ความคิดเห็นที่ 1 ผู้ที่ไม่ได้บรรลุธรรมแม้อยู่เบื้องหน้าพระพักต์ก็มีมาก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ผมพิจารณาเรื่องนี้มาหลายรอบทีเดียว เราทำเหตุปัจจัยปัจจุบันเราให้พร้อมดีที่สุดครับ จากคุณ : EndEarth - [ 19 มิ.ย. 51 01:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โดยส่วนตัวคิดว่า อาจจะเพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้จักใบไม้ทั้งป่าและเลือกมาใช้ให้เหมาะสมและถูกจริตถูกเวลากับผู้ฟังธรรมครับ  พระสงฆ์ที่บรรลุแล้ว หรือพระไตรปิฏกเองก็ตามไม่สามารถถ่ายทอดได้เหมือนกับตัวพระพุทธเจ้าเองไปสอนบุคคลอื่นครับ   พระสงฆ์เองแม้จะบรรลุธรรมแล้ว ก็ไม่ได้รู้จักใบไม้ทั้งป่าเหมือนพระพุทธเจ้า  บางท่านเองก็ไม่ได้มีทักษะในการถ่ายทอดธรรมะอีกด้วย (ขาดความเป็นครู จะเห็นได้ว่า อาจารย์บางคนเก่งมาก แต่สอนอะไรแล้วคนฟังไม่รู้เรื่องก็มี)  นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัจจุบันบรรลุธรรมกันไม่ได้นะครับ เพียงแต่จะไปเทียบให้บรรลุกันเยอะๆ มากๆ ทีเดียวเหมือนครั้งพุทธกาลนั้นคงไม่ได้ จากคุณ : goddance - [ 19 มิ.ย. 51 02:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนาเสื่อมไปเยอะครับ ไปไม่ต้องถึงขั้นบรรลุธรรม เอาแค่ระดับถือศีล นี่ก็ยากมากแล้ว จากคุณ : Panda-baker - [ 19 มิ.ย. 51 03:05:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรียน จขกท. คุณ : รอยกาล ขอตอบเลยนะ ข้อแรก ท่านถามว่า ทำไมสมัยพุทธกาล ผู้บรรลุธรรมต่อเบื้องพระพักตร์จึงมีจำนวนมาก ขอตอบว่า เป็นเพราะประวัติศาสตร์เขียนไว้เช่นนั้น ซึ่งเรื่องนี้จะว่าจริงก็ได้ หรือไม่จริงก็ได้ เพราะการบรรลุธรรมนั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละตัวบุคคลเอง พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ส่วนการจะบรรลุหรือไม่นั้น ท่านต้องปฏิบัติเอาเอง คำบอกของพระองค์นั้นก็คือ “พระธรรม” ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ด้วยว่า ขนาดพระอานนท์ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ จำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ตอนนั้นบรรลุเป็นพระโสดาบันเท่านั้น ท่านมาบรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ด้วยความพากเพียรพยายามของท่านเองต่างหาก และยังมีพระในสมัยพุทธกาลอีกจำนวนมากที่บรรลุ โดยยังไม่ได้เคยพบพระพุทธเจ้าเลยด้วยซ้ำ แต่บรรลุจากการเรียนและฝึกกับพระสาวก ที่ออกไปเผยแพร่พระธรรม ข้อที่สอง ท่านถามว่า ตามพุทธประวัตินั้น พระองค์ทรงเทศน์เรื่องอะไรเป็นส่วนใหญ่ ขอตอบว่า พระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนเรื่องอริยสัจสี่ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นก็คือ เรื่องอริยสัจสี่ ข้อที่สาม ท่านถามว่า แล้วจะเกิดขึ้นได้ไหมกับคนยุคปัจจุบัน คำตอบก็คือ ปัจจุบันก็มีผู้บรรลุธรรมเยอะแยะไป แต่โดยปกติแล้วท่านเหล่านี้จะไม่แสดงตัว และปุถุชนคนทั่วไปก็แยกแยะไม่ได้ว่า ใครบรรลุธรรมแล้วหรือไม่ คนที่จะรู้ว่าคนอื่นบรรลุธรรมหรือไม่ คน ๆ นั้นก็ต้องเป็นคนที่บรรลุธรรมระดับสูงเท่านั้น ขอให้ท่านโชคดี และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรม . หมายเหตุ การบรรลุธรรมนั้น ก็เหมือนกับการที่ท่านไปเรียนว่ายน้ำ แล้วท่านก็ว่ายน้ำเป็น จึงขอถามท่านว่าการที่ท่านว่ายน้ำเป็นนั้น ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง หรือขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นครูผู้สอน ????? พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า พระองค์ทรงเป็นผู้บอกทางเท่านั้น แต่การที่ใครจะบรรลุมรรคผลได้จริง ๆ หรือไม่นั้น แต่ละท่านต้องลงมือปฏิบัติเอาเอง ส่วนคำบอกทางของพระพุทธเจ้านั้น ก็คือ "พระธรรม" ซึ่งก็ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ .. กรุณาอ่านกระทู้เก่า ที่เกี่ยวข้อง ตามลิงค์ข้างบ่างล่างนี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6671105/Y6671105.html แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 51 09:03:21 จากคุณ : kongsilp2000 - [ 19 มิ.ย. 51 06:42:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คนที่มีบุญ ถึงขั้นจะบรรลุนิพพาน ก็จะตามพระองค์มา เกิดด้วยเช่นกัน.... ส่วนที่ยังไม่บรรลุ ก็ต้องตามมาเกิดชาติต่อๆไป จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า - [ 19 มิ.ย. 51 08:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามพุทธประวัตินั้นพระองค์ทรงเทศน์เรื่องอะไรเป็นส่วนใหญ่ครับ แล้วจะเกิดขึ้นได้ไหมกับคนยุคปัจจุบัน จากที่รักดีอ่านมาส่วนมากพระองค์ท่านเทศน์เรื่องอริยสัจสี่ สาเหตุที่มีผู้บรรลุธรรมกันมาก น่าจะเป็นเพราะภาษาที่ใช้คือภาษาเดียวกัน ผู้เทศน์และผู้ฟัง เข้าใจถึงเนื้อความได้ดี คนไทยส่วนมากๆไม่ค่อยรู้ภาษาบาลีที่ลึกซึ้ง นอกจากว่าต้องเรียนแบบจริงๆจังแบบเช่นเรียนภาษาอังกฤษประมาณนั้น และคนที่ฟังแล้วตีความเข้าใจโดยใช้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง การเข้าใจโดยแจ่มแจ้ง เป็นการเข้าใจและเห็นด้วยสติปัญญา เรียกว่า ธรรมจักษุ หรือมีดวงตาเห็นธรรม เห็นธรรมคือ เห็นสัจธรรมตามความเป็นจริง ว่าทุกข์ว่า ทุกดับว่า ปฏิบัติแบบนี้แล้วจะดับทุกข์ได้จริง ในสมัยนี้ จึงเรียกผู้มีดวงตาเห็นธรรมว่า พระโสดาบัน ซึ่งฟังๆดูแล้วกลายเป็นเพิ่มยศเพิ่มตำแหน่ง ซึ่ง ในความเป็นจริง เป็นเพียงอาการอาการหนึ่งของผู้เข้าใจธรรมหรือผู้มีดวงตาเห็นธรรม ในหลักศาสนาพุทธ หัวใจสำคัญคือไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้ในยศตำแหน่งใดๆทั้งสิ้นเพราะจริงๆแล้ว คนเราก็คืออนัตตา ไม่เที่ยง และไม่เที่ยงในทุกๆอย่าง ในยุคปัจจุบัน ศาสนาพุทธ ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือก นอกเสียจากจะมีใครเห็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาและดึงเอาเนื้อแท้ คือหลักอริยสัจสี่ และมีพระอริยมรรคมีองค์แปดมาปฏิบัติ ได้จริงๆ หลักศาสนาพุทธ แท้ๆที่จะปฏิบัติในการดับทุกข์ไม่มีอะไรมากมาย เปรียบไปแล้วคือใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบเอาไว้ แค่เข้าใจเรื่องหลักอริยสัจสี่ให้ถ่องแท้และนำหลักปฏิบัติมาปฏิบัติใช้ก็จะเข้าถึงพระพุทธองค์และตรงตามจุดประสงค์ของพระองค์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา การเข้าใจหลักอริยสัจสี่ คือการเข้าใจและเห็นจริง ไม่ใช่ท่องจำเอา ว่าทุกข์คืออะไร นิโรธคืออะไร แต่ต้องเห็นตัวทุกข์จริงๆว่าทุกข์นั้นมันเป็นเช่นไรและมีอาการอย่างไรเมื่อเกิดขึ้น เห็นจริงจนกลัวทุกข์และไม่อยากจะทุกข์อีก เหมือนคนเคยกำเหล็กร้อนๆ จะรู้สึกว่ามันร้อนมากมายแค่ไหน กลัวไหมหากให้จับอีก แล้วจะเกิดขึ้นได้ไหมกับคนยุคปัจจุบัน ขอตอบว่าเกิดได้ ที่เกิดได้เพราะ หลายสาเหตุ ต่างๆเช่น ได้ฟังธรรมจากพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนเข้าใจและเห็นจริง ได้อ่านเนื้อความในหนังสือแล้ว เห็นจริงและคล้ายๆกับได้ฟังพระธรรมจากเบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธองค์  แล้วนำมาปฏิบัติ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 51 08:41:59 จากคุณ : รักดี - [ 19 มิ.ย. 51 08:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ่อ... เคยอ่านเรื่องกรจุติของบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ที่ขึ้นอยู่กับ บุคคล กาล สถานที่ อันเหมาะสม การบรรลุธรรมของผู้คนในครั้งพุทธกาล ผมเข้าใจว่า สมัยนั้น ความเจริญทางด้านจิตใจ ในชมพูทวีป ก็มีความก้าวหน้าในระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ ผู้คนในสมัยนั้นมีกิเลสบางเบา(กว่าสมัยนี้) กล่าวคือ ลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรมที่ปฏิบัติจนเคยชิน แต่ในที่นี้ หมายถึง ลักษณะนิสัยทางจิต หรือความคิดที่เคยชิน ซึ่งควรแก่การเข้าใจและฝึกได้ง่ายกว่า หากนำลักษณะนิสัย(ทางจิต) ของคนสมัยนั้นมาเทียบกับปัจจุบัน ก็คล้ายกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใด อย่างเช่น สมมติให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการออกกำลังกาย ให้คนหันมาออกกำลังกายด้วกยารวิ่งคนละ 5 กม. มันคงจะง่ายมาก สำหรับผู้ที่มีลักษณะนิสัย ที่เคยออกกำลังกายเป็นประจำ วันละ 10 กม. และเป็นสิ่งที่ปกติธรรมดา ของคนที่เคยวิ่ง วันละ 5 กม. หรือ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มอีกซักหน่อย สำหรับผู้ที่เคยวิ่งวันละ 2 กม. แต่นั้นจะสร้างความยากลำบากให้กับผู้ที่ไม่เคยวิ่งออกกำลังกายเลย เช่นเดียวกับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ คนรวยๆ ที่มีปกตินิสัยเป็นผู้มัธยัส ก็คงไม่รู้สึกลำบากซักเท่าไหร่ ขณะที่ ชนชั้นกลาง หรือ ระดับล่าง ที่หากมีปกตินิสัยในจับจ่าย เพื่อตอบสนองความต้องการแล้ว ก็อาจจะเกิดความรู้สึก ทุกข์ยาก ลำบากใจมากกว่า ในการที่จะควบคุมพฤติกรรมของตน ไม่ต่างกับ พฤติกรรมในส่วนที่เป็นความสามารถทางด้านร่างกาย เห็นได้ชัดในการเล่นกีฬา การแสดงพฤติกรรม หรือความสามารถนั้นๆ จะง่ายกว่าสำหรับ ผู้ที่มีพฤติกรรมนั้นบ่อยๆ(นิสัย) ซึ่งหมายถึง ผู้ที่เคยผ่านความยากลำบาก เพื่อที่จะทำให้การแสดงออก หรือพฤติกรรมนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ และ ใช้ความสามารถได้อย่างมั่นใจ ซึ่งพฤติกรรมทางความคิด ก็เช่นเดียวกัน คนที่มักโกรธ กิเลสหนา ตัญหามาก จากสภาพแวดล้อมหรือสิ่งกระตุ้น ให้กระบวนทำงานทางจิตเป็นไปในลักษณะนั้น การปรับเปลี่ยนพติกรรมทางความคิด น่าจะเกิดขึ้นควบคู่กับการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม แต่ถ้าปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไม่ได้ ก็หมายถึงการใช้ความพยายามให้มากกว่าเดิม ซึ่งก็จะส่งให้เกิดผลดีได้เหมือนกัน เปรียบเช่นการ วิ่ง บนถนน กับการวิ่งบนทรายชายหาด การวิ่งบนทราย ย่อมยากกว่า ใช้แรงมากกว่า แต่ผลก็คือ ทำให้แข็งแรงมากกว่า จากคุณ : นายไวรัส - [ 19 มิ.ย. 51 09:48:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 - สะสมบารมี มามากพอ - มีบุพเพกับพระพุทธเจ้ามาแต่ชาติปางหลัง (ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ) อาจจะเคยช่วยเหลือกันมาก่อน หรือเคยทำบุญด้วยกันมา จากคุณ : ตะวันสีชมพู - [ 19 มิ.ย. 51 10:05:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพราะบารมีของคนในยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า    ต่างก็มีบารมีเต็มเปี่ยมกันแล้ว แก่กล้าสุกงอมแล้ว   ส่วนมากก็เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาก่อนแล้วในอดีตชาติ และพระพุทธเจ้าทรงใช้พลังจิตอันเป็นพุทธานุภาพของพระองค์แผ่กระจายเข้าช่วยในขณะกำลังทรงแสดงธรรม ..... เรื่องนี้ใครที่เคยฟังการอบรมธรรมแนวปฏิบัติจากครูบาอาจารย์สายพระป่าที่มีพลังจิตสูงๆ   คงจะทราบกันดี  ไม่มีข้อน่าสงสัยอะไร   ว่าขณะกำลังฟังท่านเทศนาธรรมอยู่นั้น   ถ้าขณะนั้นผู้ฟังสังเกตดีๆ กำหนดดูในใจตนเองขณะกำลังกำหนดสติตามไปด้วยนั้น  ก็จะรู้สึกชัดเจนถึงพลังของครูบาอาจารย์แผ่กระจายออกมาครอบงำไปทั่ว ทำให้ผู้ฝึกกำหนดจิตได้ ง่าย  ,ไว , สบายกว่าเดิมที่ฝึกด้วยตนเองคนเดียว อย่างมาก ... แต่ยุคนี้ จะหาฟังธรรมะลักษณะนี้ยากไม่น้อยแล้ว จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 19 มิ.ย. 51 12:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบคล้ายๆกันครับ คนที่ได้เกิดในสมัยพุทธกาลนั้น คงสั่งสมบุญมาดีแล้ว ได้เกิดในสมัยนั้น แล้วยังได้เข้าเฝ้าอีกด้วย ผมว่าเป็นเรื่องของบุญเก่า หรือการอธิษฐานมาดีมากๆเลย จากคุณ : CG Guitar - [ 19 มิ.ย. 51 15:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในสมัยพุทธกาล  ผู้คนที่มาเกิดส่วนใหญ่ได้สะสมบุญทานบารมีกันมาอย่างยาวนาน (แม้แต่พระพุทธเจ้าที่เคยอธิษฐานจิตเป็นพระพุทธเจ้าก็ผ่านการบำเพ็ญคุณความดีมาอย่างยาวนานหลายแสนชาติภพ) และก็มีบุญพอที่จะบรรลุอรหันต์ได้ในพุทธันดรขององค์ส้มมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ แต่ปัจจุบันนี้อาจารย์หลายท่านบอกไว้ว่า บรรดาเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานได้ถึงเวลามาเกิดเยอะมาก จึงดูเหมือนว่าศาสนาพุทธเสื่อมลง แต่ควรทราบว่าผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูงตั้งแต่โสดาปติผล จนถึงอรหัตผลมีจำนวนมากเพียงแต่ไม่ได้แสดงตัวเท่านั้น จากคุณ : AnalystX - [ 19 มิ.ย. 51 16:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ จากคุณ : จขกท. (รอยกาล) - [ 20 มิ.ย. 51 06:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พวกบัวพ้นน้ำน่ะครับ อายุของพระพุทธเจ้าน้อยนิดเมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านต้องแข่งกับเวลา http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=10&A=0 จากคุณ : life-x-zone - [ 20 มิ.ย. 51 11:11:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14              ควรพิจารณา 2 นัยประกอบกัน ดังนี้ :-              1. พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อว่า                   อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ                   เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า                   คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า     http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=พุทธคุณ                                   2. จักร ๔ http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=จักร_4 แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม              สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                      หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html              เรื่อง                   ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก                   การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ                   มหาทาน                   ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑                   ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒                   กาลทาน ๕ อย่าง                   ให้ทานในที่ใดมีผลมาก                   ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท                   สังฆทาน ๗ ประเภท                   ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน                   ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน                   เรื่องเศรษฐีเท้าแมว                   ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔                   อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง                   ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖                   ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ - [ 21 มิ.ย. 51 02:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 งืม ๆ สมัยพระพุทธกาล พระวิปริต อลัชชี ในพระพุทธศาสนาก็มีมากครับ คน ก็กิเลส หนา เหมือน กับคนสมัยนี้แหละครับ ไม่ได้ต่างกันหรอกครับ แต่ที่สงสัยว่า ทำไมมีผู้มาฟังเทศแล้ว บรรลุโสดาปัติผล กันมาก คิดกันง่าย ๆ ผู้ที่จะเข้าไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เหมือน กับผู้ที่กระหายน้ำมาก เมื่อได้ยินว่ามี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหมือนได้พบแหล่งน้ำ แต่น้ำนั้นกลับไม่ใช่น้ำธรรมดากลับกลายเป็นน้ำทิพย์ เป็นธรรมอันยิ่ง ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอย่างฟังให้มากยึ่งขึ้นไปอีก ส่วนคนที่ไม่รู้ไม่สนใจ ไม่เข้าฟังธรรม ก็ยังคงมีมากเสียยิ่งกว่า เช่นเดียวกันเหมือนกับสมัยนี้แหละครับ ในปัจจุบันกาลก็เหมือนกัน คนที่กระหายน้ำมีมากมาก ถ้าได้มีปฏิปทาเพื่อที่จะหาทางพ้นทุกข์ แล้วเมื่อได้ศึกษา พระธรรม มีความวิริยะ อุตสาหะ ก็ย่อมบรรลุธรรม ของพระพุทธเจ้าได้เช่นเดียวกับสมัยพระพุทธกาล ต่างกันตรงที่ว่า ยุคนี้คนก็มีมาก ผู้ประกาศศาสนาก็มีมาก มีทั้งจริง ทั้งหลอก ทั้งยังไม่มีผู้ตัดสินอย่างเฉียบขาดว่า อันใดคือธรรมให้พ้นทุกข์ อันไหนไม่ใช่ผู้คนที่หิวกระหาย ก็หลงไปกินน้ำคลองน้ำโคลน น้ำปลักบ้าง แต่ก็ยังมีผู้บรรลุอรรถธรรมขั้นสูงมากมายด้วยความเพียร เหมือนเดิมล่ะครับ จากคุณ : MaJinSKi - [ 21 มิ.ย. 51 14:24:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : จขกท. (รอยกาล) - [ 22 มิ.ย. 51 00:32:29 ]