ความคิดเห็นที่ 7
การตัดสักกายทิฏฐิของพระอริยเจ้าแต่ละประเภท
เป็นการสนทนาธรรมระหว่างหลวงพ่อกับนายทหารยศพันเอกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านปริยัติพอสมควร
ผู้ถาม แล้วก็ถามต่อไปว่า "ในการตัดสักกายทิฏฐิของพระอริยเจ้าแต่ละประเภทแตกต่างกันไหมครับ......?
หลวงพ่อ ไม่แตกต่างกันหรอก เหมือนกัน คือตัดจริง ๆ มันตัดในด้านสุกขวิปัสสโก แต่ว่าพูดถึงการได้เปรียบ หมายถึงว่าท่านที่ฝึกมา วิชชาสามก็ดี อภิญญาหกก็ดี ในด้านปฏิสัมภิทาญาณก็ดีเขาได้เปรียบกว่าสุกขวิปัสสโก เพราะสุกขวิปัสสโกนั่งทำไปไม่เห็นอะไรเลย ถ้าพวกวิชชาสามนี่เขาสามารถระลึกชาติได้ สามารถเห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลกได้ เห็นนรกเห็นเปรตได้ ถ้าจิตสะอาดพอก็สามารถเห็นนิพพานได้ คนเห็นกับคนไม่เห็นเดินทางต่างกันใช่ไหม......ยิ่งได้อภิญญาหกยิ่งเร็วกว่า กำลังเขาสูงถ้าหากพวกที่ฝึกสายปฏิสัมภิทาญาณก็ยิ่งเร็วมาก
ผู้ถาม แต่ความรู้สึกของผมคิดว่า การปฏิบัติทางสายปฏิสัมภิทาญาณนี่มันยากครับ......?
หลวงพ่อ ความจริงถ้าปฏิบัติกันจริง ๆ สายปฏิสัมภิทาญาณนี่ง่ายที่สุด แต่ว่าคนเราไม่ต้องการแนวปฏิบัติง่ายกว่าวิชชาสามและอภิญญาหก เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณนี่เราจับต้นปั๊บ อานาปานุสสติ กับ พุทธานุสสติ อย่างที่เขาภาวนาว่า พุทโธ นั่นแหละพอจิตสบายกายทรงตัวพอได้สมควรบ้าง ก็จับกสิณกองใดกองหนึ่ง กสิณ ๑๐ อย่างนี่เขาไม่เลือกเลย จะเป็นกองไหน ที่เราต้องการก็จับกสิณกองนั้นให้ได้ถึงฌาน ๔ พอคล่องตัวก็จับอรูปตั้งภาพกสิณขึ้นแล้วเพิกภาพกสิณไปจับอากาศแทนที่ เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ ทีนี้การจับอรูปฌานนี่ก็จับแค่ฌาน ๔ มันเป็นฌาน ๔ เท่านั้นเอง ในเมื่อจิตมันอยู่ในฌาน ๔ เราจับอะไรก็ได้พอจับอากาศได้คล่องตัวดีแล้ว ก็จับ วิญญาณณัญจายตนะ จับวิญญาณจิตให้ทรงตัว มันก็ทรงตัวแค่ ๓ วันเท่านั้นแหละก็เปลี่ยนแล้วก็ไปจับ อากิญจัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะนี่มีความรู้สึกว่า โลกนี้มันพังหมดไม่มีอะไรเหลือ อารมณ์ตอนนี้มีสภาพคล้ายพระอรหันต์มาก แล้วต่อไปจับตัวสุดท้ายก็คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แนวสัญญานาสัญญายตนะนี่เขาทรงฌาน ๔เป็นปกติ สัญญานี่แปลว่า ความจำ มีความจำอยู่แต่ทำตนเหมือนกับคนไม่มีความจำคือหนาวก็ช่างมัน ร้อนก็ช่างมัน ฉันไม่สนใจหนาวรู้สึกตัวว่าหนาว ร้อนรู้สึกตัวว่าร้อน หิวรู้สึกตัวว่าหิว มันมีกินไหม ไม่มีกินก็ช่างมัน มันร้อนมันมีน้ำอาบไหม....ไม่มีน้ำอาบก็ช่าง มันหนาวมีผ้าห่มไหม......... ไม่มีผ้าห่มก็ช่าง คือทำใจให้สบาย ๆ คิดว่าร่างกายเป็นเรื่อง พวกที่เจริญอรูปฌานหมายความว่าเขาเกลียดกาย คิดว่าทุกข์ทั้งหมดที่มีอยู่ได้เพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าไม่มีกายเสียได้ก็สบาย จริยามันคล้ายพระอรหันต์จริง ๆ แต่ตัวมันไม่ถึงนิพพานตัวเดียว
ทีนี้พอได้อรูปฌานเสียแล้ว คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ รวมเป็น ๘ พอเริ่มต้นเจริญวิปัสสนาญาณก็จับอรูปฌานเป็นต้นเหตุตัดสักกายทิฏฐิ อย่างนี้แค่เคี้ยวหมากแหลกก็เป็นอรหันต์ นั่นก็หมายความว่า คนที่ได้ฌาน ๘ น่ะ หรือสมาบัติ ๘ ถ้าไปเจริญวิปัสสนาญาณ ถ้าเป็นพระอรหันต์เกิน ๗ วันนี่มันซวยเต็มที แต่ว่าถ้าจิตเข้าถึงอนาคามีก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย สามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหกเลย
ผู้ถาม ครับ เข้าใจครับ ต่อไปนี้ขอถามประเด็นปลีกย่อยครับ เช่น ถามว่านิพพานนี่สูงสุดใช่ไหม.....? ผมก็ตอบว่า ใช่..เขาก็ถามอีกว่า ถ้านิพพานสูงสุด ทำไมในมงคลสูตร เอานิพพานไว้ข้อ ๓๔ แล้วไอ้ข้อ ๓๕,๓๖,๓๗,๓๘, มีไว้ทำไม......?
หลวงพ่อ แล้วเขาบอกได้ไหมล่ะ......?
ผู้ถาม ตอบได้ครับ ผมก็ตอบตามวิธีของผม
หลวงพ่อ ตอบแบบผิด ๆ น่ะซ ิ ผู้ถาม ก็คนเขายอมรับนับถือผมนี่ครับ
หลวงพ่อ ก็คนมันไม่รู้อะไรนี่ เขาถาม "ลุง.....ควายมีรูปร่างอย่างไร"มันไม่มีควาย พอเจอ หมาก็บอก "ไอ้หนู....นี่ละควาย"ไอ้นั่นไม่รู้อ้อ.....ความมีรูปร่างแบบนี้เห่าฮ้ง ๆ ๆ ใช่ไหม......
ผู้ถาม ถ้าเป็นหลวงพ่อจะตอบเขาว่าอย่างไรครับ.......?
หลวงพ่อ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องสำนวนการสอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน แล้วมรรค ๘ ทำไมขึ้นสัมมาทิฏฐิก่อนล่ะทำไมไม่ขึ้นสัมมาสมาธิก่อน หรือสัมมากัมมันตะก่อน ตัวสัมมาทิฏฐิก็คือตัวนิพพาน คือตัวปัญญา ตอบได้ไหมล่ะ......?
ผู้ถาม ถ้าผมตอบได้ผมก็ไม่มาถามหลวงพ่อหรอกครับ
หลวงพ่อ อ้าว......ทีตอนนี้คุย
ผู้ถาม แล้วทำไมจึงเอาสัมมาทิฏฐิขึ้นก่อนล่ะครับ....?
หลวงพ่อ ก็เพราะว่าปัญญาตัวต้นมันยังใช้ไม่ได้ เป็นแต่เพียงเข้าใจว่า ศีลนี่ดี ทานนี่ดี สมาธินี่ดี พอรู้จักคำว่าศีลดีก็ทำตัวให้มีศีลทำจิตใจให้มีศีล เมื่อมีศีลทรงตัวเป็นปกติเรียบร้อยดีแล้วสมาธิมันก็เกิดเอง สมาธิไม่ต้องไปหาที่ไหน หาจากศีล เมื่อเรามีศีลเป็นปกติสมาธิมันก็ทรงตัว เมื่อสมาธิทรงตัวปัญญามันจึงเกิด ปัญญาเพื่ออริยมรรคเพื่ออริยผลด้วยปัญญาตัวต้นน่ะ มันเป็นปัญญาเด็กเล่น ปัญญาตัวหลังเป็นปัญญาตัวตัดกิเลส นี่มันเป็นแบบนี้นะ การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติแบบนี้ ไม่งั้นโยมพัง
ผู้ถาม บางคนเขาก็ว่ามีศีลไม่จำเป็น เอาแต่สมาถะวิปัสสนาก็ได้
หลวงพ่อ ไอ้นั่นแหละพังแล้ว ยิ่งเป็นเปรียญไหนต่อเปรียญไหนก็เถอะ ถ้าเข้าใจแบบนี้ก็พังทั้งหมด ก็เหมือนอย่างโยมตั้งใจว่าสมถะไม่เอา จะเอาแต่วิปัสสนาอย่างเดียว นั่นก็เหมือนกันแต่ก็พวกเปรียญอีกนั่นแหละที่มักจะพูดว่าสุกขวิปัสสโกทำง่าย ๆ แต่ลองมาทำเข้าจริง ๆ ซิ มันยากที่สุด ที่ทำง่ายจริง ๆ เรียกว่า บรรจุมรรคผลได้ง่ายจริง ๆ ต้องเป็น ปฏิสัมภิทาญาณ หรือได้สมาบัติ ๘
ผู้ถาม อย่างผมนี่เห็นว่าท่าจะไม่ไหวล่ะครับ สมาบัติ ๘
หลวงพ่อ ก็ยังติดตำราอยู่อย่างนี้ มันจะไปได้อย่างไรล่ะ ไปไม่ได้หรอก ติดตำราด้วย และก็มีอารมณ์หยาบด้วย และก็ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ก็ไปใหญ่เลย
ผู้ถาม ก็ต้องเอาตำราโยนทิ้ง
หลวงพ่อ ตำราไม่ต้องไปทิ้ง แต่ว่าอย่าไปติดตำรา อย่าลืมว่าผลที่จะพึงได้ในทางพุทธศาสนาไม่ใช่อ่านตำราอย่างเดียวจำเรื่องท่าน สุธรรมเถร ได้ไหมล่ะ..... ท่านสุธรรมเถรทรงพระไตรปิฏก ในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ว่าเวลาเฝ้าพระพุทธเจ้าคราวไรพระพุทธเจ้าบอก "ไง.....ขรัวใบลานเปล่ามาแล้วรึ" เวลาท่านสุธรรมเถรจะลากลับ พระพุทธเจ้าท่านก็บอก"เอ้า.....ขรัวใบลานเปล่ากลับแล้วรึ......เป็นไง.....?
ผู้ถาม ทำไมจึงเรียกแบบนั้นครับ........?
หลวงพ่อ ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "ขรัวใบลานเปล่าเพราะว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติเลย รู้แต่หลักสูตรอย่างเดียว
ผู้ถาม อย่างนี้เขาเรียกบุรุษใบลานเปล่าได้ไหมครับ........?
หลวงพ่อ ก็ยังเรียกไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังได้พระไตรปิฏกนี่อย่างโยมนี่ต้องเรียก เถรไร้ใบลาน
ผู้ถาม (หัวเราะ) เป็นอันว่าขอสรุปนะครับ ว่าการที่จะเข้าใจเรื่องของจิตก็ดี เรื่องของนิพพานก็ดี ปริยัตินี่ยังรู้ไม่จริงต้องเป็นพระอริยบุคคล และก็ต้องผ่านฌานด้วยนะครับ
หลวงพ่อ ไม่ต้องผ่านละ ต้องได้
ผู้ถาม ครับ แล้วก็แค่ขณิกสมาธิก็ไม่มีทางใช่ไหมครับ ผมขอให้หลวงพ่อยืนยันอีกครั้งครับ หลวงพ่อ
แค่ขณิกสมาธิก็เป็นพระอริยะไม่ได้ แค่อุปจารสมาธิก็เป็นพระอริยะไม่ได้ ถ้าข้าถึงปฐมฌานนี่ยังไม่แน่นักนะต้องเข็มแข็งจริง ๆ ถ้าไม่เข็มแข็งจริง ๆ เป็นพระโสดาบันไม่ได้
ผู้ถาม ตอนแรก หลวงพ่อบอก แค่ปฐมฌานก็เป็นพระโสดาบันได้
หลวงพ่อ ปฐมฌานน่ะถึงจริง แต่ทรงหรือเปล่า ถ้าทรงแค่ปฐมฌานก็ยังต้องทรงวิปัสสนาญาณขั้นต้น คือ สักกายทิฏฐิ ต้องเข้าใจในสักกายทิฏฐิจริงๆ อันดับแรกนี่คิดว่าเกิดมาจะต้องตายไม่มีใครจะทรงสภาพอยู่เช่นนี้ได้ตลอดกาลตลอดสมัย อันนี้ไม่ยากนี่เห็น ๆ กันอยู่ มีคนตายให้เห็นกันอยู่ แล้วอีกประการหนึ่งศีลจะต้องทรงตัว ถ้าจิตเข้าไม่ถึงปฐมฌานศีลมันจะไม่ทรงตัวจะเอาอะไรมาคุมศีล เรื่องศีลจะให้ทรงได้นี่เราต้องจำศีลให้ได้และรักษาศีลให้คงตัว การจะทรงได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่นี้ จะเป็นพระอริยเจ้าได้ต้องทรงศีล ๓ ขั้นคือ ๑. เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง
๒. จะต้องไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นและเมิดศีล
๓. จะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นละเมิดศีลแล้ว
สามข้อนี้ ถ้าจิตไม่ถึงปฐมฌาน มันคุมได้ไหม......ไม่มีทางนี่กฏตายตัวมันอยู่ตรงนี้นะโยมนะ
ผู้ถาม หลวงพ่อยิ่งพูด รู้สึกมันยิ่งยากขึ้นทุกทีครับ
หลวงพ่อ โยมรู้สึกคนเดียวนะซิ คนอื่นเขาอาจไม่ยากก็ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อันดับแรกจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์ แล้วสมาธิจึงจะเกิด ถ้าทรงสมาธิตัวดีแล้ว ปัญญามันจึงจะมาสามอย่างนี่ ต้องขนานขึ้นไปพร้อมกัน ถ้าไม่งั้นความเป็นพระอริยเจ้า หรือการทรงฌานจะไม่มี การเจริญสมถะก็ต้องใช้วิปัสสนาฌานควบ ถ้าไม่ใช้วิปัสสนาญานควบจะเข้าถึงฌานไม่ได้ ไม่มีทางลอง ไปปฏิบัติดูก่อนจนกว่าจะมีผล ผู้ถาม ทีนี้เราเริ่มยังไงครับ ฌาน ๑, ฌาน ๒, ฌาน ๓, ฌาน ๔
หลวงพ่อ ไปดูตำราซิ ไปซื้อวิสุทธิมรรคเสียเลย อ่านให้เสียเข้าใจก่อน แล้วค่อยมาเริ่มปฏิบัติการอ่านวิสุทธิมรรค ๑. จะต้องจำได้
๒. รู้อารมณ์กรรมฐานแต่ละกอง
๓. รู้นิติกรรมฐานแต่ละกอง
๔. ต้องรู้อาการของกรรมฐาน
๕. จะต้องเข้าใจกรรมฐานที่ทำลายจริต
๖. รู้อาการทำลายนิวรณ์
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ใน ศีลนิเทศ สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศ จะต้องคล่อง
ผู้ถาม พออ่านเสร็จก็ตายพอดีครับ
หลวงพ่อ ก็ดันแบบนี้ก็ต้องเล่นแบบนี้ ถ้าไม่ดันแบบนี้เขามีวิธีสอนต่างหาก การสอนมันไม่ได้สอนอย่างเดียว เขาต้องสอนดูคน พระพุทธเจ้าท่านสอนดูคนถ้าคนแก่ตำราเขาต้องสอนยากคนอ่อนตำราเขาต้องสอนง่าย ไม่งั้นมันขับกันไม่อยู่ ที่ขับกันไม่อยู่เพราะอะไร เพราะว่าแก่ตำราจัด ถือว่ามีความรู้มาก ก็ต้องไล่ความรู้ให้ละเอียด ไม่งั้นก็จะเกิดความไม่เข้าใจสงสัยตลอด ถ้าคนที่เขาไม่สงสัยอะไรมากเลยเขาก็สอนตรงเลย จะไปไหนล่ะ.......ไปถึงฌานรึ เขาก็ดึงมือไปถึงฌาน พอจิตถึงฌานได้เขาก็ไม่สงสัยแล้วอย่างพวกที่ฝึกมโนมยิทธิ เดี๋ยวนี้เขาได้กันเยอะแล้ว เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นพรหม เห็นนิพพานได้ เดี๋ยวนี้มีเยอะแล้วนะ
ผู้ถาม ไม่เป็นไรครับ กวดทัน ถ้าชาตินี้ไม่ทัน ผมไปนิพพานคนสุดท้ายก็ยังด ี หลวงพ่อ : (หัวเราะ)
จากคุณ :
LunaticBomberman
- [
15 มี.ค. 51 21:37:48
]
|
|
|