ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเคร่งมากล่ะแย่แน่ครับ จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 19 พ.ค. 49 13:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 1.เลิกลากันไป 2.ให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลง 3.ให้ผู้ชายเปลี่ยนแปลง (ยากมาก) อาจต้องตัดญาติ 4.เป็นเพื่อนกันได้ จากคุณ : bob_bob - [ 19 พ.ค. 49 15:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนาอิสลามค่อนข้างเคร่งครับ ถ้าจะแต่งงานกันฝ่ายพุทธต้องเปลี่ยนไปเป็นอิสลามครับ พ่อตาผมเดินเป็นพุทธ แต่งงานกับแม่ยายที่เป็นอิสลาม พ่อตาผมจึงเปลี่ยนเป็นอิสลาม มีลูกสาว ลูกชาย แฟนผมศาสนาพุทธ น้องชายแฟนอิสลาม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่เคร่งมากขนาดไหนครับ ศาสนาไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่คนสองคนมากกว่าว่าจะยอมปรับเข้าหากันหรือเปล่า จากคุณ : zeros - [ 19 พ.ค. 49 15:54:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "ศาสนาไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่คนสองคนมากกว่าว่าจะยอมปรับเข้าหากันหรือเปล่า" นั่นแหละครับ ประเด็นทั้งหมดต้องให้ทั้งสองคนคุยกันเองครับ คุณคนสยามอาจช่วยตรวสอบทักท้วง ผลจากที่ทั้งสองคุยกัน ว่าเป็นไปได้แค่ไหนเท่านั้นแหละครับ แน่นอนว่าจะมีเรื่อง ต้องอด ต้องทน ต้องทำ ซึ่งมักไม่อำนวยต่อชีวิตสมรสที่ราบรื่นเลย อยู่ที่บุคลิกและวุฒิภาวะของทั้งสองฝ่ายครับ ว่าจะทำได้ไหม จากคุณ : John Luc - [ 19 พ.ค. 49 16:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าฝ่ายชายย้ายมาอยู่เมืองไทย ที่บ้านฝ่ายหญิงก็ไม่เกิดปัญหาใช่ไหมครับ แล้วถ้าฝ่ายชายพาฝ่ายหญิงไปบ้านจะมีปัญหาอะไรไหม จากคุณ : คนสยาม (คนสยาม) - [ 19 พ.ค. 49 16:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ เพิ่งกลับมาจากนราธิวาสสด ๆ ร้อน ๆ เลยครับ... ...คุณ คนสยาม ถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่...ตอบแบบกำปั้นทุบดินง่าย ๆ เลยนะครับ ว่า ปัญหาจะเกิด หรือไม่เกิดมันอยู่ที่ เจ้าตัวเองครับ ว่าทั้งคู่มีความเข้าใจ และมีศรัทธาในสิ่งที่ตนนับถือแค่ไหน  คนอื่น คงจะตอบ แทนไม่ได้หรอกครับ ถ้าต่างคนต่างเข้าใจว่า ศาสนาคือ คำนามที่มีไว้ต่อท้าย ชื่อ ในบัตรประชาชน...เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ..อะไรก็ได้หมดแหละครับ...แต่ถ้านับถือกันที่แก่นจริง ๆ ปัญหามีแน่ครับ...เพราะอะไร...ก็เพราะว่า อิสลามยอมรับ คู่สามีภรรยาที่มีหลักความเชื่อแบบเดียวกัน คือ เชื่อในอัลเลาะห์ เท่านั้นครับ "และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน" (กุรอาน 3:85) นี่คือโองการที่ชัดเจนที่สุดแล้วครับ...ในการเป็นมุสลิม ---------------------------------------------------------- ....ทีนี้มาเข้าประเด็นว่า ครอบครัวฝ่ายชายเป็นมุสลิม ซึ่งคุณอ้างว่า เคร่ง มากด้วย ปัญหาคือ -ครอบครัวของสามี (พ่อ-แม่-ญาติพี่น้อง)จะยอมรับลูกสะใภ้ที่เป็นพุธได้หรือไม่ >>>ถ้าครอบครัวเค้าเคร่งจริง...เค้าจะไม่ยอมรับลูกสะไภ้ที่นับถือศาสนาอื่นหรอกครับ -จะมีการบังคับให้ภรรยาเปลี่ยนศาสนาหรือไม่ >>>เรื่องนี้  คงต้องเป็นเรื่องส่วนตัวของฝ่ายชายครับ...แต่ถ้าฝ่ายหญิงยืนกรานว่าจะแต่งงานให้ได้ ก็คงต้องเปลี่ยนครับ...แต่ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะถุกบังคับนะครับ....เพราะการเปลี่ยนไปเป็นศาสนาอิสลาม เพราะถูกบังคับนั้น...ตามหลักการถือว่าใช้ไม่ได้ครับ...และไม่มีผลให้คน ๆ นั้นเป็นมุสลิมที่แท้จริงครับ "ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม..." (กุรอาน 2:256) -ความเป็นอยู่/วัฒนธรรม เข้ากันได้หรือไม่ >>>อิสลาม ครอบคลุมในเรื่องวิถีชีวิตด้วยนะครับ...ดังนั้นถ้าเปลี่ยนเพราะศรัทธา จะไม่มีปัญหาครับ...แต่ถ้าเปลี่ยนเพราะอยากแต่งงาน  มีปัญหาแน่ครับ -เดือนถือศิลอด ภรรยาจำเป็นต้องอดด้วยหรือไม่ >>>มุสลิมทุกคนต้องถือศีลอดครับ... -หากมีลูกควรจะให้ลูกถือศาสนาอะไร >>>เรื่องนี้อยู่ที่ความความศรัทธาของครอบครัวครับว่า...ศรัทธาในสิ่งใด...ถ้าครอบครัวเค้าเคร่งจริง ก็คงต้องเป็นอิสลามครับ...เว้นเสียแต่ว่า ลูก จะเป็นคนเลือกเองเมื่อบรรลุศาสนภาวะแล้ว -ทางบ้านผู้หญิงจะยอมรับลูกเขยต่างศาสนาได้หรือไม่ มีปัจจัยอะไรบ้าง >>>เรื่องทางบ้านผู้หญิง...ตอบไม่ได้ครับ... ...ผมว่า สิ่งที่ควรทำความเข้าใจอย่างแรกเลย คือ ทั้งคู่นั้นศรัทธาในสิ่งใดกันแน่ครับ...เพราะถ้าศรัทธาในอิสลามก็เป็นอิสลามไปเลยครับ  แต่ถ้าศรัทธาในพุทธศาสนา ก็เป็นพุทธไปเถอะครับ....อย่ามาเจอคนละครึ่งทางประเภทที่ว่า  ฝ่ายชายก็นับถือศาสนาอิสลามไป หญิงก็นับถือพุทธไป... ...เพราะหากเป็นเช่นนั้น....ไม่เกิดผลดีแน่ครับ...การที่ฝ่ายชายเป็นมุสลิม แต่แต่งงานกับหญิงที่มิใช่มุสลิม โดยที่เธอนั้นมิได้มีศรัทธาในศาสนาอิสลาม...ตามหลักศาสนาอิสลามถือว่า การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะครับ ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา และถือเป็นบาปใหญ่ประการหนึ่งด้วย...และหากว่า ฝ่ายหญิงนั้นเปลี่ยนมาเป็นอิสลามโดยที่มิได้มีศรัทธา แต่เปลี่ยนเพราะเหตุผลอื่น ๆ ...เช่นนี้ถือว่าเป็น มุนาฟิก นะครับ...เป็นบาปเช่นกัน  บาปทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชายเลยครับ ...ดังนั้นการทำตัวครึ่ง ๆ กลาง  สำหรับศาสนาพุทธนั้น ผมไม่รู้นะครับว่า ผิดหรือไม่...แต่สำหรับอิสลาม ผิดโดยไม่มีข้อยกเว้นครับ อิสลามไม่ใช่เรื่องของหลักจริยธรรมทางจิตใจอย่างเดียวนะครับ...แต่อิสลามเป็นวิถีชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ด้วย เป็นกฎหมายด้วย  เพราะอิสลามได้วางระเบียบไว้หมดตั้งแต่เขาเกิด จนตาย...ดังนั้น ถ้าจะเป็นมุสลิม...ต้องเป็นทั้งศรัทธา และปฏิบัติครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 19 พ.ค. 49 19:23:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เคลียร์เลยครับคุณ kheedes อธิบายได้ชัดเจน ขอเรียนถามสักนิดว่า "อิสลามยอมรับ คู่สามีภรรยาที่มีหลักความเชื่อแบบเดียวกัน คือ เชื่อในอัลเลาะห์ เท่านั้น" เป็นเรื่องที่เชื่อว่า เป็นบาปทางศาสนา และเป็นการตัดสินชีวิตคนด้วยรึเปล่าครับว่า ถ้าเธอไม่เหมือนฉัน..เรานั้นไม่คู่ควร ถูกไหมครับ? และถ้าเช่นนั้น การที่ผู้ชายมุสลิมมาทำให้ผู้หญิงนอกศาสนาหลงรัก ผู้ชายคนนั้นจะบาปแค่ไหน ตามหลักศาสนาครับ และถ้าตามหลักที่คุณ kheedes อธิบาย ผมรู้จัก มุนาฟิก หลายคู่เลยครับ แล้ว อัลเลาะห์จะลงโทษพวกเขาอย่างไรครับ ด้วยจิตสมานฉันท์ครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 49 22:58:05 จากคุณ : ชัยนาท - [ 19 พ.ค. 49 22:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 รักไม่มีพรมแดนแต่รักต้องมีศาสนา            มีหลายคนสงสัยว่าทำไมอิสลามถึงใจแคบไม่ยอมให้มุสลิมแต่งงานกับคนนอกศาสนา หรือทำไมมุสลิมจึงต้องเอาศาสนามาเป็นพรมแดนแห่งความรัก ทั้ง ๆ ที่ความรักนั้นไม่มีพรมแดน           อาจจะจริงที่ความรักนั้นไม่มีพรมแดนและอิสลามก็ยอมรับในเรื่องของความรัก เพราะความรักนี้เป็นสัญชาตญาณที่อัลลอฮ. ประทานให้แก่มนุษย์ และจากความรักนี้เองที่ก่อให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างตามมา เช่น ความรักที่แม่มีต่อลูก ทำให้แม่คอยปกป้องเลี้ยงดูและยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก ความรักชาติก็อาจทำให้คนบางคนยอมพลีชีวิตของตนเพื่อปกป้องมาตุภูมิของตน และความรักระหว่างหนุ่มสาวก่อให้เกิดสถาบันครอบครัว เป็นต้น แต่ในความรักนั้นก็ต้องมีขอบเขตแห่งความพอดี เพราะหากความรักเกินขอบเขตแล้วตามใจลูกทุกอย่างก็จะทำให้ลูกเสียคน หรือถ้าหากรักชาติมากเกินไปก็จะกลายเป็นคนคลั่งชาติที่คิดว่าชาติของตนดีกว่าชาติอื่นต่อไป เป็นต้น ดังนั้น ความรักจึงต้องมีขอบเขตแห่งความพอดี           ความรักฉันหนุ่มสาวก็เช่นกัน หากความรักนั้นเกินพอดี ความรักนั้นก็จะทำให้คนตาบอดหรือกลายเป็นโคถึกไป ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงได้กำหนดขอบเขตว่าหญิงและชายมุสลิมจะต้องไม่แต่งงานกับผู้ที่ไม่ศรัทธา หรือจนกว่าเขาจะศรัทธาเสียก่อน ทำไม ? คำตอบก็คืออิสลามสนับสนุนการแต่งงานเพราะถือว่าการแต่งงานเป็นการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวซึ่งเป็นอิฐก้อนแรกของสังคม และอิสลามก็ต้องการที่จะรักษาก้อนอิฐทุกก้อนไว้ไม่ให้แตกสลาย ทั้งนี้เพื่อที่สังคมจะได้ไม่พังทลายลงมา ดังนั้น มาตรการหนึ่งที่จะรักษาก้อนอิฐแห่งสังคมไว้ ก็คือการวางเงื่อนไขให้ชายและหญิงมุสลิมแต่งงานกับคนที่มีความศรัทธาเหมือนกัน ทั้งนี้เพื่อที่จะป้องกันความแตกต่างแยกที่จะติดตามมาจากความคิด ความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกันในการดำรงชีวิตประจำวัน           ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นในครอบครัว ถ้าหากสามีกินหมูในขณะที่ภรรยาไม่กิน สามีกราบไหว้รูปปั้นบูชาหลากชนิดในขณะที่ภรรยานับถือพระเจ้าองค์เดียว ในเดือนรอมฎอนขณะที่ภรรยาถือศีลอด สามีกลับกินเหล้าสูบบุหรี่ แต่เมื่อสามีตาย ญาติสามีจะเอาศพไปเผาในขณะที่ภรรยาคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร และอื่น ๆ อีกมากมาย แน่นอนท่ามกลางความขัดแย้งนี้   ลูกซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ก็จะต้องได้รับการกระทบกระเทือนทั้งทางด้านความคิดและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจะพูดไปแล้ว แทบจะร้อยทั้งร้อยชีวิตครอบครัวที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง และมักจะจบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างต้องแยกทางกัน           ในอิสลาม ชีวิตมิได้จบแค่บนโลกนี้ แต่ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้นชีวิตจริงที่ถาวร หัวหน้าครอบครัวนอกจากจะมีหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัว แล้วยังมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากไฟนรก การแต่งงานในทัศนะของอิสลาม คือการผูกพันชีวิตชายหญิงคู่หนึ่งเข้าด้วยกันเหมือนกับการผูกเส้นด้ายสองเส้นเข้าด้วยกัน และไม่มีการผูกพันอันใดที่จะเหนียวแน่นไปกว่าการผูกพันด้วยความศรัทธาอันเดียวกัน เมื่อเป็นดังนี้ ไม่ว่าจะถูกลมมรสุมแห่งชีวิตพัดกระหน่ำรุนแรงเท่าใด หากทั้งสองฝ่ายมีความศรัทธาผูกพันอย่างเหนียวแน่นแล้ว ชีวิตคู่ของคนทั้งสองก็จะไม่แยกขาดออกจากกัน ไม่ว่าจะถูกลมมรสุมพัดไปที่ไหนก็ตาม           อันที่จริงสำหรับอิสลามหากมีศรัทธาในศาสนาที่เหมือนกันแล้ว พรมแดนแห่งเผ่าพันธุ์ ตระกูล หรือฐานะต่างหากที่ไม่มี เพราะอิสลามส่งเสริมให้มุสลิมแต่งงานกับคนต่างเผ่าต่างตระกูลหรือกับคนที่ไกลออกไป ทั้งนี้เพื่อที่การแต่งงานจะได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์หรือต่างตระกูลมีความใกล้ชิดกัน บรรจง บินกาซัน : เขียน จากคุณ : beckmee - [ 19 พ.ค. 49 22:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในเรื่องของการคบหาสมาคมกับชนต่างศาสนิกนั้น อิสลามไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือกับเพศตรงข้ามก็ตาม แต่ที่มีข้อห้ามก็คือ ในเรื่องของการเลือกคู่ครอง นั่นคือการที่มุสลิมคนหนึ่งคนใดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ดี หากปราถนาจะเลือกใครเป็นคู่ครอง (แต่งงาน) แล้ว ผู้ที่ถูกเลือกเป็นคู่ครองจะต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแท้จริงก่อนเป็นอันดับแรก มิเช่นนั้นแล้ว การแต่งงานในรูปแบบของอิสลามก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถือว่าการแต่งงานนั้นเป็นโมฆะ (ใช้ไม่ได้) ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนในอัลกุรอานว่า "สูเจ้าทั้งหลายจงอย่าแต่งงานกับหญิงผู้ตั้งภาคี* จนกว่าพวกนางจะมีศรัทธา (อย่างแท้จริง) และแท้จริงทาสหญิงที่มีศรัทธานั้น ก็ยังดีกว่าหญิงที่ตั้งภาคี* แม้นางจะทำให้พวกเจ้าพึงพอใจก็ตาม และสูเจ้าทั้งหลายอย่าได้แต่งงาน (หญิงที่อยู่ในการปกครองของเจ้า) ให้กับพวกผู้ชายที่ตั้งภาคี* จนกว่าพวกเขาจะมีศรัทธา และทาสชายที่มีศรัทธานั้น ก็ยังดีกว่าชายที่ตั้งภาคี* แม้ว่าพวกเขาจะทำให้ท่านพึงพอใจก็ตาม พวกเขาจะเชิญชวนให้ไปสู่นรก แต่อัลลอฮ.จะเชิญชวนไปสู่สรวงสวรรค์ ".... จนจบโองการ ในกรณีของคุณที่ถามมานี้ พิจารณาแล้วยังไม่ถึงขั้นที่คุณจะตัดสินใจแต่งงาน เพียงแต่จะขอคบกันในลักษณะแฟน ซึ่งคุณยังสามารถคบหาสมาคมกับเธอต่อไปได้ แต่ต้องพยายามให้มันอยู่ในขอบเขตของหลักการศาสนา นั่นคือ อย่าให้เข้าข่ายที่จะมีโอกาสนำไปสู่การผิดประเวณี คือ อย่าเข้าใกล้ซินา**(การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน) เท่านั้น หากคุณมีความต้องการที่จะเลือกเธอเป็นคู่ชีวิตจริงในอนาคตแล้ว คุณจะต้องพยายามให้ความรู้ในเรื่องของอิสลามกับเธอในทุกรูปแบบเท่าที่คุณสามารถจะทำได้ จนทำให้เธอศรัทธาในอิสลามอย่างแท้จริง คุณถึงค่อยตัดสินใจแต่งงาน เพื่อผลดีต่อตัวคุณเอง และต่อครอบครัวของคุณในอนาคต ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. ได้สั่งสอนเราทุกคนไว้ว่า ให้เลือกสตรีที่มีศาสนาเป็นจุดยืนแห่งชีวิตเป็นหลัก เป็นอันดับแรก ตั้งภาคี*  =  การนับถือกราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะห์ ซินา**   =  การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หรือการ              กระทำใดๆที่จะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์              ก่อนแต่งงาน ตอบโดย :   อ.ธีระ ตะวันธรงค์ จากคุณ : beckmee - [ 19 พ.ค. 49 23:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พุทธก็ว่า ทาน ศีล ปัญญา ศรัทธา ต้องเสมอกันถึงจะอยู่กันยืด จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ - [ 20 พ.ค. 49 00:05:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มีเพื่อนเป็นมุสลิม ต่างชาติ ถามเค้า 2ข้อก่อนคบกันว่า 1.ถ้าแต่งงานต้องเปลี่ยนศาสนารึปล่าว เค้าตอบว่า นับถือศาสนาบังคับไม่ได้  2.ถ้ามีลูก ลูกต้องนับถืออิสลามรึปล่าว เค้าตอบว่าไม่จำเป็น แต่เค้าจะเลี้ยงลูกแบบอิสลาม คบกันเข้าปีที่ 5 พามาที่บ้าน แม่พูดคำเดียว ให้เค้ากลับประเทศไป ที่บ้านไหว้เจ้า นับถือพุทธค่ะ ส่วนทางบ้านผู้ชาย ก็เหมือนมุสลิมทั่วไปของประเทศนั้น ถึงเวลาก็หาคู่ครองให้ แต่ถามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ถ้าพอใจกันทั้งคู่ก็แต่งงาน ทางฝ่ายชายก็บ่ายเบี่ยงตลอดค่ะ แต่ก็บอกไม่ได้ เนื่องจากทางเราเป็นพุทธ (อิสลามอนุญาตให้แต่งกับคริสต์) หลังจากเค้ากลับประเทศไป ก็รู้แล้วว่าศึกใหญ่รออยู่ข้างหน้า ทางฝ่ายชายก็หางานในประเทศอื่นค่ะ ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่เป็นมุสลิมมากๆ เพื่อให้เราปรับตัวก่อน ส่วนทางเรา มีปัญหาหนักใจ 2 เรื่อง คือที่บ้าน และ ศาสนา ต้องบอกว่าในชีวิตไม่คิดจะเปลี่ยนศาสนาเลย เป็นพุทธก็ไม่ใช่เฉพาะแต่ในทะเบียนบ้าน ทั้งศึกษา และปฎิบัติ สุดท้ายก็ลองศึกษาศาสนาอิสลาม โดยให้พี่สาวไปขอยืม Quran จากที่มัสยิดมาศึกษา เพราะถ้าจะต้องเปลี่ยนศาสนาจะขอเปลี่ยนเพราะศรัทธา ไม่ใช่เพราะใครซักคน เพราะวันนึงที่เราไม่มีใครคนนั้น เราอาจจะงงชีวิต แล้วไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมอีกรึปล่าว ส่วนเรื่องทางบ้าน คงเป็นเรื่องที่รับได้ยากในตอนแรก แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในตอนท้าย และถ้าวันนึงมีลูก คงให้เค้าเลือกเองว่าจะนับถือศาสนาอะไร เมื่อเค้ามีวุฒิภาวะพอ ส่วนความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ต่างกันมากค่ะคงเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ต้องปรับตัว อ้อ! ตอนแต่งงานจะมีถามเรื่องใครจะมีสิทธิ์ที่จะหย่า ส่วนใหญ่จะให้ฝ่ายชายเป็นผู้มีสิทธิ์ (ไม่แน่ใจประเทศอื่น หรือในเมืองไทยมีรึปล่าว) ถ้าให้ฝ่ายชายมีสิทธิ์ ฝ่ายหญิงก็ไม่มีสิทธิ์ขอหย่าค่ะ หวังว่า จขกท คงได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปช่วยคนสำคัญ ในการตัดสินใจ Good luck :) จากคุณ : puntoth - [ 20 พ.ค. 49 00:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คงต้องให้ทางภรรยาเปลี่ยนมาเป็นมุสลิมอ่ะครับ ไม่ง้านก็แต่งไม่ได้ ญาติทางฝ่ายสามีคงไม่ยอม ส่วนเรื่องการกินอยู่คงไม่มีปัญหา มันไม่ได้อยู่ที่ศาสนา แต่อยู่ที่ความเข้าใจ และให้อภัยกันมากกว่า จากคุณ : TOSHy - [ 20 พ.ค. 49 01:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ...ก็ตามที่คุณ beckmee ยกมานั่นแหละครับ....การที่ฝ่ายชายซึ่งเป็นมุสลิมไปแสดงอาการหรือแสดงท่าทีให้ความหวังอีกฝ่าย...แต่ไม่ได้มีเจตนาจะจริงจังหรือจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำนั้น  ไม่ว่าผู้หญิงอีกฝ่ายจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม...ชายผู้นั้น ถือว่าทำสิ่งไม่ถูกต้องครับ  ก็เข้าข่ายโกหกหลอกลวงนั่นแหละครับ ...ส่วนคนมุนาฟิกนั้น กุรอานได้กล่าวไว้ว่า "และจากหมู่ชนนั้น มีผู้กล่าวว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่... เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น... แต่พวกเขาไม่รู้สึก ...ในหัวใจของพวกเขามีโรคอย่างหนึ่ง แล้วอัลลอฮฺได้ทรงเพิ่มโรคอีกอย่างหนึ่ง ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขากล่าวเท็จ" (กุรอาน 2:8-10) ---------------------------------------------------------- ส่วนคคห. ที่11 ผมขอชื่นชมประโยคที่กล่าวว่า "เพราะถ้าจะต้องเปลี่ยนศาสนาจะขอเปลี่ยนเพราะศรัทธา ไม่ใช่เพราะใครซักคน เพราะวันนึงที่เราไม่มีใครคนนั้น เราอาจจะงงชีวิต แล้วไม่รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมอีกรึปล่าว.."  ด้วยใจจริงครับ.... ด้วยจิตคารวะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 49 01:53:04 จากคุณ : kheedes - [ 20 พ.ค. 49 01:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผู้ชายคนนี้เคยแต่งงาน(กับอิสลามด้วยกัน) โดยให้เหตุผลว่าแต่งตามความต้องการของที่บ้านทนอยู่แบบไม่รัก จนมีลูกสาว 3 คนและได้หย่าตามกฏหมายแล้ว โดยภรรยาเก่าพาลูกไปเลี้ยง และดูแลทุกอย่าง รวมถึงห้ามพ่อพบลูกด้วย แต่พอเจอสาวพุทธที่ข้าพเข้าพูดถึงในกระทู้ก็มาจีบ และย้ายจากรัฐที่อยู่ มาเป็นรัฐที่ใกล้สาวพุธแทน อยากทราบว่า 1.ศาสนาอิสลามได้กล่าวถึงความรับผิดชอบลูกในสายเลือดไว้อย่างไร และถ้าทำแบบนี้ เค้าไม่ห่วงสายเลือดของเค้าเลยอย่างนั้นหรือ 2.หนุ่มอิสลามเลือกที่จะย้ายจากรัฐที่มีบิดา-มารดาพักอาศัย มาอยู่ใกล้คนที่เค้ารัก จะอ้างถึงความกตัญญูได้หรือไม่ 3.จะรู้ได้อย่างไรว่ามุสลิมคนนั้นเคร่งศาสนาหรือไม่ เช่น ถ้าปกติมาเมืองไทยก็สามารถทานอาหารร้านอื่นที่ไม่ใช่มุสลิมได้ แต่ไม่ทานหมู เช่นร้านส้มตำ 4.คนมุสลิมจะแต่งงานกับคนพุทธ มีการคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงหรือไม่ เช่นถ้าผู้หญิงเคย"ซินา" มาแล้วกับคนอื่น มุสลิมจะยอมรับได้หรือไม่ จะก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวต่อไปหรือไม่ 5.มุสลิมยึดติดไหมว่า ต้องมีลูกผู้ชาย และหากแต่งงานกันแล้วไม่สามารถมีลูก หรือมีแต่ลูกสาว จะโดนหาเรื่อหย่าหรือไม่ 6.ถ้ามุสลิมที่กลันตันมาจีบแสดงว่า เค้าตั้งใจมากถึงขนาดว่า จากเดิมต้องการ"ให้ผู้หญิงเปลี่ยนศาสนา" เป็น"ไม่เปลี่ยนก็ได้" ถือว่ามีความจริงใจเพียงพอไหม จะขัดหลักศาสนาหรือไม่ หรือว่า เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ทั่วๆไป เช่นอาจจะเป็นอิสลามแค่ในนาม เพื่อให้ได้แต่งงานกัน แต่ในทางปฏิบัติก็ทำเหมือนนับถือพุทธเหมือนเดิม 6.ในทางอิสลามจะมีสาเหตุ อะไรบ้างที่ทำให้ครอบครังหย่าร้างหรือมีปัญหา (จะเหมือนครอบครัวพุธไหมครับ) 7.ถ้าแต่งงานกัน ญาติทั้งทางฝ่ายชายอิสลามและฝ่ายสาวพุทธจะยอมรับกันได้หรือไม่ ด้วยความเคารพยิ่ง คนสยาม จากคุณ : คนสยาม (คนสยาม) - [ 20 พ.ค. 49 07:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ...เท่าที่เล่ามา เหมือนผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เคร่งครัด ตามครอบครัวนะครับ...ผมเข้าใจถูกมั้ยเนี่ย 1.ศาสนาอิสลามได้กล่าวถึงความรับผิดชอบลูกในสายเลือดไว้อย่างไร และถ้าทำแบบนี้ เค้าไม่ห่วงสายเลือดของเค้าเลยอย่างนั้นหรือ >>>กรณีที่หย่าขาดกับภรรยาแล้ว  ภายหลังหมดอิดดะฮฺ(เงื่อนไขรอคอย)  ถือว่าไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าเรื่องนะฟะเกาะฮฺ (เงินค่าเลี้ยงดู) ก็ไม่จำเป็นต้องให้ครับ ... แต่ในเรื่อง บุตรนั้น อิสลามถือว่า ถึงแม้จะหย่าแล้ว แต่บุตรกับ บิดามารดานั้นไม่ถือว่าความสัมพันธ์สิ้นสุดลงไปด้วย   กรณีแรก -  หากลูกที่เกิดกับนางยังไม่บรรลุศาสนภาวะ เป็นเรื่องจำเป็น ( วาญิบ) ที่จะต้องจ่ายนะฟะเกาะฮฺ (ค่าเลี้ยงดู) ให้แก่ลูกของเราต่อไปจนกระทั่งลูกๆ ของเราบรรลุศาสนภาวะ (กรณีที่ลูกของเราอยู่กับภรรยาที่หย่าร้างมา) นะครับ....หากเราละเลย นะฟะเกาะฮฺ ในระหว่างก่อนบรรลุศาสนภาวะ ถือว่ามีความผิดครับ กรณีที่สอง - หากบรรลุศาสนาภาวะแล้ว ลูกๆ เหล่านั้นมีสิทธิเลือกที่จะอยู่กับแม่ หรือกับพ่อก็ได้ครับ ----------------------------------------------------------- 2.หนุ่มอิสลามเลือกที่จะย้ายจากรัฐที่มีบิดา-มารดาพักอาศัย มาอยู่ใกล้คนที่เค้ารัก จะอ้างถึงความกตัญญูได้หรือไม่ >>>ไม่เข้าใจครับว่า จะอ้างอย่างไร แล้วอ้างเพื่ออะไร...ไม่เข้าใจคำถามครับ ---------------------------------------------------------- 3.จะรู้ได้อย่างไรว่ามุสลิมคนนั้นเคร่งศาสนาหรือไม่ เช่น ถ้าปกติมาเมืองไทยก็สามารถทานอาหารร้านอื่นที่ไม่ใช่มุสลิมได้ แต่ไม่ทานหมู เช่นร้านส้มตำ >>> เรื่องเคร่ง หรือไม่เคร่ง ดูกันยากครับ  ถ้าไม่สนิทกันจริง ๆ เพราะบางคน อาจปฏิบัติศาสนกิจทุกอย่าง ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เจตนา คือต้องการโอ้อวด เช่นนี้ ก็ไร้ประโยชน์ครับ...ส่วนเรื่องการรับประทานอาหารนั้น ถ้าเป็นประเภทที่เคร่งครัดจริง ๆ  เขาจะไม่ทานร้านที่ไม่ใช่ของมุสลิมทำครับ   ----------------------------------------------------------- 4.คนมุสลิมจะแต่งงานกับคนพุทธ มีการคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงหรือไม่ เช่นถ้าผู้หญิงเคย"ซินา" มาแล้วกับคนอื่น มุสลิมจะยอมรับได้หรือไม่ จะก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวต่อไปหรือไม่ >>> เรื่องความบริสุทธิ์ของฝ่ายหญิงไม่ใช่เงื่อนไข ในการแต่งงานครับ  ประเด็นอยู่ที่ว่า หญิงคนนั้น สูญเสียความบริสุทธิ์ด้วยเหตุใด กรณีแรก -หากว่าหญิงนั้นเสียความบริสุทธิ์ จากการถูกข่มขืน เช่นนี้ ถือว่า เธอไม่มีความผิด สามารถแต่งงานได้ครับ  แต่ห้ามมีความสัมพันธ์ทางเพศจนกว่าเธอจะคลอดบุตรเสียก่อน (หากว่าเธอตั้งครรภ์) กรณีที่สอง - หากว่าเป็นการกระทำที่มาจากการยินยอมพร้อมใจ หรือซินา (ล่วงประเวณ๊) ...เงื่อนไขคือ เธอจะต้องสำนึกในความผิดที่ได้กระทำมาเสียก่อน  และเงื่อนไขอีกอย่างก็คือว่า ตั้งครรภ์หรือไม่...หากว่าตั้งครรภ์ ต้องรอให้คลอดเสียก่อน  แต่หากว่าไม่ตั้งครรภ์ ต้องรอเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อพิสูจน์ว่า ไม่มีการตั้งครรภ์จริง  จึงอนุญาตให้แต่งงานได้ครับ ----------------------------------------------------------- 5.มุสลิมยึดติดไหมว่า ต้องมีลูกผู้ชาย และหากแต่งงานกันแล้วไม่สามารถมีลูก หรือมีแต่ลูกสาว จะโดนหาเรื่อหย่าหรือไม่ >>>โดยหลักการ เรื่องลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงนั้น อิสลามให้ความสำคัญทั้ง 2 เพศครับ...ในอดีตนั้น ชาวอาหรับนิยมมีลูกผู้ชาย และหากใครมีลูกผู้หญิง เด็กคนนั้นจะต้องถูกนำไปฝังทั้งเป็น  ศาสนาอิสลามกำเนิดมาพร้อมกับการกล่าวประณามและยกเลิกพฤติกรรมป่าเถื่อนเหล่านี้  กุรอานได้กล่าวว่า "และเมื่อคนใดจากพวกเขาได้รับข่าวด้วยบุตรหญิงใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำตลอดเวลา และเขาต้องกล้ำกลืนความโศกเศร้านี้ไว้ เขาปิดเร้นต่อกลุ่มชนทั้งหลาย จากข่าว ร้ายที่ได้รับ เขาคิดว่าจะเลี้ยงไว้อย่างอดสู หรือจะฝังทั้งเป็น พึงสังวรเถิด ! สิ่งที่พวกเขาตัดสินนั้นชั่งเลวทรามยิ่งนัก" ศาสดามูฮำหมัด(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า "บุคคลใดที่มีบุตรสาวสามคน จงให้ความรักความเมตตา และเลี้ยงดูพวกเธอเหล่านั้น แน่นอนเขาจะได้รับสรวงสวรรค์ ...มีบุคคลหนึ่งถามขึ้นว่า : โอ้ศาสนทูตของอัลเลาะฮ์ หากมีบุตรหญิงสองคนเล่า ? ท่านศาสดาตอบว่า แม้เพียงสองคนก็ตาม" “ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ (กุรอาน 16:97 ) ...ส่วนเรื่องที่ว่า หากแต่งงานแล้ว ไม่มีลูก หรือมีลูกผู้หญิงนั้นจะขอหย่าได้หรือไม่...นักวิชาการอิสลามมีความเห็นแตกต่างกันออกไปครับ..แต่โดยทัศนะส่วนใหญ่ถือว่า ไม่ใช่เหตุขอหย่าครับ เพราะประเด็นหลักของการหย่านั้น คือการบกพร่องในเรื่องทางศาสนา ไม่ใช่เรื่องทางธรรมชาตินะครับ  แต่ทั้งนี้ สามี อาจใช้เป็นข้ออ้างในการมีภรรยาใหม่ได้ครับ...สำหรับเรื่องการหย่าเพราะอ้างข้อบกพร่องเช่นนี้ ศาสนาถือว่าเป็นการตกลงใจกันทั้ง 2 ฝ่ายครับ แต่โดยหลักการ อิสลาม ให้ถือว่าการหย่าเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้นครับ  ไม่สนับสนุนให้หย่าหากมีทางเลือกที่ดีกว่า ----------------------------------------------------------- 6.ถ้ามุสลิมที่กลันตันมาจีบแสดงว่า เค้าตั้งใจมากถึงขนาดว่า จากเดิมต้องการ"ให้ผู้หญิงเปลี่ยนศาสนา" เป็น"ไม่เปลี่ยนก็ได้" ถือว่ามีความจริงใจเพียงพอไหม จะขัดหลักศาสนาหรือไม่ หรือว่า เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ทั่วๆไป เช่นอาจจะเป็นอิสลามแค่ในนาม เพื่อให้ได้แต่งงานกัน แต่ในทางปฏิบัติก็ทำเหมือนนับถือพุทธเหมือนเดิม >>>เรื่องนี้ผมถือว่าเป็นทัศนะคติส่วนบุคคลนะครับ  ว่าจะมองว่า การกระทำนั้นเป็นข้อพิสูจน์ความจริงใจหรือไม่...แต่โดยทัศนะส่วนตัว และหลักการทางศาสนาแล้ว ถือว่าเป็นการ หลอกลวงและเห็นแก่ตัว ครับ...เพราะหลักการก็มีอยู่ชัดเจนว่า ไม่อนุญาต แต่ไปหลอกอีกฝ่ายว่า "ทำได้"...เพื่อสนองตอบความต้องการตนเอง  เช่นนี้ ถือว่าไม่ละอายแก่ใจครับ ----------------------------------------------------------- 6.ในทางอิสลามจะมีสาเหตุ อะไรบ้างที่ทำให้ครอบครังหย่าร้างหรือมีปัญหา (จะเหมือนครอบครัวพุธไหมครับ) >>> ครอบครัวจะเป็นสุข หรือหย่าร้าง  คงต้องขึ้นอยู่กับ คน 2 คนแหละครับว่าจะดำเนินชีวิตด้วยกันอย่างไร...เพราะศาสนาอิสลามนั้น ส่งเสริมให้สร้างความสุขในครอบครัว และประนีประนอมต่อกัน ...ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ด.) เล่าว่า “เมื่อท่านนบีอยู่บ้าน  ท่านจะช่วยภรรยาของท่านทำงานบ้านเป็นประจำ” (รายงานโดย บุคคอรี) มีหะดิษ (วจนะท่านศาสดา) ที่รายงานเกี่ยวกับการรักษาครอบครัวให้มีความสุข เช่น “มุสลิมที่สมบูรณ์ยิ่ง คือผู้ที่มีความประพฤติอ่อนโยน และผู้ที่ถูกยกย่องในท่านทั้งหลาย คือผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดต่อภรรยาของตน” “โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรี และฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า” อิสลามกล่าวว่า  "ในวันพิพากษา หากสตรีคนใดจะต้องถูกลงโทษ เพราะ ความผิดของนางในโลกนี้แล้ว ...ผู้ชาย4 คนซึ่งได้แก่ บิดา พี่ชายหรือน้องชาย สามีและลูกชาย จะต้อง ร่วมรับผิดชอบด้วย หากเขาเหล่านั้น มิได้ทำการตักเตือน สั่งสอนหรือห้ามปรามนาง" “และหนึ่งในสัญญาทั้งหลายของพระองค์ คือพระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองสำหรับพวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้มีใจสงบในตัวนาง และพระองค์ได้ทรงทำให้มีความรักและความเอ็นดูในระหว่างพวกเจ้า” (30:21) “และจงอยู่ร่วมกับนางโดยดีถึงแม้ว่าสูเจ้าจะชังนางก็ตาม มันเป็นไปได้ที่อัลลอฮ์อาจจะนำสิ่งที่ดีอันมากมายมาให้โดยสิ่งที่สูเจ้าชัง” (กุรอาน 4:19) ----------------------------------------------------------- 7.ถ้าแต่งงานกัน ญาติทั้งทางฝ่ายชายอิสลามและฝ่ายสาวพุทธจะยอมรับกันได้หรือไม่ >>> เรื่องนี้  คงต้องแล้วแต่ญาติทั้งสองฝ่ายแหละครับ...ผมคงตอบไม่ได้ล่ะครับ ด้วยจิตคารวะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 49 18:32:36 จากคุณ : kheedes - [ 20 พ.ค. 49 18:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอขยายความเพิ่มเติมครับ 2.หนุ่มอิสลามเลือกที่จะย้ายจากรัฐที่มีบิดา-มารดาพักอาศัย มาอยู่ใกล้คนที่เค้ารัก จะอ้างถึงความกตัญญูได้หรือไม่ <<<-หมายถึงว่าแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูที่บุตรพึงมีต่อบิดา-มารดาได้หรือไม่ จากคุณ : คนสยาม (คนสยาม) - [ 20 พ.ค. 49 19:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่มเติมครับ พอดีไม่ค่อยเข้าใจครับ 6.การที่จะเป็นอิสลามแค่ในนาม เพื่อให้ได้แต่งงานกัน แต่ในทางปฏิบัติก็ทำเหมือนนับถือพุทธเหมือนเดิม พอจะทำได้ไหมครับ เช่น แต่งงานแบบอิสลาม ยอมเป็นในบัตรประชาชน แต่หลังจากนั้นทำตัวแบบชาวพุทธเหมือนเดิม และขอรบกวนอีกข้อครับ 8."People of the Book"  คืออะไรครับ เท่าที่หาอ่านมาบอกว่า คนที่อยู่ใน"People of the Book"  สามารถแต่งกับมุสลิมได้ จาก http://www.faqs.org/qa/qa-8624.html "A Muslim man can marry a non-Muslim girl only if she belongs to a religion that is "ahl-e-Kitaab" (People of the Book). Hence a Muslim man can only marry a Jew or a Christian. The second option is that the girl should be converted to Islam. There isn't any such option that the Muslim man gets converted to Buddhism. Islamic laws deals with it strictly and it is very clear in it that if a person changes his/her religion from Islam to any other, he/she should be penalized to death." และ "A Muslim can marry only a Muslim woman, or one from the people of the book. As far as I know, the marriage between a Muslim man and a woman from a non-authentic religion (e.g. Buddhism) is not allowed. If one does it after all it is for God to decide, as it always is, what is to be of this person, so I think the penalty of death is nonsense, it is on God to make the judgment, for He is the most wise." (ขออภัยเรื่องภาษาครับ แปลไม่ออกจริงๆครับ) มีการดำเนินการยังไง ยุ่งยากในทางปฏิบัติมากไหมครับ ด้วยความเคารพยิ่ง คนสยาม จากคุณ : คนสยาม - [ 20 พ.ค. 49 20:17:41 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ...ความกตัญญู คงต้องดูที่การปฏิบัติตนแหละครับ  ไม่ใช่สรุปแค่ว่า อยู่ใกล้ อยู่ไกล  เพราะอยู่ใกล้แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียน ไม่ได้ไปคอยดูแล  เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ครับ ท่านอุมัร บิน อัล ค็อฎฎอบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "แท้จริง กิจการงานทั้งหลาย(ขึ้นอยู่)กับการเจตนา และ แท้จริง สำหรับทุกคนนั้น(คือ) สิ่งที่เขาได้มีเจตนาไว้..." ----------------------------------------------------------- การเป็นอิสลามแต่เพียงในนาม  ไม่ได้มีการปฏิบัติด้วยนั้น...ตามหลักการถือว่า ใช้ไม่ได้ครับ  เพราะพื้นฐานการเป็นมุลิมเบื้องต้นนั้นต้องประกอบด้วย หลักศรัทธา 6 หลักปฏิบัติ 5 รายงานจากอับดุลเราะหฺมาน( อับดุลเลาะฮฺ บินอุมัรฺ) กล่าวว่า "ฉันได้ยินท่านรอซูล (ศล.) กล่าวว่า อิสลามก่อตั้งอยู่บนหลัก 5 ประการ คือ การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัดเป็นรอซูล (ศาสนทูต) แห่งอัลลอฮฺ , การดำรงการนมาซ ,การจ่ายซะกาต การบำเพ็ญฮัจญ์ ,และการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน  (หะดิษบันทึกโดยบุคคอรี และมุสลิม) ...ก็คือ ถ้าหวังจะนับถือเพื่อให้ได้แต่งงาน คงไม่มีใครไปห้ามได้หรอกครับ...แต่บุคคลนั้น จะเป็นผู้ที่ขาดทุนที่สุดในโลกนี้และโลกหน้าครับ...เพราะในโลกนี้ เขาก็มีสภาพเหมือน มุนาฟิก การกระทำกิจทางศาสนาอิสลามของเขาจะไม่ถูกยอมรับ...คือทำไปก็เสียเวลาเปล่านั่นแหละครับ...และโลกหน้าเขาก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารให้พึ่งพาเลย (...อันนี้ผมอธิบายตามหลักการอิสลามนะครับ  ) ----------------------------------------------------------- คือ เรื่อง People of the Book หรือ ที่เราเรียกว่า ชาวคัมภีร์ (อะลุลห์กิตาบ) นั้น...หมายความถึงบุคคลที่มีศรัทธาในคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกันนั่นแหละครับ...ในกุรอานนั้น ระบุว่าว่า ชาวคัมภีร์ ก็คือ คริสต์และยิว เพราะทั้ง 2 ศาสนานี้ ต่างก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกันกับอิสลาม และได้รับคัมภีร์จากพระผู้เป็นเจ้ามาเหมือนกัน ...มีข้อความในกุรอาน ที่อนุญาตให้ มุสลิม สามารถแต่งงานกับชาวคัมภีร์ได้  (นักวิชาการอิสลามอธิบายว่า ชาวคริสต์ และยิวที่กล่าวถึงในทีนี้ คือผู้ที่ยึดมั่นใน คัมภีร์โทร่าห์ และอินญีล อย่างเคร่งครัดเท่านั้น...คือเชื่อในหลักเอกภาพ(เตาฮีด)  แบบเดียวกับอิสลาม)  แต่โองการนี้ก็เป็นเพียงข้ออนุโลม  ไม่ใช่ข้อสนับสนุนครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 20 พ.ค. 49 21:32:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แสดงว่า People of the Book "ไม่รวมศาสนาพุทธ" ใช่ไหมครับ ดังนั้นตามที่ผมเข้าใจคือ ถ้าภรรยานับถือพุทธ สามีนับถืออิสลาม ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยสิครับ แล้วทำไมหลายความเห็นจึงบอกว่าได้ถ้าไม่เคร่งครัดและคุยกันเอง รวมไปถึงปรับตัวเข้ากันได้ คือสงสัยว่าถ้าสองคน พุทธ กับมุสลิม สามารถปรับได้จะทำให้คนอื่นยอมรับหรือไม่ หรือว่า ผลสุดท้ายก็จะทนกับสภาพกดดันภายนอกไม่ไหว ถ้าไม่เปลี่ยนศาสนาก็ต้องหย่าทุกรายไป แล้วคำว่าเคร่งหรือไม่เคร่ง ส่งผลอะไรบ้างไหมครับ (ในเชิงสังคม-วัฒนธรรม-ความเป็นอยู่-การยอมรับจากมุสลิมท่านอื่นๆ) ด้วยความเคารพอย่างสูง คนสยาม ต้องรบกวนขอความรู้บ่อยๆเริ่มเกรงใจแล้วสิ ขอบพระคุณมากนะครับ จากคุณ : คนสยาม (คนสยาม) - [ 20 พ.ค. 49 21:46:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จากหลักปฏิบัติ (รุกนอิสลาม) ถ้าเราทำละหมาด ไม่ถึงวันละ 5 เวลา จะเกิดอะไรขึ้น จะได้การยอมรับหรือมีโทษอะไรไหมครับ จากคุณ : คนสยาม (คนสยาม) - [ 20 พ.ค. 49 21:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ People of the Book ไม่รวมศาสนาพุทธ ถูกต้องแล้วครับ...ดังนั้นถ้าเอาตามหลักการ จึงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วครับ ...คือ คุณต้องแยก คำว่า  ความเห็น กับ ความจริง ออกจากกันนะครับ...ความเห็น มันเป็นอิสระ ไม่มีถูก ไม่มีผิด อย่างมากก็แค่ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่ความจริง มันเป็นสิ่งที่ตายตัวอยู่แล้วล่ะครับ....การที่อิสลามห้ามแต่งงานกับคนนอกศาสนานั้น  ไม่ใช่เรื่องของ"ความเห็น"...แต่มันเป็นความจริง เป็นกฎระเบียบ เป็นข้อกำหนดที่ตายตัว...อยู่ ๆ วันหนึ่ง มีผู้รู้คนหนึ่ง มาบอกว่า "อิสลามแต่งงานกับคนนอกศาสนาได้"...แล้วจะให้กลับไปแก้ข้อความในคัมภีร์  มันก็ไม่ถูกต้องแล้วล่ะครับ... ...การยอมรับของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงกฎ  เพาะกฎในกุรอานไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า... การที่คน 2 คนถูกยอมรับจากสังคมว่า เหมาะสม ไม่ได้แปลว่า การระทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนานี่ครับ...ดังนั้นถ้าจะถามว่า  จะยอมรับกันได้มั้ย...ประเด็นคือ คุณจะใช้อะไรเป็นมาตรฐานล่ะครับ...ถ้าคุณใช้หลักการศาสนาเป็นมาตรฐาน...ก็คงยอมรับกันไม่ได้หรอกครับ  แต่หากว่ากันในแง่ของสังคม  ก็คงต้องย้อนกลับไปดูว่า สังคมนั้น ๆ มีทัศนะคติต่อเรื่องนี้อย่างไร คำว่า "เคร่ง" ส่งผลอะไรมั้ย...ก็ต้องดูว่า เคร่งอย่างไร ..เคร่งในหลักการ  หรือเคร่งในตัวอักษรจากคัมภีร์ ถ้าเคร่งในหลักการ ก็ต้องเข้าใจเจตนา และขอบเขตของข้อห้ามและข้อบังคับว่า มีขอบเขตและวิธีปฏิบัติอย่างไร...แม้อิสลามจะห้ามแต่งงานกับคนนอกศาสนา...แต่หลักการก็คือเรื่องของการแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องของการห้ามสร้างไมตรีจิตที่ดี ต่อคนรอบข้าง แต่ถ้าเคร่งในตัวอักษร ก็เหมารวมไปหมดว่า การห้ามแต่งงานหมายถึงการห้ามคบหาสมาคม และแสดงออกมาในรูปแบบของการต่อต้านและรังเกียจ ทั้ง 2 อย่างมันก็มีอยู่ในสังคมปะปนกันไป... ดังนั้น  ในบางสังคม คุณอาจได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ในบางสังคม เขาอาจจะรู้สึกเฉย ๆ กับคุณ   ...การไม่ยอมรับของมุสลิมนั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ว่า คน ๆ นั้นเป็นพุทธ หรือเป็นศาสนิกอื่นหรอกครับ...แต่ที่ยอมรับไม่ได้ก็คือ  พฤติกรรมที่กระทำอยู่ต่างหาก  เพราะมันเป็นการบ่อนทำลายศาสนาทางอ้อม  และเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติในสิ่งที่เขาเหล่านั้นเคารพอยู่ต่างหากครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 20 พ.ค. 49 22:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 22 "ถ้าเราทำละหมาด ไม่ถึงวันละ 5 เวลา จะเกิดอะไรขึ้น จะได้การยอมรับหรือมีโทษอะไรไหมครับ" >>>อิสลามถือว่า การละหมาดเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญยิ่ง  มีหะดิษว่า รายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า " แท้จริงสิ่งแรกที่มนุษย์จะถูกสอบถามในวันกิยามะฮฺจากการงานของเขา ก็คือ การละหมาด พระเจ้าของเราจะตรัสแก่มะลาอิกะฮฺ ทั้งๆที่พระองค์ทรงรอบรู้ดียิ่งว่า พวกเจ้า จงดูการละหมาดของบ่าว ของข้าว่าเขาทำไว้อย่างสมบูรณ์หรือบกพร่องประการใด หากว่าการละหมาดของเขาสมบูรณ์ ก็จะถูกบันทึก ให้เขาอย่างสมบูรณ์ และหากว่าการละหมาดของเขาบกพร่องไปบ้าง พระองค์ก็จะตรัสว่าพวกเจ้าจงดูชิว่า สำหรับบ่าวของข้าคนนี้มีละหมาดซุนนะฮฺบ้างไหม? หากว่าเขามีละหมาดซุนนะฮฺ ก็จงทำให้การละหมาดฟัรฎู ของบ่าวผู้นี้สมบูรณ์ จากการละหมาดซุนนะฮฺของเขา แล้วกิจการงานอื่นๆ ก็จะถูกสอบสวนในทำนองนี้ ( บันทึกโดยอบูดาวู๊ด อันนะซาอี อัตติรมีซี และอัลฮากิม ) สถานะของมุสลิมที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนาจึงมีดังต่อไปนี้ 1- ผู้ที่ทิ้งละหมาด โดยปฏิเสธความเป็นวาญิบ (เรื่องจำเป็น)ของมัน หรือดูถูกมัน หรือเยาะเย้ยไม่ให้เกียรติในความยิ่งใหญ่ของมัน เขาตกเป็นกาเฟร มุรตัด(ผู้ตกศาสนา)โดยมติเอกฉันท์ของนักการศาสนา 2-  ผู้ที่ทิ้งละหมาดเพราะความขี้เกียจ  หรือยุ่งอยู่กับงานทางโลก หรือคล้อยตามอารมณ์และเสียงกระซิบของชัยฏอน (แต่ยอมรับว่าละหมาดเป็นวาญิบ) คนกลุ่มนี้บรรดาอุละมาอ์ (นักวิชาการ) มีความเห็นขัดแย้งกันถึงสถานภาพของพวกเขาว่า เป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธหลักศรัทธา) หรือเป็นฟาซิก(ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า)   ..... ในเรื่องนี้ อิมามอบู หะนีฟะฮฺเห็นว่า เขาเป็นฟาซิก ต้องอบรมและลงโทษเขาด้วยการโบยให้แรงจนเลือดออก และขังเขาไว้จนกว่าเขาจะละหมาด ...อิมามมาลิกและอิมามชาฟิอียฺ เห็นว่า เขาเป็นฟาซิก ไม่ใช่กาเฟร แต่ทว่าการเฆี่ยนและขังเขาไม่เป็นการเพียงพอ แต่จะต้องประหารเขาหากเขายังยืนกรานว่าจะไม่ละหมาด ....อิมามอะหฺมัด มีความเห็นว่า เขาเป็นกาเฟร ออกนอกศาสนา ไม่มีโทษใดสำหรับเขาเว้นแต่โทษประหาร แต่จะต้องขอให้เขาเตาบะฮฺ(กลับตัว)ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูว่าตะอาลา และกลับคืนสู่อิสลามด้วยการดำรงการละหมาดเสียก่อน ถ้าเขาปฏิเสธจึงจะประหารเขาเสีย ทั้งนี้...การลงโทษด้วยการประหารนั้นไม่ใช่ใครก็ได้เป็นผู้ลงมือ แต่ตามหลักการแล้วมันเป็นอำนาจของรัฐที่ใช้กฎหมายอิสลามเท่านั้น ....ส่วนการทิ้งละหมาดโดยไม่มีเจตนา หรือเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น  ถือว่าไม่มีความผิด  แต่มีข้อแนะนำว่าให้เขารีบละหมาดทันทีเมื่อมีโอกาสกระทำได้ เป็นต้น ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 20 พ.ค. 49 22:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าให้ฝ่ายชายมีสิทธิ์ ฝ่ายหญิงก็ไม่มีสิทธิ์ขอหย่าค่ะ หวังว่า จขกท คงได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปช่วยคนสำคัญ ในการตัดสินใจ >>ฝ่ายหญิงขอหย่าได้ครับ แต่ต้องไป ให้ผู้ปกครอง เช่นอิหม่าม แถวนั้นจัดการครับ จากคุณ : beckmee - [ 21 พ.ค. 49 17:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เอ๊ะ คุณ beckmee ความเห็นที่ 8 -9 ลอกของผมมาจากกระทู้นี้ นี่หว่า http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4376959/Y4376959.html แฮะๆขอบคุณ muslimthai.com ครับ จากคุณ : Hangover - [ 22 พ.ค. 49 20:36:43 ]