลุม...ผมว่าขณะนั้น น้ำหนักที่กดทับ น่าจะกดวูบ หลาย ๆ เท่า...ในขณะนั้น น่าจะเกิดแรงกดทับทีี่ยางมากกว่าถนนเรียบ... ค่าเผื่อที่ให้ไว้...ผมว่าน่าจะมากพอสมควร... ใครจบวิทย์มาช่วยคำนวณหน่อยครับ..ขณะรถลงหลุม...มีน้ำหนักกดทับมากขึ้น กว่าเดิมเท่าไหร่... เหมือนตอนผมนั่งมอเตอร์ไซต์ แก้มยางก็ป่องขึ้นอีกนิดนึง...แต่ตอนเราขย่มรถ แก้มยางมันจะป่องมากขึ้นเป็นจังหวะ...นั่นล่ะครับ ที่น่ากลัว... ฝากรบกวนคำนวณด้วยครับ สำหรับคนจบสายวิทย์...มันไปกี่เท่า...ผมอยากทราบครับ... ฝากด้วย ๆ จากคุณ : aaa_a...ครับผม เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 16:21:07

ความคิดเห็นที่ 37 เยี่ยมครับ ขอบคุณมากเลยครับพี่หมอ ^^ จากคุณ : sLiimFit เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 16:21:57

ความคิดเห็นที่ 38 ตาม 36 ว่า เป็นข้อเท็จจริงๆ ที่ น่าจะควรทราบกัน ยางที่ระเบิดส่วนใหญ่เกิดจากลมยางอ่อน หรือรั่วซึมลงมาแล้ว ไม่รู้ตัวพอยางอ่อนวิ่งไปเร็วๆนานโครงสร้างยางบิดตัวเสียหายร้อน จน แตกระเบิดได้ ส่วนยางที่เติมแข็งระเบิด มักเป็นจากพวกรถบรรทุกหนักมากๆ ที่เติมยางจนลมยางแข็งมากๆ(แรงดันสูงๆ) เพื่อที่จะบรรทุกได้หนักมากๆ (จนเกินพิกัด) โดยยางไม่แบนลงมาจนวิ่งไม่ได้ (ยังกลมอยู่ เมื่อแรงดันสูง พื้นที่สัมผัสพื้นจะน้อยลง หรือ ยางกลมขึ้นไม่แบนมาก) แต่ว่า แรงดันในนั้นมันสูงมากจนดันยางออกมาใกล้ระเบิด เมื่อได้รับการกระแทก หรือตกหลุมก็ทำให้ เกิดการระเบิดได้ แต่ถ้าเกิดมีคนหัวใส คิดว่า ถ้างั้นบรรทุกหนัก แต่เติมยางให้ลมยางน้อยหน่อยล่ะ ถ้าทำอย่างนั้น แก้มยางก็จะที่ยุบตัวลงมาก(ยางค่อนข้างแบน ไม่กลม ผลคือวิ่งไปมีแรงเสียดทานมาก โครงสร้างยางบิดตัวเยอะ ยิ่งระเบิดได้ง่ายไปใหญ่ ดังนั้น จึงห้ามบรรทุกหนัก และเติมลมยางเกินพิกัดมากเกินไป แต่ถ้าการใช้งานปกติ Safety ของยางมันกว้างอยู่แล้ว อ่ะ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 17:27:16

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณ คุณหมอ มากครับ จำได้ว่ามีคำถามนี่เกิดขึ้นที่หว้ากอ แล้วคุณหมอก็เข้าไปให้ข้อมูล ส่วน กระทู้นี้ชัดเจนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 18:27:35

ความคิดเห็นที่ 40 แสดงว่ามันออกไปทางการเปลี่ยนของรูปทรงมากกว่าจะไปที่ความดัน น่าลองวัดผิวสัมผัสยางกับถนนดูนะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 19:43:06

ความคิดเห็นที่ 41 กรณีเดียวที่น่าจะทำให้ลมยางเพิ่มแรงดันขึ้นคือปริมาตรของอากาศมีที่อยู่น้อยลง ซึ่งต้องเกิดจากพื้นที่ผิวภายในของยางลดลง ทีนี้ยางมีโครงสร้างที่เสริมผ้าใบและเหล็กที่ช่วยให้ยางคงรูปร่างไว้ได้ พื้นที่ผิวมันลดลงได้อย่างไร การที่พี่หมอลดแรงดันลงไปถึง 20psi โดยหวังจะเห็นการยุบตัวของแก้มยางคงยากเพราะยางแก้มเตี้ยมีโครงสร้างของแก้มยางแข็งแรงกว่ายางซีรี่ย์สูงๆ ถึงแรงดันลมยางจะลดลงบ้างก็คงไม่ทำให้แก้มยางยุบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เรื่องเดิมคือพื้นที่ผิวภายในยังเท่าเดิม การยกยางให้ลอยก็ไม่ต่างกับยางอยู่บนถนน เพราะแก้มยางยังคงรูปร่างเหมือนเดิม ถ้าใช้ยางซีรี่ย์สูงแบบรถบรรทุก (ซีรี่ย์ 70-75) ความสูงของแก้มยางที่ยุบตัวลงจะไปขยายออกในด้านข้างแทน ทำให้ปริมาตรโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง ....ก็เหมือนเดิมอีก สรุป ผมเชื่อว่า น้ำหนักที่กดลงไม่ทำให้แรงดันลมยางเปลี่ยนแปลง แต่การที่มีน้ำหนักบรรทุกต่างกันต้องการลมยางที่เหมาะสม เพราะเมื่อรถวิ่ง แก้มยางที่บิดตัวซ้าย-ขวา และขึ้น-ลง ที่ช่วยทำให้โมเลกุลของอากาศภายในชนกันมากขึ้น อากาศร้อนขึ้นและขยายตัว ทำให้แรงดันเพิ่มขึ้น ถ้าเพิ่มน้ำหนักบรรทุกขึ้นไปมากๆแต่เติมลมยางเท่าเดิม ควรจะเห็นแรงดันเพิ่มสูงขึ้นมากจากตอนยางเย็น เช่นจาก 28psi อาจกลายเป็น 34psi แต่ถ้าเติมลมเผื่อไว้ที่ 32psi ก็อาจจะเพิ่มเป็น 34psi เหมือนกัน แต่แรงดันที่เปลี่ยนแปลงน้อยกว่ามาก โอกาสที่ยางระเบิดก็น้อยลง อีกอย่างคืออุณหภูมิ ผมเคยเติมลมยางจากกรุงเทพทีี่ 31psi วิ่งไปแม่แจ่ม วัดลมยางตอนเช้าที่อุณหภูมิเหลือประมาณ 12C ได้แค่ 29psi เท่านั้น จากคุณ : Miami_Dolphin เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 19:45:02

ความคิดเห็นที่ 42 ตามคุณ Miami Dolphin ว่า เรื่องการจะลดปริมาตรของยางเพื่อเพิ่มความดัน นั่น ถ้าจะทำจริงๆ ต้องหาอะไรมาบีบรัดไม่ให้มันยืดไปในทิศต่างๆ ได้ แล้วเพิ่มแรงกดเข้าไปรอบๆนั่นแหละครับ (เหมือนกับเอาลูกโป่งมาไว้ในมือ แล้ว (บีบอัดเข้าไป ไม่ให้มีทางขยายตัวหนีไปทางไหน (อย่างนั้นถึงเป็นการลดปริมาตร ของก๊าซจำนวนเดิมลง ซึ่งส่งผลให้แรงดันเพิ่ม ส่วนอุณหภูมิ นี่ เห็นได้ชัดอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหา ตามกฏของชาลล์ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:14:31

ความคิดเห็นที่ 43 เยี่ยมเลยครับ  ขอเก็บเข้าคลังนะ   เผื่ออีกหน่อยมีใครตั้งกระทู้ถาม จะได้ชี้มาที่กระทู้นี้ จากคุณ : w2000 เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:18:50

ความคิดเห็นที่ 44 แจ่มทั้งรถ...ทั้งเนื้อหาครับ พี่หมอ จากคุณ : spajan เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:47:21

ความคิดเห็นที่ 45 มาดู ของจริง อาจจะเพราะ ปริมาตรยางไม่เปลี่ยน เพราะ มีด้านนึงยุบ ก็ จะมีอีกด้านที่ยืดออก จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 22:01:45

ความคิดเห็นที่ 46   ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆครับ ทีแรกก็สงสัยว่า เวลาวางน้ำหนักลงไป ลมยางมันจะเท่าเดิมได้อย่างไร พอนึกถึงกฎของแก๊สแล้วร้องอ๋อเลยครับ ปริมาตรและอุณหภูมิมันเท่าเดิมนี่เอง จึงทำให้ความดันไม่เปลี่ยนแปลง จากคุณ : Kane เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:35:46 A:124.120.137.123 X: TicketID:233465

ความคิดเห็นที่ 47 ผมแว๊บไปลองมาแล้วท่านพ่อตา ... มังกรผมเอง เดิมๆ ยังไม่ได้บรรทุกอะไรมาก แค่ถัง ๑ ลูกบาศก์เมตร หนักราวๆ เกือบ ๗๐ กิโลกรัม กับ สัมภารกทั่วไปในรถผม ลมยางล้อหลังที่วัดตอนนั้นคือ ๗๐ ปอนด์/ตารางนิ้ว ครับผม (ที่วัดผม เก๊เปล่าไม่รู้ แต่ ... ผมเติมราวๆ นั้นแหละ สมมุติว่าตรงแล้วกัน) หลังจากใส่น้ำจนเต็ม (จริงๆ แอบเกิน เพราะ ขี้เกียจมาขนซ้ำบ่อยๆ คง ได้อีกไม่ต่ำกว่า ๒๐ ลิตรแหละ) แน่นอนว่า น้ำหนักที่กดลงบนยางเส้น เดิม ต้องเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ กิโลกรัมครับ ทดลองวัดแรงดันลมยาง แถ่นแท้นนนนน ๗๐ ปอนด์/ตารางนิ้วเท่าเดิมเด๊ะเลย !!! สรุปได้ว่า ๑. เครื่องมือวัดผมอาจจะไม่ดีพอ ๒. แสดงว่า ยางให้ตัวได้มาก ยุบตรงนี้ ไปยืดตรงโน้น เสียดาย ผมไม่มีรถที่บรรทุกได้หนักกว่านี้แล้ว เลยทดลองได้เท่านี้แล ! จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 00:03:39

ความคิดเห็นที่ 48   y=a+(b-a)*(x-n)/(m-n) y= แรงดันที่เหมาะสม a= แรงดันเมื่อยังไม่บันทุก(ดูที่ขอบประตู) b= แรงดันเมื่อบันทุกสูงสุด(ดูข้างยาง) x= นน.ลงล้อ m=นน.ลงล้อสูงสุด(ดูข้างยาง) n=นน.ลงล้อเมื่อยังไม่บันทุก จากคุณ : ป๋า เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 00:03:57 A:172.16.5.23 X:203.149.16.36 TicketID:110672

ความคิดเห็นที่ 49   y=a+(b-a)*(x-n)/(m-n) y= แรงดันที่เหมาะสม a= แรงดันเมื่อยังไม่บันทุก(ดูที่ขอบประตู) b= แรงดันเมื่อบันทุกสูงสุด(ดูข้างยาง) x= นน.ลงล้อ m=นน.ลงล้อสูงสุด(ดูข้างยาง) n=นน.ลงล้อเมื่อยังไม่บันทุก จากคุณ : ป๋า เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 00:04:15 A:172.16.5.23 X:203.149.16.36 TicketID:110672

ความคิดเห็นที่ 50 ผมทดลอง และแสดงวิธีคิดประกอบไว้เมื่อ 3 ปี ที่แล้ว http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ton99&month=09-2007&date=14&group=1&gblog=61 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 01:37:52 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 01:33:38

ความคิดเห็นที่ 51   เคยสงสัยอยู่เหมือนกันครับ  แต่ไม่เคยถามใคร  คิดเอาเองว่า มีน้ำหนักบรรทุก กับรถเปล่า แรงดันน่าจะเท่ากัน  (เดาเอา) วันนี้มีผู้ทดสอบให้ดูแล้ว  ได้ประโยชน์มากเลยครับ  รถสวยด้วย จากคุณ : เหยียบตีนพลิก (Ayerock) เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 08:14:00

ความคิดเห็นที่ 52 นิ้วโป้งป๋าหยึ๋ม อ๊วบบบบ....อวบ   ดูแล้ว...เซ็กซี่บาดใจ   จากคุณ : t_tanuch เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 09:09:10

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าคุณ ton99 แน่ใจว่าลมยางเปลี่ยนไประดับ 0.5 ถึง 1 psi จริง โดยไม่ได้เอารถไปวิ่งหรือ ทำไรกับรถ  (ซึ่งความจริงก็ไม่มากนะค่าระดับนั้น แต่ผมเองลอง แล้วหลายครั้งไม่ต่างกันเลย) อยากให้กลับไปลองอีกครั้ง นะครับ ถ้าได้เปลี่ยนอย่างนั้นจริง ๆ  ผมอยากนัดพวกเรา มีทติ้ง พิสูจน์กันชัดๆ ว่ามันเปลี่ยน มั้ย (หรือเพื่อนๆท่านอื่นที่ มีเกจ์วัดลมยางที่เที่ยงตรงพอสมควร คุณภาพดี ลองทดสอบกันดูที่บ้านก็ได้(แต่ขอให้ใช้เกจ์ดีหน่อย ไม่ใช่เกจ์ที่ วัดสองสามครั้ง ได้ผลออกมาไม่เท่ากันเลย (อย่าเอาแบบแท่งเหล็ก ที่วัดแต่ละครั้ง ไม่เท่ากันนะครับ   ยิ่งมี Scale ละเอียดมองเห็นชัดยิ่งดี) ถ้านัดมีทติ้งสนุกๆ นี่ ให้ตื่นเต้นนิดๆ เอาเป็นถ้า ค่าแรงดัน เพิ่มเกิน 0.5 psi ผมเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงข้าว แต่ถ้า ไม่เปลี่ยนหรือเปลี่ยนน้อยกว่านี้ ต้นรับเป็นเจ้ามือแทน  สนุกๆ ส่วนรถ และ ยางให้ต้นเลือก เอา ซี่ย์ยาง ไม่ต่ำกว่า 35 และ แรงดัน ไม่เกิน 50 ปอนด์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงการใช้งาน รถปกติ ล่ะกัน(ต้นลองคราวก่อน ก็อยู่ในเกณฑ์นี้ เหมือนกัน แต่ดูเหมือน ของผม worse case  จะใช้แรงดัน สูงกว่า และ ซีรี่ย์ต่ำกว่าของต้นด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เปลี่ยนถึงมั่นใจว่าผล ของผม น่าจะไม่ผิด และลองหลายครั้งแล้ว แต่เห็นต้น ค้าน เลยอยาก พิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ ดีมั้ย จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 10:02:28

ความคิดเห็นที่ 54 อ้อ ส่วนเรื่องการ เอาน้ำหนักรถ ที่กดลงล้อ ไปคิดเป็น ความดันเพิ่ม ในยาง ของ ต้น ใน Blog ผมเห็นด้วยกับหลายคนที่ค้านในนั้น ว่า มันไม่ถูกต้อง น้ำหนักรถที่กดลงที่ล้อ มันมันกดรอบยางภายนอก ด้านเดียว(กดลงพื้น)  และยางมันไม่ได้ถูกบีบแบบเอาอะไร ไปรัดบีบรอบตัวมัน ทำให้ปริมาตรมันถูกบีบอัดให้ลดลง แบบฝืน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการอัดก๊าซจำกัดในยางให้ ปริมาตรลดลง ไปได้ นั่นแหละ จะทำให้เกิดแรงดันเพิ่ม ได้ตาม กฏของ Boy p1v1=p2v2 แต่กรณีนี้ มันกดลงมาด้านเดียว และ ยางมันเปลี่ยนรูปให้ตัวกระจายแรงลงพื้น ( แรงดันคงต่อพื้นที่เท่าเดิม แต่ มันเพิ่มหน้าสัมผัสยาง   ให้กว้างขึ้นเพื่อถ่ายแรงลงพื้นได้ มากขึ้น ) ซึ่งกรณีนี้ จะเห็นได้ชัด ตอนยกรถลอยแค่ยางสัมผัสพื้นนิดแทบไม่กดล้อ หรือเอาแค่ล้อปล่าวๆวางบนพื้น  ผิวสัมผัสของยางกับพื้นจะมีหน้าตัดแค่นิดเดียว (ยางเกือบกลม) เพราะว่าแรงกดมันน้อย แค่พื้นที่หน้าตัดนิดเดียวก็รับน้ำหนักล้อกับยางได้) แต่ถ้าเพิ่มน้ำหนักรถลงไป ยางมันแบนยุบตัวลงมามากก็เพื่อกระจายน้ำหนักลงพื้น แค่นั้น แรงดันภายในไม่ได้เปลี่ยนเนื่องจากปริมาตร ไม่ได้ถูกกดรัดให้เล็กลง อันเนื่องมาจากการออกแบบยางที่ให้มันเปลี่ยนรูปทรงได้ โดยมีโครงสร้างผ้าใบ และใยเหล็กประครองไม่ให้ปริมาตร มันคงที่อยู่(แค่เปลี่ยนรูปได้) ส่วนหน้าสัมผัส จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:42:45

ความคิดเห็นที่ 55 อ้อ ตาหยึ๋ม ชั่งได้ไม่เปลี่ยนเหมือนกัน เอาก้นอ้วบๆ มาให้เตะด้วยหรือป่าว จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:44:25

ความคิดเห็นที่ 56   รถสวยเเจ่มจริงๆครับคุณหมอJFK คุณหมอและคุณmiami_dolphinอธิบายถูกต้องแล้วครับ คำแปลนะครับ ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ 95ปอนด์รับน้ำหนักได้5440ปอนด์ได้อย่างไร? แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 11:53:22 จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:52:42

ความคิดเห็นที่ 57   เพราะไม่ใช่เพียงแค่95ปอนด์แต่มันคือ 95 ปอนด์ต่อตารางนิ้วของความดันลมยางจึงทำให้เป็นไปได้ ยางลมสมัยใหม่ดูเหมือนธรรมดาแต่มันทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นได้มากกว่านั้นเยอะ  ลองไปดูกัน จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:54:20

ความคิดเห็นที่ 58   ยางรถยนต์ที่อัดลมสามารถรับน้ำหนักได้อย่างไร? ขอให้เข้าใจว่า ยางไม่ได้รับน้ำหนัก  ลมในยางเป็นตัวรับน้ำหนัก ยางเป็นตัวกักลมไว้เท่านั้น อาจฟังดูแปลกๆแต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเข้าใจแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้? ถ้าหากท่านเข้าใจว่ายางเป็นตัวกักลมไว้ก็จะเข้าใจถึงคำอธิบายต่อไปนี้ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างล่ะ? ลองดูตามตัวอย่างนี้ ตรวจสอบความดันลมยางของรถท่าน ยกรถขึ้นให้ยางพ้นจากพื้นท่านจะพบว่าความดันลมยางไม่เปลี่ยนแปลงเลยถึงแม้ว่ายางจะไม่แบกน้ำหนักรถไว้ก็ตาม  ถ้าท่านอัดลมที่95PSIก็จะคงไว้ที่ความดันดังกล่าวไม่ว่ายางจะอยู่บนพื้นหรือไม่ จากรูปภาพประกอบจะเห็นได้ว่ารูปทรงของยางเปลี่ยนแต่ความดันลมยางไม่เปลี่ยน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะยางรถยนต์จะเหมือนลูกบอลลูนที่มีความยืดหยุ่น เมื่อท่านใส่น้ำหนักกดจะทำให้รูปทรงเปลี่ยนแปลงแต่ความดันคงที่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความดันลมยางหรือไม่ในกรณีที่เพิ่มน้ำหนักบรรทุก? เพื่อที่จะควบคุมรูปทรงของยาง ลองสังเกตดูว่าถ้าท่านมีบอลลูน2ลูกที่รูปทรงเหมือนกันและบรรจุความดันลมยางเท่ากัน ถ้าวางบอลลูนลงบนโต๊ะกระจก วางหนังสือ1เล่มบนบอลลูนลูกที่หนึ่งและวางหนังสือ2เล่มบนบอลลูนลูกที่2 คลานใต้โต๊ะจะพบว่ารูปทรงของบอลลูนทั้ง2ลูกจะแตกต่างกันโดยลูกที่2จะแบนกว่า ท่านจะไม่แปลกใจถ้าเราเรียกว่าบอลลูนลูกที่2จะมีรอยประทับที่ใหญ่กว่า ใหญ่กว่ากันเพียงใด? ถ้าคุณวัดรอยประทับเทียบกันระหว่างบอลลูนที่รับน้ำหนักหนังสือ2เล่มจะพบว่าเป็นประมาณ2เท่าของบอลลูนลูกที่รับน้ำหนักหนังสือ1เล่ม สิ่งที่แตกต่างกันชัดเจนก็คือบอลลูนลูกที่2จะแบนกว่าลูกแรกเป็นอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลที่ท่านจำเป็นต้องเพิ่มความดันลมยางเมื่อรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อลดการบิดเบี้ยว? แน่นอน ลองนึกดูว่ารูปทรงของยางกลมก็จะหมุนเป็นวงกลม ดังนั้นยางก็จะมีรูปทรงเปลี่ยนไปขณะหมุนระหว่างรูปทรง บิดเบี้ยวหรือตอนรับน้ำหนักและรูปทรงกลมหรือตอนไม่ได้รับน้ำหนัก จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:00:21

ความคิดเห็นที่ 59   ถ้าความแตกต่างของรูปทรงทั้ง2แบบต่างกันมากก็จะต้องอาศัยความยืดหยุ่นของยางสูงเช่นกันและจำทำให้เกิดความร้อนขึ้น ในความเป็นจริงแล้วยางส่วนใหญ่จะเสียหายจากความร้อนมากกว่าจากสภาพถนนที่เลวร้าย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราต้องเพิ่มความดันลมยางถ้าเพิ่มน้ำหนักบรรทุกขึ้น ความดันลมยางที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ยางยืดหยุ่นน้อยลงและลดความร้อนที่จะทำให้ยางเสียหายลงด้วย จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:01:21

ความคิดเห็นที่ 60   ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่อัดลมยางให้มากๆทุกเส้นเข้าไว้ล่ะ? เหตุผลข้อแรก ยางเป็นตัวรองรับแรงกระแทกระหว่างน้ำหนักตัวรถและพื้นถนน ข้อสองซึ่งสำคัญกว่าข้อแรก ยางแต่ละแบบถูกออกแบบและสร้างไว้ให้รับน้ำหนักได้ที่ความดันใช้งานสูงสุดของมันเองเท่านั้น ถ้าคุณต้องการให้รับน้ำหนักเพิ่มขึ้นคุณควรจะเปลี่ยนยางรุ่นที่รับน้ำหนักได้มากกว่ายางรุ่นเดิมมากกว่า ข้อที่สาม ความดันลมยางจะส่งผลกระทบต่อรอยประทับและรูปทรงของยางและมีผลอย่างมากต่อการยึดเกาะถนนและการสึกหรอของดอกยางด้วย มีผลอย่างไรล่ะ? คราวนี้กลับมาดูที่บอลลูน2ลูก เอาหนังสือ1เล่มวางบนบอลลูนแต่ละลูกและลดแรงดันลมในบอลลูน1ลูกให้เหลือเพียงครึ่งเดียวของอีกลูก จากประสบการณ์ที่ทดลองก่อนนหน้านี้เราจะพบว่าบอลลูนลูกที่บรรจุความดันลมยางเพียงครึ่งเดียวจะมีพื้นที่รอยประทับมากกว่าอีกลูกเป็นอย่างมาก มากเพียงใด? ประมาณใกล้เคียงกับตอนที่เราวางหนังสือ2เล่มบนบอลลูนลูกที่2ในตอนทดลองครั้งแรกนั่นเอง เราจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างความดันลมยาง น้ำหนักและพื้นที่รอยประทับ ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร? โดยประมาณ พื้นที่รอยประทับจะเท่ากับน้ำหนักบรรทุกหารด้วยความดันลมยางนั่นเอง (ไม่ถึงกับเป๊ะแต่ก็ใกล้เคียงมาก) คุณต้องการพื้นที่รอยประทับยางที่ใหญ่มากๆหรือไม่? รองเท้ากอล์ฟแบบสไปค์จะเกาะได้ลึกกว่ารองเท้าเทนนิสบนพื้นที่สภาพอ่อนนุ่ม เหตุผลก็คือน้ำหนักจะกระจายลงบนพื้นที่รองเท้ากอล์ฟที่เล็กกว่า แต่บนพื้นที่แข็งและเรียบ คุณก็จะลื่นน้อยกว่ารองเท้าเทนนิส ถ้ามีฟิล์มที่เปียกหรือลื่นบางๆระหว่างพื้นและรองเท้า แรงดันลมยางที่มากและพื้นที่รอยประทับที่เล็กจะช่วยดอกยางให้กัดและเกาะลึกลงไปบนพื้นถนนที่แข็งได้ดีกว่า ในทางตรงกันข้าม บนพื้นถนนที่หนาแต่อ่อนนุ่มเช่นโคลนนุ่มๆ ทรายหรือดินนิ่ม ลมยางที่อ่อนจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปบนพื้นที่รอยประทับที่มากกว่าทำให้ยางรถเลอยคล้ายๆกับรองเท้าหิมะ และบนพื้นผิวที่แข็งและแห้ง ความดันลมยางที่ต่ำลงจะทำให้พื้นที่รอยประทับมากขึ้นซึ่งจะช่วยให้เพิ่มพื้นที่การยึดเกาะถนนได้มากขึ้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมรถแข่งจึงนิยมใช้ยางไม่มีดอก เห็นไหมว่าความดันลมยางจะควบคุมพื้นที่รอยประทับ เราจะพบว่าความดันลมยางไม่เพียงแต่สำคัญในการควบคุมความร้อนแต่ยังสำคัญต่อการเกาะถนนที่เหมาะสมด้วย อย่างไรก็ดี ทุกๆสิ่งจะกลับมาหาความดันลมยาง ใช่หรือไม่? แน่นอนที่สุด หลายๆสิ่งที่กระทบต่อการเกาะถนน น้ำหนักบรรทุก การสึกหรอของดอกยางและความทนทาน ความดันลมยางที่เหมาะสมจะทำให้มีผลดีต่อสิ่งต่างๆโดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 12:06:43 จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:02:16

ความคิดเห็นที่ 61   รูปทางซ้ายอธิบายถึงรูปทรงที่เปลี่ยนไปของยางขณะหมุนระหว่างรับและไม่รับน้ำหนักทำให้เกิดความร้อนขึ้น รูปทางขวาอธิบายถึงยางที่มีแรงดันลมเพียงครึ่งเดียวจะทำให้รอยประทับใหญ่ขึ้น2เท่าวึ่งจะทำให้น้ำหนักเดิมกระจายบนพื้นที่ที่มากกว่าเดิม ส่งผลให้มีสภาพ ลอย บนพื้นผิวที่อ่อนนุ่มและทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 12:05:27 จากคุณ : MBV220 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:03:14

ความคิดเห็นที่ 62 สรุป ณ ถึงตอนนี้ และจากการทดลอง ทั้งสองครั้ง ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นการใช้ลมยาง ที่อยู่ในขอบเขตใกล้เคียงการใช้งาน และ แม้จะเกินไป บ้างพอสมควร  เหมือนการทดลองนี้  ผมเชื่อว่า วิศวกรเค้าคงคำนวนมาแล้ว ว่า ยางมันจะรับน้ำหนักได้มาก ขนาดไหน และ เปลี่ยนรูปทรง เพื่อรับน้ำหนักได้ขนาดไหน ซึ่ง ใน Range ดังกล่าว มันยังคงรับได้ สบายๆ แก้มยางเปลี่ยนรูปป่องออกรักษา ปริมาตรเดิมได้  มันจึงยังคงความดันเดิมไว้ได้ แต่ถ้าเติมลมยางจนแข็งมากๆๆๆๆๆๆ จนยางไม่สามารถยุบตัวป่องแก้มออกชดเชยกับการแบนลงเพื่อเพิ่มผิวสัมผัสกับถนน ได้แล้วล่ะก้อ แรงกดนั่นจะเริ่มกดอัดแก๊ซในยางให้มันมีปริมาตรลดลง และแรงดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจน เกิดขีดที่มันทนทานและแตกได้ แต่แรงดันที่ว่านี่ น่าจะเกินขีดการใช้งานของยางปกติไปเยอะ ทีเดียว ซึ่งถ้าแค่ไหนจะระเบิด คงต้องรอว่างๆยางใกล้หมดอายุ แล้ว ค่อยหารถเก่าๆมาลองกัน (แม้ว่างเก่าอาจจะแตกง่ายกว่ายางใหม่ แต่ผมก็ยังเชื่อว่ามันต้องทนได้สูงมาก กว่าที่เราใช้งานจริงกันมากทีเดียว) สำหรับใครอยากทราบ ตัวเลข Tyre Pressure load ของยางเป็นตัวอย่าง ลองดู ในนี้ ก็ได้ http://www.goodyear.com/rv/pdf/rv_inflation.pdf จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:09:01

ความคิดเห็นที่ 63 อย่างไงท่านพ่อตา ลองที่ ๑,๐๐๐ PSI ดูด้วยครับ ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไหม ผมว่า มันต้องมีปัจจัยหลายอย่าง ที่อาจจะส่งผลให้ แรงดันลมยางเปลี่ยนไป ตอนนี้ ยางรถมันยืดหดตัวได้ แต่ ... ถ้าแรงดันมันมากจริงๆ จนเกินขีดจำกัด ของยาง มันก็น่าจะยืดอีกไม่ได้แล้ว เมื่อนั่นปริมาตรของยาง ก็น่าจะถูกทำให้ เล็กลงด้วยน้ำหนัก (เบาะๆ ซัก ๑๐๐ ตันก็พอ ) แปลกแฮ๊ะ ยางมีลวดรัดอยู่อีกที มันไปขยายตรงไหนฟระ ? จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 12:33:58

ความคิดเห็นที่ 64 ตอบตาหยึม มันไม่ได้ขยายตัวอ่ะ หยึม แต่มันเปลียนรูปทรง (หน้ายางแบนลง ตรงแก้มยางซึ่งเป็นผ้าใบกับยางให้ตัวได้ ป่องออกได้ แต่ ปริมาตรคงที่ ถ้าแรงดันมากๆ จนเกินขีดจำกัดยาง และให้ตัวไม่ได้ ก็อาจจะแตกได้ หรือ ถ้ายังไม่แตก แต่ยางแข็งเป็ก เวลาน้ำหนักเพิ่มยางยุบตัวเพิ่มพื้นที่หน้าตัดถ่ายแรงลงพื้นไม่ได้  แรงที่เกินนั้นก็จะอัดยาง เข้าไปเพิ่ม ยางมันเพิ่มพื้นที่ผิวมาสู้กับแรงกดจากพื้นไม่ได้ อีก ก็จะกลายเป็นโดนอัดเข้าไปแรงดันจะเพิ่มขึ้นมาแทน เพื่อจะสู้กับแรงอัดจากพื้น สุดท้ายถ้าแรงดันสูงเกินก็ระเบิด จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 13:40:30

ความคิดเห็นที่ 65 คุณ ton99 ใช้เกจแบบไหนวัดแรงดันครับ พอจะมีให้ผมยืมทดลองได้ไหม การทดลองของผมจะใช้รถกระบะ 1. วัดแรงดันตอนที่ไม่มี Load 2. เอาขึ้นชั่งบนตราชั่งรถ แล้วใช้รถแบคโฮกดให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 3. วัดแรงดันเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น 500 1000 1500 2000 กิโล ถ้าน้ำหนักที่เปลี่ยนไปมีผลต่อแรงดันจริง น้ำหนักสองตันน่าจะเห็นผลชัดเจน จากคุณ : DoraeMa เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 16:20:09

ความคิดเห็นที่ 66 สูตร ฟิสิกส์ ม.ปลาย น่าจะอธิบายอย่างคร่าวๆได้ Force = Pressure x Area Force เกิดจาก น้ำหนักทั้งหมดคือ รถ ล้อ และยาง ควรจะเท่ากับ P ที่วัดได้ คูณกับ พื้นที่สัมผัสทั้งหมด จากคุณ : sodiumz เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 16:35:00

ความคิดเห็นที่ 67 วันนี้ลองวัดรถอีกคัน  เพราะรถคันเดิมจับขึ้นสามขาเอาไว้อยู่เอาลงมาไม่ได้ ยาง 185/70R13 Load index 86  น้ำหนักลงล้อหลังที่วัด  ไม่น่าจะเกิน 250 kg น้ำหนักที่กดจะเบากว่า 2 คันก่อนที่เคยวัด เพราะสองคันที่ว่าเป็นรถขับหน้า  แล้ววัดที่ล้อหน้า ส่วน load index มีค่า 86 เท่ากับยาง 195/60R14 แต่ มากกว่ายาง 185/55R15 ที่มี load index แค่ 82 ลมยาง 26.4  เริ่มต้น ยกครั้งที่ 1 วัดได้ 26.2   ปล่อยลงมาวัดได้ 26.4 ยกครั้งที่ 2 วัดได้ 26.2-26.3  ปล่อยลงมาวัดได้ 26.4 ยางพี่หมอเจ มันแก้มเตี้ยก็จริง  แต่หน้ากว้างมหาศาล load index สูงถึง 94 กับน้ำหนัก 300-400 kg คงเห็นผลไม่มาก ถ้าใช้เกจ์ที่มีความระเอียดไม่มาก  อาจจะมองไม่เห็นได้ ส่วน คคห 56-62 มันเป็นแนวคิดในเชิงอุดมคติ ถ้ายางยืดหยุนได้สมบูรณ์ 100%  มันก็จะเป็นไปตามนั้น จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 23:40:46

ความคิดเห็นที่ 68   1. ผมอยากเห็นอุปกรณ์วัดลมยางของ ton99 ครับว่าใช้รุ่นไหนอยู่ 2. ถ้า ton99 มั่นใจว่าเป็นอย่างที่บอกจริงๆ ช่วยย้อนไปอ่านข้างบน ความเห็นที่ 53 ผมก็เป็นคนหนึ่งครับที่อยากรู้ข้อเท็จจริง ลืมบอกไป ผมเป็นคนตั้งกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V9340385/V9340385.html เองครับ ไม่มีเจตนาจะจุดประเด็นที่มีคนตั้งกระทู้ไว้ที่โต๊ะหว้ากอ (ผมไม่ทราบจริงๆว่าเคยมีคนถกเรื่องนี้กันแล้ว และผมไม่เคยเข้าไปอ่านที่โต๊ะหว้ากอเลย) เพียงแต่สงสัยและต้องการคำตอบ จึงมาตั้งกระทู้ จากคุณ : Transporter เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 00:42:07 A:222.123.75.161 X: TicketID:266972

ความคิดเห็นที่ 69 เพิ่งกลับจากซิ่งฮายา ลุยฝนไปนั่งฟังเพลงๆกับเพื่อนในเมืองกลับมา ขอบคุณต้นที่มาแชร์ข้อมูลกัน แต่ถ้าตัวเลขจากที่ต้นว่า นี่ ดูแล้ว Error จากเครื่องวัด สองครั้ง ก็ราวๆ 0.1 psi และค่าที่เปลี่ยนก็ราวๆ 0.1-0.2psi ซึ่งดูแล้วต้องบอกว่าค่อนข้างน้อยมาก จริงๆแล้ว จะว่ายางผมหน้ากว้างแต่ซีรีย์มันก็ต่ำมาก และ ลมยางก็ใช้ทุกระดับทั้งปกติ และแม้กระทั่งแข็งกว่าปกติ มากๆ รวมทั้งพยายามเพิ่มโหลด ให้มันเกินกว่าปกติ การใช้งานจริง (เอาคนสองคนนั่งซ้อนกันทับด้านนี้) แต่มันก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเลย และผมเองเลือกเติมลม(พอดีลองที่บ้านมีเครื่องเติมลม และเติมลมให้มันตรงขีด20-40-50 พอดีเป๊ะ เพื่อให้อ่านค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย และ ผลออกมามันทับเส้นเดิมเป๊ะเลย ถึงบอกว่า มันไม่เปลี่ยน แล้ว การวัดซ้ำเพื่อ Recheck หลังจากยกลอยใหม่ ก็ยังคงกลับมาเท่าเดิม และเหมือนกันทั้งสามชุดผมถึงเชื่อว่าตัวเลขมันเชื่อถือได้ระดับนึง ถ้าจะทดลองต่อไปก็คงเพิ่มคน ไว้ว่างๆ เวลามีมีทติ้งเอารถมาหลายๆคัน เครื่องวัดลมยางหลายๆตัว มาเล่นกันซักทีก็ได้ครับ เด๋วถ้าผมว่าง จะต้อนลูกน้อง ไล่ขึ้นไปอัดบนปิ๊คอัพ ซัก 20 คน แล้ว วัดเปรียบเทียบให้ดูอีกที สรุป  ยางใหญ่ซีรีย์สูงแล้ว ยางเตี้ยซีรี่ย์ต่ำแล้ว ยังขาดยางซีรี่ย์ต่ำหน้ายางแคบอีกอย่างเนอะ เอาแมงกาไซค์แล้วซ้อนสองคน ก็น่าจะแทนได้มั้ง เด๋วถ้าว่างจะลองให้อีกครับ //haha จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 01:01:28

ความคิดเห็นที่ 70 ที่มัันขยับ 26.2-26.3 มันเป็นจังหวะที่แรงดันมันคร่อม digit พอดี ถ้าแรงดันมันอยู่ใน digit ของมัน  มันก็จะนิ่ง เหมือนตอนที่เอาลงมันจะวัด 26.4 ได้ทุกครั้ง ที่มันขยับน้อย  เพราะน้ำหนักมันน้อย แต่ยางมันสามารถรับน้ำหนักได้เยอะ พี่หมอลองหาล้อ Jazz มาใส่ SLK แล้วลองวัดดูใหม่ก็ไ้้้ด้ เกจ์ที่ผมใช้  ผมเน้น precision มากกว่า accuracy ถ้าพี่หมอจะทดลองอีก  ผมแนะนำให้ใช้เกจ์ที่ดีกว่านี้ก่อน เกจ์รุ่นที่พี่หมอใช้  ผมเคยจะซื้อใช้  แต่ลองใ้ช้ดูแล้วก็เลยไม่ซื้อ เพราะเกจ์มันหยาบมาก  แถมจับไม่ถนัดมือ คคห 28 เกจ์วัด ดิิจิตอล มีหลายยี่ห้อ คุณลองไปซื้อมาใช้ดูเอา หารุ่นที่มันวัดลมนิ่งๆ แล้วค่ามันไม่ขยับ ลองปล่อยลมทีละนิด  แล้วลองเช็คค่าดูว่า digit สุดท้ายมันค่อยๆลดทีละ 1 แล้วไม่ขยับไปมา แต่ถ้าเป็นช่วงคล่อม digit แล้วมันขยับ ก็ให้ลดลงมาิีอีกนิด  ดูให้มันนิ่งไม่ขยับเป็นใช้ได้ กระทู้เรื่องนี้ คุยในรัชดาเมื่อสามปีก่อนไปสองสามครั้ง ส่วนในหว้ากอผมไม่รู้  เพราะสมัยก่อนไม่ได้เข้าไปอ่าน ผมแค่เอาความจริงมาบอกให้คนที่ไม่รู้  ไม่ได้ต้องการจะเอาชนะคัดคาน ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ได้บังคับ  ผมไม่สามารถทำให้คนยอมรับความจริงได้ทั้งหมด 5ปี 10ปี ผ่านไปแล้วเข้าใจ  ถึงวันนั้นแค่นึกถึงผมได้ผมก็ดีใจแล้ว เรื่องจะทดลองทดสอบ  ใครอยากรู้ก็ทำเองก็ได้   เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง  ถ้าวัดเหมือนกัน  มันก็ได้ค่าเหมือนกัน อย่างผมถ้าใช้เกจ์แบบพี่หมอ  แล้วใช้ยางแบบพี่หมอ   ผมก็ต้องวัดได้ผลเหมือนพี่หมอเขานั่นแหละ พักนี้ผมไม่ค่อยว่างด้วย ขนาดผมจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่้อง  ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีเวลาทำได้วันไหน ขืนนัดเวลาประหลาดๆไป   พวกไม่อยากมา  จะมาหาว่าผมเบี้ยวเหมือนงานที่แล้วอีก จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 15:11:11

ความคิดเห็นที่ 71 อ่อลืมบอกไป เวลาจะวัดลม ควรให้อุณหภูมิยางคงที่ด้วย ถ้ารถไปขับแล้วมาจอด  อุณหภูมิมันจะค่อยๆลดลง  มันจะทำให้วัดผิดได้ และถ้าเติมลมเข้าไป  ต้องทิ้งเอาไว้ให้นานพอสมควรให้แรงดันมันคงที่ก่อน เพราะเวลาเติมลมเข้าไป  แรงดันมันเพิ่มขึ้น  มันทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นด้วย พอทิ้งไว้อุณหภูมิมันจะค่อยลงกลับมาเท่าสภาวะแวดล้อม ส่วนปล่อยลมมันก็จะตรงข้ามกัน จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 15:15:51

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบใจต้นมาก ที่มาแจมอีกรอบ วันหลังถ้าต้นลองอีกแนะนำให้ปรับลม ให้ตรงกับ Scale ขีดที่ที่อ่านง่ายๆจะลดปัญหาลงไป ส่วนวัดลมยาง ที่ผมใช้ ผมเอง แฮปปี้กับมันมาตลอดนะ ผมว่ามันใช้ง่ายรูปร่างเข้ากับล้อได้ดี และ ที่สำคัญ เวลาลองรีเช็คกลับ วัดซ้ำมันเท่ากันเป๊ะๆ ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้ปวดหัว ว่าอ้าว ค่าไหนหว่า โดยเฉพาะแบบแกนเหล็กเหมือนร้านปะยางชอบใช้ เพราะว่าอันนั้นมุมเอียงและความฝืดทำให้ผิดกันได้เยอะๆ เอาเป็นว่าเบื้องต้นนี่ ใครที่กลัวเรื่องว่า รถจะเปลี่ยนล้อใส่ยาง จะวัดลมยางก่อนหรือหลัง  หรือรถบรรทุกของหนัก แล้ว จะทำให้ความดันยางมันเปลี่ยนไปหรือไม่ นั่น เลิกกลัวได้ล่ะกัน มันไม่เปลี่ยนเลยหรือ เปลี่ยนก็ถือว่าน้อยมากๆๆๆๆ อย่างที่เห็น ส่วนรถที่บรรทุกหนัก นั่นเค้าจะแนะนำให้เติมลมยางเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกเล็กน้อย เพื่อให้ยางมันแข็งคงรูปกลม ไม่แบนเปลี่ยนรูปทรงไปมากตอนบรรทุกหนัก โดยเฉพาะถ้าต้องวิ่งทางไกลไม่งั้น เวลาวิ่งมันจะเปลี่ยนทรงไปมาไวๆ ติดต่อกันนานๆระเบิดได้ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 16:12:16

ความคิดเห็นที่ 73 เพื่อให้เห็นผลว่ามันจะเปลี่ยนชัดขึ้นมั้ยกับยางขนาดเล็ก เลยจับทดลองกับ แมงกาไซค์อีกรอบครับ รอบนี้เลือกยางที่เตี้ยสุด และแคบสุดที่หาได้จากรถลูกน้องที่ทำงาน เดินไปได้คันนี้มา ใส่ยาง ดันล้อป 50/100 (หน้ากว้าง 5 ซม.) แก้มยางสูง 5 ซม.ลมยางเดิมเค้าเติมไว้ 15 ปอนด์เอง เลยจับไปเติมเพิ่มเป็น 20 ปอนด์เป๊ะให้ขีดตรงๆอ่านง่ายๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 17:20:12

ความคิดเห็นที่ 74 แมงกาไซค์ง่ายหน่อย ไม่ต้องขึ้นแม่แรง แค่ตั้งขาตั้งล้อก็ลอยแล้ว อิๆ วัดได้ 20 เท่ากับตอนก่อนยก(แสดงว่าแค่น้ำหนักมอร์เตอร์ไซค์(ไม่มากนัก ไม่มีผล) จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 17:21:17

ความคิดเห็นที่ 75 คราวนี้โหลดๆหนักเอาผู้ชายสองคนซ้อนกัน น้ำหนักรวม 120 กก. นั่งทิ้งน้ำหนักตัวลง ด้านท้าย สังเกตุยางยุบตัวไปเยอะมาก((รูปถ่ายอาจจะไม่ชัด ) แต่วัดลมยาง ยังคงเป็น 20 ปอนด์เช่นกัน สรุปผมเอาเกือบทุกอย่างที่มี แล้ว มันก็ยังคงวัดได้ไม่ต่างกันอ่ะครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 17:25:34

ความคิดเห็นที่ 76 จริงๆแล้ว ถ้ามีเกจ์หัวเล็กที่วัดกับ นาง รถเสือหมอบ ผมได้ แบบล้อคค้างไว้เลย ไม่ต้องแกะออกมาวัดกันใหม่ แล้ว อันนั้นน่าจะเห็นได้ชัด เพราะว่า ยางกว้างแค่ ไม่ถึง2ซม.และเป็น High Pressure  ทนแรงดันได้สูงมาก ปกติ เวลาแข่งผมใช้ ลมได้ถึง 140 psi เรียกว่าสูบกันแข็งจนแทบไม่ยุบตัวก็ยังไม่ระเบิด เพื่อให้ยางกลมที่สุดปั่นกินแรงน้อยสุด (โดยยังรับน้ำหนักโหลดคนได้อีกราวๆ 100 กก.) โดยไม่ระเบิด ซึ่งอันนั้นน่าจะเป็นการโหลดแบบสุดๆแล้ว แต่ที่วัดลมที่มีตอนนี้มันเป็นแบบติดสูบ แล้ว เวลาวัดแต่ล่ะครั้งกดทีนึง ลมมันพุ่งจากยางออกมาเยอะค่าแรงดันจะลดเกือบทุกคร้งที่วัดทำให้วัดยาก จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 17:38:29

ความคิดเห็นที่ 77 ผมใช้เกจ์แบบ Digital ครับ   มันขึ้นเท่าไหร่ก็เท่านั้น  ไม่ต้องมาเล็งเข็มให้คลาดเคลื่อนด้วยสายตา เวลาวัดจะต่างกันหน่อย  คือต้องเสียบคาแช่ไปเลย การวัดแบบนี้ผมว่าดีกว่า  แบบเข็ม  ที่ใช้การยัดเข้าไปแล้วปล่อย  ให้เข็มมันดีดเร็วๆ เพราะการเสียบคา  มันจะทำให้แรงดันลมนิ่งกว่า วันนี้ลองวัดกับคันเดิม  ยาง 185/70R13  แต่คราวนี้วัดล้อหน้า ตอนยกวัดได้ 25.8  ปล่อยลงมาวัดได้ 26.0  ต่าง 0.2 มาอีกคันเป็นรถขับหน้า ยาง 185/65R14   วัดล้อหน้าเหมือนกัน ยางมี load index 86 เท่ากัน  แต่คันนี้น้ำหนักลงล้อหน้าจะมากกว่า   ตอนยกวัดได้  29.4  ปล่อยลงมาวัดได้ 29.7  ต่าง 0.3 ตั้งแต่วัดมา  ยกกับปล่อยยังไม่เคยเจอคันไหนเท่ากัน แต่รถกระบะยังไม่เคยลอง คิดว่าถ้าขยับคงน้อยกว่า  เพราะยางรับน้ำหนักได้ดีกว่ามาก แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 19:27:58 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 19:24:31

ความคิดเห็นที่ 78 ว่างๆรบกวนต้นถ่ายรูป เกจ์มาชมหน่อยสิครับ เผื่อ ไปซื้อมาใช้ เปรียบเทียบ แฟนผมเคยใช้เกจ์ดิจิตัลมาใช้กับ มินิ  อันนั้นก็แพงเหมือนกัน แต่ผลกลายเป็นว่า มัน Error เยอะกว่า ลองแต่ละครั้ง ค่าไม่ค่อยคงที่ สุดท้ายตอนหลังเลยเลิกใช้ไป เด๋วว่างๆจะถ่ายรูปมันมาให้ดู ครับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 19:41:58

ความคิดเห็นที่ 79 แวะไปหยิบเกจ์ดิจิตัล (ของมิชิลินเช่นกันที่ผมว่า)แอบไปหยิบถ่ายรูป แล้วเลยถือโอกาส ให้เด็กขึ้นแม่แรง SLK ทดลองวัดดู จากลมยาง 38.2 ปอนด์เลย ผล ขึ้นกับลดแม่แรงลง ยังคงเหมือนกัน คับ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 19:58:48

ความคิดเห็นที่ 80 ผมเพิ่งมาอ่านเพิ่มที่ว่าจะเอาของหนักมากๆมากดทับ ที่แรงดันลมยางมาตรฐาน สิ่งที่จะเกิดคือแก้มยางอาจจะพับลง ทำให้เสียพื้นที่ผิวไปบางส่วน ถ้าเป็นอย่างนี้จริง แรงดันก็ต้ิิองเพิ่มขึ้นแน่นอน (เพราะพื้นที่ผิวหายไปบางส่วนนี่) ใครลองแล้วได้แรงดันเพิ่มขึ้นตอนมีน้ำหนักบรรทุกมากๆ ช่วยถ่ายรูปหน้ายาง แล้วแก้มยางมาให้ดูหน่อย จะได้ช่วยกันวิเคราะห์ว่าทำไม่แรงดันถึงเพิ่ม จากคุณ : Miami_Dolphin เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 21:10:19

ความคิดเห็นที่ 81 เกจ์ digital มันใช้ไม่เหมือนเกจ์เข็ม พอใช้แล้วไปเสียบวัดเหมือนเกจ์เข็ม  มันก็วัดผิดวัดถูกแน่นอนครับ ตอนที่ได้มาก็เกือบปาทิ้งไปแล้ว  เพราะตัวเลขมันมั่วไปมั่วมาเหลือเกิน พอมาอ่านวิธีใช้ถึงรู้ว่าให้เสีบคาแช่เอาไว้  มันถึงวัดได้เที่ยงตรง ผมเสียบวัด 2-3 ครั้ง  ค่าที่วัดได้มันก็ตรงกันตลอด ถ้าเกินกว่านี้  ค่ามันอาจจะลดไป 0.1 เพราะการวัดแต่ละทีมันต้องเสียลมออกไปทำให้แรงดันลดลง ถ้าวัดหลายๆครั้งแล้วตัวเลขดันได้ตรงกัน  แสดงว่ามันคงวัดผิดแล้ว อันที่ผมใช้  เป็นของ michelin ตัวสีน้ำเงิน ซื้อมาใช้ได้นานมากแล้ว ว่าจะไปซื้อมาใช้ีอีกอัน  แต่ก็ไม่มีขายแล้ว เจอแต่ที่มันเป็นคนละรุ่นกัน  มันขายอยู่ 1600  ยังทำใจซื้อไม่ได้อยู่ อันที่ผมใช้ิอยู่  จำได้ว่าซื้อมาไม่ถึงพัน ตกลงเกจ์ digital อันนี้ที่พี่หมอใช้ มันวัดตรงหรือไม่ตรงกันแน่ ถ้าพี่หมอบอกว่ามันเพี้ยน  แต่ผลมันออกมาตรง ผลที่ตัวเลขมันเหมือนกัน  จริงๆแล้วมันอาจจะไม่เป็นตามตัวเลขก็ได้ แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 53 00:00:52 จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 23:47:52

ความคิดเห็นที่ 82 จาก คคห 80 นะครับ ทำให้นึกได้ว่า สองคันที่ผมวัดเมื่อ 3 ปี ก่อน นั้น ใช้ยางหน้ากว้างกว่ากระทะไปครึ่งนิ้ว  (แต่ยังอยู่ใน spec ที่ให้ใส่ได้อยู่) อาจจะเป็นไปได้ว่า  มันมีการกดขอบมากขึ้น   เลยทำให้แรงดันเพิ่มขึ้นมาก กว่ายาง 3 เส้น ที่ผมวัดในสองวันนี้ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 23:59:17

ความคิดเห็นที่ 83 ตอบต้น ตกลง ของต้นก็เป็น มิชชิลินเหมือนกันเหรอ ของผม นี่ตอนวัด ก็วัดแช่ครับ เพราะว่า ถ้ากดออกมาแล้ว ปล่อยมันก็หายไปอ่านค่าไม่ได้ เมื่อวานที่ วัด ออกมาทั้งสองครั้งตรงกันครับ แต่ บางครั้งที่วัดมันเหมือน ไม่ค่อยstable ผมเลยไม่ค่อยชอบ ชอบตัว Analog มากกว่า และผม เอง ไม่นิยมพวก Digital เป็นส่วนตัว ดูเหมือนมัน Error ง่ายกว่า Analog อิๆ ไว้ว่างๆ มีมีทติ้งไล่วัดมันกันทุกคัน เลยล่ะกัน อิๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 11:15:45

ความคิดเห็นที่ 84 วันนี้ผมลองวัดเช็คเกจ์ดู   วิธีที่ใช้ จะเสียบวัดจนค่านิ่งไม่ต่ำกว่า 3 วิ แล้วจึงบันทึกค่า   เว้นระยะห่างประมาณ 3 วิ แล้วจึงวัดซ้ำใหม่ไปเรื่อยๆจนครบ 5 ครั้ง ล้อที่ 1 ==== ครั้งที่ 1  27.2 ครั้งที่ 2  27.2 ครั้งที่ 3  27.2 ครั้งที่ 4  27.1 ครั้งที่ 5  27.1 ล้อที่ 2 ==== ครั้งที่ 1  26.1 ครั้งที่ 2  26.1 ครั้งที่ 3  26.0 ครั้งที่ 4  26.0 ครั้งที่ 5  25.9 ล้อที่ 3 ==== ครั้งที่ 1  26.4 ครั้งที่ 2  26.3 ครั้งที่ 3  26.3 ครั้งที่ 4  26.2 ครั้งที่ 5  26.2 ล้อที่ 4 ==== ครั้งที่ 1  26.3 ครั้งที่ 2  26.2 ครั้งที่ 3  26.2 ครั้งที่ 4  26.2 ครั้งที่ 5  26.2 ผลที่ได้ถือว่าเที่ยงตรง  ตัวเลขไม่มีการโดดไปโดดมา มันมีแต่จะค่อยๆลดค่าลง  เพราะการวัดแต่ละครั้งมันจะต้องเสียแรงดันไป ถ้าเสียบดี ชักเร็ว  ก็จะเสียลมน้อยหน่อย จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 16:50:17

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ต้น ของผม ตัว มิชิลินปกติ ก็เช็คซ้ำนี่เท่ากันเป๊ะ เหมือนกัน อิๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 19:11:02

ความคิดเห็นที่ 86 คืนนี้ว่าจะลากไอ้เข้  ไปลองวัดรถกระบะดู ปรากฏว่า ฝนตก  เลยต้องล้มแผนไปก่อน  วันจันทร์ค่อยว่ากันใหม่ สำหรับรถกระบะ เดาว่า คงขึ้นน้อยกว่าสองคันที่เคยวัด เพราะยางใหญ่ load index สูงมาก  น้ำหนักกดล้อหลังก็มีไม่เท่าไหร่ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 21:34:40