ความคิดเห็นที่ 1 ลองอ่านข้างในดูหรือยังครับ อาจจะแค่ตั้งกำลังใจตัวเองหรือเปล่า ผมก็ยังไม่ได้อ่านน่ะ ไม่เคยเห็นด้วย ผมเองก็ยังไม่บรรลุอะไรซักอย่าง ที่จริงยังไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ตั้งกำลังใจอย่างนี้หล่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 53 12:42:58 จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 12:41:52

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าปรามาสซี้ซั้วนะครับ ของจริงรึเปล่าเราก็ไม่รู้ ฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อน เพราะถ้าเกิดไปปรามาสของจริงเข้านี่ ก็นะ... จากคุณ : Kengmanny เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 12:41:58

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยว่า ไม่ควรปรามาสค่ะ จากคุณ : พีนัตบัทเตอร์ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 12:46:01

ความคิดเห็นที่ 4 ตัวผมเองก็มีหนังสือที่คุณ  marnito2  กล่าวถึงทั้ง 2 เล่มเลยนะครับ ผมได้อ่านเล่มแรกด้วยความศรัทธา  ต่อมาอีกระยะหนึ่งผมได้เ้ข้าๆไปร้านสะดวกซื้อและเห็นเล่ม 2  วางแผนขายจึงซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านมาด้วยความศรัทธาในเล่มแรกเป็นทุนเดิม  และหลังจากได้มีโอกาสอ่านเล่ม 2 แล้วภายในใจของผมก็มีคำถามตามมาอีกมากมายว่านี่ืคือเรื่องจริงหรือ   นี่จะเป็นการอวดอุตริมนุษยธรรมหรือเปล่า เรื่องนี้สามารถบอกกล่าวกันได้หรือเปล่า  และอีกหลาย ๆ คำถามที่ทำให้ผมคิดว่า  หากผมคิดอย่างนี้แล้วผมคงสร้างบาปอันใหญ่ด้วยความเป็นมิจฉาทิฎฐิของผมเอง   จนผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของคนที่เขียนหนังสือซึ่งเป็นฆราวาสหรือไม่ที่พยายามเพิ่มเติมเนื้อความบางส่วนเพื่อร้องร้องความศรัทธามากขึ้น  จนวันหนึ่งมีได้มีโอกาสสนทนากับพระป่ารูปหนึ่งที่แวะเข้ามาฉันอาหารที่ร้านของผม   ท่านได้สอนผมเรื่องสมาธิและอีกหลายเรื่อง  จนผมนำเรื่องหนังสือมาถามว่าเดี๋ยวนี้มีพระที่ออกพ๊อกเก็ตบุ๊ตมากเหลือเกิน  และหลายเล่มดูจะอวดอุตตริมนุษยธรรมเสียด้วยซ้ำซึ่งผมไม่ทราบว่าเกิดจากฆราวาสที่เิกิดความเลื่อมใสและนำประวัติของท่านไปตีแผ่ให้มหาชนรู้ด้วยหรือไม่    สุดท้า้ยท่านก็บอกว่า  ถ้าเรื่องไม่เกิดขึ้นจากพระแล้วฆราวาสจะเอาอะไรมาเขียนเท่้านั้นปัญญาก็เกิดเลยครับ ผมขออภัยอย่างสูงด้วยนะครับหากความคิดเห็นของผมไปกระทบใจใครบางคนและหวังว่าตัวผมก็คงไม่บาปนะครับที่คิดอย่างนี้เพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทรงตรัสไว้ในเรื่องกาลามะสูตรที่สอนให้คิดก่อนเชื่อในข้อ  10 ว่า มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์ สิ่งนี้ผมไม่ได้ปรามาส  และไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนะครับเพียงแต่ผมขอเวลาในการคิดก่อนเชื่อครับ สวัสดีครับ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 53 12:58:35 จากคุณ : t_nine เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 12:56:49

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับผม ท่านจะบรรลุหรือไม่อย่างไร เป็นพระอริยะหรือไม่ก็ตาม ไม่เกี่ยวกับผมเลย....เพราะธรรมะที่ผมเรียนมา สอนให้ผมดูแต่ตัวเองเท่านั้น จากคุณ : norapob เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:02:12

ความคิดเห็นที่ 6 ที่จริงแล้ว ตัวดิฉันเองก็อยากจะ.....ชาติหน้าไม่อยากเกิดอีก...  ก็ตั้งจิตไว้เหมือนกัน คิดว่าหนังสือที่ว่า(ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน ชือว่าอะไรคะ จะได้ไปหาอ่านหน่อย) มันเป็นแค่การตั้งจิตอธิษฐานของพระหนุ่มรูปนั้น และท่านก็คงจะเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเกิดอีก .......แต่ก็อ่ะนะ...ตราบใดที่กิเลสตัณหายังขจัดไม่หมด มันก็จะต้องได้เกิดแล้วเกิดอีกไม่มีอะไรหยุดมันได้ จากคุณ : dcm เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:02:43

ความคิดเห็นที่ 7 ขอเพิ่มอีกนิดนะครับว่าเนื้อความในหนังสือเป็นการบอกเลยครับว่า  ท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วเพราะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว   แล้วมีเรื่องกระดูกที่กลายสภาพเป็นแก้วหรือพระธาตุด้วยครับ  ชื่อหนังสือ  จขกท  ก็บอกอยู่แล้วครับ ( ชื่อกระทู้นั้นแหละครับ ) แต่ผมอ่านแล้วก้ปิติดีนะครับ เห็นด้วยกับความคิดเห็นของ  ความคิดเห็นที่ 5 อย่างยิ่งครับ จากคุณ : t_nine เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:12:05

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับคุณ norapob ที่สุดเลยค่ะ เพราะ ได้เรียนมาแบบนี้เหมือนกัน จากคุณ : แล้ว... เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:15:55

ความคิดเห็นที่ 9 อ้างอิง : สำหรับผม ท่านจะบรรลุหรือไม่อย่างไร เป็นพระอริยะหรือไม่ก็ตาม ไม่เกี่ยวกับผมเลย....เพราะธรรมะที่ผมเรียนมา สอนให้ผมดูแต่ตัวเองเท่านั้น ข้อเสนอแนะ: หากออกความเห็นอย่างนี้ในประเด็นหนังสือข้างต้น ขอให้ใคร่ครวญดูใหม่นะครับ เพราะยังเป็นความเห็นที่ไม่รอบด้านเพียงพอ อาจเพราะไม่ทราบถึงข้อเสียถึงพระพุทธศาสนาโดยรวม จากคุณ : ศิรัสพล เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:21:00

ความคิดเห็นที่ 10 คุณศิรัสพล ทราบแล้วครับว่าคุณหมายความว่าอย่างไร ขอบคุณครับ สำหรับคำเตือน ท่านที่อ่าน คห. ของผม ดูให้ถูกตัวด้วยนะครับ ระวังอย่าไปปรามาสท่านนะครับ จากคุณ : norapob เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:25:44

ความคิดเห็นที่ 11 ปัญหาเดียวกับผมเลย ผมเลยซื้อมาอ่านไปแล้ว ที่สำคัญ คือ ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว ผมอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าติดขัดตรงไหน หรือ ผิดตรงไหนอย่างชัดๆ ( หรือยังไม่เจอ ) เลยจำแต่ข้อธรรม ละความสำเร็จ/ไม่สำเร็จของท่านไว้ อะไรใช้ประโยชน์ได้ใช้ อะไรไม่ใช่วิบากของเราอย่าไปเอามาใส่เพิ่มครับ จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:25:51

ความคิดเห็นที่ 12 อนุโมทนา จ้า จากคุณ : ภราดรภาพ (จิตธรรม) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:33:42

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็เห็นแต่หนังสือครับ ยังไม่ได้อ่านข้อความข้างใน แต่ผมซื้อ หนังสือ เรื่อง ขันติธรรม แนวทางแห่งการหลุดพ้น อ่านได้เกือบครึ่งเล่มแล้วครับ ^^ น่าจะของหลวงปู่ (พระหนุ่ม) ท่านเดียวกันครับ อ่านแล้วถือว่า ได้ประโยชน์ครับ จริงหรือไม่จริง ไม่ทราบได้ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผมครับ ส่วนเรื่อง วิตก วิจารณ์ เว้นไว้ก่อนจะดีกว่าครับ ^^ จากคุณ : เทพเฮเดส เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:43:29

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่มเติม อย่างไรเสียก็อย่าประมาทครับ ท่านอาจจะสำเร็จจริงๆก็ได้นะครับ จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:55:16

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยก่อนผมเคยหยิบหนังสือเล่มนึุงมาอ่าน อ่านไปได้ครึ่งเ้ล่ม โยนทิ้ง หนังสือบ้าอะไร พระบ้าอะไร สอนแบบนี้ เอาไงแน่ สุดท้าย เวลาว่าง ไหนลองอ่านอีกทีซิ ทนอ่านและทำคตวามเข้าใจไปจนจบเล่ม ถึงกับร้องอ้อว่า สาธุ...เนี่ยแหละ พุทธ หนังสือเล่มนั้นชื่อ "คู่มือมนุษย์" บางทีการด่วนตัดสินอะไรง่ายๆ ก็ไม่ดี เนาะว่ามั๊ย แง่บๆ จากคุณ : itoursab (itoursab) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 13:57:42

ความคิดเห็นที่ 16 สงฆ์ทุกรูปมีสิทธิประณิธานธรรมครับ ถ้ายัง"ไปไม่ถึง"จุดหมาย และเมื่อถึงจุดหมายก็จะไม่เกิดอารมณ์ประณิธานอีกเลย จากคุณ : ธนะรัตน์ เอ็กโซติก เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 14:07:21

ความคิดเห็นที่ 17 ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจแสดงความเห็น เผอิญ ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯครับ   ไม่ได้รู้ความเป็นไปของท่านจากการอ่านหนังสือ แต่ผมอยู่จังหวัดใกล้ๆ วัดของท่าน   เลยได้ยิน-ได้ทราบกิจกรรมของท่านอยู่บ่อยๆ มานานแล้ว   ออกแนว แปลกๆ แม้แต่ชื่อเรียก ต้องส่ายหัว   (อาจเรียกมาตั้งแต่เป็นเณร)   เช่นสร้างพระแก้วฯใหญ่ที่สุดในโลก   ล่าสุดคือ ต้นผ้าป่า ใหญ่ที่สุดในโลก   ฯลฯ ตามสบาย นะครับ   ตัวใครตัวมัน   ผมทำตามหลักพุทธบริษัทที่ดีแล้ว จากคุณ : marnito2 เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 15:05:02

ความคิดเห็นที่ 18 ขอเรียน ให้ทราบอีกเรื่อง ในวงการ พระ แถบอีสานล่าง(เท่าที่รู้)   จะมีฆราวาสที่มองหาพระ"ที่มีแววดัง"   เข้าไปทำตัวเป็น "ลูกศิษย์คนสนิท"   แล้วโปรโมทย์ ให้มีชื่อเสียง ( เหมือนปั้นดารานักแสดง)   เพื่อตัวเองจะได้กอบโกยเงินทองจากความมีชื่อเสียง ของพระที่ตัวเอง"ปั้น"ขึ้น   อาจหากินกับการผลิต-จำหน่ายเครื่องลางของขลัง ประเภทต่างๆ   ผลิตเป็นรุ่น  จำนวนจำกัด  ทำจาก....ศักดิ์สิทธิ์ฯลฯ ถ้าดังนาน ก็เกาะ-หากินต่อไป  ถ้าไม่นาน ก็หาพระคนอื่นๆ  เพื่อ"ปั้น"ใหม่ จากคุณ : marnito2 เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 15:35:41

ความคิดเห็นที่ 19 ชาวพุทธยุคนี้ต้องมีสติ  คอยเอาเรื่องราวพวกนี้เทียบเคียงกับพระสูตรในพระไตรปิฎกบ่อยๆ เพื่อจะได้ทราบว่าอันไหนเบี่ยงเบนไป บางครั้ง ต้องแยกให้ออกว่า ธุรกิจหนังสือธรรมมะ ก็คือธุรกิจเป็นหลัก ไม่ใช่ธรรมมะเป็นหลัก  เงินเดือนที่ต้องมาจ่ายพนักงานก็เป็นเงินรายได้ที่ต้องจ่ายเป็นเงิน  ไม่ใช่จ่ายเป็นธรรมมะ   ดังนั้น เรื่องราวเหล่านี้ ต้องพิจารณาด้วย จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 15:44:20

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่าอย่าให้ศรัทธามาบดบังปัญญากันเลยครับ  ยึดหลักกาลามสูตรของ พระพุทธเจ้าเป็นหลักดีกว่า  ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อแผ้วทางกิเลสให้หดหาย นั่นจึงน่าจะเป็นทางเดินตามรอยพระพุทธองค์  แต่ถ้าทางใดส่งเสริมแต่กิเลส มานะอัตตา  ลุ่มหลง งมงาย น่าจะผิดทางสมควรช่วยกันเฝ้าระวังให้สมกับ ที่เราอยู่ในพุทธบริษัทสี่  ขอบคุณ จขกท ที่ช่วยกันท้วงติง ผมคิดว่าดีครับ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 15:45:38

ความคิดเห็นที่ 21 แสดงความตั้งใจ กับ ประกาศตัว อ่านหนังสือดูก็เห็นชัดเจนครับ เรื่องนี้ขออนุญาตยืมคำของท่านโชติมาใช้ครับ ว่า "เพราะ พระบรมศาสดา ยังทรงยังอยู่" ดังนั้นถ้าอ่านแล้ว อาศัยหลักกาลามสูตร + ลองเทียบกับพระไตรปิฎกดูได้ครับ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 15:54:08

ความคิดเห็นที่ 22 สำหรับผม  ผมก็บรรลุธรรมแล้วเหมือนกัน  แต่ชาติหน้าผมจะมาเกิดใหม่  จะได้ไหม จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 16:00:29

ความคิดเห็นที่ 23 ลองสังเกตดูครับ ถ้าเป็นพระอรหันต์ จริง เมื่อมีสิ่งใด กระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ ใจ ก็จะสักแต่ว่ารู้ แต่ไม่หวั่นไหวตามสิ่งที่มากระทบ ส่วนพวกที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว  แต่ยังใช้ภาษาหยาบคายกว่าปุถุชนอีก แล้วยังชอบยุ่งการเมือง  พวกนี้จัดว่าเป็นคนลวงโลก หรือไม่ก็สติวิปลาศ คิดว่าตนเองเป็นอรหันต์ ลองพิจารณาดู ครับ จากคุณ : yariv_80 เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 17:41:03

ความคิดเห็นที่ 24 ความเห็นที่  23  ท่านคิดอะไรอยู่  มองเห็นพระองค์นั้นออกมาทางตัวอักษรเลย ลองคิดดูด้วยใจที่เป็นกลางก่อนนะครับ  ผมว่าท่านพิจารณาท่ามกลางจิตใจที่ไม่เชื่อเป็นทุนเดิมมาตั้งแต่ต้นแล้วต่างหาก ผมว่าท่านยังไม่ได้ฟังท่านเทศน์แบบฉบับเต็มๆ หรือบ่อยๆต่างหาก  ถ้าท่านได้ฟังบ่อยๆ ท่านจะรู้เหตุผลว่าทำไมเป็นแบบนั้น ทุกครั้งที่ท่านดุ ท่านทำแบบอารมณ์เสีย  ท่านอธิบายให้ฟังด้วยว่าเพราะอะไร  แต่ใจคนฟังตอนนั้นมันคิดล่วงหน้าไปแล้ว ว่า พระอรหันต์อะไรวะ  เป็นแบบนี้  เราคิดเองต่างหากครับว่า  พระอรหันต์ต้องเป็นแบบนั้น  ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน โดยที่ตัวเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า  จริงๆแล้ว  พระอรหันต์ จะเป็นแบบไหน  ไม่มีรูปแบบตายตัวหรอกครับ ถ้าว่ายุ่งการเมือง  ฟังดีๆนะครับ  ท่านเทศน์นะครับนั่น  เทศน์ให้ใครก็ได้ที่ได้ยินให้ฟังเป็นเครื่องเตือนใต ไม่เฉพาะนักการเมือง แต่หัวข้อมันต่างหากที่เราคิดว่าท่านไปยุ่งกับเรื่องการเมือง  โดยที่เราไม่ตั้งใจฟังเนื้อหาของธรรม เมื่อใจเราคิดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า  ไม่ใช่  ความคิดเรามันจะแอนตี้ลึกๆไปเลย  เมื่อท่านเทศน์ขึ้นมาปุ๊บ  แน่นอน อะไรวะ........ อย่างนี้ไม่ใช่อรหันต์แน่นอน.......ฟันธง........ไม่รู้ตัวเองมีเครื่องมือตรวจสอบอรหันต์ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่..... อีกไม่นานหรอกครับ  ทุกอย่างก็จะกระจ่าง....ทุกอย่างต้องรอเวลา.......แล้วจะได้รู้  ไผเป็นไผ... นรกหรือสวรรค์.......... จากคุณ : อ้ายเซียงจ่อย เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 20:23:46

ความคิดเห็นที่ 25 ชาติหน้าเราเองก็ไม่อยากเกิดมาอีกแล้ว เหมือนกัน จากคุณ : หินแก้ว เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 21:20:04

ความคิดเห็นที่ 26 หนังสือประเภทนี้ มีเยอะมาก "เสียดาย..คนตายไม่ได้อ่าน" หรือ "คนอ่านยังไม่ตาย" แต่หลวงพ่อ ท่านคงไม่เกี่ยว คนที่เขียนเรียบเรียงเรื่องราว พวกนี้  น่าหากินอยู่กับเรื่องพวกนี้ แต่ผมคิดว่าไม่เสียดาย เลยไม่ซื้อมาอ่าน   รอว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะแจกฟรี หรือ ดาวน์โหลดทางเนท ธรรมะมาจากพระพุทธเจ้า ไม่มีต้นทุน ทำไมมาจดลิขสิทธิ์ เป็นของคนนั้นคนนี้ สำนักพิมพ์นั่นนี่ ....การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง.... แล้วใครเอาธรรมะมาขายกันแบบนี้ ใครได้ประโยชน์... คนเขียน หรือสำนักพิมพ์ เราเคยประนาม พวกหากินกับพระเครื่องราง ของขลังว่า ...เป็นพวก พุทธพาณิชย์ แต่ถ้าหากินกับ ขายธรรมะ น่าจะเรียก พวก ธรรมพาณิชย์ รึเปล่า แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 53 21:36:30 จากคุณ : ตะวันดับ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 21:29:33

ความคิดเห็นที่ 27 หุหุ... เห็นความเห็น 23 แล้วน่าตกใจ คงคิดว่าพระอรหันต์คงนั่งเรียบร้อย เวลาเรียกโยม คุณโยมจ๋า..มาหาพระหน่อยนะจ๊ะ ... แม้แต่พุทธเจ้าท่านยังเรียกพระที่ปฎิบัติมิชอบ ว่าโมฆบุรุษ แปลว่า คนโมฆะ คนเปล่า คือคนที่ใช้การไม่ได้ คนที่ไม่มีผลดี. โมฆบุรุษ หมายถึงคนที่เอาดีไม่ได้ คนที่พลาดจากประโยชน์ต่างๆ ... ทำไมพุทธเจ้าไม่บอกว่า คุณพระมานี่สิจ๊ะ อย่าทำนะลูก ไม่ดีนะ  สิ่งที่ท่านชี้แนวทางเรียกว่าคำหยาบคายหรือ เหมือนคุณกำลังโดนไฟซ็อต แล้วมีคนมากระโดดถีบคุณ เพื่อให้หลุดจากไฟซ็อต เรียกว่าทำไม่ดี หยาบคายหรือ....พิจารณาให้ดีๆ อย่าได้ปรามาสส่งเดช ผมไม่ได้มีความโกรธเกลียดอะไรกรรมใครก็กรรมมัน  เพียงแค่เดินผ่านมาแล้วเห็นสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องก็บอก เมื่อไม่เชื่อผมก็เดินผ่านไป แค่หวังเป็นกัลยาณนิมิตรที่ดี.... __________________________________________________________________________ นโมวิมุตตานัง นโมวิมุตติยา กาย  วาจา  จิต ขอน้อมถวายบูชาต่อพระรัตนตรัยในกาลทุกเมื่อในทุกๆขณะจิตเถิด..... จากคุณ : Theratham เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 21:32:22

ความคิดเห็นที่ 28 เอ่อ.คุณ.yariv_80  ไม่พูดอะไรไม่ขาดทุนนะคะ ใจเย็นๆค่ะ จากคุณ : dcm เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 08:23:48

ความคิดเห็นที่ 29 พูดแต่หลักการ ไม่ปรามาสตัวบุคคล ปลอดภัยที่ซู๊ดด.. จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 09:11:29

ความคิดเห็นที่ 30 เอ่อ..........? จากคุณ : ผักผลไม้รวม เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 10:38:44

ความคิดเห็นที่ 31 ช่วงนี้เห็นคนจองตั๋วไปอบายเยอะแฮะ พระอรหันต์ดูกิริยาภายนอกไม่ได้นะครับ ถึงท่านจะดูโผงผางดูหยาบคายซึ่งมันก็เป็นนิสัยวาสนาของท่าน จะเอามาวัดไม่ได้หรอกครับ ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างอยู่ หรือ แม้แต่ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีเช่น หลวงปู่ตื้อ หรือ หลวงปู่เจี๊ย เพราะฉะนั้นอย่าปรามาสซี้ซั้วนะครับๆ เตือนด้วยความหวังดี จากคุณ : The fox in the stock เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 23:10:01

ความคิดเห็นที่ 32 ผู้ปฎิบัติที่หวังผลในลาภ สักการะ ย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่พบเห็นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใกล้ชิดพบเห็นเอง ยากที่จะมีปัญญาเห็นความแท้ ในภาพลวงตา จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 01:03:25

ความคิดเห็นที่ 33 พระท่านอาจจะไม่เกี่ยวข้องก็ได้ครับ คนเขียนควรจะนำไปให้ท่านอ่านก่อนพิมพ์ขาย ไม่ใช่เขียนให้มีอภินิหารเยอะๆ จะได้ขายดี จากคุณ : billgate เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 05:58:58

ความคิดเห็นที่ 34 ใครเขียนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอนุญาตแล้ว ก็เท่ากับยอมรับแล้ว อีกทั้งหนังสือ เป็นการสื่อให้คนทั่วไป ไม่ใช่พระด้วยกันบอกกันในฐานะศิษย์อาจารย์ ไม่น่าพลาดขนาดนี้นะครับ จากคุณ : TheAcT เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 08:31:12

ความคิดเห็นที่ 35 ผมอ่านดู คำนี้แว่บแรกก็ เห็นเป็นแค่คำอธิฐาน ธรรมดาๆนะครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 12:53:55

ความคิดเห็นที่ 36 ได้อ่านแล้วหลายเล่ม ส่วนใหญ่เนื้อหาจะซ้ำๆๆกัน ผู้เขียนคนเดียวกันก็เขียนหลายเล่มที่เนื้อหาซ้ำกันหน้าปกต่างกัน ผู้เขียนคนอื่นก็เขียนซ้ำกับผู้เขียนคนอื่นอีก ส่วนใหญ่จะเป็นประวัติความเป็นมาต่างๆๆ จนทำให้คนอ่านไม่อยากอ่านอีก ผมและเพื่อนหลายๆคนมีความรู้สึกเหมือนกัน ส่วนCDก็มีประวัติซ้ำกับหนังสืออีก เข้าใจว่าต้องการอธิบายให้คนที่ไม่เคยรับรู้ได้รู้ แต่ส่วนใหญ่อ่านครั้งแรกแล้ว ก็กลับมาซื้อหนังสือและซีดีอีก เพราะอยากรู้ธรรมที่ท่านแสดง แต่พอเนื้อหาซ้ำๆๆทำให้ไม่อยากอ่านและดูอีกเลย ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่คนเขียนเพราะขนาดเล่มแรกที่อ่านผมยังต้องอ่านข้ามไปตั้งเยอะกับสำนวน+เนื้อหาที่เป็นน้ำๆของคนเขียนที่ไม่ใช่คำพูดของท่าน ผมติดตามเพราะสนใจการปฏิบัติธรรมของท่าน เคยได้ไปฟังท่านแสดงธรรม1ครั้ง ผมคิดว่าท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่งที่ผมกราบเคารพท่านที่เป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้   ผมอ่านเจอข้อความหนึ่งในหนังสือได้เขียนไว้ว่าท่านอโหสิกรรมให้กับผู้ที่คิดไม่ดีกับท่านไว้ทั้งหมด จากคุณ : หนุ่มแว่น เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 22:25:47

ความคิดเห็นที่ 37 .....ลองไป ฟัง เสียง ดร.สนอง วรออุไร แสดงธรรมต่อจาก หลวงปู่ ท่านดู แล้วท่านจะ เข้าใจเอง ........"การไปปรามาส พระอย่างท่าน บาปหนา" ที่ ม.เทศโนฯ ราชมงคล .....ชมรมกัลลานธรรม พ.ค.52 .........ขอบคุณครับ จากคุณ : ธรรมรักษา (ขงเบ้ง55) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 07:34:40