 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจถึงความแตกต่าง ระหว่าง การนั่งสมาธิ กับ การเจริญสติ
.... การขับรถด้วยสมาธิอย่างเดียว แต่ขาดสติ เป็นเรื่องอันตราย ผู้คนที่ไปขูดหวยตามต้นไม้ จะกระทำไปด้วยสมาธิที่สูงมาก แต่ขาดสติ เช่นกัน ขณะโกรธคนเราก็จะมีสมาธิอยู่ในเรื่องที่โกรธ แต่กำลังสติจะลดลง
สติ คือการควบคุมเฝ้าดูความรู้สึก แต่สมาธิ เป็นการดื่มด่ำแนบแน่นไปกับความรู้สึกนั้น ขณะมีสมาธิกิเลสจะเข้าง่าย แต่ขณะมีสติ กิเลสจะเข้าไม่ได้
สมาธิมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย สิงโต สุนัข แมว ก็มีสมาธิโดยกำเนิด แต่สติ จะมีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น และแต่ละคนก็มีกำลังของสติไม่เท่ากัน ตามแต่ต้นทุนทางจิตที่สั่งสมมา
การฟังเพลงอย่างมีสมาธิ จะทำให้ซาบซึ้งในบทเพลงมากกว่าปกติ เพราะกำลังสมาธิจะไปขยายรสชาติ ทำให้เกิดสุขเวทนามากกว่าปกติ ขณะนั้นจะมีความสุขเพราะพลังของสมาธิ แต่ไม่เกิดปัญญา ตรงกันข้ามกับคนที่ฟังเพลงด้วยสติ เขาจะเห็นการเกิดดับของตัวโน๊ต และเสียงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เห็นความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง อยู่ตลอดเวลาที่ฟัง เมื่อฟังจบ จะสามารถประยุกต์ปัญญาที่ได้จากกำลังสติ ไปแต่งเพลงอื่นๆได้อีกนับร้อยเพลง สติจะทำให้เกิดความไว สมาธิทำให้มีกำลัง การดูคนเล่นกล ด้วยสมาธิ ต่างจากการดูด้วยสติ การดูด้วยสติจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ทำให้มีปัญญา บางคนสติไวมาก สามารถจับผิดคนที่เล่นได้ ส่วนคนที่ดูด้วยสมาธิจะสนุก ประหลาดใจ และมีความสุข แต่จะไม่เห็นความผิดปกติใดๆเลย คนสองคนที่ไปดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน จะกลับมาเล่ารายละเอียดได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังสติ เพราะขณะนั้นสมาธิในการดูของทั้งสองคนไม่แตกต่างกัน
นักกีฬาที่เล่นด้วยสมาธิสูงๆ จะไม่สนใจเสียงจากกองเชียร์รอบข้างเลย จิตมุ่งมั่นอยู่แต่ในเกม แต่นักกีฬาที่เล่นด้วยกำลังสติสูงๆ จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งรอบตัว การเล่นแบบนี้จะเกิดปัญญา รู้ทาง รู้จุดอ่อนคู่ต่อสู้ รู้การเปลี่ยนแปลงของเกม นักวิ่ง นักว่ายน้ำ ที่กำลังสติสูงจะออกตัวจากจุดสตาร์ทก่อนคู่แข่งเสมอ ในการแข่งขันพบว่า นักกีฬาส่วนใหญ่จะเล่นด้วยกำลังสมาธิ ผู้จัดการทีมหรือผู้ฝึกสอน มีหน้าที่ต้องดึงกำลังสติของนักกีฬาให้กลับมา เพราะสติเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อชัยชนะมากกว่าสมาธิ สมาธิทำให้เกิดกำลัง สติทำให้เกิดความไวและปัญญา
พระพุทธองค์ทรงเคยใช้สมาธิอย่างแรงกล้า บำเพ็ญทุกรกิริยาจนร่างกายซูบผอมเหลือแต่ผิวหนังหุ้มกระดูก แต่ก็ไม่เกิดปัญญา จนเมื่อเปลี่ยนวิธีมาใช้สตินำสมาธิ จึงพบหนทางแห่งการหลุดพ้นด้วยปัญญาอริยมรรค
คนที่สติไว อาจมีสมาธิต่ำก็ได้ หรือคนที่สมาธิสูง อาจมีสติช้า ก็เป็นได้ สมองส่วนที่ทำให้มีสมาธิ กับสมองส่วนที่ทำให้เกิดสติ เป็นคนละส่วนกัน ภาวะของการมีสมาธิเกิดจากการทำงานของสมองส่วนกลาง แต่ การเกิดสติเป็นการทำงานของสมองส่วนหน้า และสารเคมีในสมองก็ต่างกัน ขณะเกิดสติจะมีสารสื่อประสาทโดพามีนสูงกว่าปกติ แต่ขณะมีสมาธิจะเกิดสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งสารนี้จะไปขยายสุขเวทนาให้เพิ่มขึ้น เช่น จะช่วยให้รับกลิ่นได้หอมขึ้นหลายเท่า ฟังเพลงไพเราะขึ้นมาก ซึ่งอาจทำให้หลง เกิดตัณหาได้ง่าย
ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยิ่งฝึกยิ่งช้า คือ พูดช้าลง คิดช้าลง เคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ แสดงว่า ฝึกแบบสมถภาวนา เป็นการเจริญสมาธิ ไม่ใช่เจริญสติ เมื่อสมาธิแนบแน่น เวลาภายนอกจะผ่านไปเร็วมาก แต่สำหรับคนที่ฝึกสติมา เวลาจะยืดยาวขึ้นในความรู้สึก ความจริงแล้วเวลาตามนาฬิกาไม่ได้นานขึ้น แต่เพราะมีสติที่ไวขึ้น ปรากฎการณ์นี้ สามารถเกิดขึ้นกับปุถุชนคนธรรมดาได้ ในขณะเกิดวิกฤติ เช่น เมื่อตกบันได ตกจากที่สูง ขณะขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ กำลังจะจมน้ำ ฯลฯ ณ ขณะนั้นกำลังสติจะพุ่งพรวด และไวขึ้นเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน ช่วงเวลานั้นจะสามารถคิดได้ไวกว่าปกติประมาณ 2- 3เท่า มองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว เคลื่อนไหวแบบช้าๆ ( Slow motion ) แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถนำปรากฎการณ์นี้มาใช้เมื่อใดก็ได้เท่าที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤติขึ้นก่อน ที่มา......(ตัดตอนมาจากหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ตเล่ม 2)
จากประสบการณ์ที่เคยปฏิบัติธรรมมา เริ่มต้น ฝึกเจริญสติเลยง่ายกว่า การที่จะนั่งสมาธิ แล้ว ค่อยยกจิตเข้าสู่วิปัสสนา
ขอแนะนำให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานสติปัฏฐาน 4 เลย ยิ่งถ้าไม่เคยฝึกนั่งสมาธิมาก่อน จะไปได้เร็ว แต่ถ้าใครเคยฝึกสมถกรรมฐานมา การจะมาฝึกเจริญสติ ทำได้ยากกว่า
หลายคนบอกว่า ทำสมาธิก่อนเพื่อเป็นฐานของการฝึกสติ แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อสมาธิแนบแน่น การจะยกจิตเข้าสู่วิปัสสนายากมากๆ ขนาดพระที่ปฏิบัติหลายๆรูปยังทำไม่ได้ ติดอยู่กับสมาธิจนมรณภาพ
นอกจากนั้น ควรเดินจงกรม ควบคู่กันไปด้วยเพราะ
...... ในทางการแพทย์พบว่า การกำหนดสติไปที่การเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งสองซีกอย่างช้าๆ จะสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน และโดพามีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนและสารสื่อนำประสาท ที่ทำให้มีความสุข เกิดความการตื่นตัว มีไหวพริบ ปฏิภาณ นอกจากนั้น ยังช่วยให้สมองส่วนควบคุมอารมณ์ทำงานได้ดีขึ้น
การเดินจงกรม คือวิธีกระตุ้นสมองที่ดีที่สุด เพราะขณะที่เดินไปร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวสลับข้างซ้ายขวา อยู่ตลอดเวลา เราทราบมาแล้วว่า ความรู้สึกของร่างกายซีกขวา จะไปกระตุ้นสมองซีกซ้าย และความรู้สึกของร่างกายซีกซ้ายจะไปกระตุ้นสมองขวา ขณะเดินจงกรมสมองทั้งสองซีกจะทำงานประสานกัน และส่งข้อมูลข้ามสะพานเส้นประสาทเชื่อมถึงกันอยู่ตลอดเวลา ตามปกติคลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวา จะทำงานเป็นเอกเทศ แยกออกจากกัน การเดินจงกรมจะทำให้สมองทั้งสองซีกมีคลื่นสมองขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน ( Synchronization) ซึ่งสภาวะนี้ จะทำให้ประสิทธิภาพของสมองสูงสุด
ขณะเดินจงกรมอย่าหลับตา เพราะ สัญญานประสาทจากดวงตาจะถูกปิด ประสิทธิภาพการกระตุ้นสมองจะลดลงอย่างมาก เนื่องจาก ตาเป็นอวัยวะที่รับข้อมูลได้มากที่สุด
ขณะเดินให้หยุดคิด ถ้าจะคิดให้หยุดเดิน เฝ้าดูความคิด คิดหนอๆๆ จนดับไป แล้วค่อยเดินต่อ ห้ามคิดหรือฟุ้งซ่าน ไปพร้อมๆกับการเดิน มิฉะนั้นแม้จะเดินไปนับชั่วโมงก็ไม่มีผลอะไรกับการกระตุ้นสมองเลย เพราะการเคลื่อนไหวจะมีผลต่อสมองในขณะที่จิตว่างเท่านั้น สภาวะของการมีสติ ถึงจะเกิดขึ้นได้
เนื่องจากการเดินเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ เหมือนกับการกระพริบตา เพราะฉะนั้น ระหว่างที่เดิน ต้องตั้งสติจับที่อาการก้าวอยู่เสมอ เมื่อใดที่สติหลุด สมองส่วนควบคุมการเดินแบบอัตโนมัติจะทำงาน ซึ่งสมองส่วนนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญญาขึ้นได้เลย สารโดพามีนจะหลั่งออกมาในกรณีที่ กำหนดสติไปที่อาการก้าวด้วยเท่านั้น ( การเคลื่อนไหวอย่างตั้งใจ ) สมองที่ถูกกระตุ้นขณะเดินด้วยสติ (สมองใหญ่) เป็นคนละส่วนกับสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวแบบไม่ตั้งใจ (สมองเล็ก)
การเดินจงกรม ต้องกำหนดสติไปที่อาการ (ก้าว) ไม่ใช่กำหนดสมาธิไปที่รูป (ขา) มิฉะนั้นการเดินจงกรมก็จะไม่แตกต่างไปจากการเล่นโยคะ ปัญจสีลัต หรือ ไทเก็ก เลย
นอกจากนั้น การเดินจงกรม จะช่วยปรับระดับสมดุลของหูชั้นใน ซึ่งหูส่วนนี้จะทำหน้าที่รับแรงสั่นสะเทือนจากท่วงท่าและลีลา การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและสมดุล จะทำให้จังหวะการสั่นสะเทือนเป็นไปอย่างช้าๆ เส้นประสาทของหูชั้นในจำนวนมากได้เชื่อมต่อไปยังสมองและดวงตาด้วย สภาวะนี้จะทำให้รู้สึกสงบ สบายตา สมองปลอดโปล่ง โล่งสบาย และมีสมาธิสูงขึ้น
ตามปกติคนเรา จะขาดสติในการเดินเช่น การเคลื่อนไหวจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ บางคนอาจจะค้านว่า ถ้าไม่มีสติจะเดินได้อย่างไร ความจริงแล้ว เราก็เดินโดยไม่รู้ตัว จะก้าวเท้าซ้ายก่อน หรือเท้าขวาก่อน ระยะก้าวเป็นเช่นไร กดเท้าหนักเบาแค่ไหน ในแต่ละวัน เราเดินนับพันก้าว แต่จะมีสักก้าวไหมที่ได้กำหนดสติดูที่อาการก้าวอย่างละเอียด ถ้าเป็นเช่นนั้นการเดินของเราก็ไม่ต่างไปจาก ช้างเดิน ม้าเดิน สุนัขเดิน เพราะสัตว์เหล่านี้ ก็เดินอย่างไม่มีสติโดยธรรมชาติ
ดังนั้น การกำหนดสติเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะทำให้เกิดปัญญา และมีมนุษย์เท่านั้นที่สามารถฝึกได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานทุกชนิดธรรมชาติไม่ได้ให้สติมาด้วย เช่น ขณะกำลังทานอาหาร จะสามารถกำหนดอิริยาบถย่อยได้ดังนี้ เอื้อม ตัด ยก เคลื่อน อ้า ใส่ อม เคี้ยว กลืน จะเห็นได้ว่า แค่การตักอาหารเข้าปาก ยังสามารถกำหนดได้ถึง 9 ระยะ
การกำหนดสติในการเดิน ก็สามารถแบ่งออกได้ถึง 6 จังหวะ คือ ยกส้น , ยกเท้า , ย่างเท้า , ลงเท้า , เท้าแตะพื้น , เท้ากดพื้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละวันที่เราเดิน ไม่เคยกำหนดสติดูอาการเหล่านี้เลย ขณะเดินจงกรม จะสังเกตอาการเหล่านี้ได้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อสติไวขึ้นจากการจับอาการจะสามารถบรรลุภาวนาปัญญาญานได้
หลักกายานุปัสสนา จึงสอนว่า ห้ามเคลื่อนไหวร่างกาย โดยที่จิตไม่รู้เสียก่อน หรือ ไม่มีสติ ซึ่งในทางปฏิบัติทำได้ยากมาก เช่น เวลากระหายน้ำ การยกมือคว้าแก้ว แล้วดื่ม จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสติ จะต้องค่อยๆกำหนดอาการ เอื้อมหนอ ถึงหนอ แตะหนอ กดหนอ ยกแก้วหนอ ถึงปากหนอ ดื่มหนอ อมหนอ กลืนหนอ ฯลฯ การปฏิบัติในช่วงแรกจะทำได้ช้ามาก ราวกับเป็นคนป่วยหนักที่กำลังจะคว้าแก้วน้ำมาดื่ม แต่เมื่อฝึกไปบ่อยๆกำลังสติสูงขึ้น ไวขึ้น จะสามารถปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว เท่าคนปกติหรือเร็วกว่าคนปกติทั่วไป โดยที่สติไม่หลุดจากอิริยาบถย่อยเลย
ขณะที่กำหนดอิริยาบถย่อย สติจะเป็นตัวที่ระลึกรู้ถึงอิริยาบถต่อไป เช่น หลังจากเคี้ยวแล้วต้องกลืน ในขณะที่สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวขณะเคี้ยว ผู้ที่สามารถกำหนดสติจับที่การเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียด จะมีความสามารถในระดับเหนือมนุษย์ทั่วไป ถ้าเป็นนักกีฬาก็จะมีฝีมือระดับเทพ เป็นหมอผ่าตัดก็จะมือนิ่งและไว ทุกอาชีพล้วนต้องอาศัยการเคลื่อนไหวเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าคนขับรถ ช่างทำผม ช่างตัดเสื้อ จิตรกร นักดนตรี ตำรวจ ทหาร ฯลฯ ดังนั้น การฝึกสติจับการเคลื่อนไหว แม้จะไม่มุ่งสู่ความสำเร็จในระดับโลกุตตระ แต่ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จทางโลกอย่างยิ่งใหญ่
จากคุณ |
:
ปัจจตัง
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ม.ค. 53 00:34:15
|
|
|
|
 |