ความคิดเห็นที่ 1 คิดมาต้างนานแย้วว ... แต่คิดม่ายออก...ม่ายออก จีง จีง... จากคุณ : mammord072 - [ 22 มิ.ย. 50 11:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ดิฉันไม่มีคำตอบให้คุณค่ะ แต่มีเรื่องของตัวเองจะเล่าให้ฟัง ถือว่าแบ่งปันประสบการณ์แล้วกันนะคะ ดิฉันมีเพื่อนสนิทที่นับถือศาสนาอิสลาม (เค้าเป็นคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ดิฉันไม่ใช่) วันเวลาที่คบกันทำให้ทราบว่า เค้าจะไม่ตอบคำถามที่ว่าทำไมไม่กินหมู ทำไมต้องละหมาด 5 เวลา ฯลฯ และดิฉันก็จะไม่ตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องตั้งศาลพระภูมิฯลฯ  ทำไม่ต้องบีบแตรเวลาขับรถผ่านศาลเพียงตา ดิฉันทราบเหตุผลว่าทำไมตัวเองไม่ตอบคำถาม ก็เพราะว่าไม่อาจหาเหตุผลที่ดูดี ดูมีสาระ (เพื่อสร้างภาพด้วยมั้ง) มาตอบเค้าได้ แม้ดิฉันจะไม่ทราบสาเหตุของการไม่ตอบคำถามของเค้า แต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะยอมรับในความแตกต่าง มองความแตกต่างอย่างสิ่งแปลกใหม่ อย่างศึกษาและเข้าใจ หลายศาสนามีข้อปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่อาจหาสาเหตุหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ แต่ดิฉันมีความเชื่อของดิฉันเองว่าถ้าเรานับถือศาสนาอะไร แล้วสามารถปฏิบัติตามข้อบัญญัติของศาสดาอย่างเคร่งครัด แม้บางการปฏิบัติจะดูเหมือนว่าทำไปทำไมแต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติตามได้ก็แสดงว่าเรามีความศรัทธาในศาสนา ในศาสดา ซึ่งเป็นการแสดงถึงหลาย ๆ อย่างเช่นเราเกรงกลัวต่อการทำบาป และเป็นอยากคนดี เพราะทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี จากคุณ : พิมรภัส - [ 22 มิ.ย. 50 11:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้ามุสลิม  ทุกชาติ  ต้องปฎิบัติตนแบบ Afghanistan คือ  ปิดไปหมดแต่หัวจรดเท้า จะนั่งทานข้าวตามริมถนน ก็ ดูทุลักทุเล...... เฮ้ออออออ จากคุณ : ~ทิดฉ่ำ~ - [ 22 มิ.ย. 50 12:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอเรียนเชิญเพื่อน ๆ ชาวมุสลิม กรุณาแบ่งปันความรู้กันหน่อย ขอบคุณ จากคุณ : kongsilp2000 - [ 22 มิ.ย. 50 12:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 * ง่ายๆครับ เพื่อปกปิดสิ่งที่พึงสงวนและเป็นการให้เกียรติกับผู้หญิง เพื่อป้องกันสายตาผู้ชายมาลวนลาม แล้วเอาไปคิดจินตนาการลามก มันเป็นการให้เกียรติผู้หญิงแบบอิสลาม....ซึ่งมองว่าเป็นเพศแม่ ที่ไม่สมควรเอาเรือนร่างออกมาโชว์โอ้อวดให้ผู้ชายคิดทะลึ่ง เพราะแบบนั้นมันคงไม่ต่างกับผู้หญิงที่ไร้ค่า หญิงแพศยา หรือโสเภณี . . . .....เคยทราบมาว่า สิ่งแรกของผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว .....คือ เส้นผมและผิวสาว ครับ .....ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมและผิว .....ถึงได้ชอบโฆษณาออกมาในลักษณะวาบหวิวแบบนั้นกัน . . . การให้เกียรติผู้หญิงแบบอิสลามคือการปกปิด.....(เพื่อป้องกันนางจากความชั่วร้ายต่างๆ) แต่การให้สิทธิผู้หญิงของคนปัจจุบันคือการให้นางโชว์ได้เต็มที่ . . . แค่ต่างกันที่แนวคิดครับ รูปด้านล่าง ก็ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่อิสลามจะชื่นชมยกย่องครับ * แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 10:01:54 แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 50 12:26:03 จากคุณ : jordanKNIGHT - [ 22 มิ.ย. 50 12:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีทุกท่านค่ะ >>> เรื่องคลุมฮิญาบของสตรี คือ เป็นคำสั่ง บทบัญติของศาสนา ที่มีในอัลกุรอาน การคลุมฮิญาบของสตรีนั้น โดยทั่วไป จะเปิดเผยแค่ใบหน้าและฝ่ามือ.. ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า "โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางเถิด" (บทอัลอะหฺซาบ 33 : 59) ส่วนเรื่องการปิดหน้านั้นเป็นเรื่องของการป้องกันฟิตนะฮฺ สิ่งไม่ดีต่างๆ (จากสังคม) เช่น ถูกแซว การหยอกล้อในเชิงชู้สาว ป้องกันสิงต่างๆที่เริ่มต้นจากการมอง... >>> ส่วนเรื่องทำไมชายไม่ทำงาน อันนี้เป็นเรื่องของ คนที่คิดเกาะผู้หญิงกินแล้วมาอ้างศาสนา......ชายมีหน้าที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัว เลี้ยงดูภรรยาและบุตร หากเขาประพฤติตนแบบนี้ ทำให้ภรรยาเดือนร้อน ทุกๆความทุกข์ของภรรยาเขาต้องรับผิดชอบ   ย้ำว่าเป็นเรื่องของคนละเมิดค่ะ  ^^ ไม่ใช้หลักศาสนาแต่อย่างใด มีต่อค่ะ จากคุณ : นะ(รก) - [ 22 มิ.ย. 50 12:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อ..... >>> ทำไมภรรยา  มีภรรยามากกว่า 1 คัมภีร์อัลกรุอานเป็นคัมภีร์เล่มเดียวเท่านั้นที่มีข้อความที่กล่าวว่า "จงแต่งงานกับสตรีเพียงแค่คนเดียว " ข้อความโดยสมบูรณ์ของโองการที่กล่าวมานี้มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัล-กรุอานดังต่อไปนี้ "จงแต่งงานกับสตรีที่ดีๆแก่พวกเจ้าสองคนหรือสามคนหรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ก็จงแต่งงานกับหญิงเดียว" อัลกรุอาน 4:3 อีกทั้งอิสลามนั้น ไม่ส่งเสริมที่บุรุษจะใช้สตรีเพียงเพื่อตอบสนองอะไรชั่วคราว แล้วจากกันไปเพียงเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ไร้พันธะต่อกัน  ต้องให้เกียรติยกค่าของเธอขึ้นมาเทียบเท่ากันทุกคนค่ะ ในบทเดียวกันของคัมภีร์อัลกรุอานนั้น คือ บทอันนิซาอ ซึ่งกล่าวว่า "และพวกเจ้าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในระหว่างภรรยาได้เลย" อัลกรุอาน 4:129 อะไรคือ คำว่าความยุติธรรม? คำตอบ คือ ทุกด้าน! - ถ้าให้อะไรกับภรรยาคนนึงไป อีกคนต้องมีด้วย ในอิสลามไม่มีระบบบ้านเล็กบ้านใหญ่ ถ้ามีบ้านเล็ก แปลว่า มีบ้านเล็กๆ เท่ากัน หรือถ้ามีบ้านใหญ่ๆ ก็บ้านใหญ่เท่ากัน - สิ่งที่หนุ่มๆต้องให้กับภรรยาตน ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองอย่างเดียว แต่การดูแลในทุกๆด้าน  อย่าคิดว่างานในบ้านเป็นของภรรยาคนเดียว เพราะท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล.) ท่านช่วยคนในบ้านท่านด้วยเหมือนกัน - อ้อ อาการมีกิ๊ก, หน้า ม., หลีสาวไปเรื่อย, หรือหมาหยอกไก่ไปทั่ว...อันนี้ไม่ได้ค่ะ (ส่วนใครเห็นชอบ ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลของเค้า และเค้าต้องตอบคำถามกับพระเจ้าเองในส่วนที่เค้ากระทำอยู่ แต่ถ้าสาวๆรับไม่ได้ เค้ามีสิทธิมีเสียงร้อยเปอร์เซนต์ในการฟ้องหย่า จริงๆเรื่องฟ้องหย่า เพียงแค่ไม่พอใจอะไรนิดหน่อยเองท่านนบีฮัมหมัด (ซล.) เคยอนุญาตมาแล้ว) - หากมีการหย่าเกิดขึ้น และหากลูกตกไปอยู่ในความดูแลของอดีตภรรยาหรือแม่ของลูกนั้น สามียังต้องส่งเสียดูแล รับผิดชอบ เท่าไหร่? >>> 100% ค่ะ ถ้ามี 2 แม่ยายเพิ่มมาอีก 1 ญาติเพิ่มมาอีก 1โขยง ค่าใช้จ่ายอีก แม่ยายนะคะ...^^  ( แค่นึกก็ ...) มีสำหรับความรับผิดชอบต่างๆ ภรรยาหนึ่งคน......................สามีทำงาน สองงาน ภรรยาสองคน......................สามีทำงานเพิ่มขึ้นอีกจนหลังอาน ^^   เรื่องนี้..สาวมุสลิมมีคติประจำใจว่า เงินคุณคือเงินของเรา...เงินฉันคือเงินฉัน ^^ ด้วยความเคารพค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 50 13:40:14 จากคุณ : นะ(รก) - [ 22 มิ.ย. 50 12:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถาม : ทำไมอิสลามจึงลดฐานะผู้หญิงลงด้วยการเก็บพวกเธอไว้เบื้องหลังผ้าคลุมหน้า ? ตอบ: ฐานะของผู้หญิงในอิสลามมักจะตกเป็นเป้าโจมตีโดยสื่อสารมวลชนในแนวเซ็คคิวลาร์(แนวคิดแยกศาสนาออกจากการเมือง)อยู่เสมอ “ฮิญาบ” หรือเครื่องแต่งกายตามแบบอิสลามได้ถูกกล่าวถึงว่าคือตัวอย่างหนึ่งที่เป็น “การปราบ” ผู้หญิงให้สยบอยู่เยี่ยงทาสภายใต้กฎหมายอิสลาม ก่อนที่เราจะใช้วิจารณญาณวิเคราะห์คำสั่งทางศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องฮิญาบ ขอให้เราได้ศึกษาฐานะของผู้หญิงในสังคมยุคก่อนการเกิดขึ้นของอิสลามเสียก่อน 1. ในอดีตผู้หญิงถูกลดฐานะให้ด้อยค่าน่าอับอายและถูกใช้เยี่ยงวัตถุแห่งเมถุนกามตัณหา ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงความจริงว่าฐานะของผู้หญิงในยุคอารยธรรมยุคต้น ๆ นั้นตกต่ำถึงขนาดที่ว่าพวกเธอได้รับการปฏิเสธศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนโดยสิ้นเชิง 1. อารยธรรมบาบิโลเนียน ผู้หญิงถูกทำให้ต่ำต้อยและถูกปฏิเสธสิทธิทั้งปวงภายใต้กฎหมายบาบิโลเนียน ถ้าผู้ชายฆ่าผู้หญิง แทนที่เขาจะถูกลงโทษภรรยาของเขากลับต้องได้รับโทษให้ตายแทน 2. อารยธรรรมกรีก อารยธรรมกรีกได้รับการยอมรับว่าเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่มีเกียรติคุณเป็นที่น่ายกย่องเลื่องลือ ภายใต้ระบอบ “สง่าน่านับถือ” อย่างใหญ่หลวงนี้ ผู้หญิงกลับถูกกำจัดสิทธิเสียสิ้นและถูกดูถูกเหยียดหยาม ในเทพนิยายของกรีก “ผู้หญิงในจินตนาการ” นางหนึ่งที่เรียกกันว่า “Pandora” เป็นปฐมเหตุแห่งความโชคร้ายในความเป็นคน กรีกถือว่าผู้หญิงเป็นคนชั้นต่ำและต่ำต้อยกว่าผู้ชาย แม้พรหมจรรย์เป็นสิ่งล้ำค่าและผู้หญิงเป็นเพศที่น่ายกย่องอย่างสูง แต่แล้วในที่สุดชาวกรีกก็ตกอยู่ภายใต้อัตตัณหาและความวิปริตทางกามราคะ การค้าประเวณีได้กลายเป็นสิ่งปกติในชนชั้นทั้งหลายของสังคมกรีก 3. อารยธรรมโรมัน เมื่ออารยธรรมโรมันอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุด ผู้ชายมีสิทธิ์แม้แต่จะกระทำใดๆ ก็ได้ กับชีวิตภรรยาของเขา การผิดประเวณีและการเปลือยกายเป็นสามัญวิสัยของชาวโรมัน 4. อารยธรรมอียิปต์ อียิปต์ถือว่าผู้หญิงเป็นสิ่งชั่วร้ายและเป็นเครื่องหมายแห่งปีศาจ 5. อาหรับยุคก่อนอิสลาม ก่อนที่อิสลามจะแผ่ขยายในอาหรับ ชาวอาหรับดูถูกเหยียดหยามผู้หญิง บ่อยครั้ง ที่ทารกหญิงแรกเกิดจะถูกฝังทั้งเป็น จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 13:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มีต่อนะครับ 2. อิสลามยกย่องเชิดชูผู้หญิง หยิบยื่นความเสมอภาคให้และหวังว่าพวกเธอจะรักษาฐานะของพวกเธอให้คงอยู่ตลอดไป อิสลามได้ยกฐานะผู้หญิงและให้สิทธิต่างๆ แก่พวกเธอมานานกว่า 1,400 ปีแล้ว อิสลามมุ่งหวังให้ผู้หญิงยึดมั่นในฐานะของพวกเธอและดำรงมันไว้สืบไป ฮิญาบสำหรับผู้ชาย คนทั่วไปมักกล่าวถึงความสำคัญของฮิญาบเฉพาะแต่ในบริบทของผู้หญิงเท่านั้น อันที่จริงในมหาคัมภีร์อัลกุรอาน อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ทรงกล่าวถึงฮิญาบสำหรับผู้ชายก่อนฮิญาบสำหรับผู้หญิงด้วยซ้ำ กุรอานกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อันนูร ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัลกุรอาน 24:30) ขณะที่ผู้ชายมองผู้หญิงหากความไม่มียางอายหรือความคิดที่ไม่กระดากใจผ่านเข้ามาในจิตใจของเขาเขาควรลดสายตาของเขาลงต่ำ ฮิญาบสำหรับผู้หญิง อายะฮฺ ถัดไปในซูเราะฮฺอันนูร กล่าวว่า “และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธออย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอและอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่แก่สามีของพวกเธอหรือบิดาของพวกเธอหรือบิดาของสามีของพวกเธอหรือลูกชายของพวกเธอ...” (อัลกุรอาน 24 : 31) 3. มาตรฐาน 6 ประการสำหรับฮิญาบ ตามกุรอานและซุนนะฮฺ มีเกณฑ์มาตรฐานเบื้องต้น 6 ประการสำหรับการปฏิบัติตามเงื่อนไขของฮิญาบ 1. เอาเราะฮฺ หรือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด เกณฑ์แรกคือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด (เอาเราะฮฺ) ซึ่งต่างกันระหว่างชายกับ หญิง เอาเราะฮฺของผู้ชายอย่างน้อยต้องอยู่ระหว่างสะดือกับเข่า สำหรับผู้หญิงเอาเราะฮฺคือทุกส่วนของร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ หรือหากเป็นความประสงค์ของพวกเธอก็สามารถปกปิดส่วนของร่างกายส่วนนี้ (ใบหน้าและมือ) ด้วยก็ได้ นักวิชาการอิสลามบางท่านยืนยันหนักแน่นว่าใบหน้าและมือก็เป็นส่วนของร่างกายที่ต้องปกปิดด้วยเช่นกั อีก 5 เกณฑ์ที่เหลือนั้นเหมือนกันทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง 2. ชุดที่สวมใส่ต้องหลวมและต้องไม่เปิดเผยให้เห็นรูปร่าง 3. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่บางจนมองทะลุผ่านได้ 4. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่งามหรือมีเสน่ห์จนเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม 5. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของเพศตรงข้าม 6. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของบรรดาผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะต้องไม่สวมใส่ชุดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหรือสัญลักษณ์ในศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธ 4. ฮิญาบรวมถึงความประพฤติและพฤติกรรมอื่นๆ ด้วย ฮิญาบที่สมบูรณ์นั้นนอกเหนือจากการแต่งกายตามเกณฑ์ทั้ง 6 ประการแล้วยังครอบคลุมถึงความประพฤติที่มีศีลธรรม พฤติกรรม ทัศนคติ และความตั้งใจของแต่ละบุคคลด้วย ผู้ที่เพียงแต่ปฏิบัติตามเฉพาะกฎเกณฑ์ของฮิญาบในส่วนที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าก็จะเป็นการเชื่อฟังปฏิบัติตามเป้าหมายของ “ฮิญาบ” ในมุมมองที่แคบๆ เท่านั้น ฮิญาบเสื้อผ้าย่อมไปด้วยกันกับฮิญาบแห่งดวงตา ฮิญาบแห่งหัวใจ ฮิญาบแห่งความคิด และฮิญาบแห่งเจตนารมณ์ (นิยะฮฺ) มันยังรวมถึงวิถีที่มนุษย์เดินเหิน วิถีที่มนุษย์พูดจาพาทีและวิถีที่เขากระทำด้วย เป็นต้น 5. ฮิญาบป้องกันการข่มเหง เหตุผลว่าทำไมฮิญาบถูกกำหนดแกผู้หญิง มีบัญญัติในซูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ อายะฮฺต่อไปนี้ “โอ้ นบีเอ๋ย !จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้าและบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาให้พวกเขาดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลกุรอาน 33 : 59) กุรอานกล่าวว่า ได้ถูกกำหนดสำหรับผู้หญิงเพื่อว่าพวกเธอจะได้รับการยอมรับในฐานะหญิงผู้สงบเสงี่ยมและจะช่วยปกป้องพวกเธอจากการถูกข่มเหงรังแก 6. ตัวอย่างจากพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง สมมุติหญิงสองคนเป็นฝาแฝดกันและทั้งคู่สวยพอกัน เดินไปด้วยกันบนถนน คนหนึ่งแต่งกายด้วยฮิญาบทุกส่วนของร่ายกายถูกปกปิดยกเว้นใบหน้าและมือ อีกคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามแบบตะวันตก กระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้น แล้วมีอันธพาลคอยจ้องจะจับ ล้อเล่น ยั่วเย้าผู้หญิง ใครเล่าจะเป็นผู้ถูกลวนลาม ? ผู้หญิงที่แต่งชุดฮิญาบหรือผู้หญิงที่แต่งชุดกระโปรงสั้น ? โดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมลวนลามผู้หญิงที่นุ่งกระโปรงสั้น ดังนั้นการแต่งกายจึงเป็นการเชื้อเชิญทางอ้อมให้เพศตรงข้ามลวนลามข่มเหง กุรอานจึงกล่าวไว้เป็นถูกต้องแล้วที่ว่า ฮิญาบปกป้องผู้หญิงจากการถูกข่มเหงลวนลาม 7. การลงโทษที่รุนแรงสำหรับพวกข่มขืนทั้งหลาย ภายใต้บทบัญญัติของอิสลาม ผู้ชายที่ทำข่มขืนผู้หญิงจะต้องได้รับการลงโทษที่รุนแรง คำกล่าวอันเฉียบขาดนี้ทำให้หลายคนพิศวง บางคนพูดว่าอิสลามโหดร้ายเป็นศาสนาที่ป่าเถื่อน ผมเคยตั้งคำถามง่ายๆ กับคนที่ไม่ใช่มุสลิมนับร้อยคนว่า สมมุติ , ทั้งที่พระเจ้าทรงห้าม , แต่ใครบางคนกลับข่มขืนภรรยาของท่าน แม่ของท่านหรือพี่สาว น้องสาวของท่าน ท่านได้รับรู้การพิพากษาในความผิดนั้นแล้วและผู้กระทำอนาจารคนนั้นได้ถูกพาตัวมาอยู่ต่อหน้าท่าน โทษสถานใดที่ท่านจะลงทัณฑ์แก่เขา ? ทุกคนตอบว่าพวกเขาจะฆ่าให้ตาย บางคนขยายความว่าเขาจะทรมานจนตาย ผมถามพวกเขาต่อไปว่า คนที่ข่มขืนภรรยาหรือแม่ของท่าน ท่านจะหยิบยื่นความตายให้แก่เขา แต่พอการกระทำความผิดลักษณะเดียวกันถูกกระทำกับภรรยาหรือลูกสาวของคนอื่น ท่านพูดว่าการลงโทษที่รุนแรงนั้นป่าเถื่อน ทำไมถึงได้เกิดสองมาตรฐานเช่นนี้ได้(double standards)? 8. สังคมตะวันตกเรียกร้องสิทธิในการยกฐานะผู้หญิงแบบจอมปลอม การพูดถึงเสรีภาพของผู้หญิงของโลกตะวันตกนั้นไม่ได้มีสิ่งใดนอกจากรูปแบบที่แอบแฝงสำหรับการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากเรือนร่างของเธอ การลดฐานะแห่งจิตวิญญาณของเธอและทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของเธอให้หมดไป สังคมตะวันตกเรียกร้องสิทธิในการยกฐานะผู้หญิง ตรงกันข้ามมันเป็นการทำให้พวกเธอมีฐานะเช่นนางบำเรอ หญิงผู้มากชายหลายชู้และเป็นเช่นผีเสื้อสังคมที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าตกเป็นเครื่องเล่นของผู้แสวงหาความสำราญ และการค้าประเวณีที่ซ่อนเร้นอยู่หลังฉากหลากสีแห่งศิลปะและวัฒนธรรม 9. อเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการข่มขืนสูงที่สุด เป็นที่ยอมรับกันว่าสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการข่มขืนสูงที่สุดในโลกด้วย ตามรายงานของเอฟบีไอ (FBI) ในปี 1990 การข่มขืนในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีเฉลี่ยวันละ 1,756 ราย รายงานอื่นๆ ต่อมามีรายงานอื่นระบุว่า การข่มขื่นในอเมริกาเฉลี่ยวันละ 1,900 ราย แต่ไม่ระบุว่าเป็นปีใด อาจเป็นปี 1992 หรือ 1993 อาจเป็นเพราะคนอเมริกัน “หนักข้อขึ้น ” ในปีต่อๆมา ขอให้ลองพิจารณาถึงภาพที่ได้รับ หากฮิญาบของอิสลามถูกนำมาใช้ในอเมริกา นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายมองผู้หญิงแล้วเกิดความคิดที่ไร้ยางอางหรือไม่กระดากอายขึ้น เขาก็ลดสายตาลงต่ำ จากนั้นผู้หญิงทุกคนสวมฮิญาบตามแบบอิสลามคือทุกส่วนของร่างกายถูกปกปิดยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ นอกจากนี้หากว่าใครข่มขืนแล้วได้รับโทษที่รุนแรง ผมขอถามท่านว่า จากภาพที่ได้พรรณนามานี้อัตราการข่มขืนในอเมริกาจะเพิ่มขึ้น คงเดิม หรือจะลดลง? 10. การยอมรับบทบัญญัติของอิสลามจะช่วยลดอัตราการข่มขืน โดยหลักธรรมชาติ ทันทีที่บทบัญญัติของอิสลามถูกนำมาปฏิบัติผลลัพธ์ในทางที่ดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน หากบทบัญญัติของอิสลามได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติในทุกส่วนของโลกไม่ว่าในอเมริกาหรือยุโรป สังคมก็จะหายใจอย่างโล่งอก ฮิญาบไม่ได้ลดฐานะของผู้หญิงหรือทำให้ผู้หญิงอยู่ในสภาพที่น่าอับอายแต่ฮิญาบช่วยเชิดชูผู้หญิงช่วยปกป้องความสงบเสงี่ยมสง่างามและพรหมจรรย์ของเธอ ข้อมูลจาก http://www.muslimthai.com/network.php?url=http://www.fityah.com จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 13:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แล้วทำไมฝ่ายชายถึงไม่ค่อยทำงาน หน้าที่ของสามีที่พึงมีต่อภรรยานั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1 ในเรื่องของนะฟะเกาะฮ์ (การเลี้ยงดู) 2 ความสัมพันธ์ใกล้ชิด (มีความสนิทสนม) ภายในครอบครัว ในคำสอนของอิสลามไม่มีนะครับให้ภรรยาเลี้ยงดูสามี จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 13:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กลัวดำ... จากคุณ : ก้องบ้า - [ 22 มิ.ย. 50 13:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไมผู้หญิงมุสลิมถึงต้องคลุมศีรษะ  ... ศาสนามุสลิม จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นบริเวณที่เป็นทะเลทรายครับ มีลมแรงหอบทรายเข้าหน้าเข้าตาเสมอ แม้ผู้ชายก็ต้องใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก แล้วทีหลังก็มีการบัญญัติให้มีผ้าคลุมนั้น เพื่อป้องกันบริเวณใบหน้า หู ผม และป้องกันการล่วงละเมิดทางใจ และจนไปถึงทางวาจา และทางกายคือผิดประเวณี เป็นเพียงความเห็นชาวพุทธคนนึงนะครับ จากคุณ : nataraja - [ 22 มิ.ย. 50 15:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ................. การใช้ผ้าคลุมศรีษะ   ของผู้หญิงมุสลิม หรือเรียกอีกอย่าง  ว่า  "ฮิญาบ" บทความนี้อาจจะทำให้คุณเข้าใจ  มากขึ้นคะ --------------------------------------------------------- จดหมายถึง  น้องสาวที่รัก “โอ้ ผู้เป็นนบี จงกล่าวสอนบรรดา คู่ครองของเจ้า บรรดาบุตรีของเจ้า และมวลสตรี(ภริยา)ของศรัทธาชนทั้งหลาย ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดบนตัวของนาง นั้นเป็นที่ใกล้เคียงที่สุดที่พวกนางจะถูกรู้จัก (จากผู้อื่นว่านางเป็นหญิงดี) และพวกนางก็จะได้ไม่ถูกรังควาน(จากคนทั่วไป) และอัลลอฮฺทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง” (อัลอะห์ซาบ : 59) น้องสาวที่รัก... ฮิญาบที่อัลลอฮทรงสั่งใช้ให้เธอสวมใส่นั้น.. .แท้จริงแล้วเป็นเกียรติแก่เธอ และเป็นการปกป้องเธอจากสายตาผู้มากด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำและห่างไกลจากการใส่ร้าย เธอนั้นมีค่าและฐานะอันสูงส่งในอิสลาม >>>>>ดังนั้นวาญิบ (จำเป็น) ที่เธอจะต้องปกป้องและรักษาตัวเธอด้วยการสวมใส่ฮิญาบ เธอต้องต้องปกปิดเรือนร่างของเธอด้วยญิลบ๊าบ (เสื้อคลุม) เพื่อเป็นการน้อมรับคำสั่ง .............. และเป็นการภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ทรงสร้างเธอ พระผู้ทรงประทานความโปรดปรานแก่เธอ และเพียงแค่เธอแต่งฮิญาบและสวมใส่ญิลบ๊าบและยึดมั่นอยู่ในชุดฮิญาบและญิลบ๊าบแล้ว เธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นบ่าวผู้ภักดี และได้รับการยกย่องและชื่นชมจากคนทั่วไปในความประเสริฐ และที่สำคัญเธอจะได้รับผลบุญอันมากมายจากพระผู้เป็นเจ้าของเธอ มีต่อ จากคุณ : lawhanee - [ 22 มิ.ย. 50 16:10:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พึงระวัง!!! ระวังจากการยั่วยุจากบรรดาพวกหัวเข็งในรูปแบบแฟชั่นต่างๆหรือจากคำพูด คำโฆษณาชวนเชื่อของบรรดาผู้หลงผิด ที่ส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกนางจมปลักอยู่กับการทรยศและฝ่าฝืนคำสั่งใช้ของอัลลอฮในรูปแบบต่างๆ มีทั้งเปลือยล่อนจ้อน เปิดแขนเปิดขา อวดอกโชว์สะดือ สายเดี่ยว หรือรัดตึง สั้นเต่อ ส้นตึก หรือไม่ก็บางหวิว น้องสาว...เธอสวมฮิญาบแล้วแต่ว่า !!!!! แท้จริงอัลลอฮฺไม่ได้เพียงแค่สั่งใช้ให้เธอสวมใส่ฮิญาบ และห้ามมิให้ตาบัรรุจญ์ (เปิดเผยอวัยวะพึงสงวน) เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสั่งใช้ให้เธอจงห่างไกลจากสิ่งที่ทำลายในเกียรติและคุณค่าของฮิญาบ ไม่เพียงพอกับการที่เธอสวมใส่ฮิญาบ แต่เธอไม่เคยสนใจที่จะลดเสียงของเธอ เธอมักจะส่งเสียงดังต่อหน้าผู้ชาย ไม่ว่าในตลาด หรือสถานที่ทำงาน เจ็บปวดและหน้าเศร้าเพียงใดเมื่อได้ยินเสียงอันดังของเธอซึ่งอยู่ในชุดฮิญาบ เสียงต่อรองราคาสินค้า เสียงหัวร่อต่อกระซิกในตลาดร้านค้า เสมือนกับว่ามีเพียงเธอกับมะหฺรอมของเธอเท่านั้น และเช่นเดียวกัน ความรู้สึกแสนจะเศร้าเมื่อได้เห็นผู้หญิงแต่งชุดฮิญาบแต่ได้กลิ่นน้ำหอมมาแต่ไกล มันขัดแย้งสิ้นดีและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเธอผู้ซึ่งสวมใส่ฮิญาบ อันเป็นอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงการตักวา (การยำเกรง) น้องสาว... เธอรู้หรือไม่ว่าเธอได้ทำลายคุณค่าของอาภรณ์อันสูงส่งนี้เสียแล้ว ท่านรสูลุลลอฮฺ-ขอพรความสันติสุขแด่ท่านและครอบครัว- ได้กล่าวว่า “ผู้หญิงคนใดเดินผ่านชนกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาได้รับกลิ่นน้ำหอมของนาง นั่นคือการซินา” น้ำหอมเป็นสื่อที่สามารถจูงใจผู้ที่ได้สัมผัส สามารดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง และเป็นต้นเหตุของการเกิดฟิตนะฮ์  (วุ่นวาย)  ในสังคม น้องสาว... เธอเป็นคนที่แสนจะยึดมั่นในฮิญาบ ไม่เคยมีใครได้ยลใบหน้าอันใสสะอาดและสวยงามของเธอ ไฉนเมื่อเธอไปหาแพทย์เพื่อที่จะรักษามือหรือเท้าของเธอซึ่งไม่เกี่ยวกับใบหน้าของเธอเลยซักนิด แต่เธอไม่รีรอและเต็มใจที่จะเปิดใบหน้าของเธอ น้องสาวที่รัก... เธอแสนจะหวงแหนฮิญาบของเธอเมื่อเธออยู่ในสถาบันการศึกษา หาได้มีคนได้ยลโฉมอันสวยงามของเธอได้เลย แต่เหตุใดเล่าเมื่อเธอก้าวเท้าออกจากสถาบัน เธอกลับทิ้งมันออกเสีย เสมือนกับว่าเธอไม่เคยรู้จักมันเลย หรือว่าผู้คนที่อยู่นอกสถาบันนั้นไม่ใช่ผู้ชาย หรือการสวมใส่ฮิญาบและการปิดหน้านั้นเป็นเพียงยูนิฟอร์มหรือเครื่องแต่งกายประจำสถาบันเท่านั้น เธอทำเหมือนกับว่าฮิญาบนั้นเพื่อสถานที่ หรือสถาบัน หรือกับคนที่เธอรู้จักเท่านั้นเอง เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวว่า “ในสมัยที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันเป็นคนรักสนุกและเกลียดความตาย ฉันค้าขายเสื้อผ้าตามตลาดร้านค้า" ครั้งหนึ่งฉันมีโอกาสได้เดินทาง เมื่อขึ้นเครื่องบินฉันก็ได้ทิ้งผ้าที่ใช้คลุมหัวของฉันออก และเมื่อฉันลงจากเครื่อง สายตาของฉันก็ได้พบเห็นแต่ผู้หญิงที่แต่งฮิญาบกันเต็มไปหมด มันทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวและประหม่า และฉันก็ได้ยินเสียงพูดของผู้หญิงที่บ่งบอกถึงลักษณะว่าไม่ใช่คนอาหรับ ฉันจึงถามว่า “คุณเป็นคนอาหรับหรือ? เธอคนนั้นตอบว่า “เปล่าหรอก ฉันเป็นชาวแคนาดา พึ่งเข้ารับอิสลามประมาณปีครึ่งนี้เอง !” เด็กสาวกล่าวต่อว่า ฉันได้วางมือของฉันบนศรีษะเพื่อควานหาผ้าคลุมศรีษะของฉัน แต่ท้ายที่สุด...ไม่พบมัน ใช่ฉันจำได้ ฉันได้ถอดและทิ้งมันไว้บนเครื่องบิน ฉันจึงรำพันกับตัวเองในใจว่า โอ้ อัลลอฮฺ โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรู้จักพระองค์ ไม่เคยศรัทธาพระองค์ นอกจากเมื่อปีครึ่งที่ผ่านมา และกระนั้นเขายังสามารถยึดมั่นอยู่ในชุดฮิญาบ แล้วฉันละ??? ปู่ของฉันเป็นมุสลิม พ่อของฉันก็มุสลิม ยายของฉันมุสลิม และแม่ของฉันก็มุสลิม หนำซ้ำญาติพี่น้องและเผ่าพันธุ์ของฉันก็เป็นมุสลิมโดยกำเนิด ทั้งหมดยึดมั่นและศรัทธาต่อพระองค์ และได้รับการอบรมสั่งสอนจากบรรดามุอมิน แล้วทำไมฉันจึงได้หลงในเรื่องง่ายๆเพียงแค่การสวมฮิญาบและการยึดมั่นอย่างสาวแคนาดาคนนั้นละ แท้จริงฉันต่างหากควรเป็นแบบอย่างและฉันสามารถทำได้ น้องสาว...จงขออภัยยังพระผู้เป็นเป็นเจ้าของเธอ จากคุณ : lawhanee - [ 22 มิ.ย. 50 16:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ในยุคต้นๆ ของอิสลามฮิญาบยังไม่ได้เป็นฟัรฏู (ข้อบังคับ) ให้ผู้หญิงต้องสวมใส่แต่อย่างใด บรรดาผู้หญิงต่างออกจากบ้านใสสภาพที่เปิดเผยใบหน้า และเมื่ออายะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมา บรรดาผู้หญิงต่างพร้อมใจกันทำตามคำสั่งโดยไม่รีรอ และไมพูดหรือโต้แย้งแต่ประการใด ท่านหญิงอาอีซะฮ์ (รอฏียัลลอฮูอันฮา) กล่าวว่า “เมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา บรรดาผู้หญิงต่างรับฟังและต่างก็หาผ้ามาคลุมศรีษะและปิดหน้าของพวกนาง เมื่อออกจากบ้าน บนหัวของนางมองดูแล้วเสมือนกับการดำ (คือพวกนางจะคลุมศรีษะและคลุมหน้าด้วยผ้าสีดำ) นี่ด้วยการเชื่อฟังในอายะฮฺเพียงอายะฮฺเดียวเท่านั้น พวกนางต่างพากันทำตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮ และไม่มีสักคนเลยที่รีรอ หรือซักถามว่าทำไม มีเหตุผลอะไรจึงต้องแต่งอย่างนี้? แต่ผู้หญิงในปัจจุบัน กี่ครั้งที่เธอได้อ่านอายะฮฺและฮาดิษที่เกี่ยวกับคำสั่งใช้ให้สวมใสฮิญาบ และกี่ครั้งแล้วที่เธอได้ฟังคำตักเตือนนาศีฮัตให้เธอสวมใสฮิญาบ แต่ทั้งหมดนี้หาได้มีประโยชน์อะไรกับเธอ เธอไม่เคยรู้สึกอับอาย เมื่อมีคนถามหรือเชิญชวนให้สวมใสฮิญาบ น้องสาว...แล้วไหนละอิสลามของเธอ??? ไหนละการฏออัต (ภักดี) ต่อพระผู้เป็นเจ้าและรอซูล (ขอพรความสันติสุขแด่ท่านและครอบครัว) ของเธอ??? ไหนละแก่นแท้ของการศรัทธา และความสัจจริงว่าเธอนั้นยึดมั่นในหลักศาสนา??? น้องสาว... จนนึกถึงความตายและชีวิตหลังจากความตาย นึกถึงการลงทัณฑ์ในกุบุร และการตอบแทนหลังความตาย จงสำนึกอยู่เสมอว่า เธอจะต้องโดนสอบสวนในทุกกิจกรรมของเธอ เธอจะต้องถูกสอบถามทั้งในหลุมฝังศพและวันแห่งการตอบแทน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเล็กเท่าฝุ่นละอองหรือมันจะใหญ่เท่ามหาสมุทร ไม่มีสิ่งใดที่จะติดตัวเธอและเป็นเพื่อนเธอเมื่อเธออยู่ในหลุมฝังศพ นอกจากอามัลศอลีฮ (การปฏิบัติในสิ่งที่ดี) พึงตระหนักเถิดว่า รูปร่างและใบหน้าอันสวยงามที่เธอหวงแหนและภูมิใจหนักหนา มันจะถูกเผาพลาญด้วยไฟนรกอันร้อนแรง ถ้าหากว่าเธอนั้นปราศจากอามัลที่ศอลีฮ และเธออย่าหวังว่าเธอจะพ้นจากโทษทัณฑ์ของอัลลอฮฺ ถ้าหากเธอยังเปิดเผยเอาเราะห์ (อวัยวะพึงสงวน) ลุ่มหลงในแฟชั่น งมงายกับแบบที่โฆษณาชวนเชื่อในแมกกาซีนและจอโทรทัศน์ น้องสาว... ไม่เคยมีใครที่ไม่ผิด แต่การสำนึกผิดนั้นเป็นสิ่งล้ำค่ากว่า ถ้าหากเธอเคยผิด นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากเธอไม่เคยสำนึก นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนที่ไม่รู้สำนึกนั้น เป็นคุณลักษณะของผู้ที่โอหัง น้องสาว... จงเป็นคนที่รู้จักตนเอง รู้ว่าตัวเองอ่อนแอ รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นบ่าวที่จะต้องภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการขอลุแก่โทษยังพระองค์ น้องสาว... ยังไม่สายเกินไปที่เธอจะกลับไปหาพระองค์ และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้รอคอยการขอจากเธออยู่ อัลลอฮฺนั้นทรงปราณียิ่งต่อบรรดาบ่าวผู้สำนึกต่อพระองค์ พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้เสมอ และเป็นเพื่อในการทำความดีของเธอตลอดไป จากคุณ : lawhanee - [ 22 มิ.ย. 50 16:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ยิ้มสวยๆน่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 50 16:30:00 จากคุณ : zakai - [ 22 มิ.ย. 50 16:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบเจ้าของกระทู้หน่อย   จะเอาเหตุผลจริง ๆ  ไหม  เพราะ  นบีโมฮัมหมัด  ศาสดาของอิสลามเกิดในตะวันออกกลาง  วัน ๆ ก็อยู่แต่ในทะเลทราย  เคยเห็นหิมะเปล่าไม่รู้  ที่ที่มีแต่ทะเลทรายและความแห้งแล้ง  และความร้อน  คนแถบนั้นแต่ก่อนดน้นเขาคลุมแบบนั้นเพื่อป้องกันแสงแดดและความร้อน   เลยมีการคลุมเรื่อยมา  ขนาดไปอยุ่ในยุโรปทีมีหิมะตกหนาวมาก ยังคลุมเพื่อป้องกันแสงแดดเลย   ส่วนที่มีเมียมากว่า 1 เพราะ  นบีโมฮัมหมัดเป็นผู้ชายไง  ธรรมชาติของผู้ชายทุกคนมักเจ้าชู้....  เรื่องปกติที่  นบีโมฮัมหมัดจะบรรญัติเพื่อเข้าข้างผู้ชายด้วยกัน   และเคยสังเกตุไหม  ทำไมอิสลามมีแต่การเข่นฆ่าชีวิต  ไม่เคยมีการให้ชีวิต  เช่น  ปล่อยนก  ปล่อยปลา  ปล่อยวัว เลย   เพราะนบีโมฮัมหมัดเกิดในที่ที่มีแต่ความแห้งแล้ง  พวกสัตว์จะหายาก   จับได้ก็กิน  จะมาปล่อยทำไมนึกดูซิ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คนมุสลิมเขาไม่ยอมรับกันหรอกว่าจริง ๆ  เขาก็จะอ้างโน้นอ้างนี่ไปเรื่อย จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 22 มิ.ย. 50 16:40:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ก็ตอบมาอย่างนี้จะให้ผมว่ามีการศึกษาได้ยังไง ศาสนาอิสลามจำกัดจำนวนภรรยา แต่ถามหน่อยมีข้อให้ของพุทธห้ามให้มีภรรยาเกิน 1 ครับ ไม่ต้องอ้างเรื่องไม่มักมาก เพราะลิมิตตรงนี้อยู่กับบุคคล ถ้า คนมีปัญญาเลี้ยงได้ 100 แล้วผู้หญิงยอม ก็มีได้สิครับ มีดูเยอะแยะ ขุนนางโบราณแถบนี้เมียไม่ต่ำกว่าสิบ จากคุณ : Carroth - [ 22 มิ.ย. 50 17:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อิสลามกำเนิดจากทะเลทราบยแต่กลับบัญญัติว่าแต่ละครั้งที่จะ นมัสการพระเจ้า(วันละ5ครั้ง) ต้องทำความสะอาดร่างกาย ถ้ามีการขับถ่าย ซึ่งก็ใช้น้ำ ซึ่งมันขัดกันมากกับสภาพแวดล้อมของศาสนาสมัยนั้น ถ้าคิดสั้นๆ โง่ๆ แบบ ซูไต้จี้ อิสลามก็คงไม่เน้นการใช้น้ำวันละหลายรอบหรอกครับ แต่ศาสนาที่อยู่ลุ่มมีแม่น้ำ กลับไม่ได้เน้นถึงความสะอาดกันเลย มันต่างกันลิบลับ ว่างๆ ไปอดโง่มั่งนะซูไต้จี้ ถ้ำกระบอกก็ได้เขารับอดโง่หรือเปล่า จากคุณ : Carroth - [ 22 มิ.ย. 50 17:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คิดแบบ #12 อ่ะ ส่วนนึงคงจะมีสาเหตุมาจาก เพราะจุดกำเนิดศาสนาอยู่ในบริเวณที่มีทะเลทราย ศาสดาก็คงจะบัญญัติเรื่องนี้เพราะต้องการให้คนในศาสนาปลอดภัยทั้งจาก ฝุ่น ทราย อากาศที่ไม่ค่อยจะสะอาด  น่าจะเป็นความหวังดีต่อคนทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ ต่อมาก็กลายเป็นข้อกำหนด ข้อบัญญัคิที่ต้องปฏิบัติกัน สังเกตุดูศาสนาคริสต์ก็มีการใส่เสื้อผ้าที่ปกปิด(เช่นชุดของหลวงพ่อในโบสถ์ )   และมีคนทั่วๆไปบางส่วนที่ปิดส่วนหน้าเหมือนกัน  เคยคิดว่าชุดของพระสันตปาปาดูๆไปก็คล้ายกับชุดของคนมุสลิม หรือชุดของผู้หญิงที่เป็นแม่ชีของคริสต์(ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่าถ้าผิดก็ขออภัย) ก็คล้ายๆ กับชุดของมุสลิมเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นข้อบัญญัติ แต่ผมว่ายังไงเสียก็น่าจะมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผลเสมอกับเรื่องข้อบัญญัติทางศาสนา จากคุณ : Control.A - [ 22 มิ.ย. 50 17:36:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความเห็นที่ 16  นั่นสิ ไม่รู้จะถ่ายรูปไปทำไม มีนักเรียนหญิงจากตะวันออกกลางคนหนึ่ง จะถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา แต่มหาวิทยาลัย บอกว่าให้เปิดผ้าที่ปิดหน้าออก แต่คลุมหัวได้ เธอก็ไม่ยอม เจ้าหน้าที่มหาลัยก็เลยถามว่า แล้วจะให้ถ่ายรูปไปทำไม ถ้าคุณปิดหน้า เลยเป็นกฎของมหาวิทยาลัยทางยุโรบว่า ฮิญาบ อนุญาตได้แค่ผ้าคลุมหัวแบบที่มุสลิมบ้านเราใช้เท่านั้น ไอ้แบบปิดหน้าปิดตา นี่ สถานที่ราชการ ธนาคาร โรงเรียน เขาจะไม่อนุญาต แต่ถ้าจะใส่ไปมัสยิดก็ทำได้ แต่จะปิดหมดแล้วเดินในที่สาธารณะที่คนพลุกพล่าน หรือ สถานที่ราชการ ไม่ได้ ประเทศไทยก็ควรต้องมีกฎหมายระเบียบสถานที่ตรงนี้รองรับเช่นกัน ว่า ผ้าคลุมผมมุสลิมแบบไหนที่ อนุญาต และ ถูกต้องเหมาะสม มีความสมดุลระหว่าง การแสดงตน การรักษาความปลอดภัย และ หลักศาสนา comment นิดนึง คือ ความต้องการทางเพศของคนมุสลิมโดยเฉพาะผู้หญิงมีสูงมาก จากประสบการณ์ที่พบพานมาส่วนตัว ไม่ทราบเคยมีการสำรวจหรือเปล่า เพราะกฎระเบียบเหล่านี้ มันเหมือนหินทับหญ้า คือ ไม่ได้แก้ปัญหาที่เหตุ ไม่ได้ถอนหญ้า แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปกปิดสรีระของหญิง ซึ่งอ้างว่าทำให้ชายใจระทวย ทั้งๆที่ สรีระของทั้งสองเพศ มันดึงดูดซึ่งกันและกัน แต่เท่าที่อ่านมา ผู้ชายก็ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมือนกัน คือถ้าทำได้ทั้งสองเพศ ก็ถือว่า แฟร์ แต่ความเป้นจริง ชายมุสลิม ก็ไม่ค่อยมีคนแต่งตัวตามที่ศาสนาสอนไว้สักเท่าไหร่ ยังคงใส่ยีนส์ เสื้อยืด ปกติ จากคุณ : ยิ้มใส - [ 22 มิ.ย. 50 19:32:38 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อืม จริงๆ ประเพณี การปกปิดร่างกาย มีทุกสมัยแหละ ของไทยเองก็มี พวกนางใน เวลาจะออกจากวัง ก็ต้องมีผ้าคลุมไหล่คลุมหัว ปิดหน้าตา ของเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ผู้หญิงในสกุลสูง จะออกไปเดิน shopping เขาก็ต้องมี เกี้ยวแบบมีม่านปิดมิดชิด ด้านออกไปเดินเขาก็มีผ้าคลุมหัวคลุมหน้า เช่นกัน ของคริสต์เขาก็เหมือนอิสลาม แม่ชี ก็คลุม แต่คริสเขาบังคับเฉพาะ นักบวช ของพุทธไม่มี เพราะอากาศร้อน เลย สั่งให้โกนหัว หมดทั้งชายและหญิง คือ ทำให้หมดสวย หมดหล่อไปเลย ทีเดียว สำหรับเพศบรรพชิต อิสลามเขาไม่มีนักบวช เขาจับ ศาสนิกชนบวชหมดด้วยข้อบัญญัติทางศาสนา น่ะ อันนี้ต้องเข้าใจ จากคุณ : ยิ้มใส - [ 22 มิ.ย. 50 19:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ชายมุสลิม ก็ไม่ค่อยมีคนแต่งตัวตามที่ศาสนาสอนไว้สักเท่าไหร่ ยังคงใส่ยีนส์ เสื้อยืด ปกติ จากคุณ : ยิ้มใส comment มาแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ยิ้มใสมั่วขนาดไหน ศาสนาสอนให้มุสลิมชายแต่งตัวอย่างไรครับยิ้มใส ถ้ายิ้มใสตอบไม่ได้ แสดงว่าที่ยิ้มใส่พิมพ์มาข้างบนก็มั่วน่ะสิครับ วาจายิ้มใสเชื่อถือไม่ได้ ต่างอะไรกับมีปากไว้เห่าอย่างเดียวล่ะครับ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 22 มิ.ย. 50 19:53:46 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่มุสลิมตอบมาเนี่ย มีตรงไหนบอกมั๊ยว่า ป้องกันฝุ่นทราย ถ้าไม่มีอย่าคิดเอาเองครับ นี่ก็ตอบมาแล้วอ่านหน่อยนะ ----------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 15 ในยุคต้นๆ ของอิสลามฮิญาบยังไม่ได้เป็นฟัรฏู (ข้อบังคับ) ให้ผู้หญิงต้องสวมใส่แต่อย่างใด บรรดาผู้หญิงต่างออกจากบ้านใสสภาพที่เปิดเผยใบหน้า และเมื่ออายะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมา บรรดาผู้หญิงต่างพร้อมใจกันทำตามคำสั่งโดยไม่รีรอ และไมพูดหรือโต้แย้งแต่ประการใด ท่านหญิงอาอีซะฮ์ (รอฏียัลลอฮูอันฮา) กล่าวว่า “เมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา บรรดาผู้หญิงต่างรับฟังและต่างก็หาผ้ามาคลุมศรีษะและปิดหน้าของพวกนาง เมื่อออกจากบ้าน บนหัวของนางมองดูแล้วเสมือนกับการดำ (คือพวกนางจะคลุมศรีษะและคลุมหน้าด้วยผ้าสีดำ) ---------------------------------------------------------------------------------- แสดงว่าไม่ใช่เรื่องฝุ่นทราย ส่วนเรื่อง การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมั๊ยนั้น ให้ไป ดูคำสอนทั้งหมดครับ มุสลิมต้องละหมาดทุกวัน วันละ 5 เวลา นี่ก็เป็นการละความวุ่นวายในชีวิตประจำวันเข้าหาศาสนาแล้วส่วนนึง การสอนให้รำลึกถึงความตายเพื่อไม่ให้หลงระเริงกับโลกก็อย่างหนึ่งแล้ว ทั้งศีลอด การระลึกพระเจ้าในวาระต่างๆ เหล่านี้ เป็นการทำให้ห่างจากความสุขชั่วคราวของโลกแล้วยะครับ การปกปิดสรีระของผู้หญิง เป็นการช่วยภายนอกด้วย คือไม่ให้มีการกระตุ้นด้วย เพราะบางคน หัวใจเป็นโรค ถ้ายิ่งมองยิ่งดู ก็ยิ่งว้าวุ่น อย่าว่าแต่ลดจากภายในเลย แค่คิดจะลดก็ยากแล้ว นี่เป็นการแก้ปัญหา จากทุกทางครับ ไม่ใช่เพ้อฝัน ว่าถ้าทุกคน จิตใจสงบแล้วปัญหาจะหมดเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ อิสลาม มีหนทางที่ช่วยให้มนุษย์ออกห่างจากความชั่ว และใกล้ชิดความดีมากขึ้น ทั้งสภาพแวดล้อม และตัวบุคคล จึงประสบความสำเร็จไงครับ ถ้ามองว่าการ ให้ผู้หญิงปกปิดเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ล่ะ ต้องหัดมองลึกๆ หัดศึกษา บ้างครับ แล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้น จากคุณ : Carroth - [ 22 มิ.ย. 50 19:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 25 comment นิดนึง คือ ความต้องการทางเพศของคนมุสลิมโดยเฉพาะผู้หญิงมีสูงมาก จากประสบการณ์ที่พบพานมาส่วนตัว ไม่ทราบเคยมีการสำรวจหรือเปล่า จากคุณ : ยิ้มใส นอกจากจะมีปากไว้เห่าอย่างเดียวแล้ว ยิ้มใสยังน่าตัวเมียไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย แก้ไขคำว่า:-)ครับ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 50 19:57:38 จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 22 มิ.ย. 50 19:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่ได้เข้ามาตอบข้อสงสัย เพราะเหนว่ามีมุสลิมดีๆหลายคนตอบไปแล้ว แต่ก้เท่านั้น เพราะพวกดื้อ ก็ยังคงไม่ยอมรับไม่ฟังไม่อ่านอยุ่ดี มัวแต่คิดเอาเอง หาว่าคนที่ตอบแก้ตัวต่างๆนาๆ แล้วพวกคุนจามารุ้อะไร จาเถียงทำไมในเมื่อ มันไม่ใช่ศาสนาที่พวกคุณนับถือ พวกคุณไม่ได้ศรัทธา ไม่รุ้จิง และไม่ให้เกียรติศาสนาของเรา ...อืมก็แค่อยากบอกว่า รุ้สึกสบายใจที่มีฮิญาบในหัวใจ...ก็เท่านั้น!! จากมุสลิมคนหนึ่งค่ะ จากคุณ : เด็กแม่น้ำ - [ 22 มิ.ย. 50 20:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 "นอกจากจะมีปากไว้เห่าอย่างเดียวแล้ว ยิ้มใสยังน่าตัวเมียไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย " --------------------------------------------------------------- ดับบี้ เอานิสัยเดิมๆมาใช้อีกแล้ว ท่าจะแก้ไม่หายจริงๆ จากคุณ : วิพิธวิสสุดา - [ 22 มิ.ย. 50 21:08:08 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ จากความคิดเห็นที่ 17 "เพราะ  นบีโมฮัมหมัด  ศาสดาของอิสลามเกิดในตะวันออกกลาง  วัน ๆ ก็อยู่แต่ในทะเลทราย  เคยเห็นหิมะเปล่าไม่รู้  ที่ที่มีแต่ทะเลทรายและความแห้งแล้ง  และความร้อน" >>> ท่านนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) นั้น  ท่านเดินทางไปค้าขายที่ซีเรีย และแคว้นอื่น ๆ ในแถบนั้นประจำ  ตั้งแต่อายุ 12 ปี ... ... ซีเรียนั้น ก็มีหิมะตกนะครับ  ถ้าท่านนบีเดินทางไปค้าขาย ตั้งแต่ 12 - 25 ปี แล้วไม่รู้จักหิมะเลย  คงเป็นเรื่องแปลกพิลึกนะครับ อีกประการก็คือ  ในบืบัญญัติการอาบน้ำละหมาดนั้น  อนุญาตให้ใช้น้ำจากหิมะ ในการทำความสะอาดได้ ... แค่นี้น่าจะพอเข้าใจนะครับ ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 22 มิ.ย. 50 21:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จับโง่ ซูไต้จี้ได้เป็นเข่งเลย โง่แต่อยากหัดพิมพ์ ดีเหมือนกันซูไต้จี้มาตอบจะได้สร้างความครื้นเครงให้กับกระทู้ 555 จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 21:53:07 ]

ความคิดเห็นที่ 30 พิมพ์เก็บไว้อ่านคนเดียวบ้างนะนายซูไต้จี้ เดี๋ยวกระทู้นี้จะกลายเป็นตลก จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 21:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ดับบี้ เอานิสัยเดิมๆมาใช้อีกแล้ว ท่าจะแก้ไม่หายจริงๆ จากคุณ : วิพิธวิสสุดา เอเลี่ยนสายพันธุ์ไหนปลอมตัวมาอีกเนี้ย จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 22 มิ.ย. 50 21:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แค่ต่างกันที่แนวคิดครับ รูปด้านล่าง ก็ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่อิสลามจะชื่นชมยกย่องครับ * แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 50 12:26:03 จากคุณ : jordanKNIGHT  - [ 22 มิ.ย. 50 12:23:21 ] +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ไม่ดีหมดล่ะครับ เพราะไม่ใช่ ทาทายัง :))))))))))))))) จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 22 มิ.ย. 50 22:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ว่างๆ ไปอดโง่มั่งนะซูไต้จี้ ถ้ำกระบอกก็ได้เขารับอดโง่หรือเปล่า จากคุณ : Carroth  - [ 22 มิ.ย. 50 17:11:19 ] โถ....  นาย  Carroth   ถึงถึงผมโง่ก็โง่แบบมีสติที่รู้จักคิดหล่ะหว๊ะ  ไม่โง่แบบไร้สะติเหมือนคุณหรอกนะ  โน้นแหล่ะ   ไปเลยนะ   ย้ายข้าวของไปอยู่กับพวกโจรใต้เลย   เหมาะกับนาย  Carroth   ดี   ผีเน่ากับโลงผุ   .. จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 22 มิ.ย. 50 22:26:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เพื่อน  ๆ  ทุกคนลองสังเกตุพฤติกรรมของพวกแขกพวกนี้ให้ดีนะ   จะยกว่าตัวเองดี  แต่จะคอยว่าคนอื่นโง่     ใครจะมีเพื่อนใหม่ถามด้วยนะว่าเป็นพวกแขกไหม   ถ้าตอบว่าเป็น  ก็ขอให้ถอยห่างเข้าใว้ อย่าไปใกล้  อย่าไปยุ่งกับมัน   ไม่งั้น มันจะว่าคุณโง่เอา  ต่อให้ไม่ว่าต่อหน้าก็ต้องว่าลับหลัง จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 22 มิ.ย. 50 22:42:19 ]

ความคิดเห็นที่ 36 นี่เป็นอีกหนึ่งกระทู้ ที่ซูไต้จี้โดนไล่เหมือนหม... หม... กา ไก่ แต่เค้าก็ไม่เคยมองเห็นตัวเอง คอยแต่ฟ้องแม่ว่า หญิงเล็กถูกกลั่นแกล้ง จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 23:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าไม่อยากโง่ก็แสดงเหตุผลมาสิครับ แต่เหตุผลแต่ละอย่างที่แสดงออกมามันก็โง่ทั้งนั้น บอกว่ามีภรรยา 4 เพราะเข้าข้างผู้ชาย แต่ไม่ได้ดูเลยว่า ที่อื่นไม่เคยห้ามจะมี เป็นหมื่นก็ยังได้ ถ้ามีความสามารถ นี่เหรอครับที่เรียกว่าเหตุผล ผมว่าความวุ่นวายไม่ได้มาจากพวกผมหรอกครับแต่มาจากคนแบบคุณมากกว่า ดีแต่ระบายความใคร่ใส่กระทู้ไปวันๆ ยังจะให้ไปดูเว็บเอ็มไทยอีก ปากก็บอกเองว่ากระทู้ที่นั่นไม่ต้อง Login ว่างๆ ก็ไปเช็คดูนะ ไอพีมันซ้ำกันกี่คน แค่นี้ยังจะแสดงความโง่ออกมาซะแล้ว งั้นคุณช่วยบอกหน่อยซิว่าที่คุณพิมพ์มามันมีอะไร ที่ไม่โง่บ้าง ในคคหที่ 17 เนี่ย จากคุณ : Carroth - [ 22 มิ.ย. 50 23:08:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เออ รู้สึกว่า เว็บเอ็มไทยนี่มีแต่เด็กๆมัธยมที่เล่นนะครับ เอ หรือว่าซูไต้จี้ยังหัวเกรียนอยู่ จากคุณ : Palmyra - [ 22 มิ.ย. 50 23:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณซูไต้จี้ พูดจาหยาบคายคะ "ดังนั้นเจ้าจงอดทน  ต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวร้าย   และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า   ก่อนตะวันขึ้นและกอนตะวันลับลงไป   และส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน   ก็จงแซ่สร้องสดุดี และปลายของช่วงเวลากลางคืน เพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ"  (20:130) จากคุณ : lawhanee - [ 22 มิ.ย. 50 23:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ----------------------------------- "เรา  จะ  โยน  ความ  กลัว  เข้า  ไป  ใน  ...หัวใจ......ของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น   เนื่องจากการที่พวกเขาให้มีภาคีแก่...อัลลอฮฺ ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งนั้น   และ   ที่  อยู่   ของ  พวก   เขา  คือ .......ขุมนรก...ช่าง เลว ร้าย จริง ๆ ซึ่ง  ที่  อยู่  ของบรรดาผู้ที่.....อธรรม....." (อาลิอิมรอน :151) .............................................................. จากคุณ : lawhanee - [ 22 มิ.ย. 50 23:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ที่โดนด่า เพราะ คงพูดแทงใจดำ คือ คุณดาบ นี้ ดาบคงไม่ยาวและแหว่งเป็นเสี้ยวๆ ตอนเข้าพิธีอาจจะดิ้นมาก เลยมีปมด้อยอ่ะ อันนี้เราเข้าใจน่ะ ไม่ว่ากัน บ้ายบาย จากคุณ : ยิ้มใส - [ 23 มิ.ย. 50 01:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 42 จะพูดเฉพาะเรื่องภรรยานะ อิสลามให้มีภรรยาได้มากกว่า 1   แต่ก็มีการบัญญัติไว้ว่า จะต้องให้ความสำคัญกับภรรยาตามลำดับก่อน - หลัง ภรรยาคนแรก  สำคัญที่สุด และต้องปฎิบัติตัวต่อภรรยา  ให้สมกับที่สามีที่ดีพึงกระทำ ไม่งั้นผิดกฎอิสลามนะ ผมเชื่อนะว่า  ศาสนาอิสลาม  ให้ความเป็นธรรมกับทั้งหญิงและชาย  เพียงแต่อาจแตกต่างกันบ้างตามธรรมชาติของทั้ง 2 เพศ ท่านศาสดาเหล่านั้น  เป้นผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าท่านจะบัญญัติอะไรขึ้นมา  จะต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วย  คำนึงถึงความสุขของคนทั่วไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นบัญญัติกรู  แบบที่พวกเด็กรุ่นหลังโง่ๆ  ชอบเอามาอวดอ้าง เพื่อหาความชอบธรรมในการสร้างความเดือดร้อน จากคุณ : ชาวบางนา - [ 23 มิ.ย. 50 03:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สรุปแล้ว ยิ้มใสน่าตัวเมียก็ดีแต่เห่า ไม่รู้ว่ามุสลิมชายแต่งตัวยังไง ดีแต่เห่าอย่างนี้เงียบไว้ในสิ่งไม่รู้ยังจะดีกว่าโชว์โง่ให้คนอื่นเค้าเห็นนะ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 23 มิ.ย. 50 08:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถามนาย  Palmyra   คห. 36 หน่อย  รู้สึกว่ามุสลิมที่ชื่อ  นาย  CH.Montree  จะถูกผมไล่คืนด้วยนี่   ทำไมไม่ก็อปปี้มาลงด้วยหล่ะ   ถามว่าทำไมไม่เอามาลงด้วยหล่ะ   โถ... มีปัญญาเท่านี้  ปญอ.  จริง ๆ เลยนะนาย  Palmyra จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 24 มิ.ย. 50 00:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เออ รู้สึกว่า เว็บเอ็มไทยนี่มีแต่เด็กๆมัธยมที่เล่นนะครับ เอ หรือว่าซูไต้จี้ยังหัวเกรียนอยู่ จากคุณ : Palmyra  - [ 22 มิ.ย. 50 23:12:58 ] ตอบเลยนะ  ผมก็หัวเกรียนพอ ๆ กับคุณหน่ะแหล่ะ   แต่สำหรับผมยังดีหน่อยที่มีผมขึ้น  ไม่ได้หัวเกรียนแล้วหัวเถิกเหมือนคุณนะจ๊ะ  นาย  Palmyra  เอ๋ย.... จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 24 มิ.ย. 50 00:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 47 และอีกอย่างหนึ่ง  เวลาผมจะตอบกระทู้ไหน  นาย  Palmyra ไม่ต้องหน้าด้านเสนอหน้ามาอีกนะ  ...   อ่านออกไหม  ที่พูดเมื่อกี้ จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 24 มิ.ย. 50 01:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้ายังไม่เลิกเกรียนก็จะตามไปทุกกระทู้นั้นแหละ ซูไต้จี้ แล้วตกลงหางานทำได้ยังจ๊ะ จะได้ไม่มีเวลามาเกรียน จากคุณ : Palmyra - [ 24 มิ.ย. 50 12:06:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ตอบคคห.ที่44 ก็เพราะซูไต้จี้ไปเกรียนก่อนไม่ใช่รึ แล้วเค้าถึงไล่ยังกับ.................. ส่วนคุณ CH.Montree ซูไต้จี้ลองไปเช็คดูด้วยนะ ว่าเค้าเป็นมุสลิม หรือป่าว เท่าที่รู้เค้าเป็นพุทธนะ คนอะไรชอบมั่วจริงๆเลย จากคุณ : Palmyra - [ 24 มิ.ย. 50 12:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จขกท ก็คงได้รับคำตอบจากที่ถามไปแล้วนะ.....ยังไงก็เลือกดูคำตอบดูล่ะกันว่าอันไหนคือคำตอบที่ถูก (คงไม่ยากมั้ง)   และอันไหนที่มั่ว(คงจะดูออก..มั้ง) จากคุณ : shop - [ 24 มิ.ย. 50 17:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบ คห.  49 นะ  นาย    Palmyra   มิทราบว่า  ผมจะเกรียนหรือไม่เกรียน   หรืออะไรยังไง  หรือกับใคร   มิทราบว่านาย   Palmyra    จะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเหรอ   ชาวบ้านเขายังไม่ได้มาเดือดร้อนอะไรด้วยเลย   แล้วนาย Palmyra    มาวุ่นวายอะไรด้วยเหรอ   555   สงสัยไม่มีใครอยากคุยด้วยแหง ๆ  ต้องมาหาชวนคนทะเลาะสร้างกระแส    โน้นหล่ะ  ไปหาที่อื่นเลย   ผมไม่อยากคุยกับคุณ     นี่ลองเอากระดาษทรายไปลองขัดหน้าดูนะ  รับรองเลย  บางลงชัวร์    คอนเฟิร์ม  ไปไกล ๆ เลยนะ   มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ   ชิ้ว ๆ  ๆ   ไป  ๆ   ไม่มีใครเขาต้อนรับหรอกนะ  ๆ ชิ้ว ๆ แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 19:27:12 จากคุณ : ซูไต้จี้ - [ 24 มิ.ย. 50 19:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตรูอยากคุยกับมรึงที่ไหนหรอซูไต้จี้  สำคัญตนผิดหรอป่าว ตรูชอบด่าเกรียนว้อย โดยเฉพาะเกรียนอย่างแกอ่ะ จากคุณ : Palmyra - [ 25 มิ.ย. 50 00:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอโทษ จขกท.ด้วยนะครับ ที่ผมนอกประเด็นแต่ผมแค่ไม่อยากให้คนโง่ๆเข้ามาเกรียน โดยไม่มีมูลข้อเท็จจริงเพื่อมาบิดเบือนเองนะครับ หวังว่าจขกท. คงเข้าใจเจตนาผมนะครับ จากคุณ : Palmyra - [ 25 มิ.ย. 50 00:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ทำไมเหตุผลไม่เหมือนกัน คำสอนที่คิดขึ้นมาเองเหรอครับ ??? วัยรุ่นเซ็ง!!!! ปล.  เห็นด้วยกับ คห. 17   . จากคุณ : ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี - [ 25 มิ.ย. 50 13:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถามคำเดียวค่ะ --------- ความคิดเห็นที่ 35   เพื่อน  ๆ  ทุกคนลองสังเกตุพฤติกรรมของพวกแขกพวกนี้ให้ดีนะ   จะยกว่าตัวเองดี  แต่จะคอยว่าคนอื่นโง่     ใครจะมีเพื่อนใหม่ถามด้วยนะว่าเป็นพวกแขกไหม   ถ้าตอบว่าเป็น  ก็ขอให้ถอยห่างเข้าใว้ อย่าไปใกล้  อย่าไปยุ่งกับมัน   ไม่งั้น มันจะว่าคุณโง่เอา  ต่อให้ไม่ว่าต่อหน้าก็ต้องว่าลับหลัง จากคุณ : ซูไต้จี้  - [ 22 มิ.ย. 50 22:42:19 ] ----------------------------- นี่คือสิ่งที่จขกท.ต้องการใช่ไหมคะ ที่แค่ต้องการสร้างความไม่สามัคคีใช่ไหมคะ จากคุณ : Kala99 - [ 26 มิ.ย. 50 09:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 56 v v v แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 11:24:20 แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 50 11:23:15 จากคุณ : Palmyra - [ 26 มิ.ย. 50 11:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ลองค้นดูแนวคำตอบเกี่ยวกับอิสลามของ จขกท. ดูนะครับ แล้วคุณ Kala99ก็จะรู้ว่า จขกท.เป็นคนอย่างไร อคติแค่ไหน ต่อให้พวกเราเอาคำตอบที่ดีแค่ไหนเค้าก็ไม่รับหรอกครับ เพราะเค้าอคติ ผมอยากให้จขกท.ไปตั้งกระทู้ใหม่ หรือแตกประเด็น โดยเนื้อความคล้ายๆอันนี้แหละว่า เหตุผลไม่เหมือนกันตรงไหน คำสอนตรงไหนที่คิดขึ้นมาเอง ................................................................................................ ทำไมเหตุผลไม่เหมือนกัน คำสอนที่คิดขึ้นมาเองเหรอครับ ??? วัยรุ่นเซ็ง!!!! ปล.  เห็นด้วยกับ คห. 17   . จากคุณ : ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี  - [ 25 มิ.ย. 50 13:47:14 ปล.กล้าหน่อยนะ จขกท. เปิดเผยตัวจริงเถอะ ชื่อล็อคอินหลอกใครไม่ได้หรอก ถ้าไม่กล้าก็ให้ น้องซูฯมันไปตั้งก็ได้ ไอ้นี่มันสุดยอดของความอคติอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะตามไป จากคุณ : Palmyra - [ 26 มิ.ย. 50 11:22:31 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เหมือนจะฉลาดนะ Palmyra  คนโง่ ยอมรับว่าตนโง่ ก็นับว่าฉลาดขึ้น  แต่คนโง่แล้วอวดฉลาดนี่สิ ขอโทษ ใช้ล็อกอินนี้ตั้งแต่วันแรกและครั้งแรกที่เข้ามาโพสท์ในพันทิพย์ คุณกะลา 99    ไม่ทราบว่าที่อยู่ในกะลานี้คือ "กบ  หรือ คางคก"  ออกจากกะลาซะที !!!   ถ้าคำว่าสามัคคีใช้ได้ทุกครั้งไปก็คงแย่   ไม่งั้น คนมุสลิม หลายส่วนอาจจะไป "สามัคคี" กับโจรใต้ก็เป็นได้   และผมระบุไปแล้วว่า  เห็นด้วยกับ  คห. 17   ไม่ได้เห็นด้วยในทุกๆคำพูดของเขา    โปรดใช้สติปัญญาอันน้อยนิดแยกแยะด้วย ..........นะ . จากคุณ : ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี - [ 26 มิ.ย. 50 16:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ก็แน่จริงไปตั้งกระทู้ใหม่ดิ ผมอยากรู้เหตุผลเหมือนกัน ว่าตรงไหนมันขัดแย้งกัน และคำสอนตรงไหนที่คิดขึ้นมาเอง ผมอยากรู้สติปัญญาของนายเหมือนกัน ว่าใช้ตตรกะอะไรสนับสนุน คคห.ที่17 อยากรู้ข้อมูลของคุณ หรือว่าสักแต่พิมพ์ """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" ปล.เรื่องล็อคอินไม่ได้สงสัยอะไรหรอกแค่บอกว่าตั้งชื่อล็อคอินซะดูดีแค่นั้นเอง หรือจะให้ผมแตกประเด็นไปให้ จากคุณ : Palmyra - [ 26 มิ.ย. 50 20:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณกะลาลอง search ชื่อจขกท. ดูก็ได้แล้วคุณก็จะรู้คำตอบ ปล.ผมรอกระทู้ใหม่ของ จขกท.อยู่นะ จากคุณ : Palmyra - [ 26 มิ.ย. 50 21:05:36 ]