ความคิดเห็นที่ 1 ตามหลักการ ...        เรื่องของเทวดาทีอยู่บนฟ้านั้น เป็นเรื่องที่มีสอนกันมาในศาสนา ลัทธิ ต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อน ที่พระพุทธเจ้า ท่านจะอุบัติขึ้นมา บนโลกนี้แล้ว         ส่วนเทวดา ตามหลักของพระพุทธศาสนา นั้นก็คือ คน แต่เป็นคนชั้นสูง คือเป็นผู้ที่ทำงานโดยไม่เสียเหงื่อ ไม่มีเหงื่อ คือทำงานสบาย ว่างั้น ... ตามที่พระพุทธทาสท่านสอน เอาไว้ ... เช่น คนในระดับสูง ไปจนถึง วรรณะกษัตริย์ก็มีทั้ง กษัตริย์ ประเทศเล็ก ๆ ยากจน ไปจนถึงประเทศหรูหรา ร่ำรวยล้นฟ้า ...          แต่ว่า จะเป็นมนุษย์ คือผู้ที่มีใจสูงหรือไม่ มันก็เป็นเฉพาะบุคคลไป อาจเป็น หรือ อาจไม่เป็นก็ได้ ...        ซึ่งคน ทุก ๆ คนบนโลกนี้ ไม่ว่า จะเป็นชาติใด ศาสนาไหน สามารถบรรลุเป็น พระอริยบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาบัน ไปจนถึง พระอรหันต์ได้  ถ้าได้ รู้แจ้งใน ธรรมะที่แท้จริง ที่ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ และ ก็นำมาสั่งสอน ให้กับ เหล่าสัตว์โลกที้งหลายได้รู้ตาม กันนั่นเอง... จากคุณ : ......... (อุลตร้าแมน คอสมอส) - [ 31 พ.ค. 51 19:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามความคิดเห็นของผมนะครับ ถ้าเทวดา..พระพรหมมีจริง(มีบันทึกในพระไตรปิฎกบ้างนะครับ...แต่ผมเชื่อ 50 % เพราะยังไม่เคยเจอกะตัวเอง)สามารถบรรลุเป็น พระอริยบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาบัน ไปจนถึง พระอรหันต์ได้....แต่ก็อาจจะยากหน่อยครับเพราะท่านเหล่าจะมีสุขมากกว่าทุกข์(ผมสังเกตุจากตัวเองขณะที่ผมมีความสุขเกิดขึ้นส่วนมากจะจมอยู่กับความสุขนานๆนะครับมันทำให้ไม่ค่อยเห็นไตรลักษณ์ซึ่งเป็นจะบอกถึงลักษณะที่แท้จริงของธรรมมะนะครับ..สุขจะติดง่ายกว่าทุกข์ครับ) ส่วนคำอธิบายอีกแบบผมจำครูบาอาจารย์มาครับ..ท่านบอกว่าเทวดา..พระพรหมไม่ค่อยมีทุกข์ให้รู้ให้ดูเลยไม่เห็นไตรลักษณ์ท่านเทียบกับเวลาคนที่เข้าอรูปฌาน นะครับส่วนใหญ่จะติดสุข สงบที่นั้นครับ(ซึ่งก็มีเหตุผลทำให้ผมนึกถึงคนในสมัยพระพุทธเจ้าที่สามารถเข้าฌานกันได้เยอะแยะแต่ก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้..จนพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนถึงค่อยๆบรรลุธรรมนะครับ) จากคุณ : โกวิทย์ - [ 31 พ.ค. 51 20:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จากพระสูตรเรื่อง อุณหิสสะ พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศนาโปรดพระมารดา เทวดาชื่ออุณหิสสะ หมดบุญ ราศีเศร้าหมอง พอเพื่อนเทวดาบอกให้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็บรรลุโสดาบัน สรุปว่าเทวดาก็สามารถบรรลุธรรมได้ ยกเว้น บรรลุถึงพระอรหันต์เลยที่เดียว  แต่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ได้ ยกตัวอย่าง พระอนาคามีท่านก็บรรลุถึงอรหันต์ที่ชั้นพรหมโลก จากคุณ : methad - [ 31 พ.ค. 51 21:39:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เทวดา กับการบรรลุโสดาบัน และระดับที่สูงขึ้นไป ๆ เป็นไปได้หรือไม่ หรือเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะมนุษย์เท่านั้น? จากคุณ : Sirtraderlot   - [ 31 พ.ค. 51 19:12:21 ] .................................... ขอตอบว่า เทวดาก็ได้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น .................. ตัวอย่าง เช่น............... เรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตร ................. ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านสุปติฏฐเทพบุตร ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม   ท่านไม่เคยทำบุญ ใครเขาบอกบุญ บอกทานเห็นแล้ว ก็ทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้ว ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ท่านไม่ต้องการทำบุญ ท่านกินเหล้าเมามายตลดอดวัน เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริง ๆ ท่านมองเห็นทรัพย์สิน ลูกเมีย ข้าทาสนั่งกันพร้อมหน้า แต่ตัวท่านเองกำลังมีทุกข์เวทนาอย่างหนัก เงินทอง และคนเหล่านี้ก็ช่วยท่านไม่ได้ ท่านก็เลยคิดว่าทุกข์นี้ไม่มีใครช่วยใครได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะเคยได้ยินว่า พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว ตอนนี้ ท่านก็เลยเกิดกลัวตกนรกขึ้นมา กลัวความชั่วของตัวจะให้ผล จิตใจเลยน้อมนึกไปนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ท่านก็นึกในใจว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ ท่านก็นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส แต่ท่านภาวนาได้ไม่กี่คำ ก็พอดี ท่านตาย พอตายแล้ว ท่านก็มาเกิดเป็นเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก เรื่องนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมคนทำความชั่วมามาก จึงมีโอกาสมาสวรรค์ได้ทั้ง ๆ ที่ทำบุญเพียงนิดเดียว ????? คำตอบเรื่องนี้ ก็คือ ขึ้นอยู่กับวาระจิตขณะจะตาย ในวินาทีสุดท้ายของคน ๆ นั้นว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา แปลว่า เมื่อเราจะตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากเท่าไรก็ตาม เราก็จะต้องไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา แปลว่า เมื่อเวลาจะตาย ถ้าจิตผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรได้ทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายได้น้อมจิตใจนึกถึงคุณพระรัตนตรัย เกิดอารมณ์ผ่องใส คิดว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใส และความมั่นใจ อันนี้ ท่านกล่าวว่าเป็น พุทธานุสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสติ นึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น แทนที่เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในนรก ท่านก็มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก แต่เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว ท่านก็ยังเป็นเทวดาที่ประมาท ท่านไม่ได้สร้างความดีต่อ และอยู่ต่อมาท่านก็กำลังจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อบุญกำลังจะหมดลง ท่านก็รู้ว่าจะต้องไปใช้หนี้กรรมเก่า ท่านก็ตรวจดูว่าจะต้องไปใช้หนี้กรรมอะไรบ้าง ท่านรู้ตัวว่าจะต้อง ไปตกนรกสิ้น 1 กัปเพราะบาป ที่ได้ทำปาณาติบาติเป็นอาจิณกรรม เสร็จแล้วต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุม แล้วไปลง ยมโลกียนรกอีก 10 ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน แล้วต้องเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วเป็นแร้ง 500 ชาติ เป็นกา 500 ชาติ เป็นสุนัขบ้า 500 ชาติ พอพ้นจากตรงนั้นแล้ว ก็เป็นคนหูหนวก 500 ชาติ เพราะเขาบอกบุญแล้วทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด 500 ชาติ เพราะเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น   เป็นคนบ้า 500 ชาติเพราการดื่มสุราเมรัย แล้วเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ 500 ชาติ เพราะเศษของกรรมของปาณาติบาท ทรมานสัตว์ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อท่านรู้เข้าแบบนี้ ท่านก็ตกใจ เลยวิ่งโล่ไปขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ เพราะฉันก็เป็นเทวดาเหมือนกัน พระอินทร์ก็เลยพาไปหาพระพุทธเจ้า ซึ่งโชคดีมากที่บังเอิญขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปแสดงธรรม โปรดพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกแห่งนั้นพอดี พระพุทธเจ้าก็ทรงพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถาเราเทศน์อภิธรรม 7 คัมภีร์ ก็ไม่มีผล เพราะบารมีของเทวดาองค์นี้ไม่ถึง พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเทวดาองค์นี้ฟังจบก็จะได้บรรลุพระโสดาบันปัตติผล บาปกรรมที่ตนทำไว้ไมมีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึง ได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดียรฉาน ไม่มีโอกาสจะให้ผล สรุปก็คือว่า คนที่เป็นบาปนะ เขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้สอนพุทธบริษัท ให้เจริญกรรมฐานเข้าไว้ ให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายก็จะตามไม่ทัน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า นี่เป็นเทวดาตัวอย่าง พุดให้ฟัง ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ (สรุปย่อจากหนังสือ ชื่อ “ไตรภูมิ” โดยพระมหาวีระ ถาวโร วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี) ขอให้ท่านโชคดี และขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม จากคุณ : kongsilp2000 - [ 31 พ.ค. 51 22:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 1   ตามหลักการ ...  เรื่องของเทวดาทีอยู่บนฟ้านั้น เป็นเรื่องที่มีสอนกันมาในศาสนา ลัทธิต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อน ที่พระพุทธเจ้า ท่านจะอุบัติขึ้นมา บนโลกนี้แล้ว        ส่วนเทวดา ตามหลักของพระพุทธศาสนา นั้นก็คือ คน แต่เป็นคนชั้นสูง คือเป็นผู้ที่ทำงานโดยไม่เสียเหงื่อ ไม่มีเหงื่อ คือทำงานสบาย ว่างั้น ... ตามที่พระพุทธทาสท่านสอน เอาไว้ ... เช่น คนในระดับสูง ไปจนถึง วรรณะกษัตริย์ก็มีทั้ง กษัตริย์ ประเทศเล็ก ๆ ยากจน ไปจนถึงประเทศหรูหรา ร่ำรวยล้นฟ้า ...         จากคุณ : ......... (อุลตร้าแมน คอสมอส)  - [ 31 พ.ค. 51 19:40:35 ] ........................... เรียน คห. 1 คุณ : ......... (อุลตร้าแมน คอสมอส) ขอเรียนว่าท่านกำลังสร้างตำราศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่นะ ข้อเขียนของท่านไม่ถูกต้อง กรุณาทบทวนด้วย แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 51 09:28:16 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 31 พ.ค. 51 22:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ธรรมะเป็นของกลาง... ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์เหมาะที่สุดต่อการเจริญสติ เนื่องจากอายุสั้น ร่างกาย จิตใจ เปลี่ยนแปลงง่าย มีความทุกข์เบียดเบียนตลอดชีวิต ทำให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ง่ายกว่า เทวดาที่สุขนานๆ หรือพรหมที่สงบนานๆ และขันธ์ ก็ยังงดงาม ไม่เสื่อมไปตามกาลเวลาเช่นมนุษย์ อย่างไรก็ตามเทวดา และพรหมมีอายุยาวนานกว่ามนุษย์ จึงสืบทอดการภาวนาได้ยาวนาน และต่อเนื่องไม่หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนมนุษย์ **ประเด็นที่น่าสนใจ** 1. สำเร็จอรหันตมรรคในภูมิใด ก็ดับชาติขาดภพในภูมินั้น 2. สำเร็จอนาคามีมรรค แต่ไม่สำเร็จอรหันต์ในภูมินั้นๆ มีจุติภูมิ ณ พรหมชั้นสุธาวาท (เท่านั้น) * พรหมรูปภูมิชั้นสุธาวาทมีทั้งหมด 5 ชั้น (11-16) 3. สำเร็จสกิทาคามีมรรค และโสดาปัตติมรรค ให้ยึดกำลังของบุญกุศล และระดับสมาธิที่ทรงอยู่เป็นเหตุสู่จุติภูมิ (ต่ำสุดคือมนุษย์ และไม่ไปเกิด ณ สุธาวาท) 4. พระอริยะในชั้นต่างๆ หากยังไม่สำเร็จอรหันต์ มีจุติภูมิที่ใด ก็สามารถไปเจริญสติที่นั้นได้ต่อ แม้กระทั่งในอรูปพรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ 5. สัตว์นรกมีทุกข์เบียดเบียนตลอดเวลา จิตใจไม่เปลี่ยนแปลงมาก ไม่มีความสงบ สันโดด จึงเจริญสติไม่ได้ 6. เดรัจฉานมีความหลงปกคลุมจิตอยู่ตลอดเวลา ปัญญา และสังขารไม่เหมาะสมต่อการเจริญสติ จากคุณ : 44SFA1 - [ 31 พ.ค. 51 23:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 *เกิดเป็นมนุษย์ *มีขันธ์ 5 สมบูรณ์ *พบพระพุทธศาสนา *พระรัตนตรัยอยู่ครบสมบูรณ์ *มีใจศรัทธา *มีวิริยะต่อการปฎิบัติภาวนา โดยสรุปขณะนี้เป็นวินาทีทองของสังสารวัฏ รีบภาวนากันเถิด ก่อนที่เวลาจะสูญไปอย่างไร้ค่า ปล. ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ จากคุณ : 44SFA1 - [ 31 พ.ค. 51 23:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 **** จากคุณ : หนูเล็กนิดเดียว - [ 1 มิ.ย. 51 10:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องของคุณ kongsilp2000 ในความเห็นที่ 4 เราไม่เืชื่ออะ อายุเทวดาบนดาวดึงส์เท่าไหร่ ตามความเป็นจริงแค่ขึ้นสวรรค์ไป เวลาโลกมนุษย์ก็หมดไปหลายสิบปีแล้ว แต่นี้อยู่บนสวรรค์จนหมดบุญแล้ว ยังมาเจอพระพุทธเจ้าได้ต่ออีก มันไม่ค่อย make sense อะคะ จากคุณ : นางฟ้าเซเลส - [ 1 มิ.ย. 51 15:57:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบพระคุณ ความเห็นที่ 7 ที่ช่วยเตือนสติ ช่วงนี้เป็นวินาทีทองจริงๆ จากคุณ : PrincessPam - [ 1 มิ.ย. 51 16:37:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผู้ที่อยู่ในสุคติภูมิ(มนุษยโลก  เทวโลก  พรหมโลก)  ล้วนสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งนั้นครับ ในพระไตรปิฎกมีระบุไว้มากมายครับ สำหรับเทวดาที่บรรลุธรรม ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ ท้าวสักกเทวราช (มฆมาณพเดิม)  ก็บรรลุโสดาบัน   ดังนั้น จึงไม่เป็นการบังคับว่า การบรรลุธรรมจะต้องสำหรับมนุษย์เท่านั้น   แม้เทวดา หรือ พรหม ก็บรรลุได้ จากคุณ : หมอมาเอง (drxbeam) - [ 1 มิ.ย. 51 20:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เทวดา มีหลายแบบ เทวดา ตามลัทธิอื่น (ที่เนื่องกับ อวิชชา)- ที่ เป็นเทวดา ต่อเมื่อ อนัตตาใดนั้น ตายเข้าโลงแล้ว.............. เทวดา ตามพระพุทธวจนะ คำว่า  ฉผัสสายติกสวรรค์  เป็นเทวดา ตาม วิชชา .... คือ อนัตตา ที่ยังไม่ตาย ที่ประกอบด้วย ธรรมะคือ หิริ โอตตัปปะ ที่ตั้งอยู่บนรากฐานศีล ๕ มีสัมมาสมาธิ ที่สูงกว่าสามัญสัญชาติญาณ ซึ่ง ธรรมะ เหล่านี้ เป็น สาธารณะธรรม ...อนัตตาใดก็สามารถ ทำให้มีได้ เป็น เทวดา ชนิดที่ยังไม่ตายได้ ส่วน อสาธารณธรรม (โสดาปัตติมรรค ผล) ตามที่ตรัสนั้น ทรงหมายถึง "มี ได้ เฉพาะใน ธรรม วินัย ที่พระบรมศาสดาตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แล้ว ทรงสั่งสอนให้ อนัตตาอื่น รู้ตรงตามได้) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) - [ 2 มิ.ย. 51 08:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 9   เรื่องของคุณ kongsilp2000 ในความเห็นที่ 4 เราไม่เืชื่ออะ อายุเทวดาบนดาวดึงส์เท่าไหร่ ตามความเป็นจริงแค่ขึ้นสวรรค์ไป เวลาโลกมนุษย์ก็หมดไปหลายสิบปีแล้ว แต่นี้อยู่บนสวรรค์จนหมดบุญแล้ว ยังมาเจอพระพุทธเจ้าได้ต่ออีก มันไม่ค่อย make sense อะคะ จากคุณ : นางฟ้าเซเลส   - [ 1 มิ.ย. 51 15:57:54 ] ที่ว่ามาเจอพระพุทธเจ้าต่อนั้นนะ พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆมา พระพุทธเจ้ามีหลายองค์ ที่เขาเลื่อมใสพระพุทธเจ้าองค์ก่อน พอตายจึงได้ขึ้นสรรค์ จนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเขาจึงหมดบุญ พอจะเข้าใจไหม จากคุณ : methad - [ 2 มิ.ย. 51 08:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สงสัยจังว่าตา เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) ตายไปแล้วจะได้เป็นเทวดากะเขาได้ไหม  เพราะนิพพานยังห่างไกลจากเขามากนัก  แต่เทวดาก็เป็นไมได้  นิพพานก็ไม่ได้  แล้วตาแกจะไปอยู่แบบอวิชชาพาไปอย่างไรหนอ...? เหมือนดังที่ คคห. 1 คิด  คนที่คิดเช่นนี้อันตรายต่อพระพุทธศาสนาและต่อวัฏฏสงสารที่ตนอันอนัตตาแบบอุปโลกตนเองทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงความเข้าใจจริงในหลักอนัตตาเลยจักต้องพลาดพลั้งเข้ารกเข้าพงกันไป  ที่ว่าอันตรายเพราะเขามองโลกด้านเดียว  และเป็นด้านที่เข้าเองก็เข้าไม่ถึงจริงเสียด้วย  กิเลส  กรรม  วิปากยังตามให้ผลอยู่  ท่านยังท่องเที่ยวไปตามเหตุคืออวิชชาผู้นำไปอยู่  แล้วท่านประมาทในสิ่งเหล่านี้ได้หรือ...?  เมื่อคิดว่าไม่ประมาทก็ไม่ควรปฏิเสธ  เมื่อไม่ปฏิเสธก็ควรเข้าถึงความจริง  แล้วอาการที่ใครๆ พูดถึง นรก-สวรรค์  เทวดา - พรหม  เปรต - สัตว์นรก ฯลฯ ก็จักไม่ทำให้คุณๆ เดือดร้อน  ถึงขนาดต้องออกมาแสดงทิฏฐิของตน  ซึ่งเป็นราคาคุยเท่านั้นเอง... จากคุณ : สมถะ - [ 2 มิ.ย. 51 15:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นเทวดาแล้วใยต้องมาเดินดิน เอนกายบนดิน กินข้าวแกงทุกมื้อ....  หุหุ   เรื่องของความเชื่ออะ  ใครรู้ว่าพิสูจน์ได้จริง หรือไม่จริง เทวดา่คงเซ็งถ้า คนไปขอท่านมาก ๆ แบบสมัยจตุคาม ก้นท่านก็จะร้อน  จนเป็นริดสีดวง.. จากคุณ : นบนอบ - [ 3 มิ.ย. 51 14:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เทวดา แบบพราหมณ์ ..มีได้ ด้วย อวิชชา ..จริงไหม เทวดา ตาม พุทธวิชชา ตามที่ตรัสไว้นั้น ...ย่อม ต่างไปจาก เทวดา แบบพราหมณ์ แน่นอน ..จริงไหม ดังนั้น ..อย่า มั่ว เพราะ อวิชชา นะครับ เทวดา ตาม พุทธวิชชา ตามที่ตรัสไว้นั้น ....ได้แก่ ฉผัสสายติกะสวรรค์ ฯ อย่าลืม ที่ตรัสว่า ....อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของสัตว์เหล่านั้น..... ใครเข้าใจ พระพุทธวจนะ ....อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของสัตว์เหล่านั้น.....? ระวัง ....สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ ครับ ระวัง ...ผู้ที่ ตั้งตนเป็น ผู้รู้ นะครับ ..............พระพุทธองค์ยังทรงยังอยู่............... จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) - [ 4 มิ.ย. 51 01:05:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณหลาย ๆ ความเห็นนะครับ แต่ก็ไม่วายยังมีบางความเห็นที่พยายามยั่วยุให้กระทู้นี้กลายพันธุ์นะครับ แม้ว่าจริง ๆ แล้วที่ตั้งกระทู้ถาม อยากจะทราบจากคนที่รู้จริง ๆ(รู้แจ้ง) อ่ะครับ ไม่ใช่แค่จากการอ่านตำรา หรือพระไตรปิฎกแล้วมาอธิบายต่อ... เข้าใจว่าคงมีไม่กี่คนที่มีประสบการณ์จริง และตอบคำถามนี้ได้ในห้องนี้ แต่ก็ขอขอบคุณสำหรับหลาย ๆ ความเห็น(ที่ไม่ยั่วยุให้เกิดการทะเลาะวิวาท) จขกท. เองชอบความเห็น 2 คุณโกวิทย์มากที่สุด ----------------------------------------------------------------------------- ตามความคิดเห็นของผมนะครับ ถ้าเทวดา..พระพรหมมีจริง(มีบันทึกในพระไตรปิฎกบ้างนะครับ...แต่ผมเชื่อ 50 % เพราะยังไม่เคยเจอกะตัวเอง)สามารถบรรลุเป็น พระอริยบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาบัน ไปจนถึง พระอรหันต์ได้....แต่ก็อาจจะยากหน่อยครับเพราะท่านเหล่าจะมีสุขมากกว่าทุกข์(ผมสังเกตุจากตัวเองขณะที่ผมมีความสุขเกิดขึ้นส่วนมากจะจมอยู่กับความสุขนานๆนะครับมันทำให้ไม่ค่อยเห็นไตรลักษณ์ซึ่งเป็นจะบอกถึงลักษณะที่แท้จริงของธรรมมะนะครับ..สุขจะติดง่ายกว่าทุกข์ครับ) ส่วนคำอธิบายอีกแบบผมจำครูบาอาจารย์มาครับ..ท่านบอกว่าเทวดา..พระพรหมไม่ค่อยมีทุกข์ให้รู้ให้ดูเลยไม่เห็นไตรลักษณ์ท่านเทียบกับเวลาคนที่เข้าอรูปฌาน นะครับส่วนใหญ่จะติดสุข สงบที่นั้นครับ(ซึ่งก็มีเหตุผลทำให้ผมนึกถึงคนในสมัยพระพุทธเจ้าที่สามารถเข้าฌานกันได้เยอะแยะแต่ก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้..จนพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนถึงค่อยๆบรรลุธรรมนะครับ) จากคุณ : โกวิทย์ ------------------------------------------------------------------------- โดยส่วนตัว เข้าใจว่าคุณโกวิทย์น่าจะยังอายุไม่มาก ไม่น่าจะเกิน 25 ปี และน่าจะเริ่มสนใจในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังจนเกิดศรัทธามาก ๆ เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ความเห็นของคุณดูจะใสซื่อ บริสุทธิ์ และเกิดจากประสบการณ์จริง ๆ ไม่ได้อิง/ยึดติดกับตำรับตำราใด ๆ จนเกินไป แต่เกิดจากการสังเกตุมองตัวเอง เป็นคำตอบที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับผม ชอบครับ ค.ห. นี้จริง ๆ ครับ จากคุณ : Sirtraderlot - [ 4 มิ.ย. 51 03:39:54 ]