V2639350 /*-*/*-*/*-*/ เครื่องเล่น DVD+VCD+สารพัดแผ่นสารพัดระบบ ตัวไหน น่าเล่นที่สุดครับ งบไม่เกิน 6 พันบาท /*-*/*-*/*-*/ [เครื่องใช้ไฟฟ้า]

ความคิดเห็นที่ 16

สวัสดีครับคุณ Jimmy คาดไม่ถึงจะพบกระทู้ของคุณที่นี่ มีคนเข้ามาตอบกันเยอะ แสดงว่ามีแฟนติดตามคุณไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งรวมถึงผมด้วย

ไม่ว่าจะเป็นรถราหรือเครื่องเสียงเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างก็มีการแยกประเภทเพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน อย่างที่คุณ Jimmy กล่าวไว้เสมอนั่นแหละ จำกัดวงอยู่ที่เครื่องเสียงก็แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่คือเครื่องเสียงประเภทใช้งานกลางแจ้งหรือ Public Audio มีไว้เพื่อใช้งานหนัก ทนทาน ซ่อมบำรุงกันได้ง่าย ราคาไม่แพงจนเกินไป เปรียบเสมือนรถยนต์ที่ใช้งานพาณิชย์อย่างรถบรรทุกทั้งหลายนั่นแหละครับ หากนำไปใช้ตามงานวัดงานบวชนาคแบบชาวบ้านก็ใช้ของไทยกันเป็นหลัก หากเป็นงานแสดงคอนเสิร์ตก็อาจจำเป็นต้องพึ่งพาของนอกราคาแพงๆ ขึ้นอยู่กับสภาพงานที่นำไปใช้นั่นเอง

ประเภทต่อมาก็คือเครื่องเสียงบ้าน หรือ Home Audio พวกเราส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับเครื่องเสียงบ้านมากที่สุด โดยเฉพาะบรรดาท่านผู้ชายทั้งหลาย ถ้าพูดถึงองค์ประกอบของเครื่องเสียงทั้งสองประเภทจะเห็นได้ว่าเหมือนกันคือ หนึ่งต้องมีแหล่งป้อนสัญญานหรือ Source บรรดาเครื่องเล่นเหล่านี้ก็ได้แก่ CD Player, DVD Player, VCD Player, Turn Table, Tape Deck หรือแม้แต่ Video Tape ที่กำลังจะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้านี้ หน้าที่ก็คือเล่นภาพเล่นเสียงจากแหล่งที่เรียกว่า Software นั่นเอง โดยป้อนเข้าสู่ระบบภาคขยายทั้งหลายที่ประกอบไปด้วย Pre-Amplifier ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญานจากแหล่งมาปรุงแต่ให้เหมาะสมทางกระบวนการอิเล็คทรอนิคส์ของแต่ละสัญญานต่างๆ และส่งต่อไปให้ Amplifier ทำการขยายสัญญานให้มีเรี่ยวแรงพอเพื่อให้ลำโพงหรือโทรทัศน์หรืออื่นๆ แปลงสัญญานเป็นเสียงเป็นภาพให้เราฟังเราชมกันต่อไป แต่เครื่องเสียงบ้านมักจะได้รับการดูแลจากผู้ผลิตดีกว่าเพราะคนที่นำไปใช้นั้นคาดหวังถึงคุณภาพที่ดีมากกว่าอย่างอื่น แต่การจะทำให้ดีเหมาะสมกับทุกคนนั้นเป็นเรื่องยากเพราะขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของคนที่จะไปซื้อด้วยเช่นกัน ซึ่งเหมือนกับรถยนต์ที่ทำไมต้องมีโตโยต้าวิออส หรือเฟอร์รารี่ นั่นเอง ของทีคุณภาพดีกว่า ประสิทธิภาพดีกว่า นั่นเป็นเพราะใช้อุปกรณ์ วัสดุการ ออกแบบ เทคโนโลยี่และการผลิตที่ดีกว่า แต่นั่นหมายถึงคนซื้อต้องจ่ายมากกว่าเช่นกัน

ในบางครั้งพวกเราก็จะเห็นว่า เครื่องรุ่นเล็กราคาไม่แพงแต่ให้เทคโนโลยี่หรือ Function การใช้งานที่มากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพหรือประสิทธิภาพที่ดีกว่าเครื่องที่อาจจะให้อะไรมาน้อยแต่มีราคาสูงกว่า เพราะอุปกรณ์ที่ใช้นั้นเป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ เกรดต่ำกว่า ไม่ได้คัดสรรเวลาผลิตก็ไปเหมายกโหลมาผลิตเพื่อลดต้นทุน ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ในโลกของเครื่องเสียงนั้นจะมีอยู่สามระดับคือ Low End ซึ่งเป็นสินค้าเอาถูกเข้าไว้ ขายได้ทีละมากๆ ไม่รับประกันการใช้ หากรับประกันแต่เมื่อต้องซ่อมก็อาจหาตัวแทนจำหน่ายไม่เจออีกแล้ว พอซ่อมเองก็ไม่มีอะไหล่ เป็นต้น สูงขึ้นมาก็เรยกว่าพวก Mid End คนส่วนใหญ่สุดจะอยู่ในกลุ่มนี้ซึ่งรวมถึงผมด้วย แต่ในกลุ่มนี้ก็ยังมีประเภทแยกย่อยลงไปอีกเช่น ผู้เริ่มต้นที่เพิ่งจะซื้อมินิคอมโปมาดูหนังฟังเพลง แต่ก่อนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่ม Low End แต่พอเครื่องเสียงราคาจากจีนเริ่มแผลงฤทธิ์ บรรดาผู้ผลิตของญี่ปุ่นกับเกาหลีก็เริ่มขยับตัวหนีโดยยกระดับสินค้าที่เป็น Mass Products ให้มีคุณภาพดีขึ้น จนบางครั้งเราสามารถพบสินค้าที่มีราคาไม่สูงแต่คุณภาพดีอย่างน่าทึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น เช่นเครื่องเสียงตระกูลมินิของ JVC เป็นต้น ถัดมาก็เป็นกลุ่มผู้ที่เล่นมานานพอสมควรเริ่มรู้แล้วว่าแนวทางที่แท้จริงของการเล่นเครื่องเสียงนั้นควรเป็นอย่างไร ก็เริ่มหันเป็นเล่นชุดแยกชิ้น ของยี่ห้อที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังขาดทุนทรัพย์หรือมีไม่มากพอที่จะก้าวไปเล่นในระดับที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้แน่นอนถือว่ามีอยู่มาก และก็มักเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการเลือกซื้อมากที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะต้องการของที่มีคุณภาพดีมากแต่ราคาต้องไม่สูงจนไม่อาจซื้อหามาได้

อีกกลุ่มนั้นถูกเรียกว่า Hi End ก็เปรียบกับรถยนต์ประเภท MB Ferrari ทำนองนั้น มีไม่กี่คนที่ซื้อได้อย่างลำโพงคู่ละสามล้านบาท ซีดีเครื่องละเจ็ดแปดแสน แบบนั้น หลายคนมีเงินอย่างเดียวก็เล่นมันไป สุ้มเสียงจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปบางคนไม่สนใจเพราะเครื่องเสียงเหล่านี้มีไว้เพื่อแสดงฐานะทางสังคมเช่นรถดีราคาแพงนั้นเอง

เขียนมาซะเยอะเลย ยังไม่ตรงกับที่คุณ Jimmy ต้องการทราบแต่อย่างใด เขียนๆ มาก็จะบอกว่าซื้อเครื่องเสียงเครื่องไฟฟ้าก็เหมือนซื้อรถยนต์นั่นแหละครับ ที่ต้องถามว่าเอาไปทำอะไรเป็นหลัก อย่างคุณ Jimmy ดูเหมือนจะนำไปใช้เป็นเครื่องเดียวแต่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน และกำหนดราคามาไม่เกินหกพันบาทหาอยากนะครับ สำหรับเครื่องที่จะให้คุณภาพที่ดีอย่างที่เราต้องการ ความจริงมันก็มีแต่ก็ต้องไปคบหากับยี่ห้อที่เป็นของจีนหรือของไทยที่ให้อะไรต่อมิอะไรมาจนครบ แต่หากหว้งในคุณภาพที่ดีและเป็นเครื่องเล่นประเภท Universal ที่เล่นแผ่นทุกแผ่นได้หมด ดีวีดีก็ไม่จำกัดโซน ผมคิดว่ามองหาของผู้ผลิตที่ให้ความมั่นใจกับคุณถึงคุณภาพจะดีกว่า Pioneer DV667A ก็ให้ได้อย่างที่คุณต้องการ แต่คุณต้องจ่ายเพิ่มเกือยสองพันบาทจากงบที่ตั้งไว้ หรือจะเป็น Philips 727K ก็ดีมากเช่นเดียวกัน ทั้งสองตัวนี้ให้ภาพเป็น Scan Progressive แต่ก็ไม่สำคัญอะไรหากโทรทัศน์คุณมันรับสัญญานไม่ได้ แต่อื่นทั้งภาพทั้งเสียงและการบริการผมเชื่อว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ผมมีเรื่องฝากสักนิดสำหรับคนชอบคาราโอเกะ ดีวีดีของผมก็มีแรกๆ ก็เห่อ พอหลังๆ ก็ไม่สะดวกเพราะเพลงที่ชอบร้องมันหลากหลาย ต้องคอยเปลี่ยนแผ่นอยู่เรื่อยจนรำคาญ ท้ายสุดก็ใช้คอมพิวเตอร์กับโปรแกรมเพลงที่เขาขายมีเป็นหมื่นเพลงนั่นแหละดีที่สุด ซื้อชุดไมค์ลอยต่อเข้า Integrated Amp ออกลำโพงแบบ PA หากไม่ชอบยุ่งยากก็ใช้ภาคขยายกับลำโพงของคอมที่คุณมีก็โอเคแล้ว ร้องได้ไม่ขาดตอน แทรกภาพระหว่างร้องเพลงก็ได้ ผมว่าดีกว่าจะเล่นจากเครื่องดีวีดีนะครับ

ขอบคุณที่ทนอ่าน นานๆ จะได้ตอบกระทู้ของคนดังสักที

จากคุณ : Stereophony - [ 25 ม.ค. 47 23:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22

คึกคักดีจริงๆครับ...กระทู้นี้ กระทู้คุณ JIMMY นี่เอง
ตอบกันไปเพียบแล้ว ผมจะช่วยตอบอะไรดีล่ะ....อืม

เอา Progressive Scan ละกันนะครับ
*****************************************************
Progressive Scan
ปกติภาพทั้งจากรายการทีวี, VCD, DVD ฯลฯ ที่เราดูๆกัน
ใช้ระบบการสแกนภาพ(สร้างภาพ) แบบ Interlace Scan

ระบบสแกนภาพแบบ Progressive Scan เป็นระบบใหม่
ที่ใช้วิธีสร้างภาพไม่เหมือนกัน ทำให้ได้ภาพที่นิ่งขึ้น
มองเห็นเส้นสแกนแนวนอนได้ยากขึ้น ภาพละเอียด เนียนขึ้น

แต่การจะได้ดู DVD ในระบบ Progressive Scan จำเป็น
ต้องมีสิ่งเหล่านี้ครับ (มี 2 วิธี)

1. มีทีวี ที่มีช่องต่อรองรับ Progressive Scan และมีเครื่อง
ดีวีดีที่เป็น Progressive Scan
ตอนนี้ทีวีมีเฉพาะ 29" ขึ้นไป ราคาประมาณ 4 หมื่นขึ้น
ดีวีดีราคาประมาณ 1 หมื่นขึ้น

2. มีทีวีที่มีระบบแปลงสัญญาณจาก Interlace เป้น Progressive
เช่นระบบ DRC Progressive ของโซนี่, Hyper Pro. ของโตชิบ้า
กรณีนี้เราสามารถใช้กับเครื่องดีวีดีแบบไหนก็ได้ หรือจะ
ใช้สัญญาณจาก UBC, เสาอากาศ, VCD ได้ทุกอย่าง

แต่ถ้าถามว่าภาพจาก DVD กรณีนี้ เทียบกับข้อแรก อย่างไหนดีกว่า
ข้อแรกดีกว่าเล็กน้อยครับ (ภาพนิ่งกว่า)

ศึกษาเรื่องการสร้างภาพแบบ Progressive ได้ที่
http://www.wijitboonchoo.com/technic/progressive.html
*********************************************************
ทีวีคุณ JIMMY ไม่รองรับ Progressive Scan แน่นอนครับ
(ตอนนี้มีเฉพาะ 29" ขึ้นไป ราคา 35,000 ขึ้นไป)
เพราะฉะนั้น เครื่องดีวีดีที่มีระบบ Progressive Scan
จึงไม่จำเป็นสำหรับคุณตอนนี้ครับ

แต่ถ้าเกิดจะซื้อเผื่อๆไว้ก็ไม่เป็นไรครับ เครื่องที่มีระบบ
Progressive Scan ก็สามารถเล่นกับทีวีธรรมดาได้ด้วยครับ
*********************************************************

"ZONE DVD"

DVD เค้าจะมีการทำเครื่องและแผ่นแยกตามโซนทั้งหมด 6 โซนครับ (1-6)
เครื่องเราโซน 1 ก็ต้องเล่นแผ่นโซน 1
เครื่องโซน 3 ก็ต้องเล่นแผ่นโซน 3
ไม่สามารถเอาแผ่นโซน 1 มาเล่นในเครื่องโซน 3 ได้

นอกจากเหตุผลทางธุรกิจแล้ว การแบ่งโซนก็เพื่อจะได้
ทำ Sub-Title หรือเสียงพากษ์ ให้เหมาะกับโซนนั้นๆ
เช่น โซน 1 สำหรับอเมริกา ก็มักจะมีเฉพาะเสียงพูด-
บรรยายภาษาอังกฤษ
โซน 2 สำหรับญี่ปุ่น ก็มีภาษาญี่ปุ่น
โซน 3 สำหรับเอเซีย ตอ.เฉียงใต้ ก็จะมีภาษามาเลย์, อินโด รวมทั้งไทย

ปกติเครื่องดีวีดีที่ขายในไทยจะเป็นโซน 3 แต่ก็มีนักเล่นบางกลุ่ม
ต้องการเล่นแผ่นโซน 1 ซึ่งเป็นโซนของอเมริกา เนื่องจาก
ให้ภาพและเสียงดีกว่า(ปราณีตในการบันทึกมากกว่า)
และออกวางขายเร็วกว่าโซน 3 (บางเรื่องบ้านเราหนังยัง
ไม่เข้าโรงเลย แผ่นโซน 1 ออกแล้ว)

เมื่ออยากเล่นแผ่นได้ทุกโซน(All Zone)วิธีแก้ก็คือ
นำเครื่องไปแปลงโซน ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายพันกว่าบาท

แต่ปัจจุบัน เครื่องเล่นดีวีดีที่ขายในบ้านเรา จะเป็น All Zone
ทั้งหมดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องไปแปลงอะไรอีก
จะมีบางยี่ห้อ เช่น Samsung , LG , Philips(บางรุ่น)
ที่จะต้องมากดรหัสปรับเป็น All Zone ที่รีโมทก่อน ซึ่งบางครั้ง
ทางร้านค้าลืมปรับให้ เครื่องจึงเล่นได้แต่แผ่นโซน 3
วิธีแก้ก็ต้องถามวิธีกดและรหัสกับทางร้าน แล้วคุณสามารถ
กดปรับจากรีโมทได้ด้วยตัวคุณเอง

ปล.แผ่นที่มีการล็อคโซน คือแผ่นแท้เท่านั้นนะครับ
ส่วนแผ่นก็อปปี้จะไม่มีการล็อคโซนอยู่แล้ว (All Zone)

••••••••••••••••••••••••
ขอให้ได้เสียตังค์ดังใจหวังครับ

จากคุณ : SONYMAN - [ 27 ม.ค. 47 00:20:22 ]