ความคิดเห็นที่ 1 ดิฉันไม่ใช่ชาวคริสต์นะคะ   เพียงแต่รู้ว่า "นอสติก(Gnostic)"  เป็นพวกที่เข้าถึงพระเจ้าด้วยสมาธิ  แบบเดียวกับคนในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ   ที่เข้าถึงสิ่งสูงสุดด้วยสมาธิ จากคุณ : เจ๊อุปทาน - [ 13 ส.ค. 50 21:38:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ..... แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 50 23:05:17 จากคุณ : The AAF - [ 13 ส.ค. 50 23:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กระทู้นี้มีอะไรไม่ดีหรือครับ ช่วยแถลงไขด้วย ผมอยากศึกษาประวัติศาสตร์เท่านั้น จากคุณ : campaign - [ 13 ส.ค. 50 23:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ยังงงว่า จขกท โดนไฟแดงข้อหาอะไร จากคุณ : silverspider - [ 13 ส.ค. 50 23:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อะไรคือ "นอสติก(Gnostic)"  ครับ ????? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 10:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พวกนอสติก (Gnostic) เชื่อว่า ร่างกายนี้เลวร้าย แต่จิตวิญญาณนั้นดี พวกเขาเชื่อว่า ความรอดที่มาถึงพวกเขาได้นั้น โดยความลึกลับ หรืออำนาจที่พิเศษอัศจรรย์ ซึ่งพวกเขามองข้าม การที่พระเยซูคริสต์ทรงสละชีวิตเพื่อมนุษย์ทุกคน เหตุที่พวก นอสติก (Gnostic) มีทัศนะเช่นนี้เพราะ พวกเขาคิดว่า เขามีชีวิตที่อยู่ตลอดนิรันดร์ พวกเขาเป็นกลุ่มลัทธิที่หยิ่งยโส และมีหลักคำสอน และปรัชญาที่อันตราย แต่พวก Gnostic เริ่มเสื่อมถอยลงในช่วง สมัยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ อัครทูตเปาโลได้เขียนพระธรรมโคโลสี และโครินธ์ และอัครทูตยอห์นที่เขียนพระธรรมยอห์น ได้อธิบายและชี้จุดสำคัญในหลักข้อเชื่อของคริสเตียน เพื่อที่จะต่อสู้ ต่อต้าน คำสอนผิด สอนเทียมเท็จ ของพวก Gnostic สำหรับคริสเตียนความรอดไม่ใช่เฉพาะเจาะจง คนใดคนหนึ่ง แต่สำหรับทุกคนในโลก ...และการช่วยกู้ของพระเจ้าไม่เฉพาะแต่จิตวิญญาณ แต่รวมทั้งร่างกาย จิตใจและ จิตวิญญาณ .......ไม่แปลกใจที่แม้แต่ผู้นำ คริสตจักรในยุคต่อมาก็ได้ทำการต่อต้านคำสอนผิดเหล่านี้ เช่นท่าน ไอเรเนียส (Irenaeus) เทอร์ทูเลียน (Tertullian) และ ฮิปโปลิทัส (Hippolytus) เป็นต้น หนังสือ Holy Blood, Holy Grail, และ The Da Vinci Code และ ภาพยนต์เช่น The last temptation of Christ และ The Da Vinci Code ที่ได้ออกฉายไปเมื่อสักปีที่แล้ว ต่างก็ดึงเอาข้อมูลข้อเขียน ต่างๆ จากหนังสือของ Gnostic มาเขียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ข้อมูล เนื้อหาของพระคัมภีร์ สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ไม่มีหลักฐาน เอกสารใดๆ ของพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ปะปนอยู่ใน ภาชนะที่ค้นพบ ที่ Nag Hammadi แม้แต่ ชิ้นเดียว ผู้นำคริสเตียนยุคแรกเขียนให้เห็นตัวอย่างชัดเจน “...เราไม่สามารถเอาน้ำผึ้งมาผสมกับยาพิษ..” นอสติก (Gnostic) หมายถึง “ผู้ที่มีความรู้” ความรู้ (knowledge) ที่ได้ซ่อนไว้ปกปิดไว้จากพวกคริสเตียนทั้งหลาย ซึ่ง นอสติก (Gnostic) มองว่าพวกคริสเตียนเป็นพวกที่โง่เขลาสิ้นความหวัง พวกนอสติก (Gnostic) อ้างว่าพวกเขานั้นได้รับ“ความรอด” โดยสอนว่าความรอดไม่ได้มาทางพระเยซูคริสต์แต่มาโดย “ทางความรู้” (knowledge) (gnosis) ,ความรู้เที่ยงแท้ของ นอสติก (Gnostic) ซึ่งเกี่ยวข้องกับท่าทีที่มีต่อเทพสากลจักรวาล ซึ่งพวกนี้มองว่าร่างกายซึ่งเป็นเลือดเนื้อ เป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งชั่วช้า ซึ่งถูกสร้างโดย เทพเจ้าที่ต่ำ ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดแต่ขณะเดียวกันก็มีวิญญาณของเทพเจ้าที่ดีที่พวก นอสติก (Gnostic) มองว่าเป็นความหวังของเขา (ไม่น่าแปลกที่ พระธรรมยอห์น 1.1-14 .. “พระวาทะบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกนอสติก (Gnostic) รับไม่ได้ เพราะบังเกิดเป็นเลือดและเนื้อซึ่งถือว่า ไม่ดีและชั่วช้า” ถ้าใครก็ตามที่ถูกเลือกสรรแล้วจะมีแนวทางลึกลับ หรืออำนาจวิเศษที่จะนำเขาไปสู่เทพเจ้าเอง และผู้ที่ถูกเลือกเขาจะ “เป็นผู้ที่รู้ตัวของเขาเอง” (ไม่ใช่ทุกคน) ดังนั้น ความรอดของมนุษย์ จึงไม่ได้มาทางพระเยซูคริสต์ แต่มาโดยทาง “ความรู้” ของ นอสติก (Gnostic) เท่านั้น หากพิจารณาถึงร่างกายของ นอสติก (Gnostic) เขามองว่า เป็นสิ่งที่ชั่วช้าที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งทัศนะเช่นนี้นำมาสู่การประพฤติ ปฏิบัติที่เรียกว่ามากเกินควร ซึ่งพบในเอกสารของพวกนอสติกนี้ Michael Green ได้สรุปให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น 1.ร่างกายของมนุษย์เหมือนคุกที่คุมขังจิตใจที่ดีที่เป็นส่วนของเทพเจ้า ดังนั้นจำเป็นต้องทรมานร่างกายซึ่งถือว่า ชั่วร้าย เช่น ใส่เสื้อที่มีขนหนา, นอนบนที่นอนที่มีแก้วแตกรองบนที่นอน เพื่อให้ร่างกาย เลือดและเนื้อทรมาน เพื่อให้ถึงซึ่งวันที่ดับสูญ ไม่สนใจต่อร่างกาย แต่จิตใจภายในเป็นสิ่งสำคัญที่สุด 2.ร่างกายของมนุษย์ชั่วร้าย ไม่ดี จะทำอย่างไรก็ได้ กับร่างกายนี้ การปฏิบัติต่อร่างกายนั้นไม่มีผลกระทบต่อ จุดมุ่งหมายปลายทางในสวรรค์ข้างหน้า ดังนั้นสนุกกับการกิน และดื่ม, สนุกกับเรื่องเพศเต็มที่ ทัศนะทั้ง สอง ลักษณะนี้ได้แพร่หลายและประพฤติปฏิบัติกันมากในช่วง ศตวรรษที่ 2 และ 3 นอกจากนี้ยังมีกอสเปล Gnostic ที่เขียนโดยคนที่ไม่ได้เป็นอัคสาวก หรือมีชีวิตอยู่ร่วมกับอัคสาวก  แต่ถูกเขียนขึ้นมาภายหลัง ท่านอัครสาวกเสียชีวิตไปแล้ว  โดยพยามใช้ชื่อต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล   แต่การเขียนพยามปฏิเสธการเป็นพระบุตรของพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์  เช่น  กอสเปลโธมัส  กอสเปลบานาบัส กอสเปลฟิลลิฟ เป็นต้นครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 11:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แสดงว่าเรื่อง The Da Vinci Code  มาจากกอสเปลนอสติก ซิครับ แล้วปัจจุบัน  ความเชื่อแบบนอสติกอะไรนี่  ยังมีอยู่รึปล่าวครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 12:36:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณคุณท่ามกลางฝูงนก ได้รายละเอียดของนอสติกเยอะทีเดียว หมายความว่า แต่ภายหลัง นักบุญเปาโล(ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอัครสาวกโดยตรง ไม่เคยเจอพระเยซู) ได้เขียนพระธรรมโคโลสี และโครินธ ส่วนนักบุญยอห์น(ที่ผมเข้าใจคือ่ท่านเดียวกับที่เจิมให้พระเยซู) ได้เขียนพระธรรมยอนต์ขึ้นมา   ทะ้งสองท่านทำให้เกิดความเสื่อมของกลุ่มนอสติก ผมไม่ได้สงสัยเรื่อง นิยายของแดนบราวน์ เพราะข้อมูลนั้น เกิดในยุคหลังมาก ......................... คำถามนะครับ 1.แนวคิด Gnostic อยู่ร่วมกับศาสนาคริสต์ยุคแรก(อาจจะผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่นหรือPagan) ใช่หรือไม่? 2.หรือนักบุญเปาโลและยอห์น ได้เขียนอะไรไว้บ้างเกี่ยวกับนอสติก และมีทรรศนะอย่างไร? 3.ผู้บัญญัติคำศัพท์ว่า Gnostic ว่า มาจากใครเป็นคนแรก? 4.คนที่แยกนอสติก ออกจากคริสตศาสนา ใช่นักบุญเปาโล และนักบุญยอห์นหรือไม่ หรือเป็นคนอื่น ? 5.ก่อนที่จะมีการแยกนอสติกออกมาอย่างชัดเจนนั้น คือยุคก่อนยุคนักบุญเปาโลใช่หรือไม่? ........... ยังเหลือส่วนของเฮเรติกอีกนะครับ จากคุณ : campaign - [ 14 ส.ค. 50 12:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดเห็นที่ 7   แสดงว่าเรื่อง The Da Vinci Code  มาจากกอสเปลนอสติก ซิครับ แล้วปัจจุบัน  ความเชื่อแบบนอสติกอะไรนี่  ยังมีอยู่รึปล่าวครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า  - [ 14 ส.ค. 50 12:36:08 ]                             ++++++++++++++++ ครับ The Da Vinci Code  นำบางส่วนของกอสเปลนอสติกมาใช้ในการแต่งนิยายครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 12:46:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Gnostic เป็นแนวคิดที่มีอยู่ทั้งในกลุ่มชาวยิวและคริสต์ครับ แนวความคิดนี้ได้รับความนิยมมากในช่วง 300 BCE - 200 CE  ดังนั้นยิวที่เป็น Gnostic ก็มี คริสต์ที่เป็น Gnostic ก็มี ส่วนที่ว่าไม่มี New Testament ใน Nag Hammandi นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่า Gnostic ใช้ตำราคนละเล่มกับ Orthodox ชาวคริสต์บางกลุ่มในช่วงคริสตวรรษที่ 1 - 6 ก็ใช้ Gospel กันคนละฉบับกับที่อยู่ใน New Testament ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ชาวคริสต์กลุ่มย่อยๆนั้นก็หายไปเรื่อยๆ หลังจากที่มีบิชอปที่มีอิทธิพลสูงแห่ง Alexandria ท่านหนึ่งออกมาเขียนจดหมายถึง Church ต่างๆในกำกับของท่านว่าด้วยหนังสือที่ควรอ่าน นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กรุเอกสาร Nag Hammandi ถูกปิดผนึกไปก็ได้ เพราะอายุของเอกสารอยู่ในช่วงไล่เลี่ยกันพอดี จากคุณ : Nexus - [ 14 ส.ค. 50 12:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คำถามนะครับ 1.แนวคิด Gnostic อยู่ร่วมกับศาสนาคริสต์ยุคแรก(อาจจะผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่นหรือPagan) ใช่หรือไม่? 2.หรือนักบุญเปาโลและยอห์น ได้เขียนอะไรไว้บ้างเกี่ยวกับนอสติก และมีทรรศนะอย่างไร?                                 +++++++++++ คำชี้แจงอยู่ในพระคัมภีร์ครับ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า คริสตจักรยุคแรกไม่อาจจะอยู่หรือผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่นหรือPagan หรือความเชื่อนอสติกจากพวกกรีกได้ครับ  ซึ่งข้อเขียนของท่านอัครสาวกเป็นที่ยืนและต่อต้านความ แบบนอสติกไว้ครับ ท่านอัครสาวกเปโตร 2 Peter Chapter 2 1 แต่ว่าได้มีผู้พยากรณ์เท็จท่ามกลางประชาชนทั้งหลายด้วย เช่นเดียวกับที่จะมีอาจารย์เท็จท่ามกลางท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะแอบเอาลัทธิที่ออกนอกลู่นอกทางอันจะนำไปสู่ความฉิบหายเข้ามาด้วยและจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ได้ทรงไถ่เขาไว้ และจะนำความพินาศอย่างฉับพลันมาถึงตนเอง 2 จะมีหลายคนประพฤติตามทางแห่งการสาปแช่งของเขา และเพราะคนเหล่านั้นเป็นเหตุทางแห่งความจริงจะถูกกล่าวร้าย 3 และด้วยความโลภเขาจะกล่าวคำตลบตะแลงเพื่อค้ากำไรจากท่านทั้งหลาย การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ถูกพิพากษานานมาแล้วจะไม่เนินช้า และความฉิบหายของเขาก็จะไม่หลับไหลไป 4 เพราะว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักเขาลงไปสู่นรกและได้มัดเขาไว้ด้วยเครื่องจำจองแห่งความมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงเวลาทรงพิพากษา ท่านอัครสาวกยอห์น 1 ยอห์น / 1 John Chapter 2 18 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่าปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะมา บัดนี้ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มีอยู่มากแล้วฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว 19 เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเราเขาจะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าเขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราทุกคนไม่ 20 ท่านทั้งหลายได้รับการทรงเจิมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านก็รู้ทุกสิ่ง 21 ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนมายังท่านทั้งหลายเพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้วและรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริงเลย 22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ 23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา แต่ผู้ใดที่รับพระบุตร ผู้นั้นก็มีพระบิดาด้วย 1 ยอห์น / 1 John Chapter 4 1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากออกเที่ยวไปในโลก 2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า 3 และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าวิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว 4 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก 5 เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดตามโลก และโลกก็ฟังเขา 6 เราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเราดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้จักวิญญาณแห่งความจริงและวิญญาณแห่งความเท็จ ท่านยูดา ยูดา / Jude Chapter 1 1 ยูดา ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ และเป็นน้องชายของยากอบ เรียน คนทั้งหลายที่ทรงชำระตั้งไว้ให้บริสุทธิ์โดยพระเจ้าพระบิดา และที่ทรงคุ้มครองรักษาไว้ในพระเยซูคริสต์ และที่ทรงเรียกไว้แล้ว 2 ขอพระเมตตาคุณ สันติสุข และความรักจงเพิ่มทวียิ่งขึ้นแก่ท่านทั้งหลายเถิด 3 ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าพากเพียรเขียนถึงท่านทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับความรอดสำหรับคนทั่วไปนั้นข้าพเจ้าก็เห็นว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชนแล้ว 4 เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัวซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรมที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามกและได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวและพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 17 แต่ว่าท่านที่รักทั้งหลาย ท่านจงระลึกถึงคำพยากรณ์เมื่อก่อนของเหล่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราที่ได้กล่าวไว้ 18 คือว่า พวกอัครสาวกนั้นได้บอกท่านทั้งหลายว่า "ในสมัยสุดท้ายจะมีคนเยาะเย้ยบังเกิดขึ้นเขาเป็นคนที่ประพฤติตามตัณหาอันชั่วของตัว" 19 คนเหล่านี้คือคนที่แยกตัวออกมาและประพฤติตัวตามโลกียวิสัย และปราศจากพระวิญญาณ 20 แต่ท่านทั้งหลายผู้เป็นที่รัก จงก่อสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ยิ่งของท่านโดยการอธิษฐานด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้า คอยพระกรุณาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจนถึงชีวิตนิรันดร์ ******************** จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 13:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 3.ผู้บัญญัติคำศัพท์ว่า Gnostic ว่า มาจากใครเป็นคนแรก? 4.คนที่แยกนอสติก ออกจากคริสตศาสนา ใช่นักบุญเปาโล และนักบุญยอห์นหรือไม่ หรือเป็นคนอื่น ? 5.ก่อนที่จะมีการแยกนอสติกออกมาอย่างชัดเจนนั้น คือยุคก่อนยุคนักบุญเปาโลใช่หรือไม่?                             ++++++++++++++++ คำว่า Gnostic ผมไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนแรกเป็นผู้บัญญัติคำศัพท์ครับ ส่วนคนที่แยกนอสติก ออกจากคริสตศาสนา คือบรรดาท่านอัครสาวก และอัครทูตครับ เช่น เปโปร  ยอห์น  เปาโล ยูดา  ฯลฯ เป็นการต่อต้านความเชื่อที่บิดเบือนไปจากรากฐานที่องค์พระเยซูคริสต์ได้วางไว้ครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 13:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นอสติก (Gnostic) หมายถึง “ผู้ที่มีความรู้” ความรู้ (knowledge) ที่ได้ซ่อนไว้ปกปิดไว้จากพวกคริสเตียนทั้งหลาย ซึ่ง นอสติก (Gnostic) มองว่าพวกคริสเตียนเป็นพวกที่โง่เขลาสิ้นความหวัง พวกนอสติก (Gnostic) อ้างว่าพวกเขานั้นได้รับ“ความรอด” โดยสอนว่าความรอดไม่ได้มาทางพระเยซูคริสต์แต่มาโดย “ทางความรู้” (knowledge) (gnosis) ,ความรู้เที่ยงแท้ของ นอสติก (Gnostic) ซึ่งเกี่ยวข้องกับท่าทีที่มีต่อเทพสากลจักรวาล ^ ^ ^ ต้นตอมาจากพวกกรีกครับ ต่อมาก็มีอิทธิพลต่อความเชื่อต่างๆในโรมัน และกลายเป็นมรดกตกทอดให้กับพวกที่เขียน กอสเปลนอสติกครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 13:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พูดแบบกลางๆ นะครับ เท่ากับว่าศาสนาคริสต์ได้ผ่านช่วงที่มีการบิดเบือนเข้ามาในโบสถ์ในยุคแรกๆ มาแล้วใช่ปล่าวครับ  แต่ก็มีพวกท่านสาวกได้สอนและย้ำเตือนหลักการต่างๆ ผ่านการเขียนคัมภีร์คริสไว้ .......... คือผมกำลังคิดว่า  คัมภีร์ที่เขียนมา เขียนมาก่อน หรือเขียนมาทีหลังครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 13:42:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ เป็นการเขียนในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นครับ  โดยมีข่าวมาถึงหูของท่านอัครสาวก และอัครทูต  ถึงความเชื่อที่บิดเบือนไปจากคำสอนที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ให้ไว้  เข้ามาในคริสตจักรที่ท่านได้ไปประกาศและตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ ในยุคนั้น   ท่านอัครสาวก และอัครทูตก็ได้เขียนจดหมาย เตือนไปทันที และอธิบายถึงความเชื่อที่ได้รับไว้จากองค์พระเยซูคริสต์ที่ต้องรักษาไว้ครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 13:46:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณครับ คุณท่ามกลางฝูงนก  พอจะเข้าใจสถานการณ์ของคริสในยุคนั้นบ้างแล้วครับ ^_^ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 14:06:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่งหารากของคำว่า Heretic มาได้ Etymology The word "heresy" comes from the Greek αἵρεσις, hairesis (from αἱρέομαι, haireomai, "choose"), which means either a choice of beliefs or a faction of believers. It was given wide currency by Irenaeus in his tract Contra Haereses (Against Heresies) to describe and discredit his opponents in the early Christian Church. He described his own position as orthodox (from ortho- "right" + doxa "belief") and his position eventually evolved into the position of the early Christian Church. Used in this way, the term "heresy" has no purely objective meaning: the category exists only from the point of view of speakers within a group that has previously agreed about what counts as "orthodox". Any nonconformist view within any field may be perceived as "heretical" by others within that field who are convinced that their view is "orthodox"; in the sciences this extension is made tongue-in-cheek. Heretics usually do not define their own beliefs as heretical. Heresy is a value judgment and the expression of a view from within an established belief system. For instance, Roman Catholics held Protestantism as a heresy while some non-Catholics considered Catholicism the "Great Apostasy." For a heresy to exist there must be an authoritative system of dogma designated as orthodox, such as those proposed by Catholicism. The term orthodox is used in Eastern Orthodoxy, some Protestant churches, in Islam, some Jewish denominations, and to a lesser extent in other religions. Variance from orthodox Marxism-Leninism is described as "right" or "left deviationism." The Church of Scientology uses the term "squirreling" to refer to unauthorized alterations of its teachings or methods. จากคุณ : Nexus - [ 14 ส.ค. 50 14:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แต่หลายๆคนก็ยังสงสัยว่า I Peter นั้น เขียนโดยนักบุญ Peter หรือเปล่า? http://www.earlychristianwritings.com/1peter.html Eric Eve writes: "Despite 1 Pet 1:1, the author is unlikely to have been the apostle Peter. The cultured Greek of the epistle makes it perhaps the most literary composition in the NT. The apostle Peter probably knew some Greek, but 1 Peter does not look like the product of an unlettered (Acts 4:13) Galilean fisherman. It employs a sophisticated vocabulary incorporating several NT hapax legomena, and its author appears to have some command of the techniques of Hellenistic rhetoric. He is also intimately acquainted with the OT in the LXX, whereas we should have expected the Galilean Peter to have been more familiar with an Aramaic Targum or the Hebrew." (The Oxford Bible Commentary, p. 1263) จากคุณ : Nexus - [ 14 ส.ค. 50 14:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 19 พอดีอ่านไปอ่านมาก็ไปเจอหน้านี้มา   http://www.positiveatheism.org/hist/maccoby2.htm เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับคริสตจักรในศตวรรษแรกครับ จากคุณ : Nexus - [ 14 ส.ค. 50 15:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พูดแบบกลางๆ นะ   ถ้าจะศึกษา ก็ต้องศึกษาเทียบของคริสด้วยนะครับ ถึงจะเป็นกลาง  เพราะช่วงเวลาผ่านมา 2 พันปีกว่า น่าจะมีหลักฐาน การค้นคว้า ที่ชัดเจน  และน่าเชื่อถือครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 15:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 18   แต่หลายๆคนก็ยังสงสัยว่า I Peter นั้น เขียนโดยนักบุญ Peter หรือเปล่า? จากคุณ : Nexus   - [ 14 ส.ค. 50 14:25:22 ]                             ++++++++++++++ ดูจากองค์ประกอบการเขียนก็รู้ว่าเป็นท่านอัครสาวกเปโตรเป็นผู้เขียนครับ 1 เปโตร คํ านํ า ผู้เขียน เปโตร เขียนถึงใคร ถึงผู้ที่ถูกเนรเทศจากการถูกข่มเหงเรื่องความเชื่อคริสเตียนของเขา จุดประสงค์ เพื่อเตือนให้รู้ถึงอันตรายของการข่มเหงจากผู้ที่อยู่นอกคริสตจักร ข้อพระคัมภีร์สํ าคัญ “ดูก่อนที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสน สาหัสเป็นการลองใจเหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นฃมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย” 1 เปโตร 4:12-13 หลักการของชีวิตและการรับใช้ การตอบสนองต่อการข่มเหงควรตั้งอยู่บนหลักการของพระคัมภีร์ บุคคลสํ าคัญ เปโตร ซิลวานัส มาร์กัส โครงร่าง I. คํ าทักทาย 1:1-2 A. จากเปโตร อัครทูตของพระเยซู 1:1 B. ถึงผู้ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปซึ่งเป็นผู้ทรงเลือกในแคว้นต่อไปนี้ 1:1 1. ปอนทัส 2. กาลาเทีย 3. คัปปาโดเซีย 4. เอเซีย 5. บิธิเนีย II. ปลอบโยนและให้ความแน่ใจในการทนทุกข์ 1:3-25 A. ให้ความแน่ใจในความจริงแห่งพระกิตติคุณ 1:3-12 จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 16:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นอสติกยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ครับ จากคุณ : tanoy_delphi - [ 14 ส.ค. 50 17:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับไบเบิ้ลครับมีเว็บไหมครับ มีภาษาไทยไหมครับ จากคุณ : fowleres - [ 14 ส.ค. 50 18:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นี่ครับไบเบิ้ลฉบับ KJV ทั้งเล่ม http://www.thaipope.org/webbible/ มี NIV อีกฉบับแต่ผมลืม link ทั้งสองเล่มไม่เหมือนกัน (การแปล) จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 14 ส.ค. 50 18:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จริงหรือเปล่าครับ ที่เขาว่า  อัลกุรอ่านลอกมาจากยิวและคริสครับ มีเพื่อนชาวพุทธท่านหนึง ส่งมาให้อ่าน แต่ลอกมาไม่ตรงกับต้นฉบับของยิวและคริส เลยเป็นปัญหากัน ???? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 18:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ................เอ้อ.....ถามใครครับ  .............................. ถ้าถามชาวคริสต์ ต้องบอกว่า เรื่องของนอสติกเกิดขึ้นมาก่อนจะมีอิสลามนะครับ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน  ส่วนเรื่องลอกมาหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบครับ ต้องถามฝ่ายมุสลิมเองครับ  หรือไม่ก็ลองศึกษาควบคู่กันไปก็ได้ครับ  ถือว่าเป็นการศึกษาเพื่อความรู้เพิ่มเติมนะครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 19:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถามคุณท่ามกลางฝูงนกครับ  ถ้าอย่างนั้นความเชื่อแนว นอสติกก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามความเชื่อของคริสหรือไม่ครับ และมีผลอย่างไรบ้างครับ ??? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 19:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 27   ถามคุณท่ามกลางฝูงนกครับ  ถ้าอย่างนั้นความเชื่อแนว นอสติกก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามความเชื่อของคริสหรือไม่ครับ และมีผลอย่างไรบ้างครับ ??? จากคุณ : สายฟ้าผ่า  - [ 14 ส.ค. 50 19:30:56 ]                        +++++++++++++++++++ จริงๆ แล้วผมอยากให้เฮียเหนือสายรุ้งมาตอบนะครับ เพราะแกจะชัดเจนมากสำหรับคำตอบพวกนี้  ผมพอจะกล้อมแกล้มไปได้บ้างครับ กลุ่มนอคติสเป็นเฮเรติกในยุคแรกๆ ที่มีการเขียนพระคัมภีร์แปลกๆออกมามากมาย เกร็ดเรื่องแนวคิดนอสติค (Gnostic)   เป็นแนวคิดความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณเหนือธรรมชาติจากตำนานที่ถูกสร้างขึ้น งานเขียนและคำสอนของทางนอสติคเน้นเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณต่างๆ โดยเชื่อว่าประสบการณ์ทางวิญญาณเป็นแก่นที่แท้จริงของศาสนา เรื่องพระเจ้าและคำสอนของทางคริสตภายหลังถูกใช้นำมาโยงประกอบกับแนวคิดทางนอสติคด้วย แต่ทั้งหมดเป็นการกระทำปรุงแต่งของทางสาวกนอสติคเองที่พยายามโยงเรื่องพระเยซูและคำสอนต่างๆเป็นของทางนอสติค และเช่นเดียวกับคัมภีร์สารนอกระบบที่หลายคนเข้าใจผิดว่าคำสอนทางนอสติคเป็นของทางคริสต์ หรือ เป็นสารที่ถูกตัดออก ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่เป็นความจริงเลย หลายต่อหลายครั้งอัครสาวก เปโตร เปาโล และ ยอห์น ก็ได้เตือนผู้คนไม่ให้สนใจในเทพนิยายปรัมปราเท็จเช่นนี้ ดันแคน กรีนลีส (Duncan Greenless) นักเทวศาสตร์ผู้ศึกษาและนับถือแนวคิดนอสติคได้ให้นิยามสำหรับแนวคิดนอสติคไว้ว่า “นอสติคซิซึ่ม (Gnosticism) คือแนวคิดการค้นหาประสบการณ์ความรู้ตรงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า วิญญาณ และ อวกาศ  ในช่วงศตวรรษแรกๆที่คริสตศาสนาพัฒนาขึ้น นอสติคก็ได้เอาแนวคิดของทางคริสตศาสนามาใช้ โดยปฏิเสธเรื่องเนื้อหาความเชื่อและศรัทธาออก ดังนั้นคำหลายๆคำจึงมาทางคริสต์เสียมาก แต่เรื่องวิญญาณและเรื่องเหนือธรรมชาติมาจากแนวคิดลัทธินอกรีตทั้งหลายของทางตะวันตก” ครับซึ่งมันตรงกันข้ามกับหลักข้อเชื่อของความเชื่อคริสเตียนครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 19:37:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าอย่างนั้น ในกระทู้ที่แล้ว เรื่องดวงดาวเบธเลเฮม  คุณคลื่นแทรกถามผมว่า มีประวัติของพระเยซูในคัมภีร์อีกเล่ม  ถ้าผมอ่านผมจะเชื่อหรือปล่าว แสดงว่า คัมภีร์เล่มนั้นที่คุณคลื่นแทรกอ้างถึงอาจจะเป็นคัมภีร์นอสติกได้หรือปล่าวครับ ถามแบบเป็นกลางๆ นะครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 19:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ เอ๋.....ไม่ทราบครับ คุณคลื่นลมฯ บอกหรือปล่าวครับว่าคัมภีร์เล่มไหน แล้วคุณสายฟ้าผ่า ได้อ่านหรือยังครับ   สำหรับชาวคริสต์  ประวัติก็ต้องตรงกับพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มครับ ถึงจะเชื่อว่าเป็นประวัติที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 14 ส.ค. 50 19:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 31 555  ยังครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเล่มไหนของคุณคลื่นแทรกเหมือนกันครับ ไม่เห็นส่งมาให้อ่านเลยครับ ^ ^" จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 14 ส.ค. 50 20:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลองอ่าน Argument ที่เขาศึกษากันมานะครับว่ามีข้อที่ชวนสงสัยเพียงใดว่า Gospel ทั้งสี่เล่มเขียนโดยบุคคลที่มีชื่ออยู่ในนั้นจริงๆ ผู้ที่ศึกษาไบเบิล ทั้งที่อยู่ในคริสตจักรเองก็ยังคงต้องยอมรับว่า Gospel ทั้งสี่เล่้มนั้น "According to xxx" คือเขียนจากคำบอกเล่าของบุคคลที่ปรากฎอยู่ในนั้น อีกทั้งการใช้ภาษาระบุได้ว่าผู้เขียนได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีด้านภาษากรีกและมีความคุ้นชินกับภาษาและวรรณกรรมกรีกซึ่งชาวบ้านจากกาลิลีที่ไม่ได้รับการศึกษาและไม่สามารถเขียนหนังสือได้จะเขียนได้หรือครับ และต้นฉบับของ Gospel เหล่านั้นเป็นภาษากรีก ไม่ใช่ภาษา Aramaic ที่พระเยซูใช้ในตอนนั้นด้วย จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 08:20:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าคิดว่าศาสนาคือความเชื่ออย่างถึงที่สุดแล้วกรุณาข้ามข้อความข้างล่างไปเลยนะครับ ข้อความข้างล่างมาจากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งอาจจะระคายตา The Follower of Jesus ได้ถ้าไม่อ่านโดยวางความเชื่อไว้ข้างๆก่อน ตอนนี้ผมกำลังอ่านถึงสิ่งที่นักวิชาการเขาคุยถึงเรื่อง Paul ครับ ซึ่งเท่าที่ผมตามอ่านก็พบว่าน่าสนใจทีเดียว ซึ่งไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เอกสารชื้นแรกๆใน NT นั้นเขียนโดย Paul ครับ ซึ่งเขียนขึ้นมาก่อน Gospel เสียอีก และจากเอกสารนั้นมีคนชี้ให้เห็นถึงเรื่องที่น่าประหลาดใจหลายอย่างเช่นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของ Paul และกลุ่มของ James (น้องชายของพระเยซู) ความคลุมเครือในประวัติของ Paul และทัศนคติที่เปลี่ยนไปของ Paul ต่อ Pharisee ในเอกสารที่แตกต่างกันระหว่าง ในจดหมายของ Paul ที่เชื่อกันว่าเขียนโดยตัว Paul เอง และใน Act ที่เขียนโดยศิษย์ของ Paul มีข้อสันนิษฐานว่าจริงๆแล้ว Pharisee อาจจะไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ถูกป้ายสีไว้ใน NT (ที่เขียนขึ้นโดยลูกศิษย์ในสายของ Paul ทั้งนั้น) ก็เป็นได้ เพราะอย่างน้อยก็มีข้อความที่ Paul เขีัยนขึ้นมาเองว่า Pharisee โหวดให้ปล่อยตัว Peter ไป ในขณะที่ Paul เองโหวตให้เอาไปลงโทษ (Acts บทที่ 26) น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานทางฝั่ง James เหลืออยู่้เลย เลยยังไม่สามารถว่าคำสั่งสอนของพระเยซูนั้นทางสาวกใกล้ชิดคิดอย่างไร เพราะ Paul นั้นไม่เคยแม้กระทั่งพบพระเยซู เมื่อดูจากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ก็พอจะสรุปได้ว่าคริสจักรในปัจจุบันมีรากฐานมาจากคำสอนของพระเยซูตามการตีความของ Paul เกือบทั้งหมด Jesus, Ebionites, & Paul the Magician Introduction: The New Testament is dominated by a man named Paul (Saul). Generally, either he wrote it, or one of his followers did. He also admits to being the greatest mass murderer of the original followers of Jesus. He claims to have been converted, but, never apologized or showed guilt in the slightest in anything he said. Quite the contrary, he almost seems to be bragging about it. And the monster under the bed, is that Paul's conversion was probably fake, and he never stopped killing the followers of Jesus, and the winners wrote the history books. He killed them all, Peter, James, poor Mary Magdela, so sad, and even Jesus. And he clouded the teachings of Jesus with an overlay that says his killing of Jesus was a good thing. And there are traces of this horror, far greater than Paul admitted to, in the New Testament itself. In overview, as a young man, Paul, a Roman Citizen, a Roman/Temple enforcer killed Jesus, and immediately afterwords, was in charge of arresting/killing all his followers. After he killed all the local ones, he went abroad, and killed all the ones he could get to. In order to finish off the ones he couldn't get to, and to infiltrate them, and get them in trouble as an agent provacateur, and to replace the teachings of Jesus with something else entirely, something debilitating, he pretended to convert. But he continued killing them when he could, until he finished them off. After killing them all, and destroying the "Way", he retired. His victims cry out for justice. จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 08:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 34 Paul the Magician: Thomas 68: Jesus said: Blessed are you when you are hated and persecuted, and they will find no place where you have been persecuted. Perhaps the most revealing and chilling statements about Paul are two very similar paragraphs found in Acts separated by a story about someone called "Simon the Magician" It starts with the story of the stoning of Stephen, led by Paul, (Saul), not long after Jesus was killed. And how Paul then slaughtered the followers of Jesus locally, and then went abroad to finish them off: "7:57But they cried out with a loud voice, and stopped their ears, and rushed at him with one accord. 7:58They threw him out of the city, and stoned him. The witnesses placed their garments at the feet of a young man named Saul. 7:59They stoned Stephen as he called out, saying, "Lord Jesus, receive my Spirit!" 7:60He kneeled down, and cried with a loud voice, "Lord, don't hold this sin against them!" When he had said this, he fell asleep. 8:1Saul was consenting to his death. A great persecution arose against the assembly which was in Jerusalem in that day. They were all scattered abroad throughout the regions of Judea and Samaria, except for the apostles. 8:2Devout men buried Stephen, and lamented greatly over him. 8:3But Saul ravaged the assembly, entering into every house, and dragged both men and women off to prison. 8:4Therefore those who were scattered abroad went around preaching the word." ["...Simon the Magician Story..."] "9:1But Saul, still breathing threats and slaughter against the disciples of the Lord, went to the high priest, 9:2and asked for letters from him to the synagogues of Damascus, that if he found any who were of the Way, whether men or women, he might bring them bound to Jerusalem." Sure looks obvious the two parts of the Paul story were once connected. The second one seamlessly takes up where the first leaves off. Paul killed all the followers of Jesus locally, and then went abroad to finish them off. And notice how both mention he murdered the women too? A familiar theme with Paul. The Simon the Magician story was stuck in between them for some reason. For close to 2000 years, some people have thought that Simon the Magician was actually Paul. They were right. He's pictured as an enemy of James and Peter, like Paul even after his "conversion". And he's pictured as debating against them, of being in competition, as was Paul. Of pretending to be converted, but actually was a "in the gall of bitterness and the bondage of iniquity." In fact, you could say it takes up where 9:2 above leaves off. In which case, after Paul kills all the local followers of Jesus, and all the non-local followers of Jesus he could, in a foreign land, he then went about debating, disputing what the followers of Jesus (James, Peter, etc.) said, and took over the religion. Chilling. Here's the beginning of the Simon the Magician story, taking up where 9:2 above left off: "8:9But there was a certain man, Simon by name, who used to practice sorcery in the city, and amazed the people of Samaria, making himself out to be some great one, 8:10to whom they all listened, from the least to the greatest, saying, "This man is that great power of God." 8:11They listened to him, because for a long time he had amazed them with his sorceries. 8:12But when they believed Philip preaching good news concerning the Kingdom of God and the name of Jesus Christ, they were baptized, both men and women. 8:13Simon himself also believed. Being baptized, he continued with Philip. Seeing signs and great miracles occuring, he was amazed. 8:14Now when the apostles who were at Jerusalem heard that Samaria had received the word of God, they sent Peter and John to them, 8:15who, when they had come down, prayed for them, that they might receive the Holy Spirit; 8:16for as yet he had fallen on none of them. They had only been baptized in the name of Christ Jesus. 8:17Then they laid their hands on them, and they received the Holy Spirit. 8:18Now when Simon saw that the Holy Spirit was given through the laying on of the apostles' hands, he offered them money, 8:19saying, "Give me also this power, that whoever I lay my hands on may receive the Holy Spirit." 8:20But Peter said to him, "May your silver perish with you, because you thought you could obtain the gift of God with money! 8:21You have neither part nor lot in this matter, for your heart isn't right before God. 8:22Repent therefore of this, your wickedness, and ask God if perhaps the thought of your heart may be forgiven you. 8:23For I see that you are in the gall of bitterness and in the bondage of iniquity."" Needless to say, plenty of people have thought all along that Simon was really Paul(Saul). (Althought some took the story to be about something like Merlin the Magician.) The Clementine Homilies, from the second century, thinks it's Paul. It's an informal story about Simon the Magician having this competition with Peter abroad. It also has a story, where it actually uses the name Saul(Paul) to say he broke the legs of James by tossing him off the top of the Temple stairs. (Hegesippus says James died from being tossed off a "pinnacle" a high point of the Temple.) จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 09:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 35 The Clementine Homilies are probably second century, and are thought to be from a group of people called the Ebionites. Pauls followers mentioned them by name, and didn't like them. Not clear what the word means, and how they felt about things, but were apparantly a remnant of the followers of Jesus, not clear how accurate a remnant as time went on. They sprung up again lately. Followers of Jesus/Gospel of Thomas types, except they ignore all the violations of the Law in Thomas, and strictly follow the Law. Acts, gives other chilling details of Paul's wholesale butchery of the wonderful original followers of Jesus, (strangely in the first person), and how he persecuted them abroad too... "26:9"I myself most assuredly thought that I ought to do many things contrary to the name of Jesus of Nazareth. 26:10This I also did in Jerusalem. I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. 26:11Punishing them often in all the synagogues, I tried to make them blaspheme. Being exceedingly enraged against them, I persecuted them even to foreign cities." จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 09:06:11 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 32 -35  จากคุณ : Nexus มีหลักฐานความน่าเชื่อถือกว่านี้หรือปล่าว ที่เราพอจะเชื่อได้จากคำกล่าวอ้างที่คุณ Nexus ยกมาครับ  เพราะเคยอ่านมาแล้ว เป็นมุมมองของพวกนักอคติกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ  โดยพยามหาวิธีโจมตีต่างๆ นาๆ   ไม่ว่าจะโจมตีพระคัมภีร์เอง  โจมตีความเชื่อ  โจมตีผู้เขียนพระคัมภีร์ หรือในส่วนประกอบอื่นๆ  (ปัจจุบันพยามจะโจมตี อ.เปาโล)  แต่จะปราศจากหลักฐานความน่าเชื่อถือครับ  นอกจากจะยกข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล วกไป วนมา สลับข้อ สลับบท ตัดข้อนี้ไปผสมกับข้อนั้น   แต่หลักฐานอื่นๆ ที่น่าจะมีควมเชื่อถือกลับไม่มีให้เห็นเป็นหลักฐานเลยครับ   ในขณะที่ทางฝ่ายคริสต์เอง กับมีหลักฐาน ทั้งจากพระคัมภีร์ และหลักฐานนอกเหนือจากพระคัมภีร์ ซึ่งสามารถกล่าวอ้างถึงกันได้ และความน่าเชื่อถือกลับชัดเจนกว่าครับ   ซึ่งสิ่งที่คุณ Nexus ยกมาผมอ่านแล้วก็คุ้นทันทีเลยครับ ว่ามาจากฝ่ายไหนครับ ....อิ อิ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 10:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มีการโจมตีคัมภีร์คริสด้วยเหรอครับ  เพราะปัจจัยเหตุใดเขาจึงต้องโจมตีคัมภีร์ของคริสด้วยครับ   ขอเป็นความรู้นะครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 15 ส.ค. 50 11:26:18 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ชีวะประวัติและการกลับใจของ อ.เปาโล อ.เปาโลเมื่อก่อนนั้น   เป็นผู้ที่นับถือศาสนายูดายอย่างเคร่งครัด    แต่ต่อมาท่านได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสตศาสนา  ท่านมาเป็น คริสเตียน  ประมาณ ค.ศ. 36-40 และท่านให้เหตุผลของการกลับใจมาเชื่อในศาสนาคริสต์ว่า    พระเยซูได้ทรงมาปรากฏและสำแดงแก่ท่าน  ถ้าหากพระเยซูมาสำแดงกับ อ.เปาโลจริง  (เดิมชื่อเซาโล) ก็เท่ากับว่า  พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย   แล้วจึงจะมาพบกับท่านได้  ตามที่ท่านได้กล่าวไว้ในกิจการบทที่ 9 ,22 ,26   เพราะว่าพระเยซูได้สิ้นพระชนม์ระหว่าง  ค.ศ. 30 หรือ 33  (การคำนวณเวลาเกี่ยวกับ ค.ศ. นั้นมีการคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย)  ดังนั้นเปาโลจะพบพระเยซูไม่ได้  เว้นไว้แต่ว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ย่อมจะไม่เชื่อว่า อ.เปาโลได้พบกับพระเยซูเมื่อเดินทางไปยังเมืองดาเมเซ็ก ประเทศซีเรียจริง   ดังนั้น อ.เปาโลจึงได้ท้าทายว่าท่านพบพระเยซูจริง   พระองค์ได้สำแดงพระพระคุณนี้ให้กับตัวท่านโดยตรง  และ อ.เปาโลกล่าวว่าถ้าหากผู้ใดไม่เชื่อเกี่ยวกับคำพูดของท่าน   ท่านบอกว่าชีวิตในอดีตของท่านจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า คำพูดของท่านเป็นความจริง  กาลาเทีย 1.11-14  ชีวิตในอดีตของท่านประกอบขึ้น  3  ประการด้วยกันจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า   ท่านได้พบพระเยซูอย่างแท้จริง ประการที่  1  ท่านบอกว่า    ท่านได้ข่มเหงคริสตจักรของ พระเจ้ามากเหลือเกิน ประการที่  2  ท่านบอกว่า   ท่านก้าวหน้าในศาสนายูดายมากกว่าเพื่อนๆ ประการที่ 3  ท่านบอกว่า  ท่านมีใจร้อนรนในเรื่องราวของบรรพบุรุษของตน หลักฐานประการที่ 1   ท่านบอกว่าท่านได้ข่มเหงคริสต-จักรของพระเยซูคริสต์มากเหลือเกิน ความหมายของคำว่า มากเหลือเกินหมายถึงอะไร ? พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่สเทเฟน ซึ่งเป็นคริสเตียนคนแรกที่ได้ถูกฆ่าตายนั้น ตอนที่คนทั้งหลายกำลังรุมทำร้ายท่านสเทเฟนนอยู่   เปาโลก็เห็นด้วยกับการที่เขาฆ่าสเทเฟน (กิจการ 7.58 ,8.1) แต่ในขณะนั้นเปาโลเองเป็นแต่เพียงผู้อยู่วงนอก หาได้เข้าร่วมในการทำร้ายพวกคริสเตียนไม่  แต่ในเวลาต่อมาเปาโลได้กลับไปเป็นตัวตั้งตัวตีในการประทุษร้ายต่อคริสตจักรและคริสเตียนทุกคน  ถึงขนาดที่ท่านตามล้างตามผลาญบุกเข้าไปตามบ้านของพวกคริสเตียน จับมาใส่ไว้ในคุก  เปาโลได้กระทำต่อพวกคริสเตียนเหมือนกับว่า  เขาเป็นอาชญากรข้างถนน  (กิจการ 8.3, 9.1-2, 22.4)   การกระทำของเปาโลนี้  ทำให้พวกคริสเตียนหนีกระจัดกระจายไปทั่วทั้งประเทศ  ไม่แต่เพียงเท่านั้น  คริสเตียนบางคนได้หนีจากการข่มเหงไปอยู่ต่างประเทศ คือ ที่เมืองดาเมเซ็ก เปาโลก็มิได้ละเว้นคนเหล่านั้น  ท่านเป็นคนที่เกลียดชังพวกคริสเตียน ถึงขนาดที่ท่านทำการเดินทางทั้งที่เป็นเวลากลางวัน (กิจการ 16.9-15)   ประเทศในแถบตะวันออกกลางนี้ คนส่วนมากจะไม่ทำงานในเวลากลางวัน   เนื่องจากว่าอากาศในบริเวณนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเที่ยงจะร้อนจัดมากกว่า ในเวลาอื่นประชาชนส่วนมากจะอยู่กับบ้าน   และปิดร้านค้าของตนพักผ่อนหลับนอนจนกระทั่งถึงตอนบ่าย หรือเย็นแล้ว ถึงจะเริ่มจะทำกิจการของเขาต่อไป   แต่เปาโลหาได้เป็นเช่นนั้นไม่   ท่านเห็นว่าการที่จะทำลายพวกคริสเตียนนั้น  เป็นเรื่องที่จะรอช้าไม่ได้  จำเป็นที่จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก   ดังนั้นท่านจึงได้เดินทางในเวลากลางวันถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาแดดร้อนจัดก็ตามที   เพราะฉะนั้นเมื่อเราทราบแล้วว่า    เปาโลได้พยายามข่มเหงคริสตจักรของพระเยซูคริสต์มาเหลือเกิน   คำถามก็คือว่าจะมีคริสเตียนหน้าไหนที่จะกล้าเข้าใกล้      เพื่อจะสอนท่านให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระคุณ?   ไม่แต่เพียงเท่านั้นใครจะมีโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ชิดถึงขนาดเปิดปากของเขาสอนเปาโล?  เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้  ที่มนุษย์คนหนึ่งคนใดที่เป็น คริสเตียนจะเป็นผู้สอนเปาโล  เกี่ยวกับเรื่องพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 15 ส.ค. 50 12:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 39 หลักฐานประการที่  2  ที่ อ.เปาโลได้กล่าวเอาไว้เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของท่าน ซึ่งท่านได้กล่าวว่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเยซูได้มาทรงสำแดงพระคุณของพระองค์แก่ตัวท่านเอง   ไม่ใช่มนุษย์มาสอนท่านก็คือว่า ท่านได้ก้าวหน้าในศาสนายูดายมากกว่าเพื่อนๆ  นี่หมายความว่าอย่างไร ?    เปาโลเองได้กล่าวไว้ว่า   ตัวท่านนั้นมีการศึกษาถึงชั้นสูงที่สุดของประเทศ   อิสราเอล  เพราะว่าท่านได้ศึกษาภายใต้อาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น  คือ  กามาลิเอล   (กิจการ  22.3, 5.33   ต่อๆ ไป)   ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะมาหลอกลวงเปาโลนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้   ท่านได้รับการยกย่องสูงส่ง   เพราะว่าได้รับการศึกษาอย่างดีมา   ส่วนในชีวิตในด้านสังคมของท่านเปาโล   ตัวท่านเองก็เป็นคนหนึ่งในพวกฟาริสี  (กิจการ 23.6 ,26.5 ,      ฟิลิปปี  3.5-6)  พวกฟาริสีก็เป็นผู้ดีชั้นสูงในสมัยนั้น มีการเป็นอยู่และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา   ไม่แต่เพียงเท่านั้นเปาโลเองก็มีตำแหน่งและอำนาจ  ท่านสามารถที่จะสั่งฆ่าหรือจำคุกพวกคริส-เตียนเมื่อไรและที่ไหนก็ได้  (กิจการ  9.1 ,22.5 ,26.10)   ส่วนในด้านการเงินของเปาโล  ท่านก็มีฐานะทางการเงินอย่างดีทีเดียว  เพราะท่านเกิดในตระกูลที่มีเงินทอง  ซึ่งทำให้ท่านสามารถมีการศึกษาอย่างดี   และมีสังคมอยู่ในระดับชั้นสูงพร้อมทั้งตำแหน่งและอำนาจด้วย   ดังนั้นเมื่อเราพิจารณาแล้ว    เปาโลมาเป็น คริสเตียนเพื่ออะไรกัน? มีอะไรเป็นสิ่งจูงใจที่จะมาล่อลวงท่านหรือ ?  คำตอบก็คือ   ไม่มีสิ่งล่อใจท่านให้ทิ้งศาสนายูดายให้มาเชื่อใน คริสตศาสนา  การเป็นคริสเตียนนั้นไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งท่านมีอยู่แล้วให้กับท่านได้ ?  แต่กลับกัน  ท่านกลับต้องเสียสิ่งเหล่านั้นที่มีอยู่แล้ว จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 15 ส.ค. 50 13:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หลักฐานประการที่  3    อ.เปาโลบอกว่าท่านมีใจร้อนรนมาก ในเรื่องราวของบรรพบุรุษของท่านก็คือว่า  ท่านได้ถูกฝังหัวในศาสนาของบรรพบุรุษแล้ว     ซึ่งแสดงว่าท่านมีอคติต่อศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อศาสนาคริสต์ ดังนั้นใครผู้ใดเล่าที่สามารถจะเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นอคติ  และผู้ที่มีความเชื่อในศาสนาของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด  บุคคลใดที่พูดว่า “คุณจะสอนผมอย่างไร ?  ผมก็ไม่มีทางเชื่อ” บุคคลเช่นนี้เป็นคนที่ขาดเหตุผล  และไม่ยอมเปิดใจของเขา  เราไม่มีทางที่จะสอนให้เขาเชื่อได้  เปาโลเป็นคนอย่างนั้น   ท่านไม่ยอมรับฟังเรื่องของศาสนาอื่นเช่นกัน ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า  เปาโลมิได้มาเป็นคริสเตียนเพื่อที่จะหวังเงินทองหรือสิ่งอื่นๆ   (1โครินธ์  4.12-13, ฟิลิปปี  4.16, 2 โครินธ์ 4.13,   กิจการ  20.33, 1 โครินธ์  9.4-8,  2  โครินธ์  11.7-12, 12.14-18, 1 เธสะโลนิกา  2.5, 9) ดังนั้นเราจึงสรุปได้อย่างไรกัน?   เราก็จำเป็นต้องสรุปว่า   อ.เปาโลมาเป็นคริสเตียนด้วยสุจริตใจ และท่านได้เปลี่ยนความเชื่อจากศาสนายูดายเพื่อมาเชื่อในคริสตศาสนานั้นเป็น เพราะว่าท่านได้พบพระเยซูจริง เมื่อท่านได้เดินทางไปยังเมืองดาเมเซ็ก (กิจการ  9.1-9 ,22.6-11 ,26.12-17) ถ้าพระเยซูสำแดงพระคุณนี้แก่เปาโลอย่างแท้จริง  พระเยซูต้องเป็นขึ้นมาจากความตายจริง   เพราะว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 30 แต่เปาโลไม่ได้มาเป็นคริสเตียน จนกระทั่ง ค.ศ. 36-40  เปาโลจะพบพระเยซูได้ก็ต่อเมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนศาสนาของ อ.เปาโลเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า  พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย   และพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริงครับ นี่คือชีวะประวัติของ อ.เปาโล ตามหลักฐานจากพระคัมภีร์ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 15 ส.ค. 50 13:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ทีนี้เรามาดูว่า หนังสือพระคัมภีร์ เล่มต่างๆ ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อใด หนังสือเล่มต่าง ๆ ของพระคัมภีร์มิได้ถูกจัดไว้เป็นระเบียบตามพงศาวดาร ซึ่งหมายความว่าหนังสือเหล่านั้นไม่ได้ถูกจัดระเบียบตามเวลาที่ถูกเขียนไว้นักวิชาการพระคัมภีร์นิยมใช้รายละเอียดหรือข้อมูลจากอย่างน้อยสองแหล่งเพื่อบ่งชี้วันเวลาเมื่อหนังสือนั้น ๆ ถูกเขียนขึ้น 1.บางครั้งพระคัมภีร์ก็อ้างถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งช่วยบอกในเรื่องวันเวลาในการเขียน ตัวอย่างเช่น ที่อ้างไว้ในหนังสือลูกา ซึ่งระบุชื่อของเจ้าเมืองที่ปกครองในปีและรัชสมัยต่างไว้โดยละเอียด (ลูกา 3.1) 2. มีข้อเขียนทางโลกในยุคแรกหลายเรื่องที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อ้างอิงเกี่ยวข้องกับในพระคัมภีร์ด้วย           ผมจะยกเฉพาะพันธสัญญาใหม่มาก็แล้วกันนะครับ หนังสือชื่อพระคัมภีร์                วันเวลา ค.ศ. ยากอบ                                        45 มาระโก                                       50 1 เธสะโลนิกา                                5l-52 2 เธสะโลนิกา                                5l-52 I โครินธ์                                       54-55 II โครินธ์                                      55-56 กาลาเทีย                                      55-56 โรม                                            56-58 ลูกา                                            58-63 เอเฟซัส                                        6l-62 ฟีลิปปี                                         6l-62 ฟีเลโมน                                       62 โคโลสี                                         62-63 กิจการ                                         63 I เปโตร                                        64 I ทิโมธี                                         64 II ทิโมธี                                        64 ทิตัส                                            64 II เปโตร                                       66 ฮีบรู                                            68 มัทธิว                                          75 I ยอห์น                                        85-90 ยอห์น                                          90-l00 ยูดา                                            90-l25 วิวรณ์                                          96 II ยอห์น                                        96 III ยอห์น                                       97 จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 15 ส.ค. 50 13:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ ^ ......ขอบคุณครับเฮียเหนือฯ มากครับ  ได้ความกระจ่างและชัดเจนมากครับ ......                              +++++++++++++++++ ความคิดเห็นที่ 37   มีการโจมตีคัมภีร์คริสด้วยเหรอครับ  เพราะปัจจัยเหตุใดเขาจึงต้องโจมตีคัมภีร์ของคริสด้วยครับ   ขอเป็นความรู้นะครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า  - [ 15 ส.ค. 50 11:26:18 ]                            +++++++++++++++++++ ครับ มีการโจมตีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาตลอดครับ สาเหตุมาจากการเขียน กอสเปลนอสติก จากพวกนอกรีต เขียนชีวะประวัติขององค์พระเยซูคริสต์ และคำสอนบางอย่างไม่ตรงกับพระกิตติคุณ ที่เขียนโดยท่านอัครสาวก และท่านอัครทูตครับ   ผู้ที่เชื่อในแนวทางนอสติก จึงพยามกล่าวโจมตี พระกิตติคุณ และผู้เขียนไปในแนวทางต่างๆ นาๆ  เพื่อให้พระกิตติคุณและผู้เขียนเสียหาย  แต่ไม่ว่าผู้โจมตีจะพยามด้วยวิธีใดก็ไม่สามารถเอาชนะความจริงแห่งพระกิตติคุณได้ครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 13:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณทั้งสองท่านครับ คุณเหนือสายรุ้ง และคุณท่ามกลางฝูงนก ผมพูดแบบกลางๆ นะครับ ว่าได้ความรู้ และปัญญาเพิ่มขึ้นทีเดียว กับหลักศาสนาความเชื่อของทางคริส เหตุและผล แห่งความน่าเชื่อถือ  ถือว่าเป็นปัจจัยแห่งศรัทธาที่ดีทีเดียวครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 15 ส.ค. 50 14:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 44 นั่นเป็นเวลาที่ทางผู้สนับสนุนคริสต์ศาสนาระบุมานี่ครับ คุณลองไปอ่าน Source ที่ผมให้ไว้ อันนั้นเป็นการรวบรวมผลจากการศึกษาของนักวิชาการทางด้าน Bible Study ที่มีทั้งคริสต์ ยิว ผู้ไม่ระบุศาสนา ผู้ที่ทำการศึกษามีความรู้ความสามารถทางภาษาโบราณ มีการเปรียบเทียบทางหลักภาษา หลักฐา่นทางโบราณคดี และเอกสารอื่นๆนอกเหนือจาก Bible อันนี้เป็นตัวเลขที่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการฝ่ายต่างๆทั้งที่เป็นคริสตชนและไม่ใช่คริสตชน ตัวเลขทางซ้ายคือระยะเวลาโดยประมาณที่เขียนขึ้น 30-60 Passion Narrative 40-80 Lost Sayings Gospel Q 50-60 1 Thessalonians 50-60 Philippians 50-60 Galatians 50-60 1 Corinthians 50-60 2 Corinthians 50-60 Romans 50-60 Philemon 50-80 Colossians 50-90 Signs Gospel 50-95 Book of Hebrews 50-120 Didache 50-140 Gospel of Thomas 50-140 Oxyrhynchus 1224 Gospel 50-200 Sophia of Jesus Christ 65-80 Gospel of Mark 70-100 Epistle of James 70-120 Egerton Gospel 70-160 Gospel of Peter 70-160 Secret Mark 70-200 Fayyum Fragment 70-200 Testaments of the Twelve Patriarchs 73-200 Mara Bar Serapion 80-100 2 Thessalonians 80-100 Ephesians 80-100 Gospel of Matthew 80-110 1 Peter 80-120 Epistle of Barnabas 80-130 Gospel of Luke 80-130 Acts of the Apostles 80-140 1 Clement 80-150 Gospel of the Egyptians 80-150 Gospel of the Hebrews 80-250 Christian Sibyllines 90-95 Apocalypse of John 90-120 Gospel of John 90-120 1 John 90-120 2 John 90-120 3 John 90-120 Epistle of Jude 93 Flavius Josephus 100-150 1 Timothy 100-150 2 Timothy 100-150 Titus 100-150 Apocalypse of Peter 100-150 Secret Book of James 100-150 Preaching of Peter 100-160 Gospel of the Ebionites 100-160 Gospel of the Nazoreans 100-160 Shepherd of Hermas 100-160 2 Peter 100-200 Odes of Solomon 101-220 Book of Elchasai 105-115 Ignatius of Antioch 110-140 Polycarp to the Philippians 110-140 Papias 110-160 Oxyrhynchus 840 Gospel 110-160 Traditions of Matthias 111-112 Pliny the Younger 115 Suetonius 115 Tacitus 120-130 Quadratus of Athens 120-130 Apology of Aristides 120-140 Basilides 120-140 Naassene Fragment 120-160 Valentinus 120-180 Apocryphon of John 120-180 Gospel of Mary 120-180 Dialogue of the Savior 120-180 Gospel of the Savior 120-180 2nd Apocalypse of James 120-180 Trimorphic Protennoia 130-140 Marcion 130-150 Aristo of Pella 130-160 Epiphanes On Righteousness 130-160 Ophite Diagrams 130-160 2 Clement 130-170 Gospel of Judas 130-200 Epistle of Mathetes to Diognetus 140-150 Epistula Apostolorum 140-160 Ptolemy 140-160 Isidore 140-170 Fronto 140-170 Infancy Gospel of James 140-170 Infancy Gospel of Thomas 140-180 Gospel of Truth 150-160 Martyrdom of Polycarp 150-160 Justin Martyr 150-180 Excerpts of Theodotus 150-180 Heracleon 150-200 Ascension of Isaiah 150-200 Acts of Peter 150-200 Acts of John 150-200 Acts of Paul 150-200 Acts of Andrew 150-225 Acts of Peter and the Twelve 150-225 Book of Thomas the Contender 150-250 Fifth and Sixth Books of Esra 150-300 Authoritative Teaching 150-300 Coptic Apocalypse of Paul 150-300 Discourse on the Eighth and Ninth 150-300 Melchizedek 150-400 Acts of Pilate 150-400 Anti-Marcionite Prologues 160-170 Tatian's Address to the Greeks 160-180 Claudius Apollinaris 160-180 Apelles 160-180 Julius Cassianus 160-250 Octavius of Minucius Felix 161-180 Acts of Carpus 165-175 Melito of Sardis 165-175 Hegesippus 165-175 Dionysius of Corinth 165-175 Lucian of Samosata 167 Marcus Aurelius 170-175 Diatessaron 170-200 Dura-Europos Gospel Harmony 170-200 Muratorian Canon 170-200 Treatise on the Resurrection 170-220 Letter of Peter to Philip 175-180 Athenagoras of Athens 175-185 Irenaeus of Lyons 175-185 Rhodon 175-185 Theophilus of Caesarea 175-190 Galen 178 Celsus 178 Letter from Vienna and Lyons 180 Passion of the Scillitan Martyrs 180-185 Theophilus of Antioch 180-185 Acts of Apollonius 180-220 Bardesanes 180-220 Kerygmata Petrou 180-230 Hippolytus of Rome 180-250 1st Apocalypse of James 180-250 Gospel of Philip 182-202 Clement of Alexandria 185-195 Maximus of Jerusalem 185-195 Polycrates of Ephesus 188-217 Talmud 189-199 Victor I 190-210 Pantaenus 193 Anonymous Anti-Montanist 193-216 Inscription of Abercius 197-220 Tertullian 200-210 Serapion of Antioch 200-210 Apollonius 200-220 Caius 200-220 Philostratus 200-225 Acts of Thomas 200-250 Didascalia 200-250 Books of Jeu 200-300 Pistis Sophia 200-300 Coptic Apocalypse of Peter 203 Acts of Perpetua and Felicitas 203-250 Origen จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 16:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 45 และเอกสารอื่นๆนอกเหนือจาก Bible อันนี้เป็นตัวเลขที่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการฝ่ายต่างๆทั้งที่เป็นคริสตชนและไม่ใช่คริสตชน จากคุณ : Nexus   - [ 15 ส.ค. 50 16:09:01 ]                   +++++++++++++++++ ขอหลักฐาน และแหล่งอ้างอิงครับ  ในบริบทที่ว่า "เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการฝ่ายต่างๆทั้งที่เป็นคริสตชน" ว่าเป็นคริสตชนคณะ นิกายไหนครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 16:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เรื่องประวัติของท่าน Paul นั้นก็ยังมีที่ผมสงสัยอยู่ครับ เริ่มจากใน Acts ระบุว่าแต่เดิมท่านชื่อ 'Saul' เกิดที่ Tarsus ใน Asia Minor Acts 9:11, 21:39, 22:3 แต่เมื่อย้อนมาดูในจดหมายที่ท่านเขียนเองนั้นระบุเอาไว้้ว่า 'I am an Israelite myself, of the stock of Abraham, of the tribe of Benjamin' (Romans 11:2); ... circumcised on my eighth day, Israelite by race, of the tribe of Benjamin, a Hebrew born and bred; in my attitude to the law, a Pharisee....' (Philippians 3:5). ซึ่งถ้าท่านเกิดที่เมือง Tarsus จริงๆ ก็คงเป็นการยากที่จะได้รับการศึกษาอย่าง Pharisee ได้ ซึ่งคำว่า Pharisee สมัยนั้นได้รับการเคารพนับถืออย่างกว้างขวางในโรมันและปาร์เธียน ซึ่งต่างกับภาพของ Pharisee ในยุคกลางที่ถูกประณามจากทางคริสตจักรโรมันคาธอลิกอย่างมาก เรื่องนี้ผ่านไป ต่อมาก็เรื่องไฮไลท์ของท่านแหละครับคือเรื่องที่ท่านกวาดล้างคริสเตียน ที่ข้างบนกรุณายกขึ้นมาแล้ว เมื่อลองพิจารณาแล้วจะพบว่าท่าน Paul นั้นมีอำนาจมากมายนะครับถึงขนาดลากคนออกจากบ้านมาใส่คุกได้ ซึ่งไม่มีใครสงสัยเลยหรือครับว่าอำนาจของท่านนั้นมาจากไหน ถ้าจะตอบว่า Pharisee ก็แสดงว่าคุณก็คิดเหมือนกับผม แต่จากการค้นเล็กๆน้อยๆผลกลับออกมาว่า High priest ในสมัยนั้นคือฝ่าย Sadducee ครับ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับ Pharisee ซึ่งจากจุดนี้มีส่วนที่น่าสนใจส่วนหนึ่งคือว่าในบทที่ 16 ของ Act นั้นระบุว่าท่านเป็น Roman Citizen ครับ นั่นหมายความว่าบิดาของท่านต้องเป็นชาวโรมัน ซึ่งนั่นทำให้สองข้อความข้างล่างนี้ สร้างข้อกังขาให้กับผม 'I am an Israelite myself, of the stock of Abraham, of the tribe of Benjamin' (Romans 11:2); ... circumcised on my eighth day, Israelite by race, of the tribe of Benjamin, a Hebrew born and bred; in my attitude to the law, a Pharisee....' (Philippians 3:5). ผมกำลังตามอ่านที่เขาคุยกันเรื่องนี้แหละครับ และก็เรื่องราวที่ว่าด้วยอิทธิพลของ Paul ที่มีต่อคริสตจักรในยุคต้นๆ ซึ่งหลายคนกำลังตั้งข้อสงสัยว่า การตีความของ Paul เหมือนหรือต่างกับ สาวกใกล้่ชิดพระเยซูท่านอื่นๆอย่าง James, Peter และ John หรือไม่อย่างไร เพราะมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องเล็กเลยทีเดียว (ใน Galatia) ถือว่าเรามาคุยกันอย่างผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ก็แล้วกันครับ เพราะกระทู้นี้ถามเรื่องทางประวัติศาสตร์นี่นา แต่ถ้า จขกท ไม่อยากอ่านก็จะหยุดนะครับ เพราะมันออกนอกเรื่องไปมากเหมือนกัน จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 16:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 1. Gerd Theissen (1943- ) is a German Protestant theologian and New Testament scholar. He is Professor of New Testament Theology at the University of Heidelberg. 2. John Dominic Crossan was born in Nenagh, Co. Tipperary, Ireland in 1934. He was educated in Ireland at Maynooth College, in Rome at the Pontifical Biblical Institute, and in Jerusalem at the Ecole Biblique. Crossan was a member of the 13th-century Roman Catholic religious order, the Servites, from 1950 to 1969 and an ordained priest from 1957 to 1969. He taught at DePaul University for 25 years and held a visiting professorship at Williams College, Williamstown, Massachusetts. He has been a guest lecturer at many distinguished universities including the University of Chicago and Northwestern University. He was co-director of the Jesus Seminar from 1985-1996 and chair of the Historical Jesus Section of the Society of Biblical Literature from 1992-1998. จากคุณ : Nexus - [ 15 ส.ค. 50 17:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ขอลิงค์ได้ไหมครับ จะได้ทราบผู้เขียนครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 17:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนข้อสงสัย ในความคิดเห็นที่ 46  ผมว่าเฮียเหนือฯ ก็ตอบไว้ชัดเจนแล้วนะครับ ถึงคุณลักษณะชีวิตของ อ.เปาโล   สรุปให้สั้นๆ อีกครั้ง   อ.เปาโล ถือสองสัญชาติครับ ยิว และโรมัน ส่วนเรื่องอำนาจของท่านได้รับการรับรองจากพวกธรรมจารย์ฟาริสีในการข่มเหงคริสเตียนครับ ซึ่งได้รับไฟเขียวจากทางเจ้าหน้าที่โรมันที่ปกครองเยรูซาเล็ม อ.เปาโลได้รับการสอนเรื่องความเชื่อคริสเตียน จาก อ.เปโตร ฉนั้นไม่ต้องไปเดาว่าท่านไปนั่งคิดเอาเองครับ เรื่องความขัดแย้ง  เป็นเรื่องการทำงานครับ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ ที่ฝ่ายโจมตีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลชอบเอาไปอ้างแบบบิดเบือนอยู่เสมอ   ทั้งๆ ที่ในกิจการก็ได้บันทึกไว้ว่า ขัดแย้งเรื่องอะไรกัน ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดคือเรื่อง  มีชาวต่างชาติมาเชื่อ อ.เปโตรก็ให้การต้อนรับที่ดี พูดคุยด้วย  พอมีผู้ปกครองคริสตจักร เดินทางมาจากคริสตจักรเยรูซาเล็ม  อ.เปโตรกลับทำเป็นไม่รู้จัก ชาวต่างชาติที่มาเป็นคริสเตียน  ซึ่งเป็นเรื่องที่ อ.เปาโล ต่อว่า อ.เปโตรอย่างรุนแรง   ส่วนกับ อ.ยอห์น ก็เรื่องการเดินทางครับ ผมแปลกใจมาก พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้  เป็นหลักฐานชัดเจน แต่กลับมีคนทำเป็นมองไม่เห็น  แล้วก็ตีความบิดเบือน เพื่อโจมตีความเชื่อของคริสเตียน   โดยใช้วิธียกข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล วกไป วนมา สลับข้อ สลับบท ตัดข้อนี้ไปผสมกับข้อนั้น     ซึ่งไม่อาจจะเชื่อถือได้ครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 17:37:48 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แล้วอีกอย่าง  ที่คุณNexus ถามมาเป็นเรื่องเดิมๆ ทั้งนั้นเลย จนบางครั้งพวกเราก็เบื่อหน่ายที่จะตอบครับ เพราะตอบแล้ว ตอบอีก  เหมือนฉายหนังซ้ำไปซ้ำมา จนไม่อยากจะดูอ่ะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 50 17:49:14 จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 17:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อดใจที่จะเข้ามาอ่านไม่ได้อีกครั้ง พูดแบบเป็นกลางๆ นะ ผมว่าฝ่ายคริสเค้าตอบข้อสงสัยตามเหตุที่น่าเชื่อถือได้นะครับ เพราะมีการอ้างอิงทั้งคัมภีร์คริส และประวัติศาสตร์  ซึ่งสามารถมองผ่านจากคำตอบได้ชัดเจนทีเดียว จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 15 ส.ค. 50 17:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ว่าแต่ว่า คุณ Nexus นับถือศาสนาอะไรครับ ???? จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 15 ส.ค. 50 18:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คุณ Nexus สุดยอดเลยครับ แนะนำหนังสือให้ผมอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยนะครับ ชาวคริสต์ในที่นี้ถนัดแต่ก็อปแปะบทความที่มาจากบทความล้างสมองของคณะบุคคลในโบสถ์เท่านั้นแหละครับ ผู้รับรองก็ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่ไหนนอกจากบุคคลกลุ่มเดียวกัน ส่วนคนที่ว่าพูดแบบกลาง ๆ เนี้ย คิดไม่เป็นหรือไงกันครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 16 ส.ค. 50 00:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 54 พอดีเมื่อวานไม่ว่างครับ แล้วมันต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลหน่อยหนึ่ง ลองคิดตามนะครับว่าพวก Pharisee นั้นข่มเหงชาวคริสต์จริงๆหรือ? ลองอ่าน Act 5 ดีนะครับ ท่าน Paul นั้นโหวตให้สังหารท่าน Peter แต่ Pharisee กลับโหวตคัดค้าน ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่า ที่ท่าน Paul บอกว่าเป็น Pharisee ในหมู่ Pharisee เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลในทางศาสนา กลับโหวตค้านกับฝั่ง Pharisee? เรื่องต่างๆเหล่านี้ในถือว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะว่าผมเชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ เรื่องของ Peter ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมเล่าสู้ให้ฟังกันก็แล้วกันว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ถ้าไม่สนใจจะอ่านข้ามไปเลยก็ได้ แล้วก็ข้อโต้แย้งต่างๆที่นำมาลงนั้นก็ได้รับการพิจารณาแล้ว แต่ว่ามันยังมีจุดให้สงสัยอยู่หลายที่ มาว่ากันด้วยเรื่อง Dating ของเอกสารชิ้นต่างๆ ผมขอเอาทัศนของท่านต่างๆมาลงก็แล้วกัน แน่นอนว่าผมไม่ได้อ่าน Primary Source เพราะมันเยอะเหลือเกินแต่ผมเห็นว่ามีหลักฐานอ้างอิงพร้อม Quotation ผมจะขอเอาเวบที่ผมเขาไปเอาข้อมูลเรื่องนี้มา มาลงก็แล้วกันนะครับ http://www.earlychristianwritings.com/ ในนี้มีตารางพร้อมลิงค์ และเอกสารอ้า่งอิงให้อ่านอย่างหนำใจเลยครับ เหมาะสำหรับผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์แถบฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีทั้ง Primary Source ของยิว คริสต์ มีการวิเคราะห์เอกสารชิ้นต่างๆอย่างเป็นระบบจากผู้ที่อ่านต้นฉบับภาษานั้นๆ ส่วนตัวผมเป็นพุทธเถรวาทลังกาวงศ์ครับ แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับกระทู้นี้ล่ะครับ ถ้าจะมีอะไรก็ขนเอกสารหลักฐานมา ผมก็พร้อมที่จะขนเอกสารหลักฐานมาเช่นเดียวกัน เอามาเึถียงกันแบบนักวิชาการ จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 08:57:23 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมอยากทราบว่า List ของคุณเหนือสายรุ้งได้มาจากที่ไหน มีเหตุผลอะไรในการกำหนดเวลาเช่นนั้น และกำหนดได้แน่นอนอย่างนั้น เพราะ ขนาด Harry Emerson Fosdick (Baptist) ยังไม่กล้ากำหนดเวลาที่แน่นอนขนาดนั้นเลย http://en.wikipedia.org/wiki/Harry_Emerson_Fosdick จาก A Guide to Understanding the Bible by Harry Emerson Fosdick Approximate Chronology of the New Testament Writings Early collections of the sayings of Jesus and notes on his life, written shortly after his death, possibly in Aramaic, and afterwards used in the compilation of the Gospels. The Epistle of Paul to the Galatians, 57-58 A.D., date contested. The Corinthian correspondence, probably four letters now combined in First and Second Corinthians, 54-55 A.D. The Epistle of Paul to the Romans, 56-57 A.D. The Epistles of Paul to the Colossians, to Philemon, to the Ephesians, and to the Philippians, 59-61 A.D. The Gospel according to Mark, about 70 A.D. The Epistle to the Hebrews, 80-90 A.D. The Gospel according to Matthew, 90-95 A.D. The Gospel according to Luke, and The Acts, about 90 A.D. The Book of Revelation, about 95 A.D. The First Epistle of Peter, about 96 A.D. The Epistle of James, about 100 A.D. The Gospel according to John, and the three Epistles of John, about 100 A,D. The Epistle to Titus and the two Epistles to Timothy, about 100 A.D., with earlier genuine portions from Paul probably included. The Epistle of Jude, uncertain. The Second Epistle of Peter, about 150 A.D. note: สังเกตว่าเขาใช้คำว่า Gospel According to xxx นั่นหมายความว่าท่านผู้นั้นไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 09:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 56 พอดีเมื่อวานไม่ว่างครับ แล้วมันต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลหน่อยหนึ่ง ลองคิดตามนะครับว่าพวก Pharisee นั้นข่มเหงชาวคริสต์จริงๆหรือ? ลองอ่าน Act 5 ดีนะครับ ท่าน Paul นั้นโหวตให้สังหารท่าน Peter แต่ Pharisee กลับโหวตคัดค้าน ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่า ที่ท่าน Paul บอกว่าเป็น Pharisee ในหมู่ Pharisee เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลในทางศาสนา กลับโหวตค้านกับฝั่ง Pharisee? เรื่องต่างๆเหล่านี้ในถือว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะว่าผมเชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ เรื่องของ Peter ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมเล่าสู้ให้ฟังกันก็แล้วกันว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ถ้าไม่สนใจจะอ่านข้ามไปเลยก็ได้ แล้วก็ข้อโต้แย้งต่างๆที่นำมาลงนั้นก็ได้รับการพิจารณาแล้ว แต่ว่ามันยังมีจุดให้สงสัยอยู่หลายที่ ------------------------------------------------- กิจการ 5 อานาเนียและสัปฟีราถึงแก่ความตาย 5:1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน 5:2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก 5:3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า "อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ 5:4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า" 5:5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง 5:6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง 5:7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป 5:8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า "เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด" หญิงนั้นจึงตอบว่า "ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ" 5:9 เปโตรจึงถามนางว่า "ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย" 5:10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 5:11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น คนจำนวนมากหายจากโรคต่างๆ 5:12 มีหมายสำคัญและการมหัศจรรย์หลายอย่างซึ่งอัครสาวกได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน (พวกสาวกอยู่พร้อมใจกันในเฉลียงของซาโลมอน 5:13 และคนอื่นๆไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก 5:14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าก่อน) 5:15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน 5:16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมาและทุกคนก็หาย คริสเตียนถูกข่มเหง กักขัง และการข่มขู่ 5:17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านก็ลุกขึ้น (คือพวกสะดูสี) มีความโกรธอย่างยิ่ง 5:18 จึงได้จับพวกอัครสาวกจำไว้ในคุกหลวง 5:19 แต่ในเวลากลางคืน ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาเปิดประตูคุก พาอัครสาวกออกไป บอกว่า 5:20 "จงไปยืนในพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตนี้ให้ประชาชนฟัง" 5:21 เมื่ออัครสาวกได้ยินอย่างนั้น พอเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปสั่งสอนในพระวิหาร ฝ่ายมหาปุโรหิตกับพรรคพวกของท่านได้เรียกประชุมสภา พร้อมกับบรรดาผู้เฒ่าทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครสาวกออกมา 5:22 แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปถึงก็ไม่พบพวกอัครสาวกในคุก จึงกลับมารายงาน 5:23 ว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน" 5:24 เมื่อมหาปุโรหิตและนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกปุโรหิตใหญ่ ได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครสาวกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป 5:25 มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า "ดูเถิด คนเหล่านั้น ซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในพระวิหาร" 5:26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานจึงได้ไปพาพวกอัครสาวกมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง 5:27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครสาวกมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตจึงถาม 5:28 ว่า "เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา" เปโตรได้ฟ้องสภา 5:29 ฝ่ายเปโตรกับอัครสาวกอื่นๆตอบว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 5:30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่ 5:31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นเจ้าชาย และองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา 5:32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานของพระองค์ถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย" 5:33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ ก็รู้สึกบาดใจ คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครสาวกเสีย กามาลิเอลเข้าขัดขวางทำให้พวกอัครสาวกไม่ถูกฆ่าตาย 5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง 5:35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี 5:36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 5:37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป 5:38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง 5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า" สาวกที่ถูกข่มเหงยังคงยินดีและเป็นพยานฝ่ายพระคริสต์ 5:40 เขาทั้งหลายจึงยอมเห็นด้วยกับกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครสาวกเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป 5:41 พวกอัครสาวกจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดีที่เห็นว่า ตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามของพระองค์นั้น 5:42 ที่ในพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทุกๆวันมิได้ขาด -------------------------------------------------------------------- ไหนครับ คุณ Nexus ที่บอกว่า " ท่าน Paul นั้นโหวตให้สังหารท่าน Peter แต่ Pharisee กลับโหวตคัดค้าน" อย่างที่คุณบอกว่าอยู่ในบทที่ 5  ผมไม่มีชื่อ ท่าน Paul  เลยครับ ------------------------------------------------ กามาลิเอลเข้าขัดขวางทำให้พวกอัครสาวกไม่ถูกฆ่าตาย 5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง 5:35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี 5:36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 5:37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป 5:38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง 5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า" ไหนครับ คุณ Nexus ที่บอกว่า "แต่ Pharisee กลับโหวตคัดค้าน" ผมไม่เห็นมีการโหวตเลยครับ นอกจากความคิดกามาลิเอล เพียงคนเดียว คือคุณ Nexus อ่านแนวคิดอื่นได้ครับ ถือว่าเป็นสิทธิส่วนตัว แต่การแสดงแนวคิดจะต้องดูหลักศาสนศาตร์ของศาสนาคริสต์ด้วยครับ ว่า เค้าตีความในแนวทางประวัติศาสตร์อย่างไร   ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการบิดเบือน  ศาสนาคริสต์ครับ ซึ่งไม่อาจจะเชื่อถือได้ครับ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 50 11:22:54 จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 11:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 และอีกพวกเราเคยมีประสบการณ์นะครับ ประเภทเขียนเวป  บิดเบือนความเชื่อของเราโดยพยามใช้หลักฐานต่างจากลิงค์ในเวปนั้นๆ   พอเจาะลึกลงไปถึงผู้เขียน  ปรากฏว่า   เจ้าคนที่พยามเขียนบิดเบือนประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ โดยอ้างลิงค์จากเวปนั้น เวปนี้ สุดท้ายก็เป็นคนเขียนเวปเหล่านั้นขึ้นมาเอง เขียนเอง  อ้างเอง    ตลกสิ้นดี   ในที่นี้ผมไม่ได้กล่าวหาคุณนะครับ  ผมพูดถึงเวป ปาหี่ ที่ชอบทำกันครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 11:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ผมอยากทราบว่า List ของคุณเหนือสายรุ้งได้มาจากที่ไหน มีเหตุผลอะไรในการกำหนดเวลาเช่นนั้น และกำหนดได้แน่นอนอย่างนั้น เพราะ ขนาด Harry Emerson Fosdick (Baptist) ยังไม่กล้ากำหนดเวลาที่แน่นอนขนาดนั้นเลย จากคุณ : Nexus ------------------------------------------------------- ผมก็เอามาจากการศึกษา ระบบการศึกษาพระคัมภีร์ ซิครับ   คงไม่ได้ไปนั่งใต้ต้นโพธ์ แล้วตรัสรู้ด้วยตนเองหรอกครับ ทุกอย่างมาจากการศึกษาทั้งในระบบ และนอกระบบ(นอกสถาบัน)   ฉะนั้นผมมีคำถามคุณ Nexus ครับ - อะไรคือ “ภูมิศาสตร์แห่งพระคัมภีร์” - อะไรคือ การจํ าแนกช่วงเวลาสํ าคัญทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ - อะไรคือ การพรรณนาชีวิตประจํ าวันของคนในยุคสมัยต่างๆ ของพระคัมภีร์ - อะไรคือ ให้คํ าจํ ากัดความคํ าว่า “โบราณคดีเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์” ถ้าคุณNexus ตอบคำถามเหล่านี้ได้  ผมก็ยินจะสนทนาด้วยครับ แต่ถ้าตอบไม่ได้ ผมก็จะหยุดการสนทนากับคุณ  เพราะเป็นการสนทนาที่ไม่มีความเป็นกลาง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 11:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ส่วนตัวผมเป็นพุทธเถรวาทลังกาวงศ์ครับ แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับกระทู้นี้ล่ะครับ ถ้าจะมีอะไรก็ขนเอกสารหลักฐานมา ผมก็พร้อมที่จะขนเอกสารหลักฐานมาเช่นเดียวกัน เอามาเึถียงกันแบบนักวิชาการ จากคุณ : Nexus   - [ 16 ส.ค. 50 08:57:23 ]                     +++++++++++++ แล้วศาสนาคุณ Nexus   ตกลง นิพพานเป็น อัตตา หรือ อนัตตา ครับ มันจะเป็นจริงทั้งสองอย่างได้หรือครับ  หรือไม่จริงทั้งสองอย่าง แล้วถ้าอันใดอันหนึงจริง  ทำไมจึงมีอีกอันมาคัดค้านได้ครับ นี่ผมยกแค่บางเรื่องมานะครับ เรื่องศาสนาของคุณ Nexus  จัดการเรียบร้อยยังครับ ถึงได้เป็นห่วงเป็นใย ศาสนาของเราจังครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 16 ส.ค. 50 11:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 60 และก็ตามนั้นครับ  ถ้าตอบคำถามเฮียเหนือฯ ได้ พวกเราก็จะสนทนากับคุณต่อนะครับ  ถ้าตอบไม่ได้  เราก็จะเลิกสนทนาครับ   เพราะไม่มีความเป็นกลาง ในหลักฐานคู่ฝ่ายครับ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 16 ส.ค. 50 11:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ก็ว่ากันไป  ..... (อดใจไม่ไหวเข้ามาอ่านจนได้) ผมเคยพูดแนะนำไปแล้วนะครับ ว่าหลักการ หรือหลักฐานต้องมีความเป็นกลาง ไม่อย่างนั้นจะขาดความน่าเชื่อถือ   สมมุตินะ  ถ้าผม จะพิสูจน์หลักการคริส ว่าจริงหรือไม่  ผมจะเอาทั้งของ ผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือคัดค้าน และของทางฝ่ายคริส  รวบรวมด้วยความไม่นิยมอคตินะครับ  ดูหลักฐานทั้งสองฝ่าย ความน่าเชื่อถือ ความใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์  และองค์ประกอบของคัมภีร์   นี่แหละความจะมีความน่าเชื่อถือ และน่าไว้ใจในบทความที่เขียนขึ้นมาให้อ่าน   ที่ผ่านมาผมค่อนข้างเชื่อทางฝ่ายคริสมากกว่าครับ เพราะทั้งหลักฐาน พยานองค์ประกอบ และการอ้างอิงคัมภีร์คริสก็ชัดเจน  โดยเฉพาะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ค่อนข้างใกล้เคียงที่สุด (ไปตามอ่านกระทู้ที่ผ่าน จากคลังกระทู้เก่า)   ผมพูดแบบเป็นกลางๆ  ไม่เจือปนไปด้วยความอคตินะครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 16 ส.ค. 50 12:16:07 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ^ ^ ^ ขอบคุณครับ คุณสายฟ้าผ่า และก็ถูกต้องตามที่คุณกล่าวมา ไม่ต้องอะไรมากมาย  แค่เอาเรื่องภายในศาสนาคริสต์เอง ผมเองก็อยังต้องศึกษาแบบเป็นกลางอย่างที่คุณกล่าวไว้เลยครับ เพราะศาสนาคริสต์ มีหลายคณะ นิกาย   ผมเองก็ไม่อาจจะเถียงเอาแบบหัวชนฝา ว่า ของคณะลูเธอแรน ถูกต้องทีสุด ใช่ที่สุด  ผมเองอยังต้องศึกษาในคณะ นิกายต่างๆ  เพื่อเปรียบเทียบ ด้วยความเป็นกลางเลยครับ เพราะต้องเข้าใจความจำกัดของนักค้นคว้าพระคัมภีร์ในแต่ละยุคสมัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมันต่างกัน  ในยุคก่อนๆ  นักประวัติศาสตร์ด้านพระคัมภีร์ อาจจะค้นพบในระดับนึง และสรุปความไว้  ต่อมาอีกยุคนึงความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยีทำให้ค้นพบได้มากกว่า การสรุปความจึงมาอีกระดับนึง  เหตุผลเหล่านี้ ถ้าขาดความเป็นกลาง ก็จบ พูดกันไม่รู้เรื่องอย่างแน่นอน ซึ่งคนที่มีปัญญาและฉลาดเฉลียว จะรู้จักแยกแยะ สถานการณ์ในการเรียนรู้  และมีความเข้าใจ ของแต่ละยุคสมัย จะได้เปรียบ และได้ปัญญาอย่างแท้จริงครับ   ขอพระเจ้าอวยพระพรคุณสายฟ้าผ่านะครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 12:43:04 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ที่ผมว่ามุสลิมในเวบนี้ ไม่ฉลาดเท่าคุณนั้น  หมายถึงเล่เหลี่ยม เขาไม่ทันคุณต่างหาก เพราะ ว่า ตกเป็นเหยื่อ ให้คุณหาวิีธี " Make fun " อิสลาม ในรูปต่างๆ  เพื่อแสดง "EGO" ของคุณเท่านั้น   จากคุณ : แมทท์  - [ 13 ส.ค. 50 23:41:19 ]                        555555555555555555 แต่ผมประทับใจ คำนี้ของคุณแมทท์มากๆ เลย ครับ  มันสะท้อนตัวตนใครบางคนในกระทู้นี้ได้เป็นอย่างดี   อ่ะ อ่ะ  อ่านแล้วจำได้ไหมเอย  คุณแมทท์เขียนให้ใครน๊า.....หุ หุ จากคุณ : ท่ามกลางฝูงนก - [ 16 ส.ค. 50 12:49:01 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผมไม่เถียงเรื่อง Theology ครับ เพราะถือว่าความเชื่อใครความเชื่อมัน ผมคุยเรื่อง Historical และ Archaeological ครับ สังเกตว่าผมไม่ค่อยเข้าไปสุงสิงกระทู้เรื่อง Theology เท่าไหร่ ยกเว้นที่เมื่อไหร่มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ที่เป็น Field ที่ผมสนใจ จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 15:26:07 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขออภัย เรื่องที่ท่าน Paul Vote นั้นอยู่ใน 26:10 ครับ ตรงนี้ต้องอ่านเชื่อมโยงกับ 5:34 26:9 I verily thought with myself that I ought to do many things contrary to the name of Jesus of Nazareth. 26:10 And this I also did in Jerusalem: and I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. 26:11 And punishing them oftentimes in all the synagogues, I strove to make them blaspheme; and being exceedingly mad against them, I persecuted them even unto foreign cities. จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 15:40:16 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ิอ้อไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณท่ามกลางฝูงนก ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับศาสนาคริสต์หรอกครับ จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงพระเจ้าหรือพระเยซูเลยแม้แต่น้อย ผมสนใจสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เขาคุยกันเรื่อง ประวัติคริสต์ศาสนายุคต้นๆ ถ้าจะจำกัดความก็คงจะเป็นช่วงตั้งแต่หลังพระเยซูถูกตรึงกางเขน ถึงสมัยราวๆคริสตวรรษที่สี่ครับ ถ้าคุณจะกรุึณายกคอมเมนต์ที่ดูหมิ่นผมขนาดนั้นว่าผมกำลังพยายาม Discredit คริสต์ศาสนาออกไปก็คงจะดี ผมพยายามจำกัดการพูดคุยให้อยู่ในกรอบที่ไม่เกี่ยวโยงกับ Theology อย่างมากที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องคำถามทั้งสี่ข้อนั้นถ้าผมตอบไม่ตรงก็คงจนใจนะครับ และผมคงเสียดายอย่างมากเพราะเพิ่งจะได้มีโอกาสเสวนากับผู้รู้ในสาขาที่ไม่ค่อยเจอคนไทยในบอร์ดนี้สักเท่าไหร่ แต่ต้องขอโทษด้วยนะครับจะเห็นว่าผมไม่คุ้นกับชื่อภาษาไทยเอาเสียเลย ตอนที่ผมเห็นมาระโกก็งงๆ เพิ่งมาถึงบางอ้อ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านั่นคือชื่อ Mark ในภาษาโปรตุเกส ที่ติดมากับคณะมิสซังสมัยพระนารายณ์มหาราช แหล่งข้อมูลของผมทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษครับ ถ้าจะกรุณาติดป้ายชื่อเล่มเป็นภาษาอังกฤษไว้ด้วยก็ดีผมจะได้ตามไปค้นที่ Source ได้ถูก - อะไรคือ “ภูมิศาสตร์แห่งพระคัมภีร์” คงจะเป็นลักษณะทางกายภาพของดินแดนแห่งพันธสัญญา ถ้าจะว่ากันตั้งแต่ Old Testement คงกินตั้งแต่อียิปต์ไปจนถึงปาเลสไตน์ แล้วก็คงจะรวมถึง บริเวณรอบๆชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่คริสต์จักรยุคแรกได้รับการก่อตั้งขึ้น - อะไรคือ การจํ าแนกช่วงเวลาสํ าคัญทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ หมายถึงช่วงเวลาที่สำคัญต่างๆในไบเบิลใช่ไหมครับ ตั้งแต่ยุคสร้างโลก สมัยอาดัม สมัยน้ำท่วมโลก สมัยโซโลมอน (Genesis) มาจนถึงยุค Exodus เรื่อยมาจนถึงสมัยพระเยซู ใช่หรือเปล่าครับ - อะไรคือ การพรรณนาชีวิตประจํ าวันของคนในยุคสมัยต่างๆ ของพระคัมภีร์ อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆว่าต้องการจะถามอะไร หรือว่าคำๆนี้เป็นศัพท์เพาะของสาขาไหน ต้องบอกไว้ก่อนว่าผมไม่เคยได้รับการศึกษาืทางด้านนี้จากในประเทศไทย เรื่องต่างๆเป็นสิ่งที่ผมอาศัยวิชาที่เคยได้รับจากการเรียนด้านโบราณคดีเล็กน้อย บวกกับความสนใจเรื่องทางประวัติศาสตร์โบราณเป็นทุนเดิม และข้อมูลทางอินเตอร์เนตทั้งที่เป็น Primary Source และ Secondary Source ถ้าถามผมผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับการศึกษาที่ว่าด้วยการดำเนินชีวิตของบุคคลในสมัยต่างๆที่อยู่ในการบรรยายของ ไบเบิล ซึ่งใน OT น่าจะอยู่ใน Leviticus เป็นจำนวนมาก ส่วนใน NT ผมเห็นว่าควรจะอ่าน ACT จะเห็นภาพได้ชัด - อะไรคือ ให้คํ าจํ ากัดความคํ าว่า “โบราณคดีเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์” ในช่วงศตวรรษที่ 19 - 20 ได้มีการขุดค้นด้านโบราณคดีต่างๆจำนวนมากที่เกี่ยวข้องหรือสามารถหาได้จากใน OT เช่นกำแพงเมืองเจริโคที่มีร่อยรอยว่าถูกแผ่นดินไหวพังทลาย หรือว่าเมืองที่จมอยู่รอบๆ Death Sea เนื่องจากภูเขาไฟระเบิด (อ่านต่อเรื่องของ Lot กับเมืองโซดอม-กอมโมราห์) การค้นพบแผ่นไม้โบราณที่อารารัท (อันนี้ผมยังไม่ convince นะว่าจริง อาจจะเป็นไม้โบราณจากที่อื่น) เมืองของพระนางซีบา(อันนี้ัยังตกลงไม่ได้ว่าที่ไหน แต่อาจจะเป็นเมืองโบราณที่อยู่กลางทะเลทรายแต่ว่าล่มสลายไปเพราะแม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน) ถ้าเอาใน NT ... นึกไม่ออกว่าค้นพบอะไรบ้างนอกจากที่เห็นๆกันอยู่อย่างเมืองเยรูซาเลม ส่วนเรื่องผ้าเมืองตูรินนั้นผมยังไม่เชื่อว่าเป็นของจริง เพราะผลการตรวจสอบอายุยังไม่สอดคล้องกัน ส่วนเรื่องหีบบรรจุกระดูกนั้นผมเชื่อว่าเป็นเรื่องหลอกต้มซะส่วนมาก ถ้าเป็นโบราณคดีโดยทั่วๆไปที่ผมศึกษามาก็เท่านี้แหละครับ จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 16:30:41 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมขอถามคุณบ้างแล้วกันนะครับ Critical approach ในการศึกษา ไบเบิลนั้นมีหลักการกว้างๆอย่างไร ทฤษฎี Two source  นั้นกล่าวว่าอย่างไร โทมัส นั้นเป็นคัมภีร์แบบไหน? ผมขอถามสามข้อพอครับ จากคุณ : Nexus - [ 16 ส.ค. 50 16:45:03 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 65   ขออภัย เรื่องที่ท่าน Paul Vote นั้นอยู่ใน 26:10 ครับ ตรงนี้ต้องอ่านเชื่อมโยงกับ 5:34 26:9 I verily thought with myself that I ought to do many things contrary to the name of Jesus of Nazareth. 26:10 And this I also did in Jerusalem: and I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. 26:11 And punishing them oftentimes in all the synagogues, I strove to make them blaspheme; and being exceedingly mad against them, I persecuted them even unto foreign cities. จากคุณ : Nexus   - [ 16 ส.ค. 50 15:40:16 ] -------------------------------------------------------------------- กิจการบที่ 5 5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง และบทที่ 36 26:9 ข้าพระองค์เคยได้คิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่งซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น 26:10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย 26:11 ข้าพระองค์ได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาท และเพราะข้าพระองค์โกรธเขายิ่งนัก ข้าพระองค์ได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ ผมพยามเอามาเชื่อมโยงกันแล้วนะครับ  ก็ยังไม่เห็นตามที่คุณ Nexusกล่าวไว้เลยครับ ท่าน Paul นั้นโหวตให้สังหารท่าน Peter แต่ Pharisee กลับโหวตคัดค้าน ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่า ที่ท่าน Paul บอกว่าเป็น Pharisee ในหมู่ Pharisee เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลในทางศาสนา กลับโหวตค้านกับฝั่ง Pharisee? ไหนละครับ ท่าน Paul โหวตให้สังหารท่าน Peter ครับ ??????? ทีนี่เรามาดู อ.เปาโล ข่มเหงคริสเตียน อยู่ใน กิจการ บทที่ 8 ก่อนที่จะกลับใจมาเป็นคริสเตียน เซาโลข่มเหงคริสตจักร 8:1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้นเซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครสาวกได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย 8:2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง 8:3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก และในกิจการบทที่ 9  อ.เปาโลกลับใจ เซาโลกลับใจใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ 9:1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต 9:2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม 9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ 9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม" 9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก" 9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร" องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า "เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้" 9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร 9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส 9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย 9:10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า "อานาเนียเอ๋ย" อานาเนียจึงทูลตอบว่า "พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 9:11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่ 9:12 และในนิมิตเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก" 9:13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก 9:14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์" 9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า "จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล 9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา" เซาโลได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และเริ่มเทศนาสั่งสอน 9:17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านวางมือบนเซาโลกล่าวว่า "พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์" 9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา 9:19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน 9:20 ท่านไม่ได้รีรอ ท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า 9:21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า "คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่" สังเกตุเห็นอะไรหรือเปล่าครับ  ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตรงกับบันทึกไว้ ตามที่ อ.เปาโล กล่าวแก้ตัวกับกษัตริย์อากริปปา ในกิจการบทที 26 ครับ 26:10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย ซึ่งถ้าอ่านทั้งหมดบทของบริบท กิจการ บทที่ 26 ก็คือ อ.เปาโลอุทธรณ์สู้คดีของตัวเอง ในฐานะคริสเตียนแล้วครับ ไม่ใช่ฐานะฟาริสี  ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย เปาโลสู้คดีและอุทธรณ์ไปยังอากริปปา 26:1 ฝ่ายอากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า "เราอนุญาตให้เจ้าให้การแก้ข้อหาเองได้" เปาโลจึงยื่นมือออกกล่าวแก้คดีว่า 26:2 "ท่านกษัตริย์อากริปปาเจ้าข้า ข้าพระองค์ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้แก้คดีต่อพระพักตร์พระองค์วันนี้ ในเรื่องข้อคดีทั้งปวงซึ่งพวกยิวกล่าวหาข้าพระองค์นั้น 26:3 โดยเฉพาะเพราะพระองค์มีความรู้ชำนาญยิ่งในบรรดาขนบธรรมเนียมและปัญหาต่างๆของพวกยิวแล้ว เหตุฉะนั้นขอพระองค์ได้โปรดทนฟังข้าพระองค์ 26:4 พวกยิวทั้งหลายก็รู้จักความเป็นอยู่ของข้าพระองค์ตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว คือตั้งแต่แรกข้าพระองค์ได้อยู่ท่ามกลางชนชาติของข้าพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม 26:5 เขารู้จักข้าพระองค์แต่เดิมมา ถ้าเขาจะยอมเป็นพยานก็เป็นได้ว่าข้าพระองค์ดำรงชีวิตตามพวกที่ถือเคร่งครัดที่สุด คือเป็นพวกฟาริสี 26:6 บัดนี้ข้าพระองค์ต้องมายืนให้พิจารณาพิพากษา ก็เนื่องด้วยเรื่องมีความหวังใจในพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์นั้น 26:7 พวกข้าพระองค์สิบสองตระกูลได้อุตส่าห์ปรนนิบัติพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยหวังใจว่าจะบรรลุถึงความสำเร็จตามพระสัญญานั้น ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เพราะความหวังใจอันนี้พวกยิวจึงฟ้องข้าพระองค์ 26:8 เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงพากันถือว่า การที่พระเจ้าจะทรงให้คนตายเป็นขึ้นมาเป็นการที่เชื่อไม่ได้ 26:9 ข้าพระองค์เคยได้คิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่งซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น 26:10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย 26:11 ข้าพระองค์ได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาท และเพราะข้าพระองค์โกรธเขายิ่งนัก ข้าพระองค์ได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ 26:12 ดังนั้นเมื่อข้าพระองค์กำลังไปยังเมืองดามัสกัส ได้ถืออำนาจและงานที่ได้รับมอบหมายจากพวกปุโรหิตใหญ่ 26:13 โอ ข้าแต่กษัตริย์ ในเวลาเที่ยงวันเมื่อกำลังเดินทางไป ข้าพระองค์ได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบข้าพระองค์กับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระองค์ 26:14 ครั้นข้าพระองค์กับคนทั้งหลายล้มคะมำลงที่ดิน ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่ข้าพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า `เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก' 26:15 ข้าพระองค์ทูลถามว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด' พระองค์จึงตรัสว่า `เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหง 26:16 แต่ว่าจงลุกขึ้นยืนเถิด ด้วยว่าเราได้ปรากฏแก่เจ้าเพื่อจะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นผู้รับใช้และเป็นพยานถึงเหตุการณ์ซึ่งเจ้าเห็น และถึงเหตุการณ์ที่เราจะแสดงตัวเราเองแก่เจ้าในเวลาภายหน้า 26:17 เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาตินี้และจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปหานั้น 26:18 เพื่อจะให้เจ้าเปิดตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความผิดบาปของเขา และให้ได้รับมรดกด้วยกันกับคนทั้งหลายซึ่งถูกแยกตั้งไว้แล้วโดยความเชื่อในเรา' 26:19 โอ ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์จึงเชื่อฟังนิมิตซึ่งมาจากสวรรค์นั้น 26:20 แต่ข้าพระองค์ได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัสและในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นยูเดีย และแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจใหม่ ให้หันมาหาพระเจ้าและกระทำการซึ่งสมกับที่กลับใจใหม่แล้ว 26:21 เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงจับข้าพระองค์ที่พระวิหาร และพยายามหาช่องที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย 26:22 เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้และเป็นพยานได้ต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้าพระองค์ไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องซึ่งบรรดาศาสดาพยากรณ์กับโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะมีขึ้น 26:23 คือว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และพระองค์จะทรงแสดงความสว่างแก่ชนอิสราเอลและแก่คนต่างชาติ โดยที่ทรงเป็นผู้แรกซึ่งคืนพระชนม์" 26:24 ครั้นเปาโลกำลังพูดแก้คดีอย่างนั้น เฟสทัสจึงร้องเสียงดังว่า "เปาโลเอ๋ย เจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้วิชามากจึงทำให้เจ้าคลั่งไป" 26:25 แต่เปาโลกล่าวว่า "ท่านเฟสทัสเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่คลั่งเลย แต่ว่าได้พูดคำแห่งความจริงและคำที่ปกติชนจะพูด 26:26 ด้วยว่าท่านกษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้ 26:27 ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา พระองค์เชื่อพวกศาสดาพยากรณ์หรือไม่พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์เชื่อ" 26:28 อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า "เราเกือบจะเป็นคริสเตียนโดยคำชักชวนของเจ้า" 26:29 เปาโลจึงทูลว่า "จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพระองค์มีความปรารถนายิ่งนักที่จะให้เป็นเหมือนอย่างข้าพระองค์ มิใช่พระองค์องค์เดียว แต่คนทั้งปวงที่ฟังข้าพระองค์วันนี้ด้วย เว้นเสียแต่เครื่องจองจำนี้" 26:30 และเมื่อเปาโลกล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว กษัตริย์กับผู้ว่าราชการเมืองและพระนางเบอร์นิส และคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงลุกขึ้น 26:31 ครั้นออกไปแล้วจึงพากันพูดว่า "คนนี้มิได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะถูกลงโทษถึงตายหรือจองจำไว้" ซึ่งมันแตกต่างและสวนทางกัน กับที่คุณ Nexus ยกบทความเป็นตัวอย่างครับ ปัญหาก็คือ คุณ Nexus  เข้าใจพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอย่างถ่องแท้หรือเปล่า หรือรู้เพียงเล็กน้อย  หรือ แทบจะไม่รู้เลย  นอกจากศึกษาผ่านเวป ที่พยามโจมตีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอย่างเดียวครับ   นี่คือประเด็น แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 50 18:07:22 จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 17:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 69 แม้แต่ข้อพระคัมภีร์ที่ยกมาใน คคห 46 ------------------------------------------------------------------------------------ ความคิดเห็นที่ 46   เรื่องประวัติของท่าน Paul นั้นก็ยังมีที่ผมสงสัยอยู่ครับ เริ่มจากใน Acts ระบุว่าแต่เดิมท่านชื่อ 'Saul' เกิดที่ Tarsus ใน Asia Minor Acts 9:11, 21:39, 22:3 แต่เมื่อย้อนมาดูในจดหมายที่ท่านเขียนเองนั้นระบุเอาไว้้ว่า 'I am an Israelite myself, of the stock of Abraham, of the tribe of Benjamin' (Romans 11:2); จากคุณ : Nexus   - [ 15 ส.ค. 50 16:46:02 ] ----------------------------------------------------------------------------------- 'I am an Israelite myself, of the stock of Abraham, of the tribe of Benjamin' (Romans 11:2); ??????????? โรม 11 11:1 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า "พระเจ้าทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์แล้วหรือ" ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ข้าพเจ้าเองก็เป็นชนชาติอิสราเอล เป็นเชื้อสายของอับราฮัม เป็นตระกูลเบนยามิน 11:2 พระเจ้ามิได้ทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์นั้นที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องซึ่งเขียนไว้แล้วในพระคัมภีร์กล่าวถึงท่านเอลียาห์หรือ ท่านได้กล่าวโทษพวกอิสราเอลต่อพระเจ้าว่า นี่คือข้อพิสูจน์ความแตกฉานด้านพระคัมภีร์ ว่ามีหรือไม่มีครับ เพราะถ้าเป็นนักประวัติศาสตร์โบราณคดีจริงๆ  จะต้องมีความเชี่ยวชาญหรือแตกฉานในเรื่อง ที่กล่าวพาดพิง  จึงจะสามารถกล่าวอ้างอิงได้อย่างน่าเชื่อถือนะครับ   ฉะนั้นประเด็น  คือ คุณ Nexus มีความเข้าใจหลักประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจริงหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ   แม้แต่คำตอบ ใน ความคิดเห็นที่ 66  ยังคลุมเคลือไม่ชัดเจนเลยละครับ ฉะนั้นคุณควรจะรู้ลึก รู้จริง ถึงจะแสดง คคห วิจารณ์ความเป็น หรือไม่น่าจะเป็นได้ครับ     ไม่อย่างนั้น ก็เหมือนกับ เกรียน คนนึงที่อยู่ในกระทู้นี้ ที่ชอบอวดรู้ แต่ไม่รู้อะไรเลยในหลักการของศาสนาคริสต์  นอกจากจะไปลอกความคิดตามเวปต่างๆ มา เพื่อพยามจะอวด  "EGO"  ของตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่มี ซึ่งมันเป็นการไม่ฉลาดพอครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 16 ส.ค. 50 18:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อข้อมูลทางฝ่ายคริสต์มากกว่า ว่าน่าเชื่อถือได้ จากข้อมูลต่างๆ ที่คุณเหนือสายรุ้งยกมา ชัดเจนและตรงไปตรงมา จากคุณ : ผู้เผยความแห่งสวรรค์ - [ 16 ส.ค. 50 18:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 71 พูดแบบเป็นกลางๆ นะ คัมภีร์คริสที่คุณNexus ยกมา เป็นบางข้อ กับที่คุณเหนือสายรุ้งยกมา พออ่านแล้ว บริบทมันเปลี่ยนไปเลยนะครับ  ทางฝ่ายคุณเหนือสายรุ้งมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากกว่าครับ   ทำให้เห็นภาพที่คุณท่ามกลางฝูงนกได้กล่าวไว้ คคห 49  ได้ชัดเจนมากเลยครับ "ผมแปลกใจมาก พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้  เป็นหลักฐานชัดเจน แต่กลับมีคนทำเป็นมองไม่เห็น  แล้วก็ตีความบิดเบือน เพื่อโจมตีความเชื่อของคริสเตียน   โดยใช้วิธียกข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล วกไป วนมา สลับข้อ สลับบท ตัดข้อนี้ไปผสมกับข้อนั้น     ซึ่งไม่อาจจะเชื่อถือได้ครับ" แหม.....ทั้งอ่านในกระทู้นี้ และตามอ่านในคลังกระทู้เก่า ทำให้ผมชักสนใจประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสขึ้นมามากเลยครับ  ขอศึกษาไปด้วยก็แล้วกันนะครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 16 ส.ค. 50 18:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อ้อ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญนะครับ ผมเป็นผู้สนใจศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างหากครับ ไหนๆผมก็ตอบคำถามแล้วคุณก็ช่วยกรุณาตอบคำถามผมด้วยแล้วกัน แล้วถ้าผมตอบผิดผมผิดตรงไหนก็ช่วยกรุณาบอกด้วย ผมชักลังเลที่จะคุยเรื่องราวต่างๆที่ผมได้รับรู้มา เพราะผมรู้สึกว่ามีความ Hostile อยู่ในที่นี่เยอะมาก คงจะเป็นไปได้ว่าเรื่องราวที่ผมยกขึ้นมานั้นมันเปราะบางทางศาสนา แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์เขาคุยกันทั่วไป ป.ล. ลองอ่าน 26:10 ภาษาอังกฤษที่ผมยกขึ้นมาสิครับ อันนี้เป็นไปได้มากที่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่เกิดขึ้นใน 5 และท่าน Paul ก็ได้บอกไว้ว่า ท่านได้โหวตให้ลงโทษประหารชีวิต Saint ตรงนี้คุณมองไม่เห็นหรือครับ หรือเพราะว่าฉบับภาษาไทยแปลมาแค่ว่า"เห็นดี"ด้วย ซึ่งน่าจะแปลมาจาก KJV  ลักษณะของสภาที่ใช้ตัดสินทางศาสนาของยิวในสมัยนั้น มีสภาเล็ก(23 คน)กับสภาสูงสุด(71 คน) โดยใช้การโหวตในการตัดสินเรื่องราวต่างๆครับ เผื่อว่าใครที่ไม่เข้าใจลักษณะการตัดสินของยิวในสมัยนั้น ผมเอาฉบับแปลต่างๆมาให้ดูก็แล้วกัน ทั้งสองฉบับแปลหลัง King James อันนี้ของ ASV American Standard Version And this I also did in Jerusalem: and I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. อันนี้ของ WEB World English Bible This I also did in Jerusalem. I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. อันนี้ของ KJV Which thing I also did in Jerusalem: and many of the saints did I shut up in prison, having received authority from the chief priests; and when they were put to death, I gave my voice against them. จากคุณ : Nexus - [ 17 ส.ค. 50 08:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เห็นใหมครับ ในเมื่อผมอธิบายไปแล้ว คุณNexus ก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าเป็นเรื่องเดียวกัน   ในขณะที่ผมถาม คุณNexus  มาหลาย คคห แล้วว่า ไหนละครับ ท่าน Paul โหวตให้สังหารท่าน Peter ครับ ??????? คุณNexus  ก็อยังหาหลักฐานมาตอบผมไม่ได้แล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไรครับ มันเป็นเรื่องแปลกนะ  ในบทและข้อนี้ ไม่เห็นมีชื่อ Paul อยู่ในเหตุการณ์เลย เป็นไปได้รึ ที่เหตุการณ์สำคัญอย่างนี้ ผู้บันทึกกลับไม่บันทึกชื่อ Paul กามาลิเอลเข้าขัดขวางทำให้พวกอัครสาวกไม่ถูกฆ่าตาย 5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง 5:35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี 5:36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 5:37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป 5:38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง 5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า" สาวกที่ถูกข่มเหงยังคงยินดีและเป็นพยานฝ่ายพระคริสต์ 5:40 เขาทั้งหลายจึงยอมเห็นด้วยกับกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครสาวกเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป ไหนครับคุณ Nexus  ท่าน Paul อยู่ตรงไหนครับ แล้วเราลองมาดู สเทเฟนได้เล่าถึงการที่พระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับชนชาติอิสราเอล ในกิจการ 7:2 -53 และต่อด้วยการเริ่มข่มเหงคริสเตียนอีกครั้ง พวกเขาได้เอาหินขว้างสเทเฟน 7:54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน การข่มเหงต่อเนื่องมาจนถึง บทที่ 8 กลับมีชื่อ ของ ท่าน Paul  บันทึกไว้ เซาโลข่มเหงคริสตจักร 8:1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้นเซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครสาวกได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย 8:2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง 8:3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก แล้วมาดูการเชื่อโยงที่ถูกต้อง ในการแก้ต่างของท่าน  Paul 26:10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย เห็นอะไรไหมครับ ว่ามันสัมพันกันกับข้อไหนครับ ดูกันจะๆ ไปเลยครับ กิจการ บทที่ 8:1-3 สัมพันกันกับ กิจการ บทที่ 26:10 ครับ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ บทที่  5:34 เลยสักนิดเดียวครับ   นี่คือการลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องครับ คุณต้องหาความสัมพันกันในสถานการ กับเหตุการ  และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงครับ นี่คือการตีความที่น่าเชื่อถือและถูกต้องครับ คุณNexusบอกว่า เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์เขาคุยกันทั่วไป.....ครับ ผมก็อยากจะรู้ว่านักประวัติศาสตร์ที่คุณอ้างมานั่น คือ ใคร ???? อะไร ???? ที่ไหน ???? เมื่อไหร่ ???? ทำไม ???? ทำไมไม่ไปมองนักประวัติศาสตร์ด้านพระคัมภีร์เค้าคุยกันบ้างละครับ ผมแนะนำนะครับ ถ้าอยากรู้จริงๆ  ไปศึกษาประวัติศาสตร์ด้านพระคัมภีร์ที่สถาบันพระคัมภีร์เลยครับ  แล้วเอามาเทียบกัน  เพื่อคุณจะได้กระจ่างกว่าที่คิดไปตามเค้าไว้ครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 17 ส.ค. 50 10:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ผมเห็นอย่างนี้ครับ And this I also did in Jerusalem: and I both shut up many of the saints in prisons, having received authority from the chief priests, and when they were put to death I gave my vote against them. คำว่า Saints เป็นคำพหูพจน์ จากการสืบค้นเล็กๆน้อยๆผมพบว่า ก่อนหน้าท่าน Paul จะ Convert ในปี 45 นั้นมี Saint แค่สองคนเท่านั้นที่ผ่านเรื่องแบบนี้ ซึ่งก็คือ St. Stephen กับ St.Peter คุณเข้าใจว่าอย่างไรครับ ลองดูกันต่อว่าตำแหน่งของท่าน Paul นั้นมีที่นั่งในสภาสมัยปี 34 (ปีที่ท่าน Stephen โดนลงโทษ) แล้วคุณไม่คิดเหรอครับว่าท่านจะยังคงอยู่ในสภาปี 44 ด้วย? อย่าลืมนะครับว่า ACT นั้นเขียนโดย ผู้ที่เขียน Luke ซึ่งถ้าว่ากันตามความเชื่อแบบ Orthodox นั้นเขาเป็นผู้ใกล้ชิด Paul เมื่อเราพิจารณาข้อนี้แล้วลองมาอ่าน ACT 5:34 ดูอีกที ตอนนั้นท่าน Peter ถูกพาตัวออกไปแล้ว ดังนั้นน่าเชื่อว่า Source ของข้อความที่ว่านี้มาจากผู้ที่อยู่ในสภาโดยตรง ซึ่งเท่าที่ผมทราบนั้นคนเพียงคนเดียวที่มีบันทึกไว้ว่้ากลับใจมาเป็นคริสเตียนคือ ท่าน Paul เท่านั้นครับ นี่เป็นเหตุผลที่ผมเชื่อว่า ฉากการตัดสินของท่าน Peter นั้น น่าจะมีท่าน Paul รวมอยู่ด้วย ซึ่งถ้าพิจารณาจากการกระทำของท่านในตอนนั้นแล้ว รวมกับ Testimony ของท่านแล้วผมเชื่อว่าไม่เป็นการเกินเลยที่จะเชื่อว่าในวันนั้นท่่านจะโหวตแบบที่ท่านบอกเอาไว้ใน 26:10 จากคุณ : Nexus - [ 20 ส.ค. 50 10:05:53 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อ๋อ เข้าใจละครับ สรุปจากคำว่า  "น่าจะมี"  แต่ความจริงก็คือไม่มี แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 50 17:03:11 จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 22 ส.ค. 50 17:01:12 ]