ความคิดเห็นที่ 13
ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ
...เจ้าของกระทู้ อยากได้คำตอบตามหลักการ หรือ ว่าตามสภาพทั่วไปล่ะครับ
ถ้าตามหลักการ ก็ไปอ่านที่นี่นะครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kheedes&date=03-12-2005&group=4&gblog=1
ถ้าตามสภาพทั่วไป ก็หาตามสื่อต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ข่าวในความคิดเห็นที่ 8 นั้น ...ถามว่า การรุมฆ่าคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะ บุคคลผู้นั้นนับถือศาสนาต่างไปจากตนเองนั้น ผิดหรือไม่ ...คำตอบก็คือ การฆ่าคนในลักษณะเช่นนี้ เป็นความผิดแน่นอนครับ
ทั้งนี้ ตามปฏิญญาอิสลามที่ออกโดย OIC ระบุว่า
มาตราที่ 10
ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนาและจะไม่มีการฉวยโอกาสในเรื่องความอ่อนแอ ความยากจน ความไม่รู้ของสมาชิกในสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงศาสนาดั้งเดิมของเขา
เราต้องทำความเข้าใจประการหนึ่งว่า อิสลามนั้น ใช้ศาสนานำการเมือง... กฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนานั้นจะถูกบังคับใช้ และมีผล เมื่อมันมีรัฐธรรมนูญแห่งระบอบรัฐอิสลามมาบังคับใช้ก่อน ...ซึ่งนั่นก็หมายความว่า กฎหมายนี้จะถูกใช้บนรัฐอิสลามที่มีกุรอานเป็นรัฐธรรมนูญเท่านั้น ... ซึ่งเป็นเหตุผลอย่างเดียวกันว่า ที่ว่า ทำไมประเทศไทย จึงไม่มีบทลงโทษเรื่องการเปลี่ยนศาสนา ในขณะที่ตะวันออกกลางจะมีกฎหมายข้อนี้
...กฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนานั้น วางอยู่บนพื้นฐานสิทธิประโยชน์ และ อธิปไตยของรัฐ หมายความว่า การประกาศตนว่าเป็นมุสลิม ย่อมหมายถึง การให้ความยินยอม และ อนุญาติให้กฎหมายอิสลามทั้งหมด ถูกบังคับใช้แก่เขา โดยบุคคลผู้นั้นจะอยู่ใต้กฎหมายอิสลาม ทั้งในแง่ของ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่รัฐพึงให้ และ บทลงโทษตามกฎหมาย หากว่าเขาละเมิดกฎหมาย .... ดังนั้นกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนา จึงเป็นกฎหมายลักษณะเดียวกับกฎหมายป้องกันการก่ออาชญากรรมในรัฐ ..
ดังนั้น การห้ามเปลี่ยนศาสนา ตามหลักการของกฎหมาย จึงหมายถึง การห้ามเปลี่ยนศาสนาไป เพื่อผลประโยชน์ทางด้านการเมือง ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า กฎหมายนี้ มีเจตนาเพื่อใช้กับผู้เข้ารับอิสลามใหม่ โดยตรง...มากกว่า จะบังคับใช้กับผู้ที่เป็นมุสลิมอยู่แต่เดิม
ตามหะดิษ (วจนะท่านศาสดา) ที่ถูกระบุไว้นั้น มีอยู่ 2 กรณี คือ 1."ไม่อนุญาตให้หลั่งเลือดมุสลิมนอกจากหนึ่งในสามสาเหตุเท่านั้น นั่นคือ การปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่เข้ารับอิสลามแล้ว หรือการผิดประเวณีหลังจากที่ได้แต่งงานแล้ว หรือสังหารผู้อื่นที่ต้องห้าม" (บันทึก อันนะสาอีย์)
2. "ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา (มุรตัด) พวกเจ้าก็จงสังหารเขาเสีย" (บันทึก อัลบุคอรีย์)
หะดิษ แรกนั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่า กล่าวถึงผู้ที่ปฏิเสธอิสลาม หลังจาก ที่เข้ารับอิสลาม ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายข้างต้น
หะดิษที่ 2 นั้น กล่าวถึงกลุ่มชนที่เข้ารับอิสลามแล้วต่อมาเปลี่ยนเป็นศาสนาอื่น เพื่อทำการกบฎต่อรัฐ
...ทั้ง 2 หะดิษนั้น มีที่มาชัดเจนในเรื่องของเหตุผลทางการเมืองในสมัยนั้น เหตุเพราะ สมัยที่รัฐอิสลามเพิ่งตั้งแรก ๆ นั้น มีบุคคลบางกลุ่มเข้ามารับอิสลามเพียงเพื่อ ต้องการหาข่าว (สายลับ) , ต้องการผลประโยชน์ทางการค้า , ต้องการแต่งงานกับหญิงมุสลิม , ต้องการสิทธิประโยชน์ที่รัฐจัดให้ ในฐานะประชากรมุสลิม
ซึ่งหากว่า การเปลี่ยนศาสนานั้น เป็นเพราะไม่ได้ศรัทธาในอิสลามแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีการลงโทษอันใด เช่นกรณี ที่มีอาหรับเบดูอิน คนหนึ่งมาหาท่านศาสดาและขอเข้ารับอิสลาม แต่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยและมาขอยกเลิกการเป็นมุสลิม ถึง 3 ครั้ง (คือ เปลี่ยนจากอิสลามไปเป็นอย่างอื่น เพราะเขาคิดว่า การที่เขาเป็นมุสลิมแล้วทำให้เขาล้มป่วย) แต่ทั้ง 3 ครั้งท่านศาสดาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ จนสุดท้ายเขาจึงเดินทางออกไปจากมาดีนะห์ (รัฐอิสลาม) ซึ่งท่านศาสดาก็ไม่ได้กล่าวโทษเอาผิดแต่อย่างใด
ด้วยจิตคารวะครับ
จากคุณ :
kheedes
- [
3 ก.ค. 50 11:35:09
]
|
|
|