ความคิดเห็นที่ 1 เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว คนในสมัยก่อนมีความเชื่อในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนวิชา ไสยศาสตร์ คาถาอาคม โดยเมื่อถึงวันสำคัญตามความเชื่อของผู้ที่เรียน ก็จะมีการปล่อย “ของ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง คาถาอาคม ผี หรือเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกไปเพื่อทดลองวิชา และเมื่อของ ผี หรือเวทมนตร์ดังกล่าวไปถูกหรือกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง หากใครทัก ของนั้นจะเข้าตัวคนที่ร้องทัก ซงอาจเป็นตะปู หรือ หนังควายเข้าท้อง ทำให้เจ็บป่วยหรือตายได้ ฟังแล้วน่ากลัวมาก ดังนั้นในตอนกลางคืน หากมีใครมาเรียกหรือมีเสียงอะไรที่แปลกๆคนสมัยก่อนจะเงียบไม่ขานรับนอกจากจะแน่ใจว่าเป็นเสียงคนที่คุ้นเคยจึงจะขานรับ คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัดระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคนมาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว นั่นเอง จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 00:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ห้ามตัดเล็บกลางคืน วิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข การดำรงชีวิตประจำวันของคนในสมัยก่อนจะยังไม่มีค่อยใส่ใจในด้านการดูแล รักษา สุขภาพ อนามัยของตัวเองอย่างเช่นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ในสมัยนั้นจะไม่มีของเล่นเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเด็กๆ จึงมักจะเล่นปั้นดินเหนียว เป็นลูกกระสุน ปั้นวัว ปั้นควาย ปั้นตุ๊กตา หรือวิ่งตีวงล้อที่ทำจากไม้ไผ่ นำมาโค้งเป็นวงกลม รองเท้าก็ไม่ใส่ เล็บมือเล็บเท้าจึงดำมีแต่ขี้ดินขี้โคลนแทรกอยู่ พอกลางคืนก็จะนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียน และครูก็จะมาตรวจความสะอาด จึงต้องรีบตัดเล็บ แต่กรรไกรตัดเล็บก็แสนจะหายาก บางคนจึงต้องใช้วิธีการใช้ปากกัดเล็บทีละเล็กละน้อยจนสั้น แต่ก็จะดูไม่เรียบสวยเท่ากับใช้มีดตัด ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช้มีดเหลาดินสอก็มักจะใช้มีดเจียนหมากของ ย่า ยายตัดเล็บ ดังนั้น การใช้มีดเจียนหมาก หรือมีดเล็ก ๆ ตัดเล็บของคนในอดีต จะทำให้ตัดเล็บได้ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัยเท่ากรรไกรตัดเล็บในปัจจุบัน คนโบราณจึงห้ามตัดเล็บเวลากลางคืน โดยอ้างเป็นอุบายว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข เพราะการตัดเล็บกลางคืนจะทำให้มีดบาดนิ้วได้ เนื่องจากในสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ตะเกียงน้ำมันวับๆแวมๆ ซึ่งให้แสงสว่างไม่เพียงพอ ถ้าตัดเล็บกลางคืนก็จะบังคับมีดได้ยาก อีกทั้งไฟที่สว่างแบบวูบวาบทำให้เกิดแสงและเงา อาจจะตัดเอาเนื้อแทนที่จะตัดเล็บก็ได้ จึงห้ามตัดเล็บกลางคืน อุบายที่อ้างว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุขนั้น เนื่องจากคนไทยมีความกตัญญูเคารพรักและผูกพันกับบรรพบุรุษ มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ จึงไม่ต้องการให้วิญญาณบรรพบุรุษต้องเป็นทุกข์ เพราะการกระทำของตน ข้อห้ามข้อนี้ตรงกับข้อห้ามของชาวภาคใต้ โดยใช้อุบายว่า “ห้ามตัดเล็บกลางคืนอายุจะสั้น” จุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกมีดหรือของมีคมที่ใช้เจียนเล็บบาดนิ้ว จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 01:00:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เนื้อเรื่อง พรนิภา บัวพิมพ์ ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต   สำหรับในตอนต่อไป จะเป็นโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรื่อง ห้ามตากผ้าข้ามคืน กระสือจะเช็ดปาก และ ห้ามนอนทับตะวัน เจตภูติจะออกจากร่าง โปรดติดตามนะครับ จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 01:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ห้ามตัดเล็บเพราะกลัวมีดบาดนิ้ว ก็บอกเด็กไปตรง ๆ ก็ได้นี่ครับ  เป็นเพราะอย่างงี้เอง คนไทยถึงเป็นคนไม่มีเหตุผล เชื่อเรื่องโชคลาง ผีสาง นางไม้ บ้าหวย จากคุณ : อย่าสืบทอดความงมงาย (smokie) - [ 26 ก.ย. 51 05:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เด็กๆ ไม่ฟังหรอกคะเหตุผล คนโบราณเลยต้องเอาความเชื่อ ความกลัวมาสั่งสอน และสมัยก่อนความเชื่อเรื่องลึกลับมีอยู่ทั่วทุกที่ในโลกนี้ เพราะวิทยาการณ์ยังไม่ก้าวหน้า ตอนเราเป็นเด็กๆ กันมีบางแหละที่จะไม่ฟังคำห้ามของผู้ใหญ่ เช่นเล่นซ่อนหา(ซ่อนแอบ)ตอนกลางคืน ถ้าไม่บอกว่าผีจะมาเอาตัวไปนะ ไม่เข้าบ้านให้ยากหรอก แอบมืดๆ ดีออก เพื่อนหาไม่เจอ อิอิ เป็นการป้องกันอันตรายต่างๆ สัตว์ร้ายและการพลัดหลง ของผู้ใหญ่สมัยก่อน และที่สำคัญ เด็กๆ มันไม่ยอมกลับมากินข้าวเย็นซักที ขี้เกียจรอ จากคุณ : หัวโต๊ะโต่ะ~ - [ 26 ก.ย. 51 06:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนเป็นเด็ก ก็โดนกุศโลบายแบบนี้เหมือนกันครับ จริงอยู่ว่า กุศโลบายแบบนี้ อาจไม่เหมาะกับทุกยุคสมัย เช่นยุคนี้ เพราะสภาพสังคม เทคโนโลยี การศึกษา การเรียนรู้ของเด็กในแต่ละยุคต่างกัน แต่ก็นับว่า กุศโลบายแบบนี้ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่น่าสรรเสริญครับ อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ ที่นำเกร็ดความรู้ของบรรพชนมาแบ่งปัน ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 51 07:21:17 จากคุณ : deedang - [ 26 ก.ย. 51 07:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เล่าสู่กันฟังนะคะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เมื่อเดือนสิงหาคมเป็น Hungry Ghost Festival ของที่นี่ ดิฉันไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ ช่วงแรกๆ ที่มา เห็นเขามีเวทีการแสดงอุปรากรจีน คนแสดงก็แสดงไป แต่ไม่มีคนดู ตามถนนก็จะมีคนเอาอาหารมาวาง จุดธูปเทียน เผากระดาษเงิน กระดาษทองกันควันคลุ้ง เพื่อนร่วมงานกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ไม่มีใครอยากอยู่ทำงานดึกๆ ผ่านไปอย่างปกติหลายปีจนมาปีนี้ กำลังเดินออกจากตึกที่ทำงาน เดินผ่านสวนเล็กๆ ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตอนเลี้ยวออกถนนที่ค่อนข้างมืด ดิฉันเป็นคนต่างชาติ ชื่อไทยๆ ออกเสียงยากสำหรับคนที่นี่ แต่เสียงนั้นคือเสียงเพื่อนคนไทยของดิฉันชัดๆ ซึ่งเธอกลับบ้านไปก่อนแล้ว ดิฉันไม่ได้ตอบหรือหันหน้ากลับไป อ้อ เป็นอย่างนี้เองหนอ แล้วก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับ ดิฉันเดินกลับบ้าน แวะซื้อของ โดยมีอะไรที่ว่านั่น ตามไปเล่นงานดิฉันถึงบ้านทีเดียวค่ะ จากคุณ : บุษยมาศ - [ 26 ก.ย. 51 08:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรียนถามคุณ ebusiness ค่ะ แล้วเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาบอกว่าเด็ก ๆ ห้ามกินพุงปลาล่ะคะ เพราะกินแล้วเด๊วจะโง่ หรือปัญญาอ่อน จริง ๆ แล้วเป็นมุข เพราะพุงปลาอร่อย ใช่มั้ยล่ะ จากคุณ : รัตนมาลี - [ 26 ก.ย. 51 09:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาบอกว่าเด็ก ๆ ห้ามกินพุงปลาล่ะคะ เพราะกินแล้วเด๊วจะโง่ หรือปัญญาอ่อน จริง ๆ แล้วเป็นมุข เพราะพุงปลาอร่อย ใช่มั้ยล่ะ     จากคุณ : รัตนมาลี   ------------------------------------------------ รักดี  มีความเห็นดังนี้ค่ะ.............................. คงเป็นเพราะส่วนที่เป็นพุงปลาอาจจะมีพญาธิอยู่ก็ได้ เช่นปลาย่าง ตรงส่วนพุงอาจจะไม่สุกดี กินเนื้อที่สุกจะปลอดภัยกว่าส่วนพุงที่พญาธิจะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  เด็กๆกินเข้าไปแล้วจะมีพญาธิทำให้ไม่อ้วนซูบซีด  และโตช้า จากคุณ : รักดี - [ 26 ก.ย. 51 09:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ ^ ^ รับทราบ ja........ จากคุณ : รัตนมาลี - [ 26 ก.ย. 51 09:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 7 ^ || || อมนุษย์ที่ไม่ใช่เทวดาเขาจะรับกุศลไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ แต่กรณีนี้เกรงว่า เพราะเขาจําคุณได้ค่ะ อีกอย่างแสดงว่าในเขตบ้านไม่ใช่เขตที่เทวดารักษาอยู่ให้เขาเกรงใจด้วย แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 51 10:00:32 จากคุณ : oor_dt - [ 26 ก.ย. 51 09:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เพิ่มเติมอีกนิด แต่รับเมตตาได้นะคะ หากผู้ส่งต้องมีกําลังพอ จากคุณ : oor_dt - [ 26 ก.ย. 51 10:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^^ ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยแจมครับ เห็นเหมือนคุณ oor_dt อมนุษย์บางประเภทนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเราว่าเราบอกบุญให้ เขาอาจจะได้ยินแต่ไม่อนุโมทนาเพราะไม่มีอุปนิสัย คือไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ไม่อนุโมทนาบุญ เลยไม่ได้บุญครับ จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 10:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผ่านมาอ่าน...   จากคุณ : ชายยอดนักทดลอง - [ 26 ก.ย. 51 10:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องเล่าของคุณบุษยมาศ น่าสนใจ แหม อยากให้เล่าต่อจัง .... (อยากรู้ ว่างั้นเถอะ) จากคุณ : ข้าวหน้าตาดี - [ 26 ก.ย. 51 10:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ^^ความคิดเห็นที่ 13  ต่อครับ ประมาณอาทิตย์ก่อนผมเจอร้านขายขนมสำหรับหมา ที่นำหนังสัตว์มาทำเลียนแบบอาหารเช่น แผ่นมันฝรั่งเลย์ กระดูก ไส้กรอก หมูแฮม จึงตั้งใจซื้อไปไปฝากหมาข้างถนนสองสามตัวที่อยู่แถวบ้าน ที่ผ่านมาซื้อไก่ย่างไม้เลี้ยงประจำ แต่วันนี้ตั้งใจให้ลองของใหม่ พอเจอมันก็ยื่นให้  แต่มันก็แค่ดมๆ  เพราะไม่มีอุปนิสัย คือไม่รู้จักอาหารแบบนี้คืออะไร เพราะไม่ได้รับ เลยไม่ได้กิน ทั้งที่มันก็รู้ว่ายื่นของกินให้ (หรือสงสัยอยากกินไก่ย่างมากกว่า) จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 11:08:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ชอบจังกระทู้นี้ แล้วก็ชอบแนวคิดความเชื่อทำนองนี้ด้วย เราเชื่อว่าคนโบรณมีเหตุผลที่จะอ้างอะไรทำนองนี้ บางทีก็ขำๆ แต่เราก็ชอบ บางที่เราไม่เชื่อเราก็ฟังเฉยๆ โหวตให้นะคะ ชอบจริงๆเลย จากคุณ : น้อมเศียรเกล้า - [ 26 ก.ย. 51 12:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านความคิดเห็นที่ 7 ของคุณบุษยมาศ แล้วขนลุกเลยอ่ะ ยิ่งเป็นโรคปอดอยู่   สรุปคุณบุษยมาศไม่ได้อยู่เมืองไทยเหรอจ๊ะ วันก่อนนั่งทำงานอยู่คนเดียวตอนเย็น  น้อง ๆที่แผนกกลับไปหมดแล้ว ได้ยินเสียงคนไขกุญแจห้อง จึงลุกไปดู ก็ไม่เห็นมีใคร พอกลับมานั่งทำงานต่อ ก็ได้ยินเสียงเหมือน printer ดังอีก  ไม่รู้หูแว่วหรือเปล่า  เลยตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า   555 จากคุณ : AYXC - [ 26 ก.ย. 51 13:50:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพประกอบคำบรรยายสวยจัง จากคุณ : apple_meppo - [ 26 ก.ย. 51 16:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คห.ที่ 14 ครับ เจอกันอีกแล้ว โบราณว่าดวงชะตาตรงกัน แต่ปัจจุบัน  ว่า  ถ้าไปที่แปลกๆ ตอนกลางคืน แล้วแว่วเสียงวังเวง ให้อุทิศบุญให้สรรพสิ่ง; สรรพสัตว์; สรรพเทวา; เทวดา แล้วทุกท่านจะนอนหลับฝันดีครับ จากคุณ : Calcium-Sandoz - [ 26 ก.ย. 51 16:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 16 อิอิ เห็นภาพเลยค่ะ จากคุณ : oor_dt - [ 26 ก.ย. 51 20:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เริ่มเล่าต่อครับ ห้ามตากผ้าข้ามคืน กระสือจะเช็ดปาก เด็กๆ ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน ก็มักจะชอบฟัง นิทาน เรื่องเล่า ด้วยเหตุนี้นิทานหรือเรื่องเล่าต่างๆ จึงมักจะแฝงข้อคิดที่ผู้ใหญ่ต้องการสอนเด็กไว้ในเรื่องด้วยเสมอ ไม่ยกเว้นแม้แต่นิทานที่เกี่ยวกับผีที่หลายๆคนชอบ แม้จะกลัว แต่ก็อยากฟัง สำหรับเรื่องผีที่คนฟังกี่ครั้งก็ไม่เบื่อน่าจะได้แก่เรื่อง ผีกระสือ กระสือ เป็นผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิง ชอบกินของโสโครก (ราชบัณฑิต 2542 : 58) กระสือจะออกหากินเวลากลางคืน มีลักษณะเป็นดวงไฟมีแสงสีเขียวสว่างวาบๆ ลอยไปเฉพาะส่วนหัว ผมยาว กับตับไตไส้พุงเป็นพวง เชื่อกันว่า กระสือชอบกินของสด สกปรก คนโบราณออกอุบายโดยอาศัยความกลัวผีกระสือของเด็กๆ เพื่อไม่ให้ลืมเก็บผ้าที่ตนตากไว้ เพราะผ้าที่ใช้ในสมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นผ้าที่ทอมาจากฝ้ายแทบทั้งสิ้น กว่าจะทอและตัดเย็บเสร็จแต่ละผืนก็ให้เวลานาน เนื่องจากไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมาช่วยดังเช่นในปัจจุบัน จึงทำให้ชำรุดเสียหายได้ง่าย ดังนั้น การตากผ้าทิ้งไว้ข้ามคืน ก็จะทำให้ผ้าเปียกฝนหรือน้ำค้าง ส่งผลให้ผ้าเก่าเร็ว ชำรุดเปื่อยง่าย นอกจากนี้อาจสูญหายจากการถูกขโมย หรืออาจมีสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ มาแอบหลบอาศัยอยู่ และจะเป็นอันตรายเมื่อนำไปสวมใส่ ที่สำคัญคือยังแสดงถึงความเกียจคร้านของเจ้าของผ้า ไม่รู้จักเก็บรักษาทรัพย์สิน ดงนั้น โบราณอุบายเรื่องนี้จึงเป็นการสอนให้ลูกผู้หญิงรู้จักเป็นแม่บ้านแม่เรือน คอยดูแลรักษาสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน นั่นเอง จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 21:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ห้ามนอนทับตะวัน เจตภูติจะออกจากร่าง นอนทับตะวัน หมายถึง การนอนในช่วงเวลาเย็นเลยไปถึงค่ำจนดวงอาทิพย์ตกดินแล้วยังไม่ตื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นพฤติกรรมของเด็กๆ หลังจากกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็น ก็จะเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากจะต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน เมื่อเรียนและเล่นซุกซนกับเพื่อน ๆ มาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็อ่อนเพลียและเผลอหลับไป หรือไม่บางคนก็หลับตั้งแต่นั่งรถกลับจากโรงเรียนเลยทีเดียว ในสังคมชนบทสมัยก่อน ผู้ใหญ่จะห้ามไม่ให้นอนทับตะวัน โดยกล่าวว่าเจตภูตตามความเชื่อว่าเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน จะล่องลอยออกจากร่างได้เมื่อเวลาหลับ โดยเฉพาะผู้เป็นลูกสาว เนื่องจากต้องเป็นผู้ทำงานบ้าน เตรียมอาหารอาหารมื้อเย็นสำหรับคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือ พี่ น้อง ที่ออกไปทำไร่ทำนา หากเผลอนอนตอนเย็นก็จะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เตรียมอาหารไว้สำหรับรอคนในครอบครัวที่กลับมาจากทำงาน คนโบราณจึงนำโบราณอุบายมาขู่ เพื่อสอนให้ลูกสาวรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบและรู้กาลอันควรแก่การนอน เพราะว่าถ้าปล่อยให้ลูกหลานนอนหลับยาวไปจนค่ำก็จะเป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่ไม่ดีให้กับลูกหลาน เพราะหากไม่ฝึกให้ช่วยพ่อ แม่ พี่น้อง หุงหาอาหาร ทำกับข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน หรือช่วยงานอื่น ๆ ตามแต่วัยและเพศของบุตรหลาน ต่อไปก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวได้ ข้อสำคัญ การนอนช่วงเวลากลางวันคร่อมกลางคืนตั้งแต่ตอนเย็นจนค่ำ อุณหภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงจากกลางวันเข้าสู่กลางคืน ทำให้การนอนในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทัน อาจทำให้เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ปวดหัว ไม่สบายเนื้อ สบายตัว เจ็บป่วยได้ครับ จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 21:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ดึกๆ จะเล่าอีกอันให้ฟังครับ เป็นโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับจิตใจของเราในเรื่อง ห้ามคนท้องไปเผาศพ ถ้าไปผีที่กำลังเผาจะเข้ามาเกิดในท้องแทนลูกของตนเอง วัดวาอารามในสมัยก่อน โดยเฉพาะในชนบทจะเป็นเพียงวัดเล็กๆ ที่มีไว้เพื่อประกอบศาสนกิจอย่างสมถะเท่านั้น การก่อสร้างอาคารต่างๆภายในวัดก็ยังไม่ทันสมัย หรือ ใหญ่โตอย่างเช่นในปัจจุบัน แม้แต่เมรุเผาศพก็ยังไม่มีแพร่หลาย ดังนั้น เมื่อเวลามีคนตาย โดยทั่วไปก็จะจัดพิธีเผาศพกันกลางแจ้งบนกองฟอน เพราะไม่มีเมรุหรือเตาเผาศพ คนโบราณจะเอาเสามาตั้งสี่เสาซึ่งเรียกว่า กองฟอน เอาฟืนไม้ไผ่หรือไม้สะแกมาวางเป็นพื้นแล้วยกโลงศพตั้งไว้ข้างบน ลักษณะเป็นเชิงตะกอนเปิดโล่ง แล้วจุดไฟเผา มีสัปเหร่อคอยเอาน้ำเลี้ยงไม่ให้โลงศพไหม้ หากเลี้ยงน้ำไม่ทัน โลงก็จะไหม้ ทำให้ศพงอขึ้นมาคล้ายคนนั่ง เพราะกล้ามเนื้อและเส้นเลือดเกิดการผิดรูปอย่างฉับพลันเพราะโดนไฟไหม้ เป็นที่อุจาดตามาก คนที่ตั้งท้องอยู่มีความลำบากในการรักษาสมดุลทางร่างกายและอารมณ์อยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพเช่นนั้นก็อาจจะทำให้มีผลกระทบต่อจิตใจเป็นอันตรายแก่เด็กในครรภ์ หรืออาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายตัวเอง เพราะคนที่กำลังตั้งท้องการเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วอาจ ประสบอุบัติเหตุจากการเบียดเสียดกับคนที่ไปร่วมงานศพ และอาจจะแท้งลูกได้ คนโบราณจึงมีโบราณอุบายเพื่อป้องกันอันตรายที่จะมีผลต่อจิตใจคนท้อง เช่น เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และความไม่สบายใจต่าง ๆ รวมถึงอันตรายต่อร่างกาย โดย ห้ามคนท้องไปเผาศพ และว่าถ้าไป ผีที่กำลังเผาจะเข้ามาเกิดในท้องแทนลูกของตนเอง แต่หากจำเป็นต้องไปร่วมจริงๆ ก็ให้หาเข็มกลัดซ่อนปลายเหน็บชายพกไปด้วย อุบายก็คือ สมัยก่อนเข็มกลัดซ่อนปลายเป็นของหายาก กว่าจะได้อาจต้องไปหยิบยืมหลายบ้าน ก็จะได้รับคำเตือนหลายครั้งจากบ้านต่างๆ ในที่สุดคนท้องก็จะเปลี่ยนใจไปเอง จากคุณ : ebusiness - [ 26 ก.ย. 51 21:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 25 _/|\_ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : oor_dt - [ 26 ก.ย. 51 21:42:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อก่อนนี้หลังบ้านเคยอยู่ติดกับวัดวัดหนึ่งค่ะ มีคลองใหญ่กั้นระหว่างวัดกับหลังบ้าน และมีคลองแยกเล็กๆ กั้นระหว่างบ้านเรากับบ้านข้าง ๆ เป็นสวน ตอนเด็ก ๆ เราก็จะซน ๆ มักจะปีนกำแพงเตี้ย ๆ ข้างบ้านเพื่อไปหาคุณยายข้างบ้านที่ชอบมีขนมอร่อยแบ่งให้เสมอ ตอนปีนข้ามไปเนี่ยไม่มีปัญหาหรอก แต่ตอนที่จะเดินข้ามสะพานที่ทำจากต้นมะพร้าวเอามาพาดไว้ให้เดินข้ามคลองนี่สิ เรื่องสนุกเลย แล้วคลองเล็ก ๆ นี้อ่ะนะ ก็มีประวัติด้วย..... แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 51 23:16:30 จากคุณ : รัตนมาลี - [ 26 ก.ย. 51 22:58:25 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เคยมีผู้ใหญ่แถวนั้นเขาบอกว่าคลองนี้ "ผีดุ" มากกกกกก ถ้ามาข้ามสะพานตอนเย็น ๆ ผีจะชอบจับเด็กหายไปในคลอง แล้วหาไม่เจอ เอาละสิ ! หลอกใครก็ไม่หลอก มาหลอกเรา...เราก็...กลัว...เป็นนะ ก็ไม่กล้าเดินข้ามสะพานต้นมะพร้าวช่วงเย็นโพล้เพล้เลย ก็บ้านอยู่ติดวัดซะขนาดนั้น ไม่กลัวได้ยังงัย อยู่ไปนานเข้า น้ำในคลองเล็กก็แห้งและคลองก็ตื้นขึ้น และเราก็โตขึ้น ถึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วที่ผู้ใหญ่เขาบอกอย่างนั้น เพราะตอนเย็นส่วนใหญ่แต่ละบ้านก็จะยุ่ง ๆ กัน ทำกับข้าว ทานข้าว ถ้าเราแอบมาเล่น แล้วตกน้ำ ก็จะไม่มีใครเห็น ไม่มีใครช่วยทันนั่นเอง และที่สำคัญเป็นการสั่งสอนของผู้ใหญ่เพื่อให้เด็ก ๆ มีวินัยเรื่องเวลา คือตอนเย็น ต้องกินข้าวร่วมกับพ่อแม่ และช่วยรับผิดชอบงานบ้านตามสมควร ถ้าออกมาเล่นเสียแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็จะเสียตามไปด้วยทั้งหมด จากคุณ : รัตนมาลี - [ 26 ก.ย. 51 23:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอแลกเปลี่ยนบ้างนะคะ ในฐานะที่เราเกิดและโตมาในดงไสยศาสตร์ และได้เห็นคนที่ตายด้วยไสยศาสตร์กับตามาแล้ว หลายครั้ง เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัดระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคนมาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว นั่นเอง ไม่ใช่อุบายค่ะ เป็นเรื่องจริง มีคนที่ทำแบบนั้นแล้วได้ผลอย่างงั้นจริง เป็นที่รู้กัน เรื่องที่เป็นเรื่องโกหก ผลมันไม่ยั่งยืนเป็นที่เชื่อถือ กันได้ยาวนานเหมือนเรื่องจริงค่ะ คนโบราณเวลาสั่งสอนลูกหลาน สั่งสอนกันด้วยประสบการณ์ตรงและสถิติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ด้วยความคิดฝันหรือสร้างนิยายหลอกเด็ก เด็กโบราณว่าง่ายค่ะ แค่บอกกันตรงๆ เค้าก็พร้อมที่จะรับฟังโดยไม่สงสัย ไม่ถามยอกย้อน แล้วก็ไม่ต้องสร้างนิยายหลอกเด็กให้เสียเวลา ในสมัยโบราณ คนถ้าจะไปทำร้ายกันถึงเรือน เค้าไม่เสียเวลาไปขว้างของหรือทำเสียงแปลกๆ เพื่อจะตรวจดูว่ามีคนอยู่ในบ้านหรือเปล่าหรอกค่ะ คนที่จะไปยืนร้องเรียกคนในบ้านเวลากลางคืนหรือไปทำเสียงอะไรแปลกๆ ถ้าไม่ใช่ผีแล้วก็แสดงว่าเป็นคนที่มีธุระอื่นที่จำเป็นกับคนในบ้านนั้น หรือไม่ก็เป็นคนต่างถิ่นผ่านมา จะขอมาพักในเขตบ้านเท่านั้นแหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 51 01:30:43 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 ก.ย. 51 00:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โหวตค่ะ จากคุณ : แม่ตี๋น้อย - [ 27 ก.ย. 51 14:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กรณีคุณรัตนมาลี คงเป็นเพราะเด็กๆ  บางทีก็ไม่ค่อยรับฟังเหตุผลเหมือนที่ความคิดเห็นที่  5 บอก สมัยผมเด็กๆ ก็มีที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน ความคิดเห็นที่ 28  มีคนแจก give แสดงว่าถูกใจในข้อมูลที่นำมาแลกเปลี่ยน ท่านอื่นจะให้ความเห็นในส่วนนี้เพิ่มก็จะยินดีเลยนะครับ ขอบคุณแม่ตี๋น้อยที่โหวตครับ จากคุณ : ebusiness - [ 27 ก.ย. 51 15:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โหวตด้วยค่ะ แต่อายุยังไม่ถึงค่ะ จากคุณ : รัตนมาลี - [ 27 ก.ย. 51 22:12:11 ]

ความคิดเห็นที่ 32 น่าสนใจมากๆ ครับ ยังไม่ได้อ่านละเอียด จะหาโอกาสกลับมาอ่านอีก ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยแนะนำกระทู้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 51 10:31:40 จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 28 ก.ย. 51 09:50:09 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ๋อ แบบนี้นี่เอง ดีๆ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ลูกพริกไทย - [ 29 ก.ย. 51 19:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เราเห็นด้วยกับ คห 28  ค่ะ  เคยได้ยินได้ฟัง  เรื่องที่คนไปขานตอบแล้ว ของเข้าตัว  ไม่ใช่อุบาย แต่เป็นเรื่องจริง จากคุณ : nuch_tiew - [ 29 ก.ย. 51 23:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่คิดว่าเป็นกุศโลบายสอนเด็ก แต่คิดว่าคนยุคนั้นมีความเชื่อแบบนั้นจริงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้เด็กเชื่อแบบนั้น ถ้าซน ถ้าไม่เชื่อ โดยปกติก็ดุ ก็ตีกันเลยทีเดียว จากคุณ : Panda-baker - [ 30 ก.ย. 51 00:13:04 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จะก้าวขึ้นหรือลงบันได ให้ก้าวทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามขั้น จะทำมาหากินไม่ได้ ประเทศไทยเป็นชุมชนเกษตรกรรมมาแต่โบราณ ดังนั้น บ้านเรือนส่วนใหญ่จึงสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อม และวิถีความเป็นอยู่ได้อย่างเด่นชัด โดยนิยมปลูกบ้านอยู่ตามพื้นที่ลุ่ม มีแหล่งน้ำสมบูรณ์เอื้อต่อการทำอาชีพเกษตร และบ้านเรือนไทยในแทบทุกภาคจะนิยมยกพื้นสูงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูน้ำหลาก หากเป็นฤดูอื่นก็จะใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่สำหรับเก็บอุปกรณ์การเกษตร หรือให้เด็กๆได้วิ่งเล่น และเป็นที่พักผ่อนเย็นสบายในช่วงกลางวัน นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยบนเรือนไทยยังสามารถประกอบกิจกรรมในครัวเรือนได้ทุกสิ่งทุกอย่างจนสำเร็จบนตัวเรือน โดยไม่ต้องลงมายังพื้นดินก็ได้ อีกทั้งยังถือว่าเรือนไทยเป็นเรือนที่ให้ความปลอดภัยสูง นั้นคือ เจ้าของเรือนสามารถชักหรือดึงบันไดขึ้นมาเก็บไว้บนบ้านในเวลากลางคืนด้วย บันไดบ้าน ในสมัยก่อนจะอยู่นอกบ้าน นิยมใช้ไม้แผ่นทำเป็นขั้นสำหรับขึ้นลง โดยส่วนใหญ่มีลักษณะด้านล่างโปร่งโล่ง และมีราวจับเพียงด้านเดียว หรืออาจไม่มีเลย เพราะฉะนั้นจึงค่อนข้างต้องใช้ความระมัดระวังในการขึ้นลง และหากมีอายุการใช้งานมานาน ไม้ก็อาจจะถูกเดินจนเรียบและลื่น หรือมีบางส่วนผุไปตามกาลเวลาได้ ดังนั้น การที่ คนโบราณสอนไว้ว่า การก้าวขึ้นหรือลงบันได้นั้น ควรขึ้นลงทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามขั้น จะทำมาหากินไม่ดี ก็เพื่อป้องกันอันตราย และเตือนว่า หากจะทำอะไรไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำมาหากิน หรือการทำงานอื่นใดก็ตาม ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่าทำอะไรให้เกินความสามารถ และอย่าข้ามขั้นตอน เหมือนกับการก้าวขึ้นบันไดหรือก้าวลงบันได ก็ให้ก้าวทีละขั้น มิฉะนั้นอาจพลัดตกขาแข้งหัก หรือหัวแตกเกิดอันตรายกับตนเอง และที่สำคัญเป็นการสอนให้รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองว่า การทำอะไรควรทำเป็น ขั้นเป็นตอน ไม่ควรทำอะไรข้ามขั้นตอน จากคุณ : ebusiness - [ 30 ก.ย. 51 01:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 37 โบราณอุบายที่ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนโบราณนำมาใช้สอนลูกๆหลานๆ กำหนดอุบายไว้เป็นข้อห้ามคำสอน สำหรับบุคคลทุกวัยและทุกเพศ โดยวัยเด็กมีอุบายแฝงไว้มากกว่าวัยอื่น อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเด็กและเพศหญิงเป็นผู้ที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าวัยและเพศอื่น ข้อห้ามดังกล่าวเมื่อนำมาวิเคราะห์หาเหตุผลดูแล้วก็น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ๑. เพื่อป้องกันอันตราย ๒. เพื่อให้มีความสำรวมระวัง ๓. เพื่อความสะอาดและสุขอนามัย ๔. เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และ ๕.ประเภทเบ็ดเตล็ดครับ จากคุณ : ebusiness - [ 30 ก.ย. 51 02:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สมัยก่อนไม้ไผ่เป็นไม้ที่คนทั่วไปนิยม เพราะมีประโยชน์มากมายอเนกประสงค์ ทั้งใช้หน่อเป็นอาหาร ใช้ลำต้นในการจักสาน ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน ฯลฯ ตอนนี้จะเล่าถึงโบราณอุบายที่ทำให้คนในสังคมเกิดความกลัว ตระหนัก และละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมครับ อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน สภาพสังคมในอดีต การมีที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นเรือกสวนไร่นายังไม่มีการปักหลักเขตหรือล้อมรั้วเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์อย่างชัดเจนแต่อย่างใด แต่จะใช้ลักษณะทางธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง แนวต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ เป็นสิ่งแสดงเขตที่ดินแทนหลักเขต แม้แต่ในปัจจุบันบางพื้นที่ในหมู่บ้านตามต่างจังหวัดก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ซึ่งหากลองถามเจ้าของที่ดินว่า มีที่ดินถึงตรงไหน อาจได้รับคำตอบจากเจ้าของว่าถึงตรงต้นตะเคียนใหญ่สุดหนองน้ำด้านหลังนู้น ทั้งหมดก็ประมาณ ๒๐ กว่าไร่ ก็อาจเป็นได้ ด้วยเหตุข้างต้น จึงมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดต่อกันมา ว่า “ อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน ” ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าอธิบายให้ฟังว่า ที่ห้ามไม่ให้ปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ก็เพราะว่า กอไผ่แรกปลูกก็จะเป็นเพียงแค่ต้น สองต้น อยู่ริมพื้นที่เท่านั้น แต่เมื่อต้นไผ่เติบโตงอกงามมีหน่อขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็จะขยายกอใหญ่โตออกไป ทำให้รุกล้ำไปในที่ของคนอื่นเกิดปัญหาโต้แย้งกันเรื่องแนวเขตที่ดิน ในสมัยแรกๆที่ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายหรือผู้ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไม่แยกโฉนดแบ่งปันที่ให้ลูกหลาน และยังมีความเป็นญาติพี่น้องใกล้ชิดกันอยู่ แต่พอถึงรุ่นหลานในช่วงหลังๆที่ห่างออกไป ก็อาจจะตกลงกันไม่ได้ เกิดปัญหาเรื่องแนวเขต ซึ่งหากผู้ใหญ่ไม่ห้ามไว้เช่นนี้ก็อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงได้ออกโบราณอุบาย “ อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน ” เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนรุ่นหลังไว้ โดยพูดเป็นอุบายทำให้คนในสังคมเกิดความกลัว และตระหนัก เพื่อที่จะสอนให้ละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติ ในสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งทั้งในครอบครัวตนเอง และเพื่อนบ้าน และมีผลให้สังคมสงบเรียบร้อยครับ จากคุณ : ebusiness - [ 30 ก.ย. 51 02:17:23 ]

ความคิดเห็นที่ 39 สำหรับในตอนต่อไป จะเล่าถึงโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายสอนให้รู้จักเคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ เรื่องอย่าทุบตีพ่อแม่ จะบาปกรรมและเมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต ตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน โปรดติดตามครับ จากคุณ : ebusiness - [ 30 ก.ย. 51 02:22:40 ]

ความคิดเห็นที่ 40 โหวตค่ะ ให้ดวงใจสีชมพูจขกท.หมดเลยค่ะ พ่อแม่ดิฉันสอนไว้อย่างนี้จริงๆทุกคห.ค่ะ คห.๒๓นั้นประสบกับตัวเอง นอนตอนเย็น แม่จะห้าม ลูกทุกคนไม่เฉพาะผู้หญิง ตะวันตกนกนอนหรือแดดผีตากผ้าอ้อม ถ้านอนทีไรจะไม่สะบาย บางทีก็ถูกผีอำตอนนั้นเลย ง่วงอย่างไรก็ต้องรอให้มืดถึงเวลานอนก่อนจึงนอน จากคุณ : แม่ของอ๊บ (obst) - [ 1 ต.ค. 51 02:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขึ้นเดือนใหม่ ได้ give มาแล้วค่ะ ติด give ให้แล้วน๊าจ๊า..... จากคุณ : รัตนมาลี - [ 1 ต.ค. 51 08:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณ จขกท. ที่อธิบาย คห .24 มากๆ ค่ะ  เคยสงสัยมากๆ ว่าทำไมต้องห้ามไปงานศพ  บอกว่าผีจะเข้าท้อง T_T  เราไม่เชื่อน่ะค่ะ แต่ไม่ได้ไป  เพราะโดนห้ามเยอะมากๆ จากคุณ : mawantha - [ 1 ต.ค. 51 15:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ดีจัง ได้เกร็ดความรู้เพิ่มเติมมากเลยครับ จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน - [ 2 ต.ค. 51 11:57:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อย่าด่า อย่าตีพ่อตีแม่ ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะโตเท่าใบลาน คนไทยในสมัยก่อนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม โดยจะมีพ่อซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัว จะต้องตื่นแต่เช้ามืด จูงควายไปทุ่ง เพื่อทำไร่ไถนา หาผัก จับปลามาเป็นอาหาร ถ้าลูกยังเล็กแม่ก็จะอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปก่อน แต่ถ้าลูกอายุได้สักขวบสองขวบแล้ว ก็จะปล่อยให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย แม่ก็จะหาบกระบุง ตะกร้า ปิ่นโต ตามไปช่วยพ่อทำงานด้วย และจะกลับบ้านใกล้ย่ำค่ำ เมื่อกลับถึงบ้านแม่ก็จะเข้าครัวทำกับข้าว หากมีลูกโตพอจะช่วยงานได้แล้วก็จะหุงข้าวไว้รอแม่หลังจากกลับมาจากโรงเรียน ส่วนพ่อก็จะดูแลจัดการควายให้เรียบร้อยด้วยการพาไปอาบน้ำ เอาเข้าคอก สุมไฟไล่ยุง เหลือบ ริ้น ไร หลังจากเสร็จภารกิจแล้วจึงจะไปอาบน้ำ พอดีกับแม่จัดสำรับอาหารเสร็จ ทุกคนก็จะมารับประทานอาหารร่วมกัน ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ลูกหลานในสมัยก่อนจึงมักได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คำสั่งสอนหนึ่งที่ได้ยินอยู่เสมอจนปัจจุบันก็คือ อย่าด่า อย่าทุบตีพ่อแม่ จะบาปกรรมและเมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต ตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน... เปรต กล่าวกันว่าเป็นผีจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล ผมยาวหยิกหยอย คอยาว ผอมโซ กล่าวกันว่าคนที่ชอบด่าพ่อแม่จะเป็นเปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้ ใช้แต่ปากดูดน้ำๆ จึงไม่อิ่มและร้องหิวโหยดังวี้ดๆ ตลอดเวลาในตอนกลางคืน ส่วนพวกที่ชอบทุบตีพ่อแม่ ก็จะเป็นเปรตที่มีมือใหญ่โตเท่าใบลาน ยกมือไม่คอยขึ้นเพราะหนักมาก ต้นลานเป็นไม้ยืนต้น ตระกูลเดียวกับปาล์ม ใบจะเป็นครีบขนาดใหญ่กว้างราว 1.20 เมตร นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักสาน เช่น งอบ ปลาตะเพียน พัด เป็นต้น การนำเรื่องปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน มาเป็นอุบายในการสั่งสอนให้เคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวง ลูกหลานจึงควรมีความเคารพกตัญญู และไม่ทำร้ายพ่อแม่ คนโบราณจึงออกอุบายว่า ถ้าตีพ่อแม่มือจะโตเท่าใบลาน เพื่อให้คนในสังคมยุคนั้นเกิด ความกลัว ตระหนักและละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่เหมาะสม จากคุณ : ebusiness - [ 2 ต.ค. 51 16:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ห้ามหญิงท้องไปดูเขาออกลูก จะออกลูกยาก การคลอดลูกในสมัยโบราณกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก การทำคลอดในอดีตจะต้องอาศัยหมอตำแยเป็นผู้ทำคลอดที่บ้าน ไม่ได้คลอดในห้องคลอดอย่างโรงพยาบาลปัจจุบัน ซึ่งห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าไปนอกจากหมอและพยาบาล หรืออาจจะมีพ่อเด็กด้วยในบางแห่ง ที่ผ่านๆมา เราอาจจะเคยเห็นการคลอดลูกตามภาพยนตร์ ละคร หรือผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าต้องเอาผ้าขาวม้าหรือเชือกผูกบนขื่อ แล้วก็ให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดจับดึงไว้ เพื่อเป็นหลักให้มีแรงเบ่งให้ลูกออกจากท้อง บางคนคลอดยาก ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความปวดท้องอย่างทรมานอยู่นาน อีกทั้งอาการคลอดก็น่ากลัว ดังนั้น หากหญิงมีครรภ์ไปดูคนอื่นคลอดลูกแล้วได้ยินเสียงหรือได้เห็นภาพอาการเจ็บปวดของการคลอดอาจจะทำให้กลัวและเกิดอาการเสียขวัญ จึงมีอุบายหลอกไม่ให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องไปดูการคลอดลูก จะออกลูกยาก เพราะไม่ต้องการให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เกิดอาการหวาดกลัวการคลอดลูกจนทำให้เสียสุขภาพจิตเกิดความวิตกกังวลความเครียด และความไม่สบายใจอื่น ๆ ตามมา นอกจากนี้ยัง “ห้ามคนมีท้องหน้าบึ้ง ลูกเกิดมาจะไม่สวย” ด้วย เพราะเป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันว่าโดยปกติผู้หญิงที่มีครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระและระดับฮอร์โมน ทำให้ บางคนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว เช่นเดียวกับคนโบราณที่มีความเชื่อว่าการมีภาวะจิตใจที่ไม่ดีจะส่งผลถึงลูก ทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ หญิงมีครรภ์จึงควรทำจิตใจให้สงบ อารมณ์แจ่มใส ใบหน้ายิ้มแย้มไม่บึ้งตึง ลูกในครรภ์จะสุขภาพจิตดี หน้าตาสวยงาม จะเห็นได้ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนโบราณ ใส่ใจสอนโบราณอุบายที่มีความเกี่ยวข้องกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศหญิงเป็นผู้ที่มีความอ่อนแอกว่า จึงควรได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะต้องได้รับการดูแล และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจซึ่งจะส่งผลกระทบถึงลูกที่จะเกิดมาได้ จากคุณ : ebusiness - [ 2 ต.ค. 51 16:51:10 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เรามักจะได้ยิน "ภูตผีปีศาจ" กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ จนทำให้เข้าใจว่าเป็นคำๆ เดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว มันคนละอย่างกัน  ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องผี ผี กัน เพราะผี ก็คืออดีตมนุษย์ มีภพภูมิอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ฟังเป็นเรื่องนิยายนะครับ ผีเปรตที่จริงก็คือ อดีตมนุษย์ที่ตายไปแล้วนั่นเอง เปรตมีเป็นร้อยๆชนิด แต่เปรตที่รับรู้ส่วนบุญคือเปรตที่อยู่ใกล้ๆกับมนุษย์ ซึ่งมีความทุกข์และความหิว ภาษาพระเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิกเปรต เปรตประเภทนี้มีโอกาสรับรู้ได้ และเขาก็จำญาติได้แม้เกิดมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ยังจำได้ แต่เปรตประเภทอื่นนอกนั้นแย่เต็มที่ ไม่สามารถรับรู้ได้ แต่บางตัวอยู่นอกศาสนาพุทธ ทั้งๆที่รู้ว่าเราว่าเราทำบุญอุทิศบุญให้ เขาอาจจะได้รับรู้แต่ไม่อนุโมทนาเพราะไม่มีอุปนิสัย คือไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ไม่อนุโมทนาบุญ เลยไม่ได้บุญ จากคุณ : ebusiness - [ 3 ต.ค. 51 12:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 47 พ้นสภาพจากเปรต หากกรรมยังไม่หมดก็จะมาเกิดเป็นภูต จะกินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น โดยจะเข้ามาสิงคนที่มีวิบากกรรมเหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ คือไม่ใช่จะเข้าสิงใครก็ได้ จะเข้าสิงได้เฉพาะบุคคลที่มีมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไป หากันได้ ภูตมีลักษณะรูปร่างคล้ายๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ แต่ผีแปลงกายไม่ได้ ภูตบางตนแปลงได้มาก บางตนแปลงได้น้อย บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ บางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่างๆ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น เหมือนกาฝากที่ขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง จากคุณ : ebusiness - [ 3 ต.ค. 51 12:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 48 กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง วิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต ตอนเป็นมนุษย์หากินทางมิชอบ คือ หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่างๆ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น เหมือนกาฝากที่ขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ตามที่เข้าใจ จะถอดจิตของเจ้าของร่างออกขณะเจ้าของร่างนอนหลับ เมื่อถอดไปแล้วเจ้าของร่างก็ไปไหนไม่ได้ จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างเป็นสีๆ ส่วนใหญ่ ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้นๆ ลงๆ เพื่อหาอาหาร จากคุณ : ebusiness - [ 3 ต.ค. 51 12:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์ อยู่ในสายการปกครองของท้าวเวสสุวัณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารดิบๆ หรือสัตว์เป็นๆ เช่น ไปหักคอเป็ดไก่ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรง เพื่อยกระดับตัวเองว่ามีผู้นับถือมากๆ หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย เพื่อที่ว่าตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวารหรือ สานุศิษย์ หรือตายแทน เพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่ว่าเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี การเข้าสิงเขาจะกดทับด้วยมนตร์ทำให้ขาดสติ หรือหมดสติไป ขึ้นอยู่กับว่าทับครึ่งตัวหรือว่าเต็มตัว ถ้าครึ่งตัวก็จะขาดสติ แต่พอรู้อยู่บ้าง แต่ว่าบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเต็มตัวนี่จะหมดสติไม่รู้สึกตัว ในตอนต่อไป จะยกตัวอย่างโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันอันตรายต่อร่างกาย โปรดติดตามครับ จากคุณ : ebusiness - [ 3 ต.ค. 51 13:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 50 มานั่งรอฟังเรื่องผี ๆ จ้ะ  แต่กลัวเล็กน้อย อิ อิ จากคุณ : AYXC - [ 3 ต.ค. 51 20:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เราชอบรูปจังเลยค่ะ  น่ารักดีจัง เราขออนุญาตเล่าบ้าง  เป็นความรู้ sneak sneak fish fish  หากมีผู้รูท่านอื่น  ช่วยเพิ่มเติม  จะขอบคุณมาก คนโบราณห้ามกวาดบ้านตอนกลางคืน เพราะว่าสมัยก่อน  พื้นจะเป็นพื้นไม้  และใช้ตะเกียงน้ำมันเป็นตัวให้แสงสว่าง  ดังนั้นก็มองไม่เห็นชัดเจนเหมือนกับที่เราใช้ไฟฟ้า  ถ้าไปกวาดตะเกียงล้ม  ก็อาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้จ้ะ จากคุณ : nuch_tiew - [ 3 ต.ค. 51 23:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ช่วยกันคลิกเก็บเข้าคลังด้วยค่ะ จะได้มีไว้ดูวันหลังด้วย แม่ห้ามขี่หมาและห้ามซ่อม- เย็บเสื้อผ้าที่กำลังใส่อีกค่ะ มีคำอธิบายไหมคะ? จากคุณ : แม่ของอ๊บ (obst) - [ 4 ต.ค. 51 02:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีครับคุณ nuch_tiew  เล่าได้ดีแล้วล่ะครับ มีคำโบราณกล่าวว่า โจรปล้นสิบครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งนึง ลองคิดดูแล้ว ถ้าน้ำมันตะเกียงหกใส่พื้นไม้ เกิดไฟคงยากที่จะดับ นับเป็นโบราณอุบายข้อหนึ่ง ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการป้องกันอันตราย หากมีโอกาสอีกก็นำมาแลกเปลี่ยนกันเพิ่มนะครับ จากคุณ : ebusiness - [ 4 ต.ค. 51 06:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดีครับคุณแม่ของอ๊บ (obst) สำหรับโบราณอุบายที่นำมาถามข้อแรกเรื่องห้ามขี่หมา(ฟ้าจะผ่า)  อาท่านหนึ่งเล่าอธิบายให้ฟังว่า ไอ้แดงเป็นหมาตัวใหญ่เห่าเสียงดัง เป็นที่เกรงขามของหมาบ้านอื่น เป็นเพื่อนเล่นกับมากับผมตลอด ขนาดลำตัวก็พอฟัดพอเหวี่ยง รูปทรงเนื้อตัวมันเพรียวเหมือนม้าน่าขี่ดีเหมือนกัน แต่แม่เอ็ดแถมขู่ว่าถ้าขี่หมาเมื่อไหร่จะต้องถูกหวดด้วยไม้ตับ แม่บอกว่าคนโบราณเขาถือ หากขี่หมาแล้วฟ้าจะผ่าตายทั้งคนทั้งหมา ตอนเด็กก็กลัวฟ้าผ่าอยู่หรอก แต่ลับหลังแม่ก็ขอเคยลองขี่ ไม่เห็นฟ้ามันจะผ่าสักที มีแต่หมานั่นแหละที่มันไม่ชอบ มักคอยวิ่งหนี รำคาญนักก็หันมาแฮ่ใส่ขู่ไม่ให้เข้าใกล้เสียทีหนึ่ง และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่ห้ามขี่หมา เพราะกลัวหมามันจะกัดเข้าให้ อีกข้อนึง ห้ามเย็บเสื้อผ้าตัวที่กำลังใส่กับตัวอยู่ เพราะอาจพลาดเป็นอันตรายได้ ทั้งสองข้อโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับร่างกายของเราครับ จากคุณ : ebusiness - [ 4 ต.ค. 51 07:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เชิญแวะดูกระทู้ ป้ายคติธรรม ข้อคิด ติดต้นไม้ ครับ พาไปชมภูมิปัญญาการผูกธรรมะหลากหลาย ให้ได้จดจำกับไว้ธรรมชาติ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6907173/Y6907173.html มีภาพมาใหม่จากคุณ  Phoenixนิลมังกร กว่าสามสิบภาพ ตอนนี้รวมแล้วมากกว่าร้อยภาพครับ จากคุณ : ebusiness - [ 4 ต.ค. 51 07:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณคุณ ebusiness ค่ะ ได้ความรู้แถมภาพประกอบก็เจ๋งจริงๆ จากคุณ : oor_dt - [ 5 ต.ค. 51 09:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ยกเครดิตให้ผู้วิจัยคือคุณพรนิภา บัวพิมพ์ ทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ภาพสวยๆมาจากช่างภาพมืออาชีพ ผมเพียงรวบรวมมาให้เท่านั้นเองครับ ตอนต่อไปในวันนี้พาไปชมภูมิปัญญาอีสานนะครับ บางท่านอาจเคยได้ยินคำว่า ขะลำ เล่าโดย  ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญเลิศ สดสุชาติ ศูนย์ศึกษาเศรษฐกิจสังคมการเมืองครับ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 07:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขะลำ  คืออะไร ขะลำ  ชาวอีสานมักพูดเป็น  คะลำ  หรือ  กะลำ  พจนานุกรมภาคอีสาน  - ภาคกลาง  ฉบับปณิธานสมเด็จพระมหาวีรวงศ์  (ติสฺสมหาเถระ)  พ.ศ.2515  ใช้คำว่า  กะลำ  หมายถึง  ของต้องห้าม  หรือสิ่งต้องห้าม  ใกล้เคียงกับคำภาษาอังกฤษว่า  Taboo  (แทะบู)  หมายถึง  ห้าม  ข้อห้าม  ข้อห้ามตามขนบธรรมเนียม พระอริยานุวัตร  เขมจารี  ให้ความความหมายว่า  กะลำ  หมายถึงการกระทำที่ไม่เป็นมงคล ไม่สมควรทำ เพราะเป็นการไม่ดี เสียศักดิ์ศรีแห่งตน อาจารย์จารุบุตร  เรืองสุวรรณ  อธิบายว่า  กะลำ  เป็นมาตรการควบคุมความประพฤติของประชาชน  ชาวอีสานยึดถือกันอย่างเคร่งครัดมาแต่โบราณกาล  ถือเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ชาวอีสานรุ่นก่อนท่านจะสอนลูกหลานรับช่วงกันมา โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบาย  ชี้แจงแสดงเหตุผลให้ยืดยาว  แต่ลูกหลานก็เข้าใจและปฏิบัติตามกันมาอย่างเรียบร้อย  น่าเสียดายว่าปัจจุบันเรื่องนี้กำลังจะลืมเลือนกันไป จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 07:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ข้อขะลำส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจากคำสอนในพระพุทธศาสนาและจากประสบการณ์ชีวิตของคนอีสานเอง  ลักษณะของข้อขะลำมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่น  วิธีการสืบทอดโดยการบอกกล่าวให้จดจำสืบต่อกันมา  แทรกไว้ในวรรณกรมบ้าง  ตัวอย่างเช่น  เรื่องธรรมดาสอนโลก  เป็นต้น การสอนลูกหลานให้ปฏิบัติตามประเพณีขะลำ ให้ละเว้นไม่ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรนี้  ผู้ใหญ่จะบอกว่าทำอย่างนี้ขะลำนะ  โดยไม่บอกเหตุผลบอกเพียงว่าอย่าทำ หากเด็กๆจะย้อนถามว่า เพราะเหตุผลใดจึงห้ามเช่นนั้น  ผู้ใหญ่ก็จะตอบเพียงสั้นๆว่า  เพราะมันขะลำ  หรือท่านว่าขะลำ  หรือกะลำ  ตัวอย่างนอนผินหัวไปทางทิศตะวันตก  ขะลำ นั่งขวางบันได้ขะลำ  ฯลฯ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 08:02:16 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ข้อคะลำที่สตรีมีครรถ์ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ มีมากมายทั้งนี้เพื่อต้องการให้ทั้งแม่และเด็กสามารถที่จะประสบกับสวัสดิภาพของชีวิตให้มากที่สุด  เช่น -ห้ามอาบน้ำเวลากลางคืน เพราะน้ำคาวปลาจะมาก (ภูมิปัญญาแฝง : เพราะอาจจะหกล้มได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ เนื่องจากในอดีตต้องใช้ไต้ หรือกะบองในการให้แสงสว่างซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ) - ห้ามข้ามเชือกที่กำลังล่ามวัวควาย ลูกออกมาจะเป็นคนตะกละตะกลาม (ภูมิปัญญาแฝง : เพราะอาจจะสะดุดเชือกหกล้มได้ หากวัวควายลุกเดินหรือวิ่งชน) - ห้ามนั่งขวางประตูบ้าน  มนั่งขวางบันไดบ้านจะทำให้คลอดลูกยาก (ภูมิปัญญาแฝง : กีดขวางทางเข้าออกของผู้สัญจรไปมา) - คะลำไปงานศพ เดี๋ยวผีคนตายจะมาเกิดด้วย (ภูมิปัญญาแฝง : ไม่ต้องการให้แม่เด็กต้องพบเจอภาพที่ไม่สวยงาม ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ได้) - คะลำไปเบิ่งคนคลอดลูก เดี๋ยวเด็กในท้องจะชักชวนกันไปในทางไม่ดี (ภูมิปัญญาแฝง : ไม่ต้องการให้แม่เด็กต้องพบเจอภาพที่ไม่สวยงาม ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ได้) แม่ลูกอ่อนหรือผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ยังอยู่ในภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตของผู้เป็นแม่และทารกที่เพิ่งคลอดได้ งนั้นในช่วงเวลานี้จึงยังมีข้อประพฤติ ปฏิบัติหรือข้อห้ามข้อคะลำที่ผู้เป็นแม่ลูกอ่อนต้องคะลำอยู่หลายอย่าง - ห้ามกล่อมลูกเวลากลางคืน (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะก่อความรำคาญ รบกวนผู้คนที่ยังหลับนอนอยู่) - ให้ซักผ้าอ้อมก่อนเพล(ประมาณเที่ยง) และให้ถือขมิ้นและมีดน้อยๆไปด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้ผีร้ายตามมาเอาตัวเด็กไปได้ (ภูมิปัญญาแฝง : หากมัวชักช้าโอ้เอ้อาจจะทำให้เสียการงานอย่างอื่นไปด้วย บังคับทางอ้อม) - ห้ามนำเด็กทารกออกจากชายคาบ้าน คะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : เด็กยังไม่แข็งแรง กะโหลกศรีษะยังไม่หุ้มดี อาจจะไม่สบายได้ง่าย) จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 08:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สำหรับเด็กครับ เด็กถือว่าเป็นวัยที่จะต้องเติบใหญ่ เป็นผู้สืบทอดความรู้ รักษาระเบียบแบบแผนของสังคมในอนาคตต่อไป จึงเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องมีการปลูกฝังแบบแผนความประพฤติในสังคมอีสานโดยผ่านคะลำ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ และควบคุมพฤติกรรมของเด็กให้อยู่ในระเบียบแบบแผนที่พึ่งปรารถนาของสังคม    ซึ่งข้อคะลำที่ผู้ใหญ่นำมาใช้กับเด็กรุ่นหลังมักจะเป็นลักษณะการปราบและปรามพฤติกรรมที่ไม่พึ่งปรารถนา และแสดงถึงผลที่ฝ่าฝืนข้อห้ามข้อคะลำดังกล่าวให้น่ากลัว หรือบางครั้งจะไม่แสดงเหตุผลแต่จะบอกว่าคะลำ ซึ่งนั้นมักจะทำให้เด็ก(ส่วนใหญ่)สยบยอมต่อข้อคะลำเหล่านั้น พร้อมกันนั้นยังเป็นการควบคุมหรือบอกข้อควรปฏิบัติระหว่างผู้ใหญ่ต่อเด็ก และบางข้อยังสามารถใช้กับบุคคลทั่วไปได้ด้วย, ทั้งนี้ภายใต้บริบทแวดล้อมในขณะนั้นที่เป็นตัวหล่อหลอมความคิด การรับฟัง เชื่อถือผู้ใหญ่ที่เกิดมาก่อนด้วย ซึ่งตัวอย่างข้อคะลำที่ยกมามีดังนี้ - ห้ามทักว่าเด็กที่เกิดใหม่ว่าน่ารัก เพราะถ้าผีรู้จะตามมาเอาตัวเด็ก หรืออายุเด็กจะสั้น (ภูมิปัญญาแฝง : เป็นการปรามทั้งตัวแม่เด็กและตัวเด็กที่เกิดขึ้นมาไม่ให้หลงระเริงต่อคำชมยกย้อป้อปั้น สร้างนิสัยไม่พึ่งปรารถนาตามมา) - อย่าป่อน(หย่อน)เด็กเล็กลงเรือน เป็นเชิงหยอกล้อ เพราะจะทำให้เด็กอายุสั้น (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะเกิดอุบัติเหตุเด็กพลัดตกลงไป และอาจจะอายุสั้นจริงๆได้) - ห้ามเอาจิ้งหรีดมากัดกันเล่น ฟ้าจะผ่าเอาได้ (ภูมิปัญญาแฝง : ควบคุมพฤติกรรมที่ควรประพฤติ ให้มีจิตใจเมตตา) - อย่าให้เด็กนั่งบนหลังสุนัข จะทำให้เด็กนิสัยเหมือนสุนัข (ภูมิปัญญาแฝง : สุนัขอาจแว้งมากัดเป็นอันตรายได้ และไม่ให้รังแกสัตว์) - อย่านั่งหันหลังขณะที่นั่งบนหลังวัว ควาย จะเป็นอัปมงคล (ภูมิปัญญาแฝง : มองไม่เห็นทาง ควบคุมสัตว์ไม่ได้ อาจตกลงมาเป็นอันตรายได้) - อย่าตีหัวแมว เพราะเมื่ออายุมากจะทำให้ศรีษะสั่น (ภูมิปัญญาแฝง : ห้ามรังแกสัตว์ให้มีเมตตา) จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 08:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 63 - ห้ามนอนกินอาหาร จะเป็นงู (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร และฝึกมารยาทที่เหมาะสม) - ห้ามเล่นข้าวสาร จะทำให้มือด่าง (ภูมิปัญญาแฝง : ข้าวเป็นอาหารไม่ควรนำมาเล่น และเป็นการสอนให้รู้สำนึกในคุณข้าวด้วย) - เด็กขณะพูดกับผู้ใหญ่อย่าอมนิ้ว (ภูมิปัญญาแฝง : ปลูกฝังมารยาท และบุคลิกภาพ) - ห้ามจับหางสุนัข จะทำให้สุนัขกินลูกไก่ (ภูมิปัญญาแฝง : สุนัขอาจจะรำคาญและแว้งกัดทำอันตรายได้) - ด่าพ่อแม่บุพการีผู้มีพระคุณ ตายไปจะเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม (ภูมิปัญญาแฝง : ปลูกฝังจริยธรรม และมารยาท ค่านิยมและควบคุมพฤติกรรมของเด็กและบุคคลทั่วไป) - ห้ามเด็กกินไส้และพุงปลาช่อน - ห้ามตีก้นเด็ก จะทำให้เด็กเป็นซางตานขโมย - เวลาอุ้มเด็กทารกห้ามพูดหนักหรือเบาเกินไป - ห้ามเป่าลมปากใส่หน้าเด็ก - (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะมีเชื้อโรคติดต่อไปยังเด็กได้) - เวลาอุ้มเด็กห้ามโยนเด็ก - (ภูมิปัญญาแฝง : เด็กอาจจะหลุดมือ เป็นอันตรายได้) - ห้ามเด็กกินจาวมะพร้าว - ห้ามเด็กกินเครื่องในไก่ จะทำให้เป็นดื้อด้าน ดื้อรั้น - (ภูมิปัญญาแฝง : ตามหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันอวัยวะดังกล่าวมีสารเคมีที่เป็นพิษเจือปนอยู่) เป็นต้น ขะลำที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น  เป็นเพียงส่วนน้อยนิด  ยังมีอีกมากชาวอีสานได้ปฏิบัติตามขะลำมาเป็นเวลาช้านาน  เป็นเหตุให้วิถีชีวิตในสังคมอีสาน  ครอบครัวอบอุ่น  มีความสุขทั้งทางกายและจิตใจ ชาวพันทิปที่ทราบเรื่อง คะลำ หรือโบราณอุบาย นำมาแบ่งปันก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 08:37:46 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ได้มาเก็บความรู้เยอะเลย ขอบคุณเจ้าของกระทู้และเพื่อนสมาชิกที่มาแบ่งปัน เรื่องน่ารู้ของภูมิปัญญาบรรพชนไทย เอ่อ สงสัยว่า เจ้าของกระทู้เป็น สว.(ผู้สูงวัย : ทั่วไ ป , สวยโว้ย : สตรี , สาวสูงวัย ) หรือเปล่าครับ ??? ถึงได้สนใจและมีความรู้ย้อนยุค เยอะเลย จากคุณ : deedang - [ 6 ต.ค. 51 08:50:18 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมอายุยังไม่ถึง 60 ปีแต่เกิน 21 ขวบ เป็นสว.(สูงวัย) รึเปล่าก็ไม่แน่ใจครับ ที่แน่ใจคือท่าน deedang เป็นสว. รุ่นพี่ครับ ^_^   พี่สว. ได้ยินเรื่องโบราณและมีข้อแนะนำบ้างไหมครับ? ผมสนใจกระทู้นี้เพราะเคยได้ยินมาบางข้อ จึงเป็นกระทู้หนึ่งที่ค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้และสนุกเพลิดเพลินครับ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ต.ค. 51 13:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เกี่ยวกับเรื่องผี ๆ เนี่ย มีประสบการณ์ของตัวเอง จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนเวลาดื้อ ๆ หรือ โมโหงอแงประสาเด็ก   ป้ากับลุงจะสอนว่าด่าผู้ใหญ่ ด่าพ่อ-แม่ จะเกิดเป็นเปรตปากจะเท่ารูเข็ม   ถ้าตีผู้ใหญ่ก็จะเกิดเป็นเปรตมือใหญ่เท่าใบลาน  ตอนนั้นก็ไม่รู้จักใบลาน ว่ามันเป็นยังไง ลุงก็ชี้ให้ดูใบขนุนว่าใบลานใหญ่กว่าใบขนุน  เลยกลัวปากเท่ารูเข็ม มือใหญ่เท่าใบลาน  ทำให้เวลาจะงอแงยังไงก็ไม่กล้าด่า กล้าตีผู้ใหญ่ ก็เป็นกุศโลบายที่อิงตามหลักพุทธศาสนา ทำให้เด็กมีหิริ โอตัปปะ ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตให้ห่างไกลจากบาปอกุศล แม้ว่าจะเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลศีลธรรม  ความทรงจำในวัยเยาว์จะคอยสะกิดใจถึงบาป บุญ คุณ โทษ จากคุณ : AYXC - [ 6 ต.ค. 51 15:12:10 ]

ความคิดเห็นที่ 67 มีประโยชน์จริงๆ สาธุ จากคุณ : autumn whispers - [ 6 ต.ค. 51 15:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 68 แหม ให้เกียรติชมว่า ผมเป็นผู้สูงวัย เดี๋ยวผม ผมจะหงอกเอานะครับ ^_^ ที่คุณ ebusiness เพลิดเพลินกับความรู้ย้อนยุคเหล่านี้ อาจ ฟ้องว่า คุณ ebusiness ก็สูงวัย เหมือนกันนะครับ หมายถึง สติ ปัญญา สูงกว่าวัย ที่เป็นอยู่ น่ะครับ ^_^ มิบังอาจแนะนำคุณ ebusiness หรอกครับ เห็นคำของคุณ AYXC ที่ว่า *** เป็นกุศโลบายที่อิงตามหลักพุทธศาสนา ทำให้เด็กมีหิริ โอตัปปะ ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตให้ห่างไกลจากบาปอกุศล *** ทำให้ฉุกละหุก คิดได้ว่า บรรดาโบราณกุศโลบาย ทั้งหลายนั้น กุศโลบายที่ทำให้เด็กมีหิริ โอตัปปะ นั้น มีคุณค่ามากมายนัก ยิ่งกว่ากุศโลบาย เพื่อความปลอดภัยในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน เพื่อสุขภาพ อนามัยที่ดี บุคลิกภาพและมารยาทที่ดี ฯลฯ ของเด็ก ๆ  นะครับ เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิต วงจรชีวิตที่ดี ความสุข ความทุกข์ ของลูก ๆ หลาน ๆ ทั้งในโลกนี้และปรโลก จากคุณ : deedang - [ 6 ต.ค. 51 16:48:42 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณ จขกท และหลายๆ ท่าน ที่ให้ความรู้ครับ หลายคนอาจจะคิดตามกระบวนความคิดสมัยใหม่ว่าทุกอย่างเป็นโบราณอุบายหรืออะไรทำนองนี้นะครับ แต่สำหรับผม ผมเชื่อในบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ เช่น ฮวงจุ้ย (ไม่ใช่ฮวงซุ้ยนะครับ นั่นแปลว่าหลุมศพ) โหงวเฮ้ง ไสยศาสตร์ พลังเหนือธรรมชาติ และอื่นๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเชื่อทั้งหมดนะครับ บางอย่างก็คิดได้ตามวิทยาศาสตร์จริงๆ แต่ก็ต้องเทียบกันกับความรู้และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปครับ เช่น ห้ามกินพุงปลา เพราะเมื่อก่อนวิถีชีวิตคนไทย เมื่อจับปลาได้ก็ทำได้แต่อาหารง่ายๆ เช่น ปิ้ง ย่าง อุปกรณ์ก็ไม่ทันสมัย บางท้องที่ปิ้งทั้งเกล็ดด้วยซ้ำ พุงปลาจึงอาจมีพยาธิ(อย่างที่ความเห็นข้างบนบอก) จากคุณ : นกไฟแห่งป่ามายา - [ วันเกิด PANTIP.COM 10:38:42 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงเรื่องเปรตไว้มากมาย ซึ่งพวกนี้ก็อดีตมนุษย์ที่ขาดหิริ คือความละอายใจ ต่อการทำชั่ว โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของความชั่ว จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตนั่นเอง คำสอนเรื่องเปรต ที่คุณ AYXC  ยกมาย่อมเป็นสักขีพยานภูมิปัญญาว่าหากปฏิบัติตามย่อมเป็นข้อสำคัญข้อหนึ่งในการช่วยสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตแน่นอน นับว่ามีคุณค่ามากมายดังที่คุณ deedang ได้กรุณาตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ ในปัจจุบันนี้ โบราณอุบาย ก็มีบางเรื่องสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ เช่นอุบายเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม การวางตัว การเป็นกุลสตรีครับ จากคุณ : ebusiness - [ วันเกิด PANTIP.COM 22:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ต่อนะครับ นอกเหนือจากข้อคะลำของประเภทบุคคลข้างต้นดังที่กล่าวไปแล้ว ยังมีข้อคะลำที่ห้ามประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลทั่วไปอยู่มากมาย โดยข้อคะลำของบุคคลทั่วไปที่นำตัวอย่างมากล่าว จะเป็นการบอกโดยรวมเพียงว่าอย่าปฏิบัติเท่านั้น เช่น - ห้ามแช่ครกและสากไว้ด้วยกัน มันคะลำ ถ้าเป็นหญิง(ทั้งแต่งงานและยังไม่แต่ง) จะคลอดลูกยาก (ภูมิปัญญาแฝง : ปลูกฝังมารยาท ความสนใจเอาใจใสในครัวเรือน นิสัยที่ดีงามแก่สตรี) - อย่าเดินข้ามไม้คาน - อย่าวางขันแช่ไว้ในตุ่ม โอ่ง - ห้ามเดินข้าม หรือนั่งทับหนังสือ มันจะปึก(ปัญญาทึบ) - ห้ามเย็บเสื้อผ้าตัวที่กำลังใส่กับตัวอยู่ - ห้ามเอามีด พร้ามาหยอกกันเล่น (ภูมิปัญญาแฝง : อาจพลาดเป็นอันตรายได้) ปล่อยให้น้ำดื่ม น้ำใช้ในโอ่งตุ่มแห้งขอดจนหมด คะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : ปลูกฝังความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน) - ปักจอบ จอบ เสียบคาดินไว้มันคะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้เดินไปมา และเครื่องมือเครื่องใช้อาจขึ้นสนิท หรือถูกขโมยไปได้) - ข้าวสารหมดเกลี้ยง คะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : ปลูกฝังความรับผิดชอบต่อหน้าที่) - ข้าวเหลือกินในป่าต้องนำกลับทุกเม็ด (ภูมิปัญญาแฝง : สัตว์ป่าอาจตามมากินถึงในหมู่บ้านได้) จากคุณ : ebusiness - [ วันเกิด PANTIP.COM 22:35:22 ]

ความคิดเห็นที่ 72 - อย่าเอาด้ามไม้กวาดตีหรือหยอกล้อกัน มันคะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : เป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นของต่ำ และเศษฝุ่นสิ่งสกปรกด้านที่กวาดอาจจะถูกเปรอะเปื้อนคนจับได้) - อย่าเทน้ำกินที่เหลือลงแอ่ง มันคะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : เป็นของเศษเหลือกินไม่เหมาะสม และผิดหลักสุขลักษณะด้วย) - อย่าเหยียบย่ำบนหมอน ของสูงเป็นบาป (ภูมิปัญญาแฝง : สำหรับหนุนหนอนไม่สมควรมาเหยียบเล่นให้สกปรก และรักษาสิ่งของให้ใช้ได้นาน เพราะไม่มีขายต้องทำเองด้วย) - อย่านอนแงง(ส่อง)ดาบ (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะหล่นหรือพลาดมือถูกผู้ส่องได้) - อย่าแน(เล็ง)มีดใส่หัว อย่าแนปืนใส่เขา (ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะพลาดและเป็นอันตรายได้) - อย่าเอามีดสับเขียงเปล่า มันคะลำ - อย่าตำครกเปล่า มันคะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : ทำให้สิ่งของเสียหาย และทำให้เสียงดังก่อความรำคาญแก่คนอื่น) - ชายหญิงนั่งใกล้กัน หญิงสาวไปเที่ยวกลางคืนลำพังหรือไปกับชายสองต่อสอง คะลำ (ภูมิปัญญาแฝง : เป็นมาตรการป้องกันเรื่องชู้สาว ผิดทำนองคองธรรมและเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติของหนุ่มสาวให้อยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยา) นอกจากนี้ยังอาจนำโบราณอุบาย ขะลำ ไปเปรียบเทียบกับธรรมะเช่น บางข้อสอนให้รักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย บางข้อสอนให้ตั้งในความไม่ประมาท บางข้อมาลงได้กับธรรมที่เป็นเหตุให้มีสุขในชาตินี้ (หัวใจเศรษฐี)  คือ ๑. ถึงพร้อมด้วยความหมั่น (อุฏฐานสัมปทา)  ๒.  ถึงพร้อมด้วยการรักษา (อารักขสัมปทา)  ๓. ถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้มีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา)  ๔. ถึงพร้อมด้วยความเป็นอยู่ที่เหมาะสม (สมชีวิตา) ตอนต่อไปจะนำโบราณอุบายข้อห้ามที่เกี่ยวกับเวลากลางคืนมาฝากครับ จากคุณ : ebusiness - [ วันเกิด PANTIP.COM 23:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ได้อ่านมาทั้งหมด ก็พอสรุปได้ว่า จริง ๆ แล้ว การสั่งสอนให้คนมีคุณธรรม และจริยธรรมนั้น ในสมัยก่อนหรือคนต่างจังหวัด ไม่ต้องใช้ทฤษฎีหลักการมากมาย ภูมิปัญญาไทย ๆ ก็สอนได้ผ่านกิจวัตรประจำวันเท่านั้นเอง จากคุณ : รัตนมาลี - [ 8 ต.ค. 51 11:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 74 *** พอสรุปได้ว่า จริง ๆ แล้ว การสั่งสอนให้คนมีคุณธรรม และจริยธรรมนั้น ในสมัยก่อนหรือคนต่างจังหวัด ไม่ต้องใช้ทฤษฎีหลักการมากมาย ภูมิปัญญาไทย ๆ ก็สอนได้ผ่านกิจวัตรประจำวันเท่านั้นเอง *** เป็นมุมมองและคำสรุปที่แจ่มดีครับ ทำให้ฉุกละหุก อีกแล้วว่า โบราณกุศโลบาย หลาย ๆ เรื่องได้มาจาก การใช้สอยปัจจัยสี่ ว่าโดยย่อในทางพระพุทธศาสนา คือ อาหาร , ที่อยู่อาศัย เสนาสนะ และเครื่องใช้ อุปกรณ์ , เครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ , ยารักษาโรค ( การดูแลสุขภาพ ) กระมังครับ จากคุณ : deedang - [ 8 ต.ค. 51 11:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คุณรัตนมาลีสรุปได้แจ่ม คุณ deedang ขยายกับฉุกละหุกข้อการใช้สอยปัจจัยสี่ ได้ชัด ใส ปิ๊งครับ เพราะปัจจัยสี่เป็นสิ่งที่กำหนดอุปนิสัยและพฤติกรรมของบุคคล ท่านบอกว่าถ้าจะแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีให้แก้ที่ปัจจัยสี่ หรือแก้ที่สิ่งแวดล้อมของบุคคลนั้น ซึ่งเรียกว่าธรรมชาติเป็นธรรมะขั้นพื้นฐาน มีโบราณอุบายจนคุ้นเคยและนานวัน จะทำให้ละนิสัยที่ไม่ดี ได้นิสัยดีดีเพิ่ม จากคุณ : ebusiness - [ 8 ต.ค. 51 13:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เล่าต่อครับ แม่โพสพ แปลว่า เทวดาประจำพืชพรรณธัญญาหารทั้งปวง (ตามสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตตยสถาน) มวลมนุษยชาติเชื่อถือและกราบไหว้บูชามาตั้งแต่ครั้งโบราณของชาวไทยและลาวและละแวกลุ่มน้ำเจ้าพระยา บูชาเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญชาติที่เพาะปลูกตามฤดูกาล เวลานึ่งข้าวเหนียวห้ามกระแทกหวด แม่โพสพจะเจ็บ ในยุคโบราณ เครื่องใช้ในครัวเรือนมักใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่นมาทำ เช่น ทำจากไม้ไผ่ ใยฝ้าย ดินเหนียวซึ่งปั้นและเผาด้วยอุณหภูมิต่ำเป็นต้น เนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ทำให้เครื่องใช้เหล่านี้ขาดความคงทน ชำรุดเสียหายได้ง่าย ส่วนใหญ่ต้องทำใช้เองเพราะหาซื้อได้ยาก ด้วยเหตุนี้ คนโบราณจึงมีโบราณอุบายไว้เพื่อให้เกิดความสำรวมระวังในการใช้สิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือน ดังเช่น “เวลานึ่งข้าวเหนียวห้ามกระแทกหวด แม่โพสพจะเจ็บ” ข้าวเหนียว เป็นอาหารหลักของคนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาชนะสำหรับนึ่งข้าวเหนียวเรียกว่า หวด ทำจากตอกไม้ไผ่นำมาสาน มีลักษณะปากกลมก้นสอบใช้นึ่งข้าวเหนียวโดยตั้งไว้บนปากหม้อทรงสูง หวดจะสูงประมาณ 30 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. ภาคใต้เรียก “สวด” การนึ่งข้าวเหนียวจะต้องนำข้าวเหนียวที่ล้างสะอาดแช่น้ำไว้พักหนึ่งแล้วนำไปเทใส่หวด จากนั้นนำไปตั้งบนปากหม้อทรงสูงที่บรรจุน้ำและตั้งไฟให้เดือด การที่คนโบราณสอนว่า เวลานึ่งจะไม่กระแทกหวดให้แน่นนั้น เพราะต้องการให้ไอน้ำผ่านแทรกเข้าไปในหวด ตามช่องว่างระหว่างเมล็ดข้าว ทำให้ข้าวเหนียวสุกทั่วกันทั้งหวด หากมีการกระแทกหวดข้าวเหนียวจะอัดตัวกันแน่น ทำให้ไอน้ำไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ก็จะทำให้ข้าวเหนียวสุกไม่ทั่วถึง ส่วนบนและตรงกลางจะดิบ ส่วนล่างจะแฉะ รับประทานไม่ได้ การบอกเป็นอุบายว่าแม่โพสพจะเจ็บ ทำให้ผู้หุงข้าวซึ่งนับถือและรู้คุณแม่โพสพเป็นอย่างดี เกิดความระมัดระวังไม่กระแทกหวดข้าวเหนียว เพราะจะทำให้หุงสุกไม่ทั่ว และเครื่องใช้ในครัวเรือนไม่เสียหาย จากคุณ : ebusiness - [ 9 ต.ค. 51 20:06:30 ]

ความคิดเห็นที่ 78 นอนผินหัวไปทางทิศตะวันตก  ขะลำ การสอนลูกหลานให้ปฏิบัติตามประเพณีขะลำ ให้ละเว้นไม่ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรนี้  ผู้ใหญ่จะบอกว่าทำอย่างนี้ขะลำนะ  โดยไม่บอกเหตุผลบอกเพียงว่าอย่าทำ หากเด็กๆจะย้อนถามว่า เพราะเหตุผลใดจึงห้ามเช่นนั้น  ผู้ใหญ่ก็จะตอบเพียงสั้นๆว่า  เพราะมันขะลำ  หรือท่านว่าขะลำ  หรือกะลำ  ตัวอย่าง  นอนผินหัวไปทางทิศตะวันตก  ขะลำ ถ้าคิดใคร่ครวญให้ดีๆ  ถึงเหตุผลของข้อขะลำที่ว่า  ห้ามนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกนั้น  อาจด้วยเหตุผลว่า  บ้านเรือนของชาวอีสานนิยมปลูกหันด้านจั่วไปตามแนวดวงอาทิตย์ขึ้นและตก  คือไม่ปลูกบ้านขวางแนวดวงอาทิตย์ขึ้นและตก  แดดตอนบ่ายส่องฝาด้านตะวันตก  ฝาแนวนี้จะร้อน  ถ้าคนนอนหันศีรษะมาใกล้ฝาด้านร้อน  ตอนหัวค่ำความร้อนยังเหลืออยู่  อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้  ท่านจึงห้ามไว้  แต่ผู้รู้บางท่านก็บอกว่า  ทิศตะวันตกเป็นทิศหันศีรษะของการฝังศพ  ลูกหลานได้รับการบอกเล่าเช่นนี้ก็กลัวผี  ไม่นอนหันศีรษะไปทิศตะวันตกสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ขะลำที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น  เป็นเพียงส่วนน้อยนิด  ยังมีอีกมากชาวอีสานได้ปฏิบัติตามขะลำมาเป็นเวลาช้านาน  เป็นเหตุให้วิถีชีวิตในสังคมอีสาน  ครอบครัวอบอุ่น  มีความสุขทั้งทางกายและจิตใจ ต่อจากข้าวเหนียวเป็นข้าวซอยครับ ตอนต่อไปนี้ เป็นโบราณอุบายอันเป็นภูมิปัญญาทางเหนือ ชาวอีสานพูดว่า นอนผินหัวไปทางทิศตะวันตก  ขะลำ แต่ชาวเหนือจะพูดว่า นอนเอาหัวไปตัง ทิศตะวันตก อันนี้ระวังตกขึด เน้อ "ขึด ข้อห้ามในล้านนา" ขึด มันแปล๋ว่า บ่ดี โปรดติดตามเน้อคับ จากคุณ : ebusiness - [ 9 ต.ค. 51 20:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 79 มารออ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกแล้วค่ะ จากคุณ : รัตนมาลี - [ 9 ต.ค. 51 22:00:53 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ภูมิปัญญาโบราณนับวันจะยิ่งสูญหายไปตามกระแสวัฒนธรรมตะวันตกและวัตถุนิยมบูชาเงินเป็นพระเจ้า  ความอ่อนโยนของคนไทยกำลังจะเลือนหายไป  กระทู้ดีๆ แบบนี้ช่วยกันโหวตและเก็บลงคลังกระทู้เก่า จากคุณ : autumn whispers - [ 11 ต.ค. 51 09:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 81 มีความรู้มาเพิ่มอีกแล้ว อนุโมทนา เจ้าของกระทู้ครับ ร่วมโหวตด้วย ครับ จากคุณ : deedang - [ 11 ต.ค. 51 10:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เรื่องที่ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกนั้น แม่บอกว่าเป็นทิศที่เวลาตั้งศพจะหันไปทิศนั้นค่ะ คงประมาณอัปมงคล เป็นทิศของคนตาย (อยู่อีสานค่ะ) และมีอีกเรื่องที่สงสัยคือห้ามชี้นิ้วไปที่รุ้ง เพราะนิ้วจะกุด อันนี้เพราะสาเหตุอะไรคะ จากคุณ : วัง_เวียง - [ 11 ต.ค. 51 13:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 83 รุ้งเป็นผลจากการที่แสงหักเหและสะท้อนออกมาจากเม็ดฝน เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังฝนตกใหม่ๆ ในเวลานั้นในชั้นบรรยากาศอาจจะมีประจุไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ หากออกไปยืนกลางแจ้งเพื่อดูรุ้งกินน้ำหรือยื่นมือไปชี้รุ้งกินน้ำ โดยในมือมีเครื่องประดับที่เป็นโละหะ เช่น กำไล แหวน ที่เป็นทองหรือเงิน ซึ่งเป็นสื่อนำไฟฟ้า ก็อาจจะเกิดภัยฟ้าผ่าได้ครับ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง ซึ่งภายในก้อนเมฆเองและพื้นดินมีต่างมีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันคือประจุบวกและประจุลบ เมื่อประจุที่ต่างกันวิ่งเข้าหากันก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น ด้วยเหตุนี้ฟ้าผ่าจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อนหรือฟ้าแลบ รวมถึงฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดินซึ่งเป็นประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่มากที่สุด   การที่คนโบราณสอนว่า ห้ามชี้นิ้วไปที่รุ้ง เพราะนิ้วจะกุด อาจเป็นเพราะสอนให้ปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่าครับ จากคุณ : ebusiness - [ 11 ต.ค. 51 15:50:00 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อยากมอบหัวใจสีชมพูให้หมดเลยนะ ทุกความเห็นเลยค่ะ รวมถึงรูปด้วย จากคุณ : แม่ของอ๊บ (obst) - [ 12 ต.ค. 51 01:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณครับ โปรยเรื่อง ขึด ติดค้างไว้ มาต่อกันนะครับ ความเชื่อเรื่องข้อห้ามขึดล้านนา ความเชื่อของชาวล้านนา เกิดจากการการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ จากเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ มีทั้งเรื่องน่ากลัวของธรรมชาติ ของภูตผีปีศาจ ตลอดถึงเรื่องที่เกิดจากพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา ไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ ในความเชื่อต่าง ๆ ของชาวล้านนานั้นมักมีข้อห้ามเพื่อให้ให้ละเว้นไม่ให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ วัดวาอาราม โบราณสถาน โบราณวัตถุ ต้นไม้ขนาดใหญ่ รวมถึงแหล่งธรรมชาติอื่น ๆ  เป็นต้น เพราะเชื่อว่าหากกระทำผิดต่อสิ่งดังกล่าว จะทำให้เกิดภัยพิบัติต่อตนเองและชุมชนตามมา ความเชื่อในลักษณะไม่ดี ไม่งาม ไม่ควรกระทำชาวล้านนาเรียกว่า ขึด  นอกจากนี้มีผู้ให้ความหมายของคำว่า “ขึด” ไว้หลายท่าน ดังเช่น อุดม  รุ่งเรืองศรี   ให้ความหมายขึดว่า ต้องห้าม คือ ห้ามประพฤติปฏิบัติ มณี  พยอมยงค์  ได้นิยามความหมายของขึดว่า ไม่ดี ไม่งาม เสนี... ความพินาศ ...หาย วอดวาย ความทุกข์โทมนัส ความอัปยศ และความหมายหายนะนานานัปการ เรณู  อรรฐาเมศร์ อธิบายข้อห้ามขึดไว้ว่า ขึดคือความเชื่อในสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือเชื่อในปรากฏการณ์บางอย่างว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือมีอิทธิฤทธิ์ ดลบันดาลความเป็นไปในทางดีหรือเป็นไปในทางร้ายได้ตลอดจนสามารถทำชีวิตมนุษย์ให้ประสบหายนะได้ กล่าวได้ว่า ข้อห้ามขึด เป็นความเชื่อของชาวล้านนาที่สืบทอดต่อกันมา ในเรื่องการห้ามประพฤติปฏิบัติหรือกระทำสิ่งไม่ดีต่อสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมศรัทธา เลื่อมใส ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพระศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ตลอดถึงสภาพแวดล้อมและธรรมชาติทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม (ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ศักราช) จากคุณ : ebusiness - [ 13 ต.ค. 51 21:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 90 สาเหตุการเกิดข้อห้ามขึดมีอยู่ 3 เรื่อง คือ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เกิดจากภูตผีปีศาจและเทวทัณฑ์ และเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ลักษณะข้อห้ามที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ เป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดของธรรมชาติที่ไม่ควรจะมีหรือไม่ควรจะเกิดขึ้น ที่เรียกว่าผิดธรรมชาติ เมื่อมนุษย์พบสิ่งที่ไม่เคยเห็นจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด และเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าขึด ความเชื่อในลักษณะนี้เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติด้วยเหตุผลทางไสยศาสตร์ ต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์คอยบังคับให้เป็นไป และสิ่งเหล่านั้น ก็คือ ผี วิญญาณ เทพารักษ์ ในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ตามจินตนาการของตน และทำพิธีสักการะบวงสรวงด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี เพื่อผ่อนคลายความอาถรรพณ์ไม่ทำร้าย และบันดาลความผาสุกมาให้ ข้อห้ามที่เกิดจากภูตผีปีศาจและเทวทัณฑ์ เป็นข้อห้ามขึดที่คนล้านนาได้มีสามัญสำนึกร่วมกัน ในการยอมรับ ความเชื่อในเรื่องภูตผีปิศาจ มีทั้งความเชื่อในผีบรรพบุรุษที่เรียกว่า ผีปู่ย่า ผีประจำหมู่บ้าน ผีประจำเมือง ผีประจำภูเขา และผีที่แฝงในร่างคน เช่น ผี โพง ผีปอบ และผีกระสือเป็นต้น ส่วนข้อห้ามจากเทวทัณฑ์นั้น เป็นการลงโทษของเทพยดาอารักษ์ต่าง ๆ ที่กระทำแก่มนุษย์ผู้ที่ทำผิดต่อท่านเช่น เสียสัตย์สาบาน ด้วยไม่ทำพิธีบวงสรวงเลี้ยงดูตามที่บนบานไว้ หรือการพูดหมิ่นประมาทในสถานที่บางแห่งที่ประชาชนเคารพนับถือว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ ในการลงโทษนั้นอาจจะปรากฏกายให้เห็นแสดงผ่านร่างมนุษย์ที่เป็นร่างทรงหรือม้าขี่ หรือแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ เช่นการเข้าฝันบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือผู้เป็นญาติพี่น้องของผู้ทำผิดนั้น ๆ จากคุณ : ebusiness - [ 13 ต.ค. 51 21:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ข้อห้ามที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เป็นเรื่องที่มนุษย์เป็นผู้กระทำขึ้นเอง ธรรมชาติมักจะเกิดที่ปลายเหตุ ถ้าคนประพฤตินอกรีตนอกรอย ก็จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาตินำไปสู่ความหายนะ เรียกกว่าขึด  และผลของขึดนั้นอาจทำให้เสื่อมและเดือดร้อนเฉพาะบุคคลคนเดียว หรือหลายคน หรือกระทบต่อชุมชนตลอดถึงบ้านเมือง แล้วแต่ความหนักเบาของข้อห้ามขึดที่กระทำ ตัวอย่างขึดหลวงทางเหนือที่รู้กันจะมีอยู่ 7 ประการ ได้แก่  ถมสมุทร  ขุดกระแส  แหม่รูทวาร รานสะหรี ตีอก ปกกะโดงค้างตุง เก่าถมใหม่ 1 . ถมสมุทร  คือ ถมสระหนอง ถมลำห้วย ถมลำเหมือง ถมบ่อน้ำ ถมหลุม รวมถึงการปิดถนน ปิดทางเดิน 2. ขุดกระแส  คือ การขุดแม่น้ำ ขุดเหมืองใหม่เพื่อเปลี่ยน ทิศทางเดินของกระแสน้ำให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แต่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น 3. แหม่รูทวาร คือ การย้าย การเปลี่ยน การขยาย เช่นประตูเมืองประตูบ้าน หรือการขยับขยายออกของถนนหรือทางเดิน 4. รานสะหรี คือ การตัดต้นไม้อันเป็นศรีเมือง หรือการตัดรานต้นโพธิ์ที่ได้รับการบวชแล้ว และหมายถึงการห้ามทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน 5. ตีอก คือ การม้างทำลายทั่งที่ใช้ในการตีเหล็ก และสิ่งที่ถือเป็นของมีคุณค่า หรือสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชุมชนหรือบ้านเมือง 6. ปกกะโดงค้างตุง คือ การตัดกิ่งไม้ริมทางและนำเอาตุงไปแขวน ไม่ให้เอาโคมไฟไว้ในบ้านให้บูชาไว้ในวัด จุดมุ่งหมายเพื่อการห้ามปรามบุคคลต่าง ๆ ให้ระมัดระวังพฤติกรรมที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือการกระทำสิ่งต่าง ๆ อย่างขาดความเคารพยำเกรง ตลอดถึงการห้ามละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน 7.  เก่าถมใหม่ คือ การขุดเอาดินจากที่นาจากดอย จากจอมปลวก จากกลางบ้านมาถมที่จะปลูกสร้างบ้านเรือน พ่อแม่ละสมบัติไว้ให้แต่ไม่ใช้ แต่กลับเอาไปขายก็ถือว่าเป็นขึดหลวง จากคุณ : ebusiness - [ 13 ต.ค. 51 21:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ทำไม คนโบราณจึงกล่าวไว้เช่นนี้ ทำไมการละเมิดขึดถึงไม่ดี ลองคิดดูเล่น ๆ  เราอาจเห็นเหตุผลเชิงสิ่งแวดล้อมแฝงอยู่ หากละเรื่องความเชื่อ ไสยศาสตร์ กุศโลบายเชิงการเมืองการปกครอง และแง่คิดอื่น ๆ เอาไว้ "สมุทร" หมายถึง แหล่งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่มีน้ำขัง ซึ่งคอยเก็บกับและรับน้ำ ช่วยบรรเท่าน้ำท่วมได้ ด้วยความสามารถของดินนุ่มและเศษซากพืชใต้พื้นแอ่ง น้ำ สามารถดูดซับน้ำได้ดีราวกับเป็นฟองน้ำ แถมบรรดาพืชที่ขึ้นอาศัยในแหล่งน้ำ เช่น กก อ้อ ธูปฤาษี ยังดูดซับมลพิษต่าง ๆ รวมทั้งสารพิษและโลหะหนัก จึงเป็นดังบ่อน้ำเสียด้วย การถมสมุทร นอกจากจะทำลายแหล่งน้ำและความอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดน้ำท่วม ส่วนการขุดขยายแม่น้ำออกเป็น ๒ สายนั้น ย่อมหลีกไม่พ้นการทำลายพื้นที่และระบบนิเวศเดิม น้ำในแม่น้ำสายเดิมจึงถูกผันไปสู่สายใหม่ ส่งผลถึงพืชสัตว์ที่อาศัยอยู่ ลำน้ำใหม่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งถ้าหากขุดลำน้ำให้เป็นเส้นตรงแล้ว ที่อยู่อาศัย ที่วางไข่ ที่อนุบาล และโรงอาหารของสัตว์น้ำจะถูกทำลายไปด้วย เมื่อแม่น้ำลำธารและหนองบึงเสื่อมสภาพลง คนก็จะเดือดร้อน จากคุณ : ebusiness - [ 13 ต.ค. 51 22:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ตอนต่อไปจะเป็นตัวอย่าง ขึด  โบราณอุบายที่บรรพบุรุษใช้เพื่อควบคุมความประพฤติคนในสังคม  ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาครับ จากคุณ : ebusiness - [ วันออกพรรษา 00:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เป็นสาระน่ารู้ ที่ดีมาก ๆครับ เจ้าของกระทู้ ต้องเป็น ส.ว. แน่ ๆ เลย จากคุณ : deedang - [ 15 ต.ค. 51 12:23:40 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ผมเพิ่งจะทำบัตรประชาชนปีนี้เองครับ ส.ว. (สูงวัย) รึปล่าวไม่แน่ใจ จากคุณ : แทนบัตรเก่าชำรุดนะครับ (ebusiness) - [ 20 ต.ค. 51 20:20:58 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เข้ามาแล   จากคุณ : badhermit - [ 20 ต.ค. 51 20:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 98 มารออ่านค่ะ เงียบไป๑๐วันแล้วนะ คิดถึง จากคุณ : แม่ของอ๊บ (obst) - [ 30 ต.ค. 51 22:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบคุณที่มีบทความดีๆ มาให้อ่านค่ะ โบราณไม่บานบุรี โบราณมีสิ่งดีๆ ให้ลูกๆ หลานๆ ได้ระมัดระวัง และไม่ประมาทในชีวิต อ่านแล้วเข้าใจภูมิปัญญาบรรพบุรุษของเราท่านชาญฉลาด ขอให้ทุกคนมีสันติสุขในใจค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 5 พ.ย. 51 09:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 100 กฏแห่งกรรม 1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่ เสมอ เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติ ก่อน 3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มี เสื้อผ้าดีดีสวม ใส่ เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติ ก่อน 4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน 5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและ มีความสุขมาก เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน 6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูป งาม เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพใน ชาติก่อน 7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมี ปัญญาดี เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติใน ชาติก่อน 8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและ มีเพื่อนมากมาย เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนใน ชาติก่อน 9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อม หน้า เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลน คนไร้ญาติในชาติก่อน 10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็ก กำพร้า เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติ ก่อน 11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติ ก่อน 12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มาก มาย 13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้ เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคน จน 14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชา พระ 15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหู หนวก เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อ แม่ 16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยา พิษ เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็น พิษ 17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดัก สัตว์ 18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้น สุด 19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติ หน้า จากคุณ : เป็นประธานกฐินปีละวัด - [ 8 พ.ย. 51 09:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ชื่นชมอนุโมทนาครับ ได้ประโยชน์มากมาย คำสอนเหล่านี้ ที่ขาดการสืบต่อมีมากหลาย เพราะไม่เข้าใจเหตุผลนั่นเอง ขอเพิ่มเกร็ดเล็กๆน้อยๆ และความคิดเห็นอันอ่อนด้วย -ในสวัสดิรักษา ของสุนทรภู่ก็กล่าวถึงความเชื่อ คติแบบนี้เช่นกัน -ในกฎหมายตราสวมดวงมีบทลงโทษ ผู้ประพฤติตนเป็นแม่มดหมอผี อาถรรพ์มนต์ดำ -และในกฏมณเฑียร์บาล ก็มีข้อห้ามเกี่ยวกับการทำไสยาศาสตร์มนต์ดำเช่นกัน -วรรณกรรมหลายอย่าง เช่นคำภีร์ทางพระพุทธศสนาไตรภูมิพระร่วง ก็มีผลต่อวิถีความเชื่อ ของคนสมัยก่ิอน -ได้ยินว่าในดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อก่อนมีพวกอมุษย์อยู่มากมาย เมื่อเราปรับปรุง วิเคราะห์ด้วยหลักการณ์เหตุและผลของคนยุคใหม่ ด้วยสมุฎฐานทางวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่าความเชื่อ เกี่ยวกับไสยาศาสตร์ เป็นสิ่งงมงาย จึงมองว่าเป็นอุบาย แฝงปรัชญาคำสอนไว้ในคติความเชื่อเหล่านั้น   ซึ่งโดยที่แท้จริงแล้ว สรรพในโลกนี้ ไม่ว่า แผ่นดิน ภูเขา สายน้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า หรือสิ่งอื่นๆอีก ล้วนแฝง เต็มไปด้วย ปรัชญา สามารถเอาสิ่งต่างๆในธรรมชาติเหล่านั้น มาใช้สอนตนได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับวิธีการมอง ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละคน ฉะนั้นจึงค้นพบ หลักการของปรัชญา ซ่อนอยู่ในคำสอนดังกล่าวเป็นธรรมดา - คนในยุคก่อนนั้น เป็นพวกจิตนิยม มีความเข้าใจ ความเชื่อในนามธรรมมากกว่า คนในยุคหลัง  จึงใช้นามธรรมเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต - คนในยุคหลัง เป็นพวกวัตถุนิยม มีความเข้าใจ เชื่อในรูปธรรมมากกว่า คนในยุคก่อน จึงมักใช้รูปธรรม เป็นเครืองมือในการดำเนินชีวิต เป็นการยากต่อการทำความเข้าใจ สื่อสารกันของคนต่างรุ่น ต่างสมัย ยกตัวอย่าง ถ้าเราคุยกับคนสมัยอยุทธยา จะเป็นการลำบากที่จะคุยกันรู้เรื่อง กว่าการพูดคุยกับคนในยุคปัจจุบัน เพราะมีพื้นฐานทางความเชื่อ การชึ้นำ สิ้งแวดล้อม ภาษา ที่ต่างกันมากกว่า นั่นเอง สรุปว่า เราสามารถมองคำสอน คติความเชื่อเหล่านั้น ได้ ๒ มุมมอง คือ ๑ . มองในแง่ของนามธรรม ความลี้ลับ ไสยศาสตร์  ด้วยเหตุผลของนามธรรม ความลี้ลับ ซึ่งเป็นการยากที่จะเข้าใจได้ แต่ก็มิใช่ว่าจะทำไม่ได้ ๒ . มองในแง่ของปรัชญา ซึ่งมีความเป็นเหตุเป็นผลของรูปธรรม มากกว่า ....   ในพระพุทธศาสนา ก็เน้นย้ำให้เชื่อ ในเหตุผล ที่พิสุทธิ์ได้ ข้อชวนคิด: -ถ้าเราจับต้องไฟ ผิดวิธีย่อมเกิดโทษ -เมื่อเราเทของหอมสวยงามก็ตาม ของเสียปฎิกูลก็ตามแผ่นดินย่อมไม่แสดงอาการหวั่นไหว -น้ำมักเปลี่ยน รูปไปตามภาชนะที่ใส่ ทิ้งท้าย ข้อห้ามจากโบราณกาลมีมากมายนัก บัดนี้สุญหายไปเกือบหมดแล้ว ขอคำว่า "กุศลกรรม" อย่าได้สูญหายไปเลย จากคุณ : นาควิสัยแคบ (ryombr) - [ 10 พ.ย. 51 16:37:00 ]