ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเป็นพระพุทธรูป หรือพระเครื่อง ถึงไม่ได้ปลุกเสก แต่ถ้าคนนำมาใช้ขยันอาราธนาพระ ก็ขลังได้ครับ มีเรื่องเล่าว่ามีคนไปอินเดีย แม่บอกอยากได้พระธาตุเขี้ยวแก้วของพระสารีบุตร ด้วยความที่รักแม่มาก รู้ก็รู้ว่าไม่ใช่หาได้ง่ายๆ  แต่ก็รับปาก ตอนจะกลับหาไม่ได้ เจอศพหมา เลยงัดเอาเขี้ยวหมามาขัด แล้วเอากลับให้แม่ แม่ก็ไม่รู้ดีใจนึกว่าเป็นพระธาตุเขี้ยวแก้วจริง ๆ ใส่ผอบบูชาอย่างดี ปรากฎว่าคืนนั้นเปล่งรัศมีสว่างไปทั้งบ้าน แต่เรื่องเทวรูป หรือกุมารทองนี่ไม่ทราบเหมือนกัน จากคุณ : Nobody I am - [ 26 เม.ย. 52 13:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทหารไทยไปรบที่เวียดนาม ระหว่างกำลังพักก็ถอดพระออกเพื่อล้างเนื้อล้างตัว ปรากฎว่าเวียตกงบุก อารามตกใจ+รีบร้อน คว้าพระมาอม แต่จับผิดไปจับเขียดตัวเล็กที่อยู่ใกล้กับพระมาอม  เขียดอยู่ในปากก็ดิ้น พวกคิดว่าของขึ้น เลยไม่กลัวตาย ยิงสู้แบบไม่คิดชีวิต ผลเวียตกงแตกกระเจิง จากคุณ : smokie - [ 26 เม.ย. 52 14:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องที่สอง แคล้ว ธนิกุล ผู้มากบารมี แต่ต้องตายเพราะถูกรุมยิงด้วยเอ็ม 16 ภายหลังเจ้าหน้าที่มาชันสูตรพลิกศพ  พบว่าเจ้าพ่อแคล้วอม "สมเด็จวัดระฆัง" ของแท้ แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 52 14:02:43 จากคุณ : smokie - [ 26 เม.ย. 52 14:02:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^  คห. 2 ก็เคยได้ยิน อย่างฮา อมเขียดแล้วเหนียวจริง ๆ ซะด้วย เขียดดิ้นคิดว่าของขึ้น กำลังใจถึงซะอย่าง พระท่านก็ช่วยเต็มที่ เคยเห็นเท่ง เถิดเทิงเอามาเล่นเป็นมุขด้วย คห. 3 เป็นตัวอย่างของคนถึงที่ตาย หลวงพ่อฤาษีเคยเล่าสมัยท่านเป็นทหาร ถูกย้ายให้มาช่วยตำรวจ มีโจรคนหนึ่งเหนียวมากยิงไม่ออก มีวันหนึ่งโจรคนนี้ถูกยิงตาย ท่านสงสัยก็เลยไปดู ถามคนที่ปราบว่าตายได้อย่างไร เขาก็บอกให้ลากศพออกมาซักศอกนึงแล้วลองยิงใหม่ ปรากฎว่ายิงไม่ออก เขาบอกว่าที่ตายมันอยู่ตรงนั้น แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 52 14:07:44 แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 52 14:04:35 จากคุณ : Nobody I am - [ 26 เม.ย. 52 14:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ของวิเศษไม่มีจริง "สติ "ต่างหากที่อยู่ติดกับตัว จากคุณ : เหตุและผล (smokie) - [ 26 เม.ย. 52 14:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ้าว   คุณ  Nobody I am  คคห. 4  เล่าไม่จบ  มาต่อไวๆ ค่ะ  กำลังสนุกเชียวค่ะ จากคุณ : Smiling-girl - [ 26 เม.ย. 52 16:11:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนที่เรากราบไหว้บูชานั้น เราก็ทำของเรา เช่นมีดอกไม้ ธูปเทียน ผลไม้ น้ำ และอัญเชิญท่านด้วยความเคารพตั้งใจจริง ผมคิดว่า ท่านก็มาแน่นอนครับ เวลาพราหมณ์เขาบวงสรางเขาก็เชิญท่าน ตรงๆอย่างที่เราเชิญ เพียงแต่ดูมีพิธีเท่านั้นเองครับ ส่วนความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีคุ้มครองอันตรายได้จริง เพราะคุณพระรัตนตรัยมีจริง เทพก็ช่วยได้ด้วยครับ อันนี้ก็จริง ในตำราก็มีเห็นๆ เช่นพระมหาชนก เป็นต้น อีกอย่างที่คุ้มครองอันตรายนั้นเป็นบุญครับ ไม่ต้องนึกอะไรเลย บุญของเราคุ้มครองเอง ในพระไตรปิฏกก็มีเขียนไว้มากมาย เช่น หมอชีวก ตอนเกิดเป็นทารก โดนเอาไปทิ้ง อีกาอีแร้งก็ไม่มากิน แต่มากัน เพราะบุญ เป็นต้น เรื่องของสติ ไม่ได้คุ้มอันตราย เพียงแต่ทำให้เราไม่ทำพลาด และไม่ตกไปในกิเลสและความชั่วครับ ส่วนเมื่อถึงแก่ความตาย จริงๆ ด้วยกฎแห่งกรรม กฎนี้ก็ชนะเกือบ ทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามกรรมครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 26 เม.ย. 52 18:43:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในเรื่องพระมหาชนกกล่าวถึงเทพเพื่อเป็นกุศโลบาย แต่ความเป็นจริงแล้ว พระมหาชนกรอดได้ด้วย "สติ" และ "ความเพียร" ต่างหาก จากคุณ : เหตุและผล (smokie) - [ 26 เม.ย. 52 18:49:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนเรื่องหมอชีวก  อีแร้ง อีกา ไม่มากิน ทารก  เพราะ "เด็กยังไม่ตาย" ครับ  แต่ก็บินมาวนเวียนเพื่อรอให้ตายเมื่อไร ถึงจะลงมือกิน ไม่ได้บินมาคุ้มครองอะไรหรอก จากคุณ : สัตว์กินซากไม่ใช่นักล่า (smokie) - [ 26 เม.ย. 52 18:53:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มากัน ไง ทำให้หมาป่า หมาใน ไม่มากิน จากคุณ : จักรแก้ว - [ 26 เม.ย. 52 19:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อย่าดัดแปลงชาดกสิครับ ความเพียร ของคนมีขีดจำกัดครับ ว่ายข้ามมทาสมุทร ไม่ได้หรอก จากคุณ : จักรแก้ว - [ 26 เม.ย. 52 19:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แหม เห็นตอบๆ กันมีหลายประเด็น เอาประเด็นที่ จขกท.ต้องการทราบก่อนนะคะ ^ ^ ประการแรก จขกท.ต้องเข้าใจความแตกต่างกันระหว่างรูปสมมุติของผี รูปสมมุติของเทพ (เทวรูป) และรูปสมมุติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธรูป) ก่อนนะคะ ๑) รูปสมมุติของผี เช่น เจ้าพ่อเจ้าแม่ กุมารทอง นางกวัก เป็นที่ สิงสถิต ของดวงวิญญาณเหล่านั้น เพราะดวงวิญญาณเหล่านั้นเป็นชั้นผี หรือชั้นเทพารักษ์ ยังคงต้องการวัตถุต่างๆ เพื่อเป็นที่สิงสู่ พำนักอาศัย เหมือนกับที่ได้เคยอยู่ในสังขารของตนเอง ๒) เทวรูป เป็น medium หรือ สื่อกลางระหว่างผู้บูชา กับเทพยดาทั้งหลายเท่านั้น เทพเจ้าชั้นสูง เช่น พระนารายณ์ พระศิวะ พระอุมาฯลฯ จะไม่สิงสถิตในองค์เทวรูป เพราะทิพยฐานะของท่านมีที่สถิตอยู่ในเทวโลก หรือภพภูมิที่พวกเราเรียกกันว่าสวรรค์ชั้นต่างๆ อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะมาหาที่สิงสถิตในวัตถุใดๆ ในโลกมนุษย์อย่างเช่นวิญญาณทั่วไป เทวรูปจึงมีหน้าที่เป็นเพียงรูปเปรียบให้ผู้บูชาสำรวมจิต นึกถึงเทพยดาองค์นั้น เมื่อผู้บูชากราบไหว้ ทำพิธีใดๆ พลังจิตของผู้บูชาและ "ปราณ" ของวัตถุต่างๆ ที่นำมาอุทิศถวายนั้น ก็จะส่งผ่านเทวรูปไปยังองค์เทพที่อยู่ในสวรรค์ องค์เทพก็จะประทานพร หรือทรงตอบรับการบูชากลับมายังผู้บูชา ผ่านทางเทวรูปองค์นั้นค่ะ นึกง่ายๆ ก็เหมือนกับเทวรูปเป็นโทรศัพท์มือถือก็แล้วกันค่ะ เวลาคุณโทรหาใคร คุณคุยกับเค้าได้โดยไม่ต้องให้ตัวเค้ามาอยู่ในโทรศัพท์ใช่มั้ยคะ เทวรูปก็เหมือนกัน ^ ^ ๓) พระพุทธรูป เป็นเครื่องสำรวมจิตให้ผู้บูชานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย หน้าที่เดิมของรูปเคารพประเภทนี้มีอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้นเองค่ะ แต่เนื่องจากพระพุทธรูปถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนที่คุ้นเคยกับศาสนาพราหมณ์ การสร้างพระพุทธรูปจึงมีพิธีกรรมมาเกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการพุทธาภิเษก เพื่อให้องค์พระพุทธรูปแต่ละองค์นั้น มิใช่เป็นเพียงงานศิลปะหรือประติมากรรมที่เอาไว้สำหรับระลึกถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุมงคลที่สามารถแผ่พลัง หรือ กระแสของความเป็นมงคลทั้งหลายให้แก่ผู้บูชาได้ด้วย ปัจจุบันนี้ การพุทธาภิเษกพระพุทธรูป จึงมีหลักการที่เหมือนกันคือเป็นการประจุพลังจิตที่เต็มไปด้วยเมตตา ของพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และประจุคาถาต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นพุทธชัยมงคลถาคาทั้งสิ้นค่ะ ^ ^ เมื่อพิจารณา ๓ ข้อนี้ จขกท.ก็จะได้คำตอบแรก คือ มีแต่รูปเคารพของผีชนิดต่างๆ เท่านั้น ที่เป็นที่สิงสู่ของผี ส่วนเทวรูป และพระพุทธรูป ไม่ใช่ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 26 เม.ย. 52 21:59:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทีนี้ไม่ว่ารูปปั้นผี เทวรูป และพระพุทธรูป เมื่อปั้นหล่อสำเร็จออกมาจากโรงงาน หรือจากการปั้นทีละชิ้นแบบ Handmade ก็มี "สภาวะ" ดุจเดียวกัน คือ ยังคงเป็นแค่งานศิลปะ หรือประติมากรรมเปล่าๆ ที่ไม่มีอานุภาพ หรือความเข้มขลังใดๆ ทั้งสิ้น ท่านที่คิดว่า พระที่ไม่ได้ปลุกเสกก็บูชาได้ อันนั้นถูกต้องแล้วนะคะในแง่ของการบูชาแบบพุทธ คือบูชาเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย แต่ถ้าจะเอาอานุภาพหรือพลังต่างๆ ในการคุ้มครองปกปักรักษา แบบนั้นท่านไม่มีให้นะคะ เพราะท่านยังไม่ได้รับการประจุสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกัน การที่ไปซื้อกุมารทองที่เป็นซิลิก้าสีสวยๆ ติดกากเพชรกากทองจากตลาดพระวัดราชนัดดามาตั้งบูชาที่บ้าน ให้ข้าวให้น้ำ พูดเองเออเองให้มาอยู่ แบบนั้นก็ไม่มีผีเด็กตนไหนมาอยู่นะคะ เพราะยังไม่มีการประจุวิญญาณใดๆ ในนั้น เทวรูปต่างๆ ที่โรงงานหล่อออกมา แล้วเอาไปบูชาที่บ้านเลย ก็เหมือนกันแหละค่ะ ไม่สามารถจะทำหน้าที่เป็น medium ระหว่างผู้บูชากับเทพองค์ไหนๆ ทั้งสิ้น การที่คิดว่า วัตถุใดๆ ที่ทำเป็นรูปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะมีพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ด้วยพลังจิตของผู้บูชา ประเภทว่า "บูชาด้วยใจ" ก็กลายเป็นรูปเคารพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ได้ เป็นความเข้าใจผิดค่ะ รูปเคารพไม่ว่าชนิดใด เมื่อทำสำเร็จออกมาแล้วก็เป็นเพียงประติมากรรมเท่านั้น ไม่แตกต่างไปจากตุ๊กตาสำหรับตั้งประดับบ้าน ไม่ว่าคุณจะยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นรูปอะไร ที่จริงมันก็ไม่แตกต่างไปจากของประดับบ้าน (ส่วนเรื่องตลกในค.ห.๒ นั้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งไม่ใช่ว่าทำกันได้ทุกคนนะคะ และถึงทำได้ก็ทำได้ครั้งเดียวนะคะ ทหารคนนั้นเมื่อรู้ว่าสิ่งที่อมอยู่เป็นเขียด เค้าสามารถอมกลับเข้าไปใหม่แล้วคิดว่าเป็นพระ แล้วยิงต่อสู้ข้าศึกได้เหมือนตอนแรกหรือเปล่าล่ะคะ) เมื่อรูปเคารพไม่ว่าประเภทใด ทำเสร็จออกมาแล้วก็เป็นแค่ศิลปวัตถุ การที่จะทำให้รูปเคารพเหล่านั้นพ้นจากศิลปวัตถุ กลายเป็นรูปปั้นผี เป็นเทวรูป เป็นพระพุทธรูป (ที่สามารถแผ่พุทธคุณคุ้มครองผู้บูชาได้) ก็มีอยู่วิธีเดียวค่ะ คือต้องใช้พลังจิตของผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้ว เช่นพระเถราจารย์หรือพราหมณ์ หรือหมอไสยศาสตร์ต่างๆ ประจุเข้าไปเป็นพื้นฐาน ให้ศิลปวัตถุเหล่านั้นมีความสามารถที่จะ... ๑) เป็นที่อาศัยของวิญญาณ ในกรณีที่เป็นรูปปั้นกุมารทอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ๒) เป็นสื่อผ่านระหว่างองค์เทพกับผู้บูชา ในกรณีที่เป็นเทวรูป ๓) เป็นสื่อให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย และมีพุทธคุณปกปักรักษาผู้บูชาได้ด้วย ในกรณีที่เป็นพระพุทธรูป การที่จะให้พลังจิตของพระเถราจารย์ ของพราหมณ์ หรือของหมอไสยศาสตร์เข้าไปประจุในศิลปวัตถุต่างๆ นั้น ก็ทำได้โดยการอธิษฐานจิตของท่านเหล่านั้นต่อวัตถุนั้นๆ โดยตรงค่ะ ไม่ต้องถึงขนาดจัดเป็นพิธีกรรม มีการตั้งเครื่องบวงสรวงสังเวยใดๆ ก็ได้ แต่ศิลปวัตถุที่ได้รับการประจุพลังจิตไว้แล้ว ก็เป็นได้แต่เพียงวัตถุมงคลที่พร้อมจะรับการประจุทิพยภาวะ หรือ โปรแกรมให้ทำหน้าที่ต่างๆ ต่อไปเท่านั้น ยังไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบเสร็จแล้ว แต่ยังไม่มีการใส่โปรแกรมเข้าไปให้ทำงานได้ การที่จะใส่โปรแกรมเข้าไปให้วัตถุมงคลเหล่านั้น "ทำงาน" ได้ ถ้ากับพระเถราจารย์ที่ท่านมีบารมีธรรมสูงจริงๆ ท่านก็ทำได้เลยในขั้นตอนการอธิษฐานจิตค่ะ แต่ถ้าระดับพระเกจิอาจารย์ทั่วไป หรือถ้าเป็นฆราวาส แค่อธิษฐานจิตไม่พอแล้วหละค่ะ ต้องมีการประกอบพิธีกรรมเพื่ออัญเชิญผี หรือเทพ หรือประจุพุทธคาถาต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งในการตั้งพิธี ก็ต้องคำนึงถึงสถานที่ รวมทั้งขั้นตอนและองค์ประกอบในพิธีกรรมตามองค์ความรู้ที่โบราณาจารย์ท่านได้สืบทอดต่อๆ กันมา พูดง่ายๆ คือทำยังไงก็ได้ ให้แน่ใจว่าวัตถุมงคลที่ผ่านพิธีออกไปนั้น ต้องเป็นที่สิงสถิตของผี (ถ้าเป็นรูปปั้นผี) เป็นสื่อระหว่างผู้บูชากับองค์เทพ (ถ้าเป็นเทวรูป) หรือเป็นที่รวมของพุทธคุณที่ปกป้องผู้กาบไหว้บูชา (กรณีที่เป็นพระพุทธรูป) ถ้าแค่ไหว้ด้วยใจ แล้วสิ่งที่กราบไหว้นั้นจะขลังขึ้นมาได้เอง องค์ความรู้ที่โบราณาจารย์ท่านสั่งสมต่อๆ กันมาในการปลุกเสก มังคลาภิเษก เทวาภิเษก พุทธาภิเษก ก็จะเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ไม่มีความจำเป็นอันใดที่โบราณาจารย์เหล่านั้นท่านจะต้องอุตส่าห์เฝ้าสังเกต ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเสี่ยงวชีวิตเอาตัวเข้าแลกในหลายๆ กรณี ซึ่งถ้าผิดพลาดก็คือความวิบัติหายนะต่างๆ ของผู้ทดลองเอง วิชาความรู้ต่างๆ ที่โบราณาจารย์ทุกยุคทุกสมัยท่านสืบทอดต่อๆ กันมา เป็นเรื่องที่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของท่าน เป็นเรื่องที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ผ่านการทุ่มเท การเสียสละ และวิจารณญาณอันรอบคอบรัดกุมทั้งสิ้นค่ะ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำกันเพื่อความเท่ เพื่อแค่ให้ดูขลัง เพื่อหลอกขายของ หรือเพื่อย้อมใจให้เกิดศรัทธาเท่านั้นหรอกค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 26 เม.ย. 52 22:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เอาธาตุทั้งสี่มาประชุมหลอมรวมกัน จะขลังหรือไม่ขลัง อยู่ที่เราปรุงแต่งมันเองกระมัง ฝรั่งมันไม่รู้จักไม่ปรุงแต่งกับของเหล่านี้ เอา เทวรูป เศียรพระ ไปตั้งตามบันไดบ้าง หน้าส้วมบ้าง ประดับบ้าน ไม่ต้องเคารพบูชาอะไร ไม่เห็นมันเป็นไรเลย คนไทยเกิดมาก็โดนสั่งโดนสอนว่า ของพวกนี้ ศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยน ขลัง ต่างๆ นาๆ เดินผ่านไม่ไหว้ไม่เคารพ กลับบ้านดิ้นพราดๆ กันไป จากคุณ : มาลัย - [ 26 เม.ย. 52 22:38:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มาอ่านความเห็นของคุณหนอนดาวเรืองครับ เห็นด้วยทุกประการครับ แต่ก็หนักใจกับความจริงในปัจจุบันนี้...ที่คนไทยทำกันครับ คือว่า ถึงแม้เราจะไปสั่งจอง  สั่งซื้อ  เทวรูป  พระพุทธรูป  จากแหล่งที่เราคิดว่าเชื่อถือได้ ที่เขาโฆษณาว่า  พิธีใหญ่   พิธีถูกต้อง และพิธีก็มีจริงๆ   ใหญ่จริงๆ แต่นั่นไม่ได้เป็นหลักประกันว่า   พระพุทธรูป  หรือเทวรูป  องค์ที่เราได้มา ได้ผ่านพิธีนั้นด้วย และเราก็ดูไม่ได้   จากพิมพ์จากเนื้อ   เพราะจะเหมือนองค์ที่เข้าพิธีทุกประการ ผมกำลังพูดว่า   บางแหล่ง  บางงาน   เขาไม่ได้ยกพระ หรือเทวรูป  ครบทุกองค์  เข้าไปในพิธีครับ สาเหตุหลายประการ 1.  สถานที่ในโบสถ์  มีจำกัด  แต่พระสร้างเยอะ 2.  พระพุทธรูปหรือเทวรูป  ยังทำไม่เสร็จครบก่อนวันทำพิธี จะสังเกตุได้ว่า   เขาจะให้เราไปรับของ  หลังจากวันงาน หลังจากที่กรรมการ  เขาแจกจ่าย  เลือก  กันเอง  ไปก่อนแล้ว พวกเขา  ได้ของผ่านพิธีแน่นอน แต่เราประชาชนสิครับ ต้องเสี่ยงดวง แล้วแต่....บุญ....กรรม....ครับ เพราะเขาจะมีของมาให้เราแน่ๆ แต่เราดูแล้วด้วยตา...ก็เป็นของแท้....แต่จะผ่านพิธีมาจริงหรือไม่ เราดูไม่ได้   ไม่ทราบเลยครัย แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 52 23:20:13 จากคุณ : deepspace - [ 26 เม.ย. 52 23:17:07 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ทางแก้ที่ผมทำเอง....ก็คือ ผมจะนำพระพุทธรูป  หาทางไปฝากไว้ในโบสถ์  ที่มีการลงโบสถ์จริงทุกวัน ในพระท่านสวด  ไม่ต่ำกว่า  หนึ่งพรรษา แล้วไปรับกลับมาบูชาครับ ไม่ทราบว่าวิธีนี้  พอได้มั๊ยครับ จากคุณ : deepspace - [ 26 เม.ย. 52 23:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 วิธีที่คุณ deepspace ใช้นั้น ได้ผลสำหรับพระพุทธรูปค่ะ เพราะพระพุทธรูปต้องการแค่ ๑.พลังจิตอันบริสุทธิ์ของพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ๒.พุทธชัยมงคลคาถา ซึ่งโบสถ์ที่มีการลงโบสถ์ต่อเนื่อง ๑ พรรษา ก็นับว่ามีคุณสมบัติทั้ง ๒ ข้อนั้นเต็มเปี่ยมค่ะ แต่ใช้ไม่ได้กับเทวรูป ซึ่งต้องมีการ"โปรแกรม" ดังกล่าวแล้วค่ะ ส่วนกรณีที่คุณยกตัวอย่างพระที่นำเข้าพิธีไม่ครบ หรือสร้างเสร็จไม่ทันเข้าพิธี เข้าแต่กล่องเปล่าๆ ก็มี (ซึ่งสมัยฮิตจตุคาม เป็นแบบนี้เยอะมากค่ะ) ให้สังเกตค่ะ ว่าในรายที่โปร่งใสจริงๆ และการจัดการดีจริงๆ เค้าจะให้รับของได้ทันทีที่เสร็จพิธี หรือถ้าให้ไปรับหลังวันงานก็จะใช้เวลาเพียงแค่วันสองวันเท่านั้นแหละค่ะ นอกจากพระที่ต้องส่งทางไปรษณีย์ หรือแจกจ่ายไปตามหน่วยจองต่างๆ เท่านั้นที่อาจต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ในกรณีนี้ พระที่รับตามหน่วยจองต่างๆ ก็ไม่ควรใช้เวลาเกินกว่า ๑ อาทิตย์ในการไปรับของ ถ้าเกินกว่า ๑ อาทิตย์ แสดงว่า ไม่โปร่งใสค่ะ จะเป็นแบบที่คุณว่า คือองค์ที่ดีๆ กรรมการเค้าเลือกกันไปก่อนแล้ว ซึ่งนักเล่นพระบางรายก็ต้องใช้วิธีตัดปัญหา คือยอมเสียเงินเยอะหน่อย จองชุดกรรมการเลยน่ะค่ะ เรียกว่า ถ้าขนาดชุดกรรมการยังมีปัญหาก็เฉ่งผู้สร้างพระชุดนั้นได้เลย จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 เม.ย. 52 00:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทีนี้ ถามว่ามีวิธีดูหรือไม่ ว่าพระผ่านพิธีมาแล้ว? ตอบว่า มีค่ะ และไม่ต้องเป็นผู้วิเศษ หรือมีพลังจิตเหนือคนธรรมดา ก็ดูได้ค่ะ คืออย่างแรกสุด คุณต้องมีพระพิมพ์เดียวกัน ๒ องค์ ที่มั่นใจว่าองค์หนึ่งผ่านพิธีแล้วแน่นอน อีกองค์ไม่ผ่านพิธีแน่นอน และควรเป็นขนาดบูชาด้วยค่ะ จะได้ดูง่าย ในช่วงเช้าของแต่ละวัน คุณอัญเชิญองค์ที่ผ่านพิธีแล้วมาตั้งในบริเวณที่ค่อนข้างสว่าง แต่อย่าให้โดนแดดตรงๆ นะคะ ให้ฉากหลังองค์พระนั้นเป็นต้นไม้เขียวๆ หลายๆ เฉดหน่อยยิ่งดี แล้วคุณก็นั่งมองพระองค์นั้นไปค่ะ มองธรรมดาๆ ไม่ต้องเพ่งนะคะ หรือจะมองแบบไม่เชิงว่าตั้งใจนักก็ได้ มองให้ได้วันละ ๒๐ นาที (ไม่ต้องมองตลอด ๒๐ นาทีก็ได้แค่ แต่มองบ่อยๆ) คุณทำแบบนี้ไปตลอด ๗ วัน โดยปกติยังไม่ทันถึง ๗ วัน คุณจะเริ่มเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไปนี้จากองค์พระค่ะ ๑) กระแส คือเห็นเป็นคลื่นสั่นไหวในอากาศสูงเหนือพระเศียรขององค์พระขึ้นไป คล้ายๆ ภาพที่เห็นจากพื้นถนนเวลาแดดร้อนๆ หรือไอแก๊สอะไรพวกนั้นแหละค่ะ ถ้าเป็นพระพุทธรูป เทวรูป ที่ผ่านพิธีมาดีมาก ภาพสั่นไหวที่เห็นนี้จะลอยขึ้นสูงมากค่ะ แต่โดยปกติจะสูงไม่เกิน ๑ ฟุตจากองค์พระ ๒) หมอกหรือควัน สูงเหนือพระเศียรของพระพุทธรูปหรือเทวรูป เป็นลักษณะหมอกและควันจางๆ ถ้าเป็นพระพุทธรูปและเทวรูป หมอกหรือควันนั้นจะมีสีอ่อนๆ จางๆ ดูเบาๆ ถ้าเป็นรูปเคารพของผี เช่นนางกวัก กุมารทอง หมอกหรือควันจะมีสีเข้ม ดูทึบและหนัก ๓) ความสว่าง ยิ่งมองจะยิ่งเห็นองค์พระ หรือเทวรูปนั้นสว่างขึ้นๆ เรื่อยๆ หรือมองเห็นเป็นแสงสว่างออกรอบๆ องค์พระ เป็นสีขาวบ้าง สีทองบ้าง หรือสีขาวขอบทองบ้าง แบบนี้คือการเห็น Aura ขั้นต้น ในขณะที่รูปเคารพชั้นผี เช่น นางกวัก กุมารทอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ถ้าผ่านพิธีมาจริง ความสว่างจะออกมาเป็นอีกแบบ จะรู้สึกเหมือนเป็นม่านหรือ filter ที่ทำให้ตัวรูปเคารพนั้นมีความมืดกว่าแสงโดยรอบ ๔) แสงระยิบระยับ เป็นสิ่งที่เห็นได้จากพระพุทธรูป เทวรูป และรูปเคารพของผีชั้นสูง เช่น อดีตกษัตริย์ รวมทั้งนางกวักและเจ้าพ่อเจ้าแม่บางสำนักที่อัญเชิญวิญญาณชั้นสูงมาสถิตเท่านั้น แสงระยิบระยับนี้มักจะเป็นสีทองหรือสีขาว เป็นดวงๆ ชัดเจน ไม่ใช่เป็นแค่แสงวิบวับในอากาศเหมือนตอนง่วงอย่างแน่นอนค่ะ ^ ^ ๕) แสงสีทองพาดเป็นสายๆ ส่วนมากจะเห็นได้จากพระพุทธรูปและเทวรูปที่ผ่านพิธีที่ดีมากๆ เท่านั้น อย่างที่บอกแล้วค่ะ ใน ๕ ข้อนี้ คนแต่ละคนจะเห็นไม่เหมือนกัน และส่วนมากจะเห็นแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง บางคนก็เห็นได้สองอย่างสามอย่าง แล้วแต่ว่า "ตาที่สาม" ของเค้าเปิดอยู่แค่ไหนน่ะค่ะ ปกติคนที่ปฏิบัติธรรม หรือใช้ชีวิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลบ่อยๆ ตาที่สามมักจะเปิดกันแล้วส่วนหนึ่งค่ะ วิธีฝึกให้ตาที่สามใช้ได้มากขึ้นอย่างง่ายๆ ก็ทำแบบนี้แหละค่ะ ทีนี้เมื่อมองพระที่ผ่านพิธีแล้วว่าที่มีกระแส มีหมอกควัน หรือมีแสงแบบไหน คุณก็เปลี่ยนเอาพระองค์ที่ไม่ผ่านพิธีไปตั้งในตำแหน่งเดียวกัน และมองแบบเดียวกัน ซัก ๗ วัน คุณจะพบว่า ไม่มีกระแสทิพย์หรือแสง หรือความสว่างใดๆ แผ่ให้เห็นเหมือนองค์ที่ผ่านพิธีแล้วเลยค่ะ เมื่อคุณฝึกมองแบบนี้จนคุ้นและมองได้บ่อยตามที่ต้องการแล้ว คุณสามารถไปเดินดูพระตามศูนย์พระเครื่อง หรือตามวัดต่างๆ ได้เลยค่ะว่ามีกระแสทิพย์มากน้อยแค่ไหน และสามารถใช้กับวัตถุมงคลต่างๆ ที่มีขนาดเล็กได้ด้วยค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 เม.ย. 52 01:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เอิ๊กกก แทง จาย ดาม จากคุณ : มาลัย - [ 27 เม.ย. 52 01:40:05 ]

ความคิดเห็นที่ 20 วิธี...ตาที่สาม...ของคุณหนอนดาวเรืองฟังแล้ว...เข้าทีดีครับ... แต่คงจะต้องฝึกกันหน่อย สำหรับผม..คงไม่สำเร็จ  ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลยครับ แบบว่า  บางคน จูนคลื่นยังไงก็ไม่ตรงกัน  ไม่เห็นทั้งผีทั้งพระ ไม่เคยถูกผีหลอก   เพราะถึงมีผีมายืนข้างหน้า  ก็จะไม่เห็นอยู่ดีน่ะครับ สงสัยต้อง adapt วิธี...ตาที่สาม...เป็น....จับความรู้สึกในจิต... คือต้องหลับตา...แล้วเอามือจับท่าน อาจจะพอทำได้ครับ แต่ยังไงก็จะลองวิธีของคุณหนอนดาวเรืองดูครับ เพราะเคยถ่ายรูป ดิจิตอล พระสงฆ์ ที่กำลังสวด ขึ้นบ้านใหม่ แล้วรูปที่ออกมา  มีสิ่งที่ผมเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันครับ เป็นกระแส  แบบที่คุณหนอนดาวเรืองอธิบายน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 03:13:55 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 03:09:39 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 03:07:51 จากคุณ : deepspace - [ 27 เม.ย. 52 03:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ผมมาสนับสนุนคุณหนอนดาวเรืองนะครับ เพราะผมก็พึ่งนึกถึง เรื่องพระอาจารย์  ฝั้น อาจาโรได้ ท่านมีนิมิต และท่านก็พบว่า จาก ศิษย์ทำพระเสริม ท่านบอกว่า บาป เพราะคนไปบูชา เข้าใจผิด และยังไม่ได้บรรจุพุทธคุณใดๆ น่าจะในทางป้องกัน ดังนั้นพระสายพระอาจารย์มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม และอีกหลายๆตลอดจนหลวงปู่โต๊ะ ท่านเจ้าคุณนร ให้ความสำคัญกับพระพุทธคุณที่ท่านตั้งใจบรรจุในพระเครื่องมาก อีกทั้งน้าผมตอนเด็ก ๆนั่งทางในได้ ท่านก็ดูรังสีพระเช่นนี้ได้เหมือนกัน ผมเชื่อเต็มที่ครับ อย่างที่คุณหนอนดาวเรืองพูดมาน่ะถูกแล้ว ที่ผมพูดมาก่อนนี้ว่า ไม่ต้องทำพิธีก็ได้ ขอถอน ขอแก้ และขออภัยนะครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 27 เม.ย. 52 07:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขออนุญาตเสริมตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้กล่าวถึงการพุทธภิเษกไว้นะคับ ^ ^ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 27 เม.ย. 52 08:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ... จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 27 เม.ย. 52 08:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอสนทนากับพี่หนอน ฯ ในความคิดเห็นที่ 13 นะคับ เรื่องทำนองนี้หลวงพ่อจรัญกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เคยเล่าไว้ น่าที่จะนำมาเป็นแนวทาง ข้อคิดได้คับ ^ ^ เริ่มที่หลวงพ่อจรัญ จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 27 เม.ย. 52 09:22:45 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอยกตัวอย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวถึงการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่แหวนคับ ^ ^ ... จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 27 เม.ย. 52 09:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 พี่หนอน ผมขี้เกียจหาแล้วอ่ะ -_-" มีเยอะมาก สรุปเลยละกัน ... โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับพี่หนอนนะคับ ^ ^ แต่ขอเสริมเรื่องเทวดามารักษาพระพุทธรูป ตามที่หลวงพ่อจรัญเล่าไว้ในความเห็นที่ 25 คับ ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็เคยเล่าไว้เหมือนกัน แต่หาไม่เจออ่า ขี้เกียจหาละ แป่ว !!! ) อิ อิ ... จากคุณ : Radiant, Archangel - [ 27 เม.ย. 52 09:46:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณหนอนดาวเรืองบอกว่า ........วิธีที่คุณ deepspace ใช้นั้น ได้ผลสำหรับพระพุทธรูปค่ะ เพราะพระพุทธรูปต้องการแค่ ๑.พลังจิตอันบริสุทธิ์ของพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ๒.พุทธชัยมงคลคาถา ซึ่งโบสถ์ที่มีการลงโบสถ์ต่อเนื่อง ๑ พรรษา ก็นับว่ามีคุณสมบัติทั้ง ๒ ข้อนั้นเต็มเปี่ยมค่ะ แต่ใช้ไม่ได้กับเทวรูป ซึ่งต้องมีการ"โปรแกรม" ดังกล่าวแล้วค่ะ ....... แล้วทีนี้  กรณีเทวรูปจะทำไงดีล่ะครับ ผมเคยใช้วิธี  นำพระคเนศ  ยกไปโบสถ์เทพมนเทียร  ตอนเย็นๆ ไปให้ท่านพราหมณ์  ที่นั่น  เจิม  สีแดงๆน่ะครับ แล้วก็วางประทับไว้ รอให้ท่านพราหมณ์  สวดจนจบ  สองชั่วโมง แล้วค่อย  ยกกลับ พอจะได้ผลมั๊ยครับ พอจะเรียกได้ว่า  ลงโปรแกรม พอแล้วยังครับ หรือต้องทำอะไรเพิ่มอีกครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 18:18:41 จากคุณ : deepspace - [ 27 เม.ย. 52 18:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 29 น้อง Radiant, Archangel จริงๆ ที่น้องอุตส่าห์หามาเยอะแยะ ก็หลักเดียวกับที่เราโพสต์ไปแล้วน่ะค่ะ คือ ต้องมีพลังจิตอันบริสุทธิ์จากพระเถราจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฎิบิติชอบ เป็นพื้นฐานซะก่อน แล้วจากนั้นจะอัญเชิญทิพยบารมีจากองค์เทพองค์พรหม หรือพุทธบารมีมาประจุก็สามารถทำได้ และสำหรับพระเถราจารย์ที่เก่งจริงๆ ท่านก็สามารถทำได้ในขั้นตอนการอธิษฐานจิตเพียงขั้นตอนเดียว ดังตัวอย่างหลวงปู่แหวนน่ะแหละค่ะ พระอริยเจ้าในพระพุทธศาสนา ท่านมีพลังจิตที่สูง เมตตาสูง และบริสุทธิ์ ท่านจึงทำแบบนี้ได้ เทียบกับในอินเดีย ก็ต้องเป็นระดับมหาฤาษี มหาโยคีที่เก่งจริงๆ เท่านั้นที่จะทำได้ในระดับนี้ ส่วนพราหมณ์นั้นไม่สามารถเทียบอะไรได้ ดังนั้นอย่าว่าแต่พระพุทธรูปเลยค่ะ ต่อให้เป็นเทวรูป พราหมณ์ตั้งพิธีเทวาภิเษกครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด ก็ยังไม่ได้ผลสมบูรณ์เท่ากับพิธีที่มีพระสงฆ์ไปนั่งปรกหรือร่วมอธิษฐานจิตด้วย เพราะ "พลังจิต" ของพราหมณ์ที่ประจุเข้าไปในเทวรูปเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการรองรับโปรแกรมต่างๆ นั้น ไม่มีทางทำได้เสมอเหมือนพระอริยสงฆ์ ดังนั้น จึงเป็นคำตอบค่ะว่าทำไมคนไทยเราถึงนิยมให้มีพระสงฆ์ไปนั่งปรกในพิธีเทวาภิเษกเทวรูปในศาสนาฮินดูหรือศาสนาอื่น เพราะแม้แต่ฮินดูแท้ๆ ก็ทำได้สู้ของไทยเราไม่ได้ค่ะ ในภูมิภาคเอเชียนี้ จะหาเทวรูปและวัตถุมงคลของประเทศใดที่ทำได้เข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับในเมืองไทย เป็นไปได้ยากค่ะ เพราะบ้านเมืองของเรามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งพระอริยเจ้า ทั้งวพระเกจิอาจารย์ที่ชำนาญพิธีกรรม และทั้งพราหมณ์ที่รู้จักพิธีเทวาภิเษกเหมือนกับพราหมณ์ในอินเดีย แต่...ขอย้ำว่า : ๑) ถ้าให้พระเกจิอาจารย์อธิษฐานจิตให้อย่างเดียว ถ้าพระเกจิอาจารย์นั้นท่านไม่เก่งจริงๆ ท่านสามารถเสกได้จบแค่พระพุทธรูป ไม่ใช่เทวรูป เพราะไม่สามารถอัญเชิญองค์เทพมาลงโปรแกรมให้เทวรูปนั้นทำงานได้ ๒) ถ้าประกอบพิธีพราหมณ์อย่างเดียว ไม่นิมนต์พระไปร่วมอธิษฐานจิต เทวรูปอาจทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์แม้จะได้รับการโปรแกรมแล้วก็ตาม ก็เพราะไม่มีพลังจิตพื้นฐานเพียงพอที่จะรับการโปรแกรมได้ครบถ้วนค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 21:59:11 จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 เม.ย. 52 21:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนที่คุณ deepspace ถามว่า ผมเคยใช้วิธี  นำพระคเนศ  ยกไปโบสถ์เทพมนเทียร  ตอนเย็นๆ ไปให้ท่านพราหมณ์  ที่นั่น  เจิม  สีแดงๆน่ะครับ แล้วก็วางประทับไว้ รอให้ท่านพราหมณ์  สวดจนจบ  สองชั่วโมง แล้วค่อย  ยกกลับ พอจะได้ผลมั๊ยครับ พอจะเรียกได้ว่า  ลงโปรแกรม พอแล้วยังครับ หรือต้องทำอะไรเพิ่มอีกครับ ก็ต้องตอบว่า อาจจะยังไม่พอค่ะ เพราะการลงโปรแกรมจริงๆ พราหมณ์ต้องทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ๑) ตั้งใจว่าจะลงโปรแกรมให้เทวรูปนั้นเป็นเทวรูปที่สมบูรณ์ ๒) สาธยายมนต์อัญเชิญเทพเพื่อโปรแกรมเทวรูปนั้นให้สมบูรณ์ ๓) สาธยายมนต์เพื่อถ่ายทอดเทวานุภาพ และทิพยบารมีขององค์เทพที่อัญเชิญมา เพื่อโปรแกรมเทวรูปนั้นให้สมบูรณ์ ได้แก่ การเรียกนาม เรียกอาการ เรียกอวัยวะต่างๆ รวมทั้งเทพอาวุธและสิ่งที่ถือในมือเทวรูปจนครบ ๔) สาธยายมนต์เพื่อประจุคาถาอันเป็นมงคลต่างๆ เข้าไปในเทวรูป เพื่อให้เทวรูปนั้นเป็นสื่อผ่านเทวานุภาพขององค์เทพได้ครอบคลุมมากขึ้น ๕) สาธยายมนต์เพื่อเบิกเนตร หรือ เปิดตาที่สามของเทวรูป เพื่อให้เทวรูปเริ่มต้นทำหน้าที่เป็นสื่อระหว่างผู้บูชากับเทพเจ้า ส่วนการเจิมสีแดงนั้น เป็นการเบิกเนตรเทวรูปอย่างย่อๆ (อนุโลม) นอกจากนั้นมนต์ที่ใช้สวดในวัดเทพมณเฑียรตอนเย็นก็เป็นมนต์สรรเสริญองค์เทพในเทวสถานเท่านั้นเองค่ะ ไม่ใช่มนต์ที่ใช้ในการเทวาภิเษกตามลำดับที่เรายกตัวอย่างไปแล้ว มีที่ที่รับทำพิธีเทวาภิเษกเทวรูปเต็มขั้นตอนอยู่หลายแห่งด้วยกันค่ะ แล้วจะหลังไมค์ให้นะคะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 27 เม.ย. 52 22:11:02 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากนะครับ  ...คุณหนอนดาวเรือง อ่านแล้วก็... ยากเหมือนกันนะครับ...ที่ใครจะทำให้ครบถ้วนถูกต้องในปัจจุบัน ถ้าเป็นพระคเนศ  หรือพระพุทธรูป ก็ต้อง  เป็นหน่วยงานใหญ่จริงๆ ที่ตั้งใจจริงๆ  โปร่งใส  ไม่มีนอกมีใน เท่าที่ทราบ พิธีใหญ่มากๆในปัจจุบัน  ค่าใช้จ่ายจะสูงลิบ ในสมัยก่อน   ก่อน พ.ศ. 2500   จะน่าเชื่อถือมากกว่า   เพราะสมัยโน้น   ยังไม่การค้ากันมากน่ะครับ คนทำด้วยใจกันจริงๆครับ แต่ถ้าจะไปหาของเก่า  กันตอนนี้ ก็คงจะแพงมากน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 52 22:46:12 จากคุณ : deepspace - [ 27 เม.ย. 52 22:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แฮ่ะๆ ปัจจุบันอะไรก็แพงค่ะ ค่าออกแบบพระพุทธรูป เทวรูป ถ้าเป็นช่างระดับอาจารย์ ม.ศิลปากร ๑ ล้านบาทขึ้น ถ้าเป็นช่างระดับทั่วไป หมื่นขึ้น มือดีๆ พอไว้ใจได้ แสนขึ้น เข้าโรงงาน ค่าทำบล็อกหมื่น แสน หรือล้าน เช่นกัน ขึ้นกับความยากง่ายของชิ้นงาน ค่าเท ทองเหลือง ต้องเริ่มที่ ๕๐๐ องค์ขึ้นไป องค์ละ ๕๐๐-๑,๐๐๐ บาท แล้วแต่ว่าจะเอาคุณภาพระดับไหน ถ้าเป็นสำริด โดยเฉพาะบรอนซ์นอก เทได้เรียบกริ๊บ คมชัด ต้อง ๕๐๐ องค์ขึ้นไปเช่นกัน แต่องค์ละ ๒,๐๐๐ ขึ้น และทั้งประเทศไทยมีโรงหล่อแค่ ๒ แห่งที่ทำได้ค่ะ ถ้าพิธีกำหนดไว้แล้ว โฆษณาไปแล้ว แต่โรงงานทำท่าจะทำให้ไม่ทัน เพราะคิวยาว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อขอลัดคิวอีกค่ะ ทั้งนี้ยังไม่รวมค่าแต่งพระ ค่าขนส่งเวลานำไปเข้าพิธีอีกนะคะ นอกจากนี้ ต้องมีเงินอีกก้อนเอาไว้สำหรับประชาสัมพันธ์ ทั้งทำโบรชัวร์ โปสเตอร์ ตลอดจนการไปจองโฆษณาตามนิตยสารพระเครื่อง รายการนี้ควรมีงบไม่ต่ำกว่า ๕ แสนค่ะ ที่พูดมาเนี่ย ยังไม่ถึงค่าพิธีเลยนะคะ ^ ^ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 28 เม.ย. 52 02:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เพราะค่าขนส่งของไปเข้าพิธี   จะแพงนี่แหละครับ พวกเลย  นำไปไม่ครบ  เพื่อประหยัดงบ ผมถึงชอบของโบราณครับ เพราะ  ช่างแกะพิมพ์  ก็คิดไม่แพง  ถือว่าได้บุญ เพราะทำให้วัด แล้วโบราณจะถือมาก พระต้องเท..ที่วัด...ไม่ใช่ไปเทโรงงาน เพราะเวลาจะเททอง  เทสำริด  ต้องมีฤกษ์ ไม่ใช่นึกจะเท  ก็เท   แบบโรงงานปัจจุบัน เทแล้ว  ทิ้งช่วงเวลา  ให้ช่างแต่ง ก็แต่งที่วัดอีกนั่นแหละครับ แล้วก็มาทำพืธี บางทีนั่งปรก  กันทั้งคืน  จนถึงเช้า ก็ทำกันด้วยใจจริงๆ   ไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้ขนพระไปมาที่ไหน ของเก่า  ถึงได้ขลังกว่าของใหม่ ปัจจุบันครับ จากคุณ : deepspace - [ 28 เม.ย. 52 05:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ของเก่าขลังกว่าของใหม่ ไม่ทุกกรณีไปค่ะ คุณ deepspace เพราะขลังหรือไม่ขลังต้องไปดูกันจริงๆ ที่พิธีเทวาภิเษก คือคนที่ทำพิธี เจ้าพิธีในปัจจุบัน ได้เรียนรู้ความผิดพลาด-ล้มเหลวของคนโบราณมาเยอะ มีตัวอย่างมาแล้วมากมาย ถ้าเก่งจริงก็มีสิทธิ์ที่จะทำพิธีได้ดีเทียบเท่า หรือดีกว่าสมัยโบราณค่ะ อีกอย่างนึง คือ วัตถุประสงค์ ค่ะ คนโบราณจริงๆ ท่านไม่บูชาพระไว้ในบ้าน เพราะท่านถือว่า พระต้องอยู่กับวัดเท่านั้น ดังนั้นพระพุทธรูปสมัยโบราณที่เป็นขนาดบูชา หน้าตักสองสามนิ้วจนถึง ๑๒ นิ้ว แบบที่เรียกกันว่า "พระบูชาประจำบ้าน" สมัยนี้ เมื่อก่อนเค้าทำถวายวัดกันทั้งนั้นแหละค่ะ พระเครื่ององค์เล็กๆ ก็เช่นกัน คนโบราณท่านไม่อาราธนาพระเครื่องติดตัวไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะท่านถือว่า พระต้องอยู่กับวัด เช่นกัน และถ้าต้องการอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาคุ้มครองตัว ก็มีวัตถุมงคลหรือเครื่องรางชนิดอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น พระเครื่ององค์เล็กๆ ได้แก่พระพิมพ์ทั้งหลาย ทั้งเนื้อดิน เนื้อว่าน เนื้อโลหะ เค้าสร้างเพื่อถวายวัดเช่นกันค่ะ คือสร้างเพื่อบรรจุไว้ในสถูปเจดีย์ สำหรับเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระบูชาที่สร้างไว้ในวัด ก็คือเป็นพุทธบูชา ให้ตนเองและคนอื่นได้กราบไหว้บูชา พระเครื่องที่บรรจุไว้ในเจดีย์ ในพระพุทธรูปต่างๆ ก็เป็นพุทธบูชาเช่นกัน หวังว่าในอนาคต วัดและเจดีย์เหล่านั้นพังทลายไปแล้ว คนมาพบพระเครื่องเหล่านั้นจะได้รู้ว่าที่แห่งนั้นเคยมีพระพุทธศาสนา หากยุคสมัยที่คนมาพบพระเหล่านั้น ศาสนาพุทธสูญสิ้นไปแล้ว คนที่พบพระนั้นเกิดความสงสัย ลองสืบหาความเป็นมาจนได้พบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนเลื่อมใส ก็จะเกิดการรื้อฟื้นพระพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นบุญแก่โลก นี่แหละค่ะคือความประสงค์ของคนโบราณในการสร้างพระ เป็นการทำเพื่อพระพุทธศาสนาล้วนๆ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใครทั้งสิ้น ดังนั้น พระบูชา พระเครื่อง สมัยโบราณจะเสกดีแค่ไหน ก็ไม่ได้เสกเพื่อให้เอาไปใช้ในเรื่องส่วนตัวของใคร จึงไม่มีพุทธคุณในการที่จะปกปักรักษาใครได้เหมือนกับเครื่องรางทางไสยศาสตร์ ที่ให้ผลในทางโลกียะ การที่จะเสกให้วัตถุใดๆ ก็ตามสามารถใช้งานด้านใดก็ตาม คนที่เสกจะต้องกำหนดจิตให้เป็นไปตามนั้นค่ะ เช่นจะเสกพระให้คนนำไปใช้คงกระพัน ก็ต้องกำหนดไปเลยในขั้นตอนการเสกว่า ต้องการให้คนที่นำไปใช้นั้น คงกระพัน หนังเหนียว จะเสกโดยวัตถุประสงค์อื่น แล้วทำให้เกิดพุทธคุณเผื่อแผ่ไปถึงเรื่องที่มิได้กำหนดไว้ในขั้นตอนการเสก เป็นไปได้ยากมาก ดังนั้น ที่ว่าบูชาพระเครื่องพระพิมพ์ที่ได้มาจากกรุพระสมัยโบราณ เช่น บูชาพระรอด ทำให้แคล้วคลาด บูชาพระคง ทำให้หนังเหนียว คงกระพัน เป็นเรื่องที่พูดกันไปเองเพื่อปั่นราคาพระโบราณเหล่านั้นทั้งนั้นแหละค่ะ พระเค้าทำไว้บรรจุกรุ ไม่ได้ทำไว้ให้ใครเอามาห้อยคอให้แคล้วคลาด หรือหนังเหนียวค่ะ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 เม.ย. 52 02:59:09 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แต่...คนไทยเราปัจจุบันนี้บูชาพระ ทั้งในแง่ที่ว่าเป็นเครื่องระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือเพื่อหวังผลคล้ายกับวัตถุมงคล หรือเครื่องรางในทางไสยศาสตร์ คือผลในด้านโลกียะ เพียงแต่ เป็นการหวังผลในระดับที่สะอาดกว่านั้น เป็นมงคลกว่านั้น เพราะไสยศาสตร์ ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเสี่ยงกับการเกลือกกลั้วสิ่งที่เป็นอาถรรพณ์ เป็นอัปมงคล คนไทยปัจจุบันจึงบูชาพระไว้ในบ้าน และบูชาติดตัว เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการสืบทอดพระพุทธศาสนา นั่นคือ พระบูชาและพระเครื่องของไทยในปัจจุบัน เปลี่ยนหน้าที่ไปแล้ว ไม่เหมือนสมัยโบราณ ซึ่งพระเกจิอาจารย์สมัยปัจจุบันก็ทราบเรื่องนี้ดีค่ะ เวลาเข้าพิธีพุทธาภิเษก พระเกจิอาจารย์สมัยปัจจุบันจึงนั่งปรกเพื่อกำหนดจิตให้เกิดผลในทางโลกียะเช่นนี้ คือผลต่อผู้ที่นำไปบูชาโดยตรง ไม่ใช่ผลในทางโลกุตระ คือในด้านศาสนาอย่างสมัยโบราณ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องพระบูชาสมัยใหม่ จึงไม่เหมือนกับสมัยโบราณแน่นอนค่ะคุณ deepspace และถ้าจะหวังผลในเรื่องส่วนบุคคล เช่น ความแคล้วคลาดปลอดภัย การปกปักรักษาจากอุบัติเหตุ จากภัยธรรมชาติ ภัยมนุษย์ ก็รับรองได้ว่า พระโบราณที่เสกดีขนาดไหนก็สู้พระสมัยใหม่ไม่ได้ค่ะ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการง่ายๆ ค่ะ ถ้าคุณอยากจะทำอะไรให้มีผลในด้านไหน คุณก็ต้อง" โปรแกรม" ให้เป็นไปตามนั้น ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนสามารถทำในสิ่งที่มันไม่ถูกโปรแกรมไว้ค่ะ แถมยังเป็นเรื่องเสี่ยงมากๆ ด้วย ที่พวกเราจะบูชาพระโบราณต่างๆ เพราะพวกเราอาจมีส่วนในการทำลายโบราณสถานที่เคยเป็นวัดและสถูปเจดีย์มากมาย ซึ่งจะเป็นบาปใหญ่มาก เพราะพวกเราไปทำลายสิ่งที่คนโบราณสร้างไว้เพื่อสืบพระศาสนา เวลาตัวเราเองเดินผ่านแผงพระที่เอาพระกรุพระโบราณมาขาย หรือเห็นว่าพระเหล่านั้นคล้องคอใครอยู่ เรารู้สึกสลดใจทุกครั้งค่ะ T T จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 29 เม.ย. 52 03:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมไม่อยากให้คนไทย   ไปนิยมสะสมของดีวิเศษ ไปซื้อหามาราคาแพง  ไปเก็บไปพกพาเพื่อคุ้มครอง. คิดซะว่า ของดีศักสิทธ์  อยู่ที่ไหนของใครเราก็ ไหว้ได้ ไม่ต้องไปเอามาเป็นเจ้าของ  ของดีไม่ได้คุ้มครองแต่เจ้าของที่ไหนละ  พระนั้น  เป็นของทุกคน ไม่จำเป็น ต้องสะสม จนรกบ้าน. สิ่งศักสิทธิ์ นั้นอยู่ในอวกาศ ก็ดีอยู่แล้วไปอาราธนามาอยู่ในก้อนดินทำไม ถ้าคนมีปัญญา เชิญมาอยู่ในก้อนดินได้  คนก็เก่งกว่าสิ่งนั้น  และก็มาอยู่ได้ก็กลับไปได้  ไม่จีรัง    อย่าเชื่อราคาแห่พระเครื่องกันเลย  ขอให้เลิกซะที.. จากคุณ : boon-m1 (boon-m1) - [ 29 เม.ย. 52 07:43:51 ]

ความคิดเห็นที่ 37 . แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 52 03:11:35 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 52 22:35:02 แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 52 22:35:01 จากคุณ : deepspace - [ 29 เม.ย. 52 22:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอแสดงความคิดเห็นให้ผู้สงสัยบ้างนะครับ ตามที่ได้เรียนมานะ ครับ พูดถึงการเบิกเนตรนั้น ก็เป็นส่วนที่สำคัญ แต่เราต้องแยกออกจากกันนะครับผมจะแยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อความเข้าใจได้ง่ายนะครับ 1. เทวรูป ความหมายของคำนี้ก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ของทางฮินดู เช่น พระพรหม พระศิวะ พระนารายร์ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี ที่ได้กล่าวมานั้นเราเรียกว่าเทวรูป หรือ เทวะปกรนัม     เนื่อง เทวรูปนี้ อยู่ในศาสนาฮินดู ดังนั้นต้องทำการเสกตามพิธีทางศาสนาเท่านั้น มีการเชิญพระอัคนีมาเป็นร่วมพิธี เพื่อความบริสุทธิ์ของเทวรูปนั้น ๆ หลังจากนั้นท่านจึงสถิตอยู่นะเทวรูปนั้น ๆ นะครับ ***หมายเหตุ อย่างที่เห็น มีการปลุกเศกเทวรูป โดยเป็นพระ ทางพุทธศาสนาเป็นผู้ทำ ในลักษณธนี้ จะไม่มีองค์พระผู้เป็นเจ้ามาสถิตอยู่นะครับ แต่จะมีเทวดา มารักษาแทน (เทวดาที่ว่านี้ อยู่ในการปกครองของพระอินทร์) 2. ส่วนในเรื่องของพระเครื่องหรือพระพุทธรูปนั้น ก็มีการทำพุทธาภิเษก ถ้าทำอย่างถูกต้อง ก็จะมีเทวดา มารักษาพระองค์นั้น ๆ ด้วยเช่นกัน 3. ส่วนพวกเทวดาต่าง ๆ  ก็จะเหมือนกับข้อ 2 นะครับ 4. พวกชั้นกุมาร และเทพารักษ์ต่าง ๆ ก็จะมีความศักสิทธิ์ ด้วยอาคม จะต่างจาก 3 พวกแรกนะครับอันนี้ ดังนั้นสรูปได้ว่า การที่เทวรูปหรือหุ่นต่าง ๆ ที่มีความศักสิทธิ์ได้นั้น ต้องผ่านการทำพิธีกรรมทั้งสิ้น จะด้วยการเชิญอย่างถูกวิธีตามฮินดู หรือ การใช่อาคม ก็ตาม ต้องทำการทำอย่างถูกต้องตามพิธีการทั้งสิ้นครับ ***มีคนกล่าวอยู่ว่า ถ้าไม่ทำให้ถูกต้องตามพิธีการแล้วละก็ พวกภูตผี ปีศาจ อสูร ก็สามารถมาสถิตนะหุ่นนั้นๆ ได้เช่นกัน และสามารถแสดงปฏิหารได้เหมือนกันนะครับ จากคุณ : Asura666 (เอ็มฐ์พล) - [ วันแรงงาน 23:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ค.ห.๓๘ 1. เทวรูป ความหมายของคำนี้ก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ของทางฮินดู เช่น พระพรหม พระศิวะ พระนารายร์ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี ที่ได้กล่าวมานั้นเราเรียกว่าเทวรูป หรือ เทวะปกรนัม คุณ Asura666 (เอ็มฐ์พล) คะ คำว่า เทวะปกรนัม เขียนให้ถูก คือ เทวปกรณ์ หรือ เทวปกรณัม ภาษาอังกฤษว่า Mythology แปลว่า เทพนิยาย หรือ เทวตำนาน ค่ะ ไม่ใช่เทวรูปค่ะ และ เทพ ไม่สถิตในเทวรูปค่ะ มีแต่ ผี ค่ะ จึงจะสถิตในรูปเคารพ จากคุณ : หนอนดาวเรือง - [ 4 พ.ค. 52 01:36:19 ]