ความคิดเห็นที่ 1 อยากทราบเหมือนกันครับ เวลาไปมหาลัยแล้วเห็นนักศึกษาบางคนน่ารักๆ โพกหัวแล้ว รู้สึก เสียดาย เพราะมองเห็นไม่ชัด ๐_O จากคุณ : มอสคุงอะครับ เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 22:36:25

ความคิดเห็นที่ 2 มีเพื่อนเป็นมุสลิม ถ้าเคร่งก็โพก  แต่การทำงานในปัจจุบันและสภาพอากาศ ทำให้ไม่โพกก็ได้ หากแต่เวลาไปมัสยิดก็แต่งตัวให้ถูกต้องครบถ้วนก็ดีคะ จากคุณ : NoNGCaSH เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 23:03:31

ความคิดเห็นที่ 3 มีฮะดีษอีกที่ บ่งบอกชัดเจนเรื่องการคลุมผม ท่าน หญิงอาอิชะห์ (รด.) รายงานว่าอัสมาอฺ ลูกสาวของท่านอบูบักรฺ (รด.) มาหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ศ.) โดยสวมเสื้อผ้าบางเบา ท่านศาสนทูต (ศ.) จึงเบือนหน้าหนีแล้วกล่าวว่า "โอ้ อัสมาอฺ เมื่อหญิงเจริญถึงวัยมีประจำเดือนแล้ว ห้ามมิให้นางเผยส่วนใดของร่างกายนางยกเว้นตรงนี้และตรงนี้ แล้วท่านก็ชี้ไปที่หน้าและมือ" (รายงานโดยอบูดาวูด) อันนี้ก็คือการ คลุมผมของมุสลิมะห์นะครับ ซึ่งกุรอ่านได้บอกกับเราว่า และอันใดที่ร่อซูลได้นำมายัง พวกเจ้าก็จงยึดไว้ และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย (อัลกุรอาน 59 :7) และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา (อัลกุรอาน 3 : 132) จง กล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺก็จงปฏิบัติตามฉัน  อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ (อัลกุรอาน 3 : 31) ดัง นั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน (อัลกุรอาน 24: 63) จง กล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซูลเถิด แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย (อัลกุรอาน 3 : 32) ไม่ บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้วแน่นอนเขาได้หลงผิดอย่าง ชัดแจ้ง (อัลกุรอาน 33 : 36) เพราะฉะนั้นยังไงมุสลิมะห์ก็ต้อง คลุมผมครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุคำสั่งของอัลลอฮฺ หรือด้วยเหตุผลก็แล้วแ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 53 06:31:25 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 06:31:09

ความคิดเห็นที่ 4 ความประเสริฐของการคลุมฮิญาบ การคลุม ฮิญาบนั้นถือเป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺ อัซซะวะญั้ล และต่อท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงกำชับเกี่ยวกับเรื่องการภักดีต่อพระองค์และท่านร่อ ซูลของพระองค์ โดยตรัสไว้ว่า ความว่า “ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาทั้ง ชายและหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง” (อัลอะฮฺซาบ : 36) และพระองค์ ได้ทรงตรัสไว้อีกว่า ความว่า “มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกัน ระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใด ๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินไป และพวกเขายอมจำนนโดยดี” (อันนิซาอฺ : 65) และแท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงสั่งใช้บรรดาสตรีให้ทำการคลุมฮิญาบ โดยตรัสไว้ว่า ความว่า “และ จงกล่าวเถิด (มุฮำหมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของพวกเธอลงมาจนถึงหน้าอกของเธอ” (อันนูร : 31) และพระองค์ทรงตรัสไว้อีกว่า ความว่า “และจงอยู่ ในบ้านเรือนของพวกเธอ และอย่าได้โอ้อวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่นการอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน” (อัลอะฮฺซาบ : 33) และ พระองค์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮฺเดียวกันนี้อีกว่า ความว่า “และเมื่อ พวกเจ้าขอสิ่งใดจากพวกนาง ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวก นาง” (อัลอะฮฺซาบ : 53) และพระองค์ยังได้กำชับเกี่ยวกับเรื่อง นี้ไว้อีกว่า ความว่า “โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาภรรยาของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง” (อัลอะฮฺซาบ : 59) และ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ความว่า “สตรีนั้นคือเอาเราะฮฺ” หมายความว่า จำเป็นจะต้องปกปิดตัวของนาง การ คลุมฮิญาบเป็นการรักษาความบริสุทธิ์ของจิตใจและร่างกาย แท้จริงอัล ลอฮฺตะอาลานั้น ได้ทรงกำหนดให้การคลุมฮิญาบตามแบบฉบับอิสลามเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสตรีผู้ ศรัทธา เพราะจะนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ไร้มลทิน ดังที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า ความว่า “โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อพวกนางจะไม่ถูกรบกวน” (อัลอะฮฺซาบ : 59) เพราะการปฏิบัติตนเช่นว่านั้นจะทำให้พวกนาง เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด และพวกนางก็จะได้รอดพ้นจากพฤติกรรมอันธพาลของบรรดาคนโฉด เพราะในดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เพื่อพวกนางจะได้ไม่ถูกรบกวน” เป็นการชี้ให้เห็นว่า ความสวยงามในเรือนร่างของสตรีนั้น จะนำไปสู่อันตราย ความเดือดร้อน ความชั่วร้าย และความปั่นป่วนให้กับนาง ส่วนสตรีวัยชรา นั้นพระองค์ได้ทรงผ่อนผันเรื่องการปกปิดเรือนร่าง ถ้าหากนางจะปล่อยเสื้อคลุมของนางลงมา และเปิดเผยฝ่ามือและใบหน้าของนาง เพราะเรือนร่างของพวกนางจะไม่เป็นเหตุให้เกิดฟิตนะฮฺ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ความว่า “และบรรดาหญิงวัยชราซึ่งพวกนาง ไม่ปรารถนาที่จะสมรสแล้ว ไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกนางที่จะเปลื้องเสื้อผ้า (เสื้อคลุม) ของนางออกโดยไม่เปิดเผยส่วนงดงาม และหากพวกนางงดเว้นเสีย ก็จะเป็นการดีแก่พวกนาง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” (อันนูร : 60) พระองค์ได้ทรงแจ้งไว้ในตอนท้ายอายะฮฺนี้ เป็นการดีหรือชอบให้พวกนาง (หญิงชรา) ปกปิดร่างกายโดยสวมใส่เสื้อคลุม และสวมเสื้ออย่างมิดชิดเรียบร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วบรรดาหญิงสาวนั้นจะไม่สมควรยิ่งกว่าดอกหรือ - การคลุมฮิญาบถือเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า ความว่า “และเมื่อพวกเจ้าขอสิ่ง หนึ่งสิ่งใดจากพวกนาง ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวก นาง” (อัลอะฮฺซาบ : 53) พระองค์ได้ทรงอธิบายให้เห็นถึงลักษณะของ ฮิญาบว่า มันคือความบริสุทธิ์ในจิตใจของบรรดามุอฺมินและบรรดามุสลิมะฮฺ เพราะว่าสายตานั้น หากไม่ได้เห็นรูปโฉมแล้ว จิตใจก็ไม่เกิดกิเลสตัณหา แต่ถ้าหากสายตาได้เห็นเมื่อไร ก็จะเกิดกิเลสตัณหาขึ้นในจิตใจ จากจุดนี้เอง การไม่ใช้สายตาในภาวะเช่นนั้นจึงเป็นความบริสุทธิ์ที่สุด และการคลุมฮิญาบนั้นจะขจัดความละโมบของจิตใจด้วย พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ความ ว่า “หากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮฺ) ก็ไม่ควรพูดจาให้ไพเราะเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ” (อัลอะฮฺซาบ : 32) การ คลุมฮิญาบคือการปกปิด ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺตะอาลานั้น ทรงเป็นผู้ที่มีความละอายเป็นอย่างยิ่ง และพระองค์ชอบที่จะให้มีความละอายและการปกปิด” และท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้กล่าวไว้อีกว่า “สตรีใดที่ไม่ปกปิดเรือนร่างเมื่อนางออกนอกบ้านของนาง อัลลอฮฺ อัซซะวะญั้ล ก็ได้ทรงยุติการคุ้มครองปกป้องของพระองค์ที่มีต่อนางแล้ว” การตอบแทนนั้นขึ้นอยู่กับผลงาน - การคลุมฮิญาบชี้ถึงการมีความยำเกรง อัล ลอฮฺตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า “ลูกหลานอาดัมเอ๋ย แท้จริงเราได้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดสิ่งอันน่าละอายของพวกเจ้า และเครื่องนุ่มห่มที่ให้ความสวยงาม และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั้นคือสิ่งที่ดียิ่ง” (อัลอะอฺร้อฟ : 26) แปล โดย มุสตอฟา ยีมะเฟือง http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/426 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 06:35:19

ความคิดเห็นที่ 5 คคหที่ 1 ก็เป็นเหตุผลนึงครับที่มุสลิมะห์ (สตรีุมุสลิม) สมควรคลุมผมให้เรียบร้อยเลยล่ะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 06:36:57

ความคิดเห็นที่ 6 ญ มุสลิม แถวบ้านก็ไม่ค่อยมีใครคลุมแล้วนะครับ บ้างคนแต่งตัวจนผม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็น มุสลิม บ้างครั้งก็อยากให้ ประเพณี การแต่งตัวของ ญ มุสลิม มาใช้กับวัยรุ่นสมัยนี้บ้างเหมือนกัน เพราะบ้างที เขาวัดเข้าวา สายเดียวกระโปรงสั้น เห็นแล้วน่า แตะ ชิบเป๋ง จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 08:00:11

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วสตรีมุสลิมที่คลุมทั้งผมและหน้า เหลือแต่ตานั้น มีข้อกำหนดอย่างไรครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 08:25:39

ความคิดเห็นที่ 8 เราเคยไปแถบทะเลทราย ของ ยูเออี และ ดูไบ มาแล้ว และได้เคยเจอกับพายุทรายมาแล้ว ถึงได้รู้ว่า.............. ชุดคลุมหน้า คลุมตัว ของชาวมุสลิม ของทั้งหญิงและชายนั้น มีประโยชน์มากจริง ๆ สวัสดี แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 53 09:20:05 จากคุณ : kongsilp2000 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 09:18:54

ความคิดเห็นที่ 9 คห. 6 ครับ เมืองไทย คงจะเป็น เมืองร้อน น่ะครับ .............. ขนาดไป วัด ก็ยัง ต้องใส่ ชุด แบบที่ท่านว่า มาน่ะ..... ชุด ดัง กล่าว ดับ ร้อนของผู้สวมใส่ครับ .... แต่ ดันไป เพิ่ม ความร้อน (ภายใน)  ให้กับ ผู้ใกล้ชิด และ ผู้มอง ที่เป็น เพศ ตรง ข้าม กับ ผู้ใส่ น่ะครับ   :-) จากคุณ : trialuck เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 11:33:32

ความคิดเห็นที่ 10 # 5 อิอิอิ จากคุณ : มอสคุงอะครับ เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 13:27:26

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ   : trialuck ไม่ใช้ว่าผมมองแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ หรอกนะครับ แต่มองแล้วเกิดความรู้สึกที่หดหู่มากกว่า สงสัยอายุคงมากขึ้นจนความคิดเริ่มเปลี่ยนไปอีกแล้วสินะ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 18:43:28

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วน ผ้าคลุมหน้าหรือปิดหน้า เรียกว่า นิกอบนั้น ก็ลองอ่านบทความนี้นะครับ นิกอบ คือ มุซตะฮับ คำว่า “มุซตะฮับ” มีความหมายว่า “การแสวงหาความรัก (จากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา) ในฮะดีษกุดซีย์ได้ให้คำบรรยายเกี่ยวกับหนทางในการแสวงหาความรักจากพระองค์ ไว้อย่างสมบูรณ์ว่า อบู ฮูร็อยเราะ รายงานว่าท่านศาสนทูตกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงตรัสว่า บ่าวของข้าจะไม่ได้ใกล้ชิดข้าโดยการที่เขาทำในสิ่งที่เขาปรารถนาต่อฉัน มากกว่าการงานที่ดีที่ข้าได้บัญชาแก่เขา และบ่าวของข้าหมั่นใกล้ชิดข้าด้วยการงานที่ประเสริฐ (กว่าที่ข้าสั่งใช้) ข้าจะรักเขา” (ศอเฮี้ยฮฺบุคอรีย์) การงานของเราที่กระทำเพื่ออัล ลอฮฺด้วยความเชื่อฟังต่อสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่เรา (ฟัรดู) จะทำให้เรานั้นใกล้ชิดพระองค์มากกว่า (การที่เราทำในสิ่งที่พระองค์มิได้สั่งใช้) และการกระทำที่มีความดีงามมากกว่าที่พระองค์ทรงบัญชา อาจเป็นเหตุให้เราได้ใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น อินชาอัลลอฮฺ เป็น ที่ชัดแจ้งว่า “ฮิญาบ” นั้นเป็นคำสั่งใช้จากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดังนั้นพี่น้องสตรีมุสลิมะฮฺย่อมได้ใกล้ชิดพระองค์โดยการสวมใส่ “ฮิญาบ” และเป็นที่ชัดแจ้งอีกเช่นกันว่า การกระทำในสิ่งที่มากกว่า (มีความดีงามกว่า) ที่พระองค์ทรงสั่งใช้ ย่อมเป็นหนทางที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺมากยิ่งขึ้น (อินชาอัลลอฮฺ) เมื่อ มุสลิมะฮฺได้สวมใส่อาภรณ์เพื่อปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ และหากเธอมีความต้องการที่จะกระทำในสิ่งที่มากกว่านั้น (มีความดีงามมากกว่า) เพื่อเป็นการแสวงหาความรักจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาแล้ว – ก็ยังมีบางส่วนของร่างกายที่ยังมิได้ปกปิด นั้นคือ “ใบหน้าของเธอ” และ “ฝ่ามือของเธอ” ถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลอื่นใด สำหรับการสวมใส่ “นิกอบ” แน่นอนว่าเหตุผลที่เรามีอยู่ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นการสวมใส่นิกอบ หรือ ถุงมือ จะถูกกล่าวหาว่าเป็นการกระทำ “สุดโต่ง” ได้อย่างไร ในเมื่อ “ใบหน้า” และ “ฝ่ามือ” เป็นเพียงส่วนแรกที่มุสลิมะฮฺได้เปิดเผยต่อสาธารณะในการเริ่มต้นเท่านั้น อ่าน ต่อได้ที่ http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/569 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 21:34:19

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณคุณ Carroth ครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 21:59:59

ความคิดเห็นที่ 14 ลองคิดกันดูอย่างเป็นกลางซิว่า หากผู้หญิงที่ออกนอกบ้านต้องคลุมฮิยาบ ปกปิดมิิดชิด จะเกิดผลดีอะไรบ้าง ผลเสียอะไรบ้างต่อตัวเธอเอง และสังคมโดยรวม ลองแสดงความเห็นดูมั๊ยครับ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 22:24:18

ความคิดเห็นที่ 15 คห. 6  .....สายเดียวกระโปรงสั้น เห็นแล้วน่า "แตะ" ชิบเป๋ง แตะสินะคะ แตะสินะคะ *0* ************************ เห็นต่างกับคห.6 หน่อยนคะ มุสลิมแถวบ้านเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน คลุมผมกันน้อยค่ะ แต่พอศึกษากันมากขึ้น ก็คลุมผมกันเยอะขึ้นมากๆเลยล่ะค่ะ จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 11:47:22

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนตัวผมนะ เวลาดูข่าวอาชญากรรมในประเทศไทย ผมยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่คลุมฮิญาบ โดนข่มขืน จากคุณ : Esma Man Armin เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 20:18:42

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ Esma Man Armin คุณคงไม่เคยทราบข่าวคราวเลยหรือครับว่า การข่มขืนไม่ได้อยู่ที่ ผู้หญิงแต่งกายอย่างไร  แต่อยู่ที่ผู้ชายจะ มีจริยาธรรมอย่างไร?   การคลุม ฮิญาบไม่ได้ป้องกัน อาชญากรรมทางเพศเลยครับ  ถ้าหญิงสาวแต่งกาย สายเดี่ยวหรือไม่มีสาย  ถ้าผู้ชายมองดูแล้วห้ามความรู้สึกไม่ได้   ไม่สำรวม เกิด ความตื่นเต้นขึ้นมา จะไปโทษผู้หญิงไม่ได้หรอกครับ ในซาอุดิอารเบีย ผู้หญิงถูก ข่มขืน แต่ผุ้หญิง กลีบถูกลงโทษ ที่ ตัวเองเป็นเหตุให้ถูก ข่มขืน   อ่านดูข่าว ต่างประเทศดูบ้างแล้วจะเข้าใจ http://cbs2chicago.com/national/saudi.arabia.rape.2.612299.html Report: Saudi King Pardons Rape Victim CBS News Interactive: The Fundamentals Of IslamRIYADH, Saudi Arabia (CBS) ―  Click to enlarge1 of 1 Saudi Arabia law requires strict segregation of the sexes. (File) AP Related StoriesSaudis Defend Rape Victim's Jail Sentence (11/22/2007) Saudi Rape Victim Gets 200 Lashes (11/16/2007) Related LinksCBS News Interactive: The Fundamentals Of Islam Saudi Arabia's King Abdullah has pardoned a female rape victim who had been sentenced to 200 lashes for being alone with a man at the time of the attack who was not related to her, a Saudi newspaper reported Monday. The case had sparked international outcry. In a rare criticism of its Mideast ally, the White House had expressed its "astonishment" over the woman's sentence. Canada called it barbaric. Saudi Justice Minister Abdullah bin Mohammed al-Sheik told al-Jazirah newspaper that the pardon does not mean the king doubted the country's judges, but instead acted in the "interests of the people." "The king always looks into alleviating the suffering of the citizens when he becomes sure that these verdicts will leave psychological effects on the convicted people, though he is convinced and sure that the verdicts were fair," al-Jazirah quoted al-Sheik as saying. The victim in the case, known only as the "Girl of Qatif" after her hometown in eastern Saudi Arabia, was in a car with a high school friend in 2006 when they were attacked and raped by seven men. She initially was sentenced in November 2006 to several months in prison and 90 lashes for being alone in a car with a man with whom she was neither related nor married, a violation of the kingdom's strict segregation of the sexes. The woman, who was 19 at the time of the rape, has said she met the man to retrieve a picture of herself from him because she had recently married. The court more than doubled the sentence last month to 200 lashes and six months prison in response to her appeal. In defending the appeal verdict, the Saudi Ministry of Justice issued a statement implying the victim's sentence was increased because she spoke out to the press. "For whoever has an objection on verdicts issued, the system allows an appeal without resorting to the media," said the statement, which was carried on the official Saudi Press Agency. President Bush expressed anger at the sentence earlier this month, saying he wondered how he would react if it had been one of his daughters. But he said he had not made his views known directly to the Saudi king, a U.S. ally. The Justice Ministry has defended the sentence, saying the girl was having an illicit affair with the man. Al-Sheik told al-Jazirah newspaper Monday that the king was the only official who could issue a pardon, and he did so despite the government's view that the Saudi legal system was "honest" and "fair." "The king's order consolidates and confirms what is known about the Islamic courts," said al-Sheik. "Efficient judges look into different cases and issue their just verdicts and those convicted have the right to appeal." The seven men who were convicted of raping both the girl and the man were initially sentenced to jail terms from 10 months to five years. Their sentences were increased to between two and nine years after the appeal. แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 13:40:30 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:37:54

ความคิดเห็นที่ 18 การแต่งกายของหญิงอรับที่ถูกข่มขืนหมู่ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:42:02

ความคิดเห็นที่ 19 มุสลิมดอทคอม : แคนาดาเตรียมผุดกฎหมายห้ามคลุมหน้าในสถานที่ราชการ สำนักข่าวมุสลิมไทย    แคนาดาเตรียมผุดกฎหมายห้ามคลุมหน้าในสถานที่ราชการ     มอนทรีออล, แคนาดา – หนังสือพิมพ์ เดอะโกลบ และ เมล์ รายงานข่าวอ้างคำพูดของ Dimitri Soudas โฆษกนายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่า มีการเสนอร่างกฎหมายห้ามการคลุมหน้าในสถานที่ราชการ โดย ส.ส.พรรคลิเบอรัล Kathleen Weil ได้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวในระหว่างการประชุมสภาปกครองเมืองควีเบค เมื่อวันพุธที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา การแต่งกายของหญิงอรับในแคนาดา จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:46:05

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับพี่แมทท์ สำหรับความรู้ใหม่ จากคุณ : Esma Man Armin เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:08:43

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ว่า ฮิญาบจะมีความสำคัญทางศาสนาอิสลามหรือไม่ ก็ ตาม  เมื่อ ดูรูป "สาวอรับที่สวมฮิญาบ" จากรูปข้างล่างนี้แล้ว จะเข้าใจว่า  เพราะเหตุไร, อิสลามจึงมีบัญญัติบังคับ มุสลิมชายให้ลดสายตาลงต่ำ ไม่ให้สบตาหรือจ้อง สายตากับหญิงทุกๆศาสนา และให้ควบคุมอารมณ์ และ สำรวมตัว ควบคุมของสงวนของตนเองไว้ (อัลกุรอาน 24:30) จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ(*1*) และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา(*2*) นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา(*3*) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ   (1)  คือให้ระงับการมองหญิงแปลกหน้าที่ไม่เป็นมะห์รอม (2) คือรักษาทวารของพวกเขาให้พ้นจากการทำซินา   และเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย    แต่ชายมุสลิมส่วนมากไม่สนใจใน บัญญัตินี้มากนัก  เพราะ แทนที่จะบังคับใจตัวเอง และบังคับ "ทวารของพวกเขา" ให้พ้นจากการทำซินา (การประพฤติผิดในกาม) ตามบัญญัติของพระเจ้า แต่กลับไปบังคับฝ่ายหญิงอย่างเคร่งครัด ในเรื่อง สวม ฮิญาบ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:35:13

ความคิดเห็นที่ 22 "จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ(*1*) และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา(*2*) นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา(*3*) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ" จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:53:48

ความคิดเห็นที่ 23 ตามแนวทางของ อิสลาม มนุษย์จะต้องอยู่ในสภาพเศรษฐกืจที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ เครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องประดับใดๆก็ตามไม่สำคัญเท่ากับ การมีศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างจริงใจไม่ใช่จาก ความกลัวพระเจ้าจะลงโทษ แต่ด้วยการเชื่อฟังตามแนวทางของพระองค์ มีเสื้อผ้าแค่ปกปิด ความอาย(ของลับของมนุษย์ หญิง หรือ ชาย) ก็เพียงพอ แล้วถ้าอยู่ในสถานะที่ขัดสนยากแค้น (ก็สามารถจะเป็นมุสลิมได้)  ความหมายที่ถูกต้องของ อัลกุรอาน ซูเราะห์   อัลอะอฺร้อฟ  อายะที่ 26  ที่ถูกต้องคือ การทำความดีตามแนวทางของพระเจ้าไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดๆก็ตาม, เปรียบเสมือน เป็นเครื่องนุ่งห่มทางจิตใจให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย, ไม่เกี่ยวกับการสวมฮิญาบหรือไม่สวมฮิญาบหรือความเกรงกลัวพระเจ้าเนื่องด้วยการแต่งกายแต่อย่างใด  ถ้ามีความยากจนแร้นแค้นจริงๆแล้ว ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับการปฏิบัติตามแนวทางของพระเจ้าเท่านั้น ที่จะทำให้พระองค์ทรงโปรดปราณได้ (อัลฟาติหะ) อัลกุรอาน ซูเราะห์   อัลอะอฺร้อฟ  อายะที่ 26  บัญญัติว่า " O Children of Adam! We have bestowed raiment upon you to cover yourselves (screen your private parts, etc.) and as an adornment, and the raiment of righteousness,  that is better. Such are among the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of God, that they may remember (i.e. leave falsehood and follow truth )"(อัลอะอฺร้อฟ : 26)       อัลลอฮ์ ทรงสร้างมนุษย์มาด้วยเรื่อยร่างอันเปลือยเปล่า และโดดเดี่ยว (อัล-อันอาม : 94).    จิตวิญญาณในเรื่อนร่างที่เปลือยเปล่ายังบริสุทธิปราศจากความอับอาย  เนื่องจากไม่มีความชั่ว, ความ โสมมในจิตใจ        หลังจากสัมผัสต่อความชั่ว การปกคลุมร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็น,  แต่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ดีที่สุด คือความมีศรัทธาต่อพระเจ้าและประพฤติตนให้อยู่ในจริยาธรรมตามแนวทางของพระเจ้า(the raiment of righteousness)   ซึ่งจะปกปิดจิตใจจาก ความชั่วช้าและจะประดับเชิดชูมนุษย์ให้บริสุทธิ์และดี เลิศ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 16:11:39 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:05:59

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่่ว่าจะอย่างไร การคลุมศรีษะเป็นบัญญัติ และเป็นสิ่งที่มุสลิม ต้องทำ ครับ อ่อ เสริมอีกนิด 7:26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม(*1*)ทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม(*2*) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง(*3*)นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง(*4*)นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก   หากการทำดีตามแนวทางของอัลลอฮฺ หรือการทำตามบรรดาโองการของอัลลอฮฺนั้นเป็นเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงแล้วไซร้ แน่นอน การคลุมศรีษะ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาโองการ ของอัลลอฮฺครับ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการศรัทธา ไม่ใช่ไม่เกี่ยว แน่นอนครับว่า ถ้าไม่สามารถหาผ้าคลุมผมได้เนื่องจากความยากจน หรือไม่มีความสามารถจะหาได้เลย หรือเกินความสามารถของตัวเอง อัลลอฮฺก็คือผู้ทรงเมตตานะครับ อัลกุรอานระบุว่า «لاَ يُكَلِّفُ اللهُ نَفْساً إِلاَّ وُسْعَهَا» (البقرة : 286 ) ความว่า "อัลลอฮฺไม่ทรงบังคับใช้ต่อผู้ใด เว้นแต่เท่าที่เขาสามารถแบกรับได้" (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 286) แต่ต้องไม่ใช่ความมักง่าย หรือบอกว่า ไม่คลุมศรีษะก็ได้ เพราะไม่ว่างอย่างไร มุสลิมมะฮฺต้องคลุมศรีษะครับ ซึ่งการจะปฏิบัติหลักศาสนานั้น ไม่เกี่ยวกับว่า จะเกิดจากความเกรงกลัวอัลลอฮฺ หรือต้องการทำแบบนั้น นั่นก็ถือเป็นศรัทธาหนึ่งครับ เพราะอัลลอฮฺทรงสั่งเองให้ เกรงกลัวต่อพระองค์ การอ้างว่า การทำจากความเกรงกลัวการลงโทษจากอัลลอฮฺ ไม่ใช่ศรัทธาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่อิสลามครับ เพราะอัลลอฮฺทรงตรัสเองว่า 5:4. เขาเหล่านั้นจะถามเจ้าว่า มีอะไรบ้างที่ถูกอนุมัติแก่พวกเขา จงกล่าวเถิด ที่ถูกอนุมัติแพวกเจ้านั้นคือสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย(*1*) และบรรดาสัตว์สำหรับล่าเนื้อที่พวกเจ้าฝึกสอนมัน(*2*) พวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่มันจับมาให้แก่พวกเจ้า(*4*) และจงกล่าวพระนามของอัลลอฮ์บนมันเสียก่อน(*5*) และจงกลัวเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน นี่เป็นคำสั่งของอัลลอฮฺเอง ให้มนุษย์เกรงกลัวพระองค์ และยังบอกอีกว่า "...แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน..." หรือ โองการนี้ 3:130. โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่ากินดอกเบี้ยหลายเท่าที่ถูกทบทวี และพวกเขาพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ(*1*) และติดๆ กัน 3:131. และพวกเจ้าจงเกรงกลัวไฟนรกที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเถิด แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 17:43:05 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:42:09

ความคิดเห็นที่ 25 จะเห็นได้ว่า อัลลอฮฺ ได้สั่งใช้ทั้งสองอย่างครับ ทั้งลดสายตา และไ่ม่แต่งกายล่อแหลม สิ่งเหล่านี้ป้องกันซึ่งกัน และกันอยู่แล้วครับ และเหมือนเดิมครับ ถ้าสงสัยในอิสลาม ให้พึงถามจากมุสลิมครับ เพราะคนโกหก อย่างไรก็ย่อมโกหก กุรอ่านบอกผู้ศรัทธา ทั้งให้เกรงกลัวอัลลอฮฺ และเกรงกลัวไฟนรก นี่คือศรัทธาครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:46:10

ความคิดเห็นที่ 26 อ่อ ถ้าสงสัยสิ่งใด เชิญทุกท่าน ไปอ่านกระทู้นี้ครับ มีการจับโกหกขนานใหญ่เกิดขึ้น ในเรื่องการคลุมฮิญาบ ของ login แมทท์ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html จะได้เห็นทั้งความหยาบคาย ความไม่รู้ และการโกหกของ login นี้ เช่นเดิมครับ แล้วเราจะทราบว่า การปั้นแต่งคำูพูดให้ดูดี การสร้างภาพว่าตัวเองอยู่เมืองนอก การจินตนาการว่าตัวเองเ็ป็นหมอ มีพ่อพูดได้หลายภาษา ไม่ได้ช่วยให้ login นี้มีความรู้ หรือมีสาระแต่อย่างใด เพราะถ้าอ่านก็จะพบว่า 5-6 ปีที่แล้วโกหกอย่างไร ปัจจุบัน ก็ยังคงนิมยมโกหกอยู่เช่นเดิม แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 17:53:55 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:48:32

ความคิดเห็นที่ 27 แครอทโกหกอีกแล้ว  แต่ พอเขาจับโกหกได้ก็โมโห ตามเคย  คุณนี่น่าจะพิจารณาตัวคุณบ้าง เดี๋ยวก็ต้องไปรบกวนท่านผู้รู้มาสนทนากับผมอีก    ไปศึกษาอิสลามที่ลิ้งค์ข้างล่างนี่ดูแล้วจะได้ฉลาดขึ้น และจะได้รู้ว่า ความเชื่อของคุณนั้นมันสับสนแค่ไหน?   มีทั้งของที่เชื่อว่าจริง และ ของที่รู้ว่าปลอมแต่ก็นำมาใช้อ้างอิงในหลักศาสนาของพระเจ้าได้ ไปศึกษาดูให้ดี   http://www.muslimthai.com/mnet/content.php?bNo=42&qNo=2381&kword     ลอกอะไรมาแปะโดยปราศจากความเข้าใจ นั้น ทำให้เสียชือศาสนาอิสลามหมด ผมว่าคุณไม่มีเจตนาจะโกหกหรอก  แต่ เพราะว่า คุณไม่เข้าใจต่างหาก      ไปอ่านกระทู้ที่ผมเขียน และที่คุณ เก็บไว้เหล่านั้น  เสียใหม่ทุกๆกระทู้, แล้ว คุณจะเรียนรู้ อิสลามที่ถูกต้องบ้าง  ผมปล่อยให้คุณ ตัดแปะมาโกหก นานแล้ว คราวนี้อยากจะให้คุณใช้สมองตัวเองบ้าง   Wisdom ที่อัลกุรอานให้กับคุณนั้น อยู่ในอายะที่คุณไม่เข้าใจ ข้างล่างนี้ คำแปลภาษาอังกฤษนั้นก็แปลโดย ผู้ที่คุณยกย่อง คือ Dr. Muhammad Taqi-ud-Din Al-Hilali Ph.D. & Dr. Muhammad Muhsin Khan   ผมใช้ ซอเฮี๊ยะฮาดีษของ Dr. Muhammad Muhsin Khan นำมาคุยกับคุณไง ไม่ใช่จาก เวบโจมตีอิสลามอย่างที่คุณโกหกสมาชิกทั้งหลายไว้ ผมเอาฮาดีษมาจากผู้ซึ่งคุณนับถือไงครับ อัลกุรอาน ซูเราะห์   อัลอะอฺร้อฟ  อายะที่ 26  บัญญัติว่า " O Children of Adam! We have bestowed raiment upon you to cover yourselves (screen your private parts, etc.) and as an adornment, and the raiment of righteousness,  that is better. Such are among the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of God, that they may remember (i.e. leave falsehood and follow truth )"(อัลอะอฺร้อฟ : 26)      อัลลอฮ์ ทรงสร้างมนุษย์มาด้วยเรื่อนร่างอันเปลือยเปล่า และโดดเดี่ยว (อัล-อันอาม : 94).    จิตวิญญาณในเรื่อนร่างที่เปลือยเปล่ายังบริสุทธิและปราศจากความอับอาย  เนื่องจากไม่มีความชั่ว, ความ โสมมในจิตใจ       หลังจากสัมผัสต่อความชั่ว การปกคลุมร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็น, แต่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ดีที่สุด คือความมีศรัทธาต่อพระเจ้าและประพฤติตนให้อยู่ในจริยาธรรมตามแนวทางของพระเจ้า(the raiment of righteousness)   ซึ่งจะปกปิดจิตใจจาก ความชั่วช้าและเป็นเครื่องประดับ ที่เชิดชูมนุษย์ให้บริสุทธิ์และดี เลิศ  อ่านแล้วเข้าใจไหม?    คือว่า ถึงแม้แต่ว่าคุณแครอทนุ่งผ้าและสวม ฮิญาบอยู่อย่างถูกต้อง สวยงาม เหมือน ชาวอรับทะเลทราย เปี๊ยบเลย  แต่ คุณกลับ ทำ ชิริก โดยยกสิ่งอื่นใดมาเทียบเคียงพระเจ้า ก็เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของคุณยังแก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ ไม่มีอะไรมาปกปิดป้องกันความชั่วต่อจิตใจของคุณ   เอาละผมเข้ามาแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักการอิสลาม,  จากการอธิบาย ที่เหมาว่า "การคลุมฮิญาบชี้ถึงการมีความยำเกรง"  ต่อพระเจ้า    คุณแครอทลองนึกถึง "ชาวมุสลิมะเอสกิโม" ซิว่า มุสลิมะเอสกิโม จะต้อง หา ฮิญาบมาใส่ทำไมในเมื่อ แต่งตัวเกินกว่าที่ท่านผู้รู้ตั้งกฏไว้   "มุสลิมะเอสกิโม"  เหล่านั้น ไม่มีความยำเกรงต่อพระเจ้ากระนั้นหรือ? .....................    อ้อ..เลิกจินตนาการกับอาชีพและความรู้ผมเสียทีครับ  คุณจะจินตนาการอย่างไรก็ไม่มีทางถุกต้องหรอกครับ เนื่องจากว่าผมไม่ได้คิดเป็นอะไรอย่างที่คุณคิดเลย  การอยู่ต่างประเทศหรือศึกษาในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรือ เลยครับ คุณน่าจะรู้ดีว่าสมัยนี้  ไม่มีความยากลำบากในการ คมนาคม     ทำไมผมจึงเลือกคุณแครอท เป็นคู่สนทนาที่ถูกใจผมมากที่สุด?    ผมมีหน้าที่อย่างเดียวคือ ผู้ชี้แจงประจำตัวคุณแครอทให้คุณเข้าใจ อิสลามให้ถูกต้อง และ เลิกเป็นนักเลงประจำ บอร์ดเสียที่  ถ้าต้องการจะเป็นผู้รู้ทางศาสนาแล้วต้องสุขุมหน่อยครับ..อย่าทำตัวเป็นเด็กถือหนังสือ หรือ ส่งข่าวสาร ซิครับ เที่ยวนี้จะเชิญใครมาอธิบายอัลกุรอานอายะนี้ให้ผมเข้าใจอีก ผมอาจจะไม่คุยกับคุณนานนะครับ เพราะผมได้แสดงความคิดเห็นเพียงพอที่จะใหเคณเข้าใจได้แล้ว แต่อาจจะเข้ามาดูว่าคุณจะโกหกเรื่องอะไรต่อไป อีกประการหนึ่ง การแสดงความเห็นในเวบเช่นนี้ มีเรื่องที่ไม่มีสาระอยู่อย่างมาก นอกเสียจากว่า คุณคแรอทจะ อ่านให้เข้าใจโดยปราศจากอคติจึงจะมีประโยชน์บ้าง   เผอิญไปอ่านพบเข้า เป็นความคิดคล้ายๆ กัน เลยนำมาลงให้คุณอ่านดุ   Let it be known to the unwary, and to those gullible enough to swallow this type of BALONEY, that there is NO such thing as "Islamic" dress.   Our Nabi (S) did NOT say at any time that we must wear exactly as he did.  He placed NO emphasis whatsoever on the form of clothes we put on.    What logic is there in insisting that all Muslims should wear that long maxi kurta?    If an Eskimo Muslim in Alaska or a Muslim in Siberia wore that Tableeghi kurta, he would freeze to death. แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 10:33:54 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 00:34:29

ความคิดเห็นที่ 28 มีเพื่อนเคยถามว่าที่บ้านเคร่งเหรอ (เพื่อนเป็นอิสลามนะแต่ไม่คลุม) เอ่อ..มันไม่ใช่เคร่งไม่เคร่งนะ มันเป็นสิ่งที่มุสลิมะฮทุกคนต้องกระทำ เป็นบทบัญญัติที่ให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ จำได้ว่าครูเคยบอกว่า ถ้ามุสลิมะฮเปิดเส้นผมให้ชายอื่นเห็นก็จะไม่ได้กลิ่นอายของสวรรค์ ก็คือไม่ได้เข้าสวรรค์นั้นแหละ ปล.สรุปก็คือจำเป็นแหละค่ะ จากคุณ : L.H.E.A. เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 09:54:43

ความคิดเห็นที่ 29 สำหรับท่านสมาชิกที่สนใจในเรื่อง ฮิญาบ หรือผ้าคลุมผมของ สตรีมุสลิมนั้น  ผมขอแนะนำ ลิ้งค์ส  ต่อไปนี้ให้ท่านลองไปศึกษา เวบเหล่านี้ ไม่ใช่ เวบทำลายอิสลาม  แต่เป็นเวบที่  อธิบายให้มุสลิมเข้าใจอิสลามให้ถูกต้อง ตามหลักการที่แท้จริงของอิสลาม อ่านลิ้งค์นี้ก่อน  เข้าใจได้ง่าย http://www.irfi.org/articles/articles_151_200/what_is_the_islamic_dress.htm WHAT IS THE ISLAMIC DRESS? By the Editor AL-BALAAGH PO BOX 1925, LENASIA 1820, SOUTH AFRICA """"""""""""""" DISCLAIMER: THE IDEAS AND OPINIONS EXPRESSED IN THESE ARTICLES ARE THOSE OF THE AUTHORS ALONE, AND DO NOT NECESSARILY REPRESENT THE ISLAMIC RESEARCH FOUNDATION INTERNATIONAL, INC., ITS BOARD OF TRUSTEES, EXECUTIVE COMMITTEE MEMBERS, EMPLOYEES, OR VOLUNTEERS ..................... http://www.irfi.org/articles/articles_1_50/issues__hijab.htm Women in Islam: Hijab เรื่องของหญิงมุสลิม กับ ฮิญาบ Is Hijab Compusory? ฮิญาบเป็นข้อบัญญัติ (ข้อบังคับ) ของอิสลามหรือไม่? โดย  Ibrahim B. Syed, Ph. D. President Islamic Research Foundation International, Inc. 7102 W. Shefford Lane, Louisville, KY 40242-6462, USA จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:25:44

ความคิดเห็นที่ 30 เอาล่ะ ผมโกหกตรงไหนก็บอกมาด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่กล่าวหาพล่อยๆ ใส่ผมเหมือนที่คุณเคยกล่าวหาพล่อยๆ ใส่ผู้อื่น เว็บเหล่านั้นเป็นเว้บที่ผมเข้าประจำครับ ดังนั้น ถ้าจะอ้างว่าผมโกหกเนี่ย ก็รบกวน ไปเอามาหน่อยสิครับว่าผมโกหกตรงไหน ผมบอกแล้วไงการโกหกน่ะมันต้องแบบนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:30:33

ความคิดเห็นที่ 31 แบบนี้ต่างหากล่ะครับ ที่เรียกว่า โกหก จำไว้นะครับ ถ้าคุณไม่ได้รับการอบรมหรือสั่งสอนมา ผมจะอบรมคุณเองว่า การโกหกมันคืออะไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:32:08

ความคิดเห็นที่ 32 ตั้งแต่คุณบอกว่าผมโกหก ผมก็ยังไม่พบหลักฐาน สนับสนุน อะไรเลยที่ว่าผมโกหก นอกจาก คำพูดพล่อยๆ คำกล่าวหาลอยๆ ของคุณเองนะครับ login แมทท์ หรือนี่คือ ลักษณะประจำตัวของ login แมทท์ ที่ไม่รู้ว่าอะไรจริง หรืออะไรโกหก เรื่อง การไม่ยอมความคิดเห็นของผู้อื่นก็เหมือนกัน ไม่ทราบว่า อ่านความเห็นดีหรือยัง หรืออยากจะพิมพ์อะไรก็สักแต่ว่าพิมพ์ไม่ได้ดูเหนือดูใต้อะไรเลย ผมจะเอามาให้อ่านอีกทีนะครับ จะได้ไม่โง่ 7:26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม(*1*)ทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม(*2*) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง(*3*)นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง(*4*)นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก หาก การทำดีตามแนวทางของอัลลอฮฺ หรือการทำตามบรรดาโองการของอัลลอฮฺนั้นเป็นเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง แล้วไซร้ แน่นอน การคลุมศรีษะ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาโองการ ของอัลลอฮฺครับ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการศรัทธา ไม่ใช่ไม่เกี่ยว อ่านซะหลายๆ รอบ อ่านให้ดีดี แล้วพิจารณาดูซิว่า ผมปฏิเสธโองการเหล่านี้ หรืออธิบายให้คน โง่ๆ อย่าง login แมทท์ และคนทั่วไปได้รู้ว่า เครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั้น ก็คือฮิญาบครับ และฮิญาบคือคำสั่งของอัลลอฮฺ โดยชัดเจน ทั้งจาก กุรอ่าน และซุนนะห์ ดังนั้น การแสดงความยำเกรง คือการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺครับ ไม่ใช่ มาอ้างว่า นั่นอ้างนี่ แล้วไม่บอกว่ามุสลิมมะห์ไม่ต้องคลุมผม เพราะถ้าไม่ทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺเรื่องคลุมผมแล้ว นอกจากจะเปลือยเปล่า และน่าอับอายทางร่างกายแล้ว ยังเปลือยเปล่าทางจิตใจด้วย อ่ะ เอาไปอ่านอีกทีครับ หลายๆ รอบ ทุกท่านไปอ่านได้เลย ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว ผมขอ เชิญ ทุกท่านไปอ่านดูได้ แล้วจะพบ การโกหก และความโง่เขลาของ login แมทท์ อย่างชัดเจน ในกระทู้เหล่านี้ อันนี้ เฉพาะเรื่องฮิญาบนะครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/10/Y8434646/Y8434646.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/08/Y8235445/Y8235445.html ขอเชิญทุกท่านไปทัศนาได้ครับ ถึงความโกหกหกพกลม และฉ้อฉล น่าละอาย และไร้ยางอายของคนผู้นี้ได้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:43:47

ความคิดเห็นที่ 33 ผมไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงอาชีพหรือการงานของคุณหรอกนะครับ login แมทท์ เพราะมันไม่สามารถปกปิดความโง่เขลาของคุณได้ ผมเพียงแต่อยากให้ทุกคนได้ลองมาอ่านกันว่า คนแบบคุณก็มีอยู่ด้วย พยายามยกหางตัวเองด้วยคำพูด แต่ด้วยคำพูดต่างๆ นั่นล่ะ มันก็แสดงถึงความต่ำช้า และโง่เขลาออกมาอยู่เนืองๆ ทุกคนจะได้เข้าใจว่า คำพูดที่พยายามทำให้ดูดี หรือคำพูดที่พยายามเขียนดูเหมือน จะมีความรู้นั้นมันก็แค่การเอาดอกไม้มาปิดอุจาระ และสิ่งโสโครกเท่านั้น อย่างไร มันก็ไร้สาระ และสกปรกอยู่ดี เอาล่ะ เผื่อ login แมทท์ จะยังสับสน และยังจินตนาการว่า ผมไม่ได้อ่านกระทู้เก่าๆ ที่ผมเก็บไว้ ผมก็จะเอาเรื่องเก่าๆ ที่ login แมทท์ แถ และหนีมาให้ได้อ่านกันเพลิน แล้วกันนะครับ อันนี้เรื่องฮิญาบ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:58:54

ความคิดเห็นที่ 34 นี่ครับคนโกหก และการโกหกใส่กุรอ่าน ทั้งๆที่กระทู้นี้จนแต้มเรื่องฮิญาบมาแล้วยังแอบบอกว่า การแต่งตัวของ ญ ข้างบนถูกหลักศาสนา ไม่ทราบว่าถูกหลักศาสนาอะไรครับ เพราะไม่ใช่อิสลามแหงๆ ทีนี้เข้าใจหรือยังอะไรคือความโกหก จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:59:33

ความคิดเห็นที่ 35 เพราะงั้น คุณจะถูกใจคุยกับใคร มันไม่ได้มีค่าพอให้ผมสนใจหรอกครับนะครับ แต่ถ้าคิดจะอธิบายหลักการอิสลามหรือพยายามบอกว่า จะอธิบายหลักการอิสลาม ที่ถูกต้องเนี่ยนะ ผมจะบอกให้ว่า ประการแรกควรจะ รับผิดชอบคำพูดโกหกของตัวเองให้ได้ซะก่อนดีกว่านะครับ ไม่ใช่แค่พูดพล่อยๆ ว่าจะสอนความเข้าใจที่ถูกต้อง จะอธิบายหลักการอิสลามที่แท้จริง แล้วปรากฎว่า ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย อ้างกุรอ่านทีไรก็มั่วประจำ ตอบผิด ตอบมั่ว โกหกแล้วโกหกอีก แบบนี้น่ะเหรอครับ จะมาอธิบายศาสนา จากที่คุยมา 5-6 ปี และทำการเก็บกระทู้ต่างๆ ไว้ มันก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ที่จะมาประจานความมั่วนิ่มของ login แมทท์ คำพูดต่างๆ ของ login แมทท์นั้น มันก็แค่คำพูดพล่อยๆ ไร้ค่า ถ้า ยังไม่สามารถ รับผิดชอบคำโกหกต่างๆ ของตัวเองได้ เอาแค่เรื่องละหมาด ก็ยัง หนีมา 5-6 ปีแล้ว แค่นี้ใครอ่านเขาก็รู้แล้วล่ะครับว่า คนอย่าง login แมทท์ มันไร้คุณค่าทางวิชาการ อย่างผมเคยบอกหลักการของ login แมทท์มันจอมปลอม login แมทท์แค่อ้างเพื่อจะบิดเบือนอิสลามเท่านั้นเอง ก็ดีครับ โกหก เมื่อไหร่ ก็จะได้ตามมาชี้แจงต่อ เท่าที่พอทำได้ อ่ะยังไม่จบเอาไปอ่านอีกเรื่อง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 13:00:50

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องนี้เรื่องละหมาดนั่นล่ะ เอามาลงซ้ำๆ เพราะ login แมทท์ ยังคงจินตนาการซ้ำๆ ไม่เบื่อซะทีว่า ตัวเอง ตอบคำถามเรื่องละหมาดได้แล้ว แต่เรื่องนี้ ก็ยังคงหนีอยู่ นี่เป็นโองการกุรอ่านครับ ที่ยืนยันชัดเจนว่า การละหมาด 5 เวลานั้น มีมาหลังจากการประทานกุรอ่านมาแล้วระยะเวลานึง มาอ่านดู อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะ ฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " นี่เป็นหลักฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดัง นั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด แล้วแมทท์กลับบอกว่า ละหมาด 5 เวลา เป็นที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว จึงเป็นการโกหกทั้งสิ้นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 13:02:05

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเป็นเพียง คนที่นำคำตอบของ ผู้รู้มาตอบครับ ผมไม่ใช่พวกที่ชอบอ้างว่ารู้ แต่ไม่รู้อะไรสักอย่างแบบ login แมทท์ และเราก็จะเห็นได้ว่า ผู้ที่อ้างว่าเข้าใจกุรอ่านด้วยตัวเองแบบ login แมทท์นั้น กลับ หนี มุสลิม ผู้ที่เพียงแต่เอาคำตอบจากผู้รู้มาตอบ หนแล้วหนเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า หวังดีเหรอครับ อยากให้ผมใช้สมองเหรอครับ แน่นอนครับผมอ่านผมก็ใช้สมองครับ แต่ผมคงไม่อยากใช้สมอง แล้วโง่ หน้าด้าน ไร้ยางอาย แบบ login แมทท์หรอกนะครับ ใช้สมอง แล้ว น่าสมเพช แบบ login แมทท์ ผมคงไม่ไหว ผมรู้สึกว่าคนแบบ login แมทท์ น่าสงสารพอสมควร ได้แต่ติดอยู่กับจินตนาการของตัวเอง พยายามโกหกแม้กระทั่งตัวเอง พยายามหลอกตัวเองว่า ผม โกหก หรือ login แมทท์เอง ตอบเรื่องต่างๆ มาหลายรอบ สุดท้าย พอถามหา หลักฐานยืนยันคำพูดตัวเอง ก็ปรากฎว่า หนีไปทุกที login แมทท์ครับ หัดอ่านบ้างเถอะครับ อ่านให้ละเอียด จะได้รู้ว่าคนอย่างคุณน่ะ มันน่าสมเพชแค่ไหน? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 13:06:37

ความคิดเห็นที่ 38 อันนี้ ฝากไว้ให้อ่านนะครับ อ่านดูดีดีว่า คุณน่ะตอบอะไรไว้บ้าง มั่วอะไรไว้บ้าง พิจารณาซะเถอะ ก่อนจะทำตัวน่าสมเพชมากไปกว่านี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8924179/Y8924179.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8898871/Y8898871.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7896299/Y7896299.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/07/Y8054683/Y8054683.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7858640/Y7858640.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7794379/Y7794379.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7711101/Y7711101.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7806659/Y7806659.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/06/Y7977963/Y7977963.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7541721/Y7541721.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7497398/Y7497398.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7312016/Y7312016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7289891/Y7289891.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7478463/Y7478463.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8607066/Y8607066.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8606149/Y8606149.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/10/Y8451016/Y8451016.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8657211/Y8657211.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8813031/Y8813031.html จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 13:07:38

ความคิดเห็นที่ 39 เนื่องจากการขาดความรู้และความเข้าใจข้อความที่ผมอธิบาย คุณแครอท จึงคิดว่าผมโกหก  เป็นเรื่องที่ผมตั้งใจจะคุยกับผู้รู้ของคุณแครอท  เนื่องจากคุณไม่มีความรู้พอที่จะเข้าใจได้ ...... ความคิดเห็นที่ 30 และ ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าไม่ปฏิบัติตามวิ๔ีมางของพระเจ้า “อัลกุรอาน” มนุษย์ไม่มีสิทธิลงโทษผู้ใด เช่นการประหารโดยการปาด้วยหิน จนตาย ความคิดเห็นที่ 32 คุณแครอทยังไมฉลาดพอที่จะเข้าใจความหมายที่เป็น Core  ของบัญญัที่เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย  ไปอ่าน เวบที่ผมแนะนำและจะเข้าใจดีขึ้น ความคิดเห็นที่ 33 และ ความคิดเห็นที่ 34 “แสดงให้เห็นว่าเป็นมุสลิมะไม่จำเป็นต้องสวมฮิญาบ ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้งนี้เป็นสิทธิของ ผู้หญิงเขา  มุสลิมที่มีความรู้ใน เรื่องนี้ จึง สามารถที่จะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในเรื่องศาสนาได้” ความคิดเห็นที่ 35 และ ความคิดเห็นที่ 36 คุณขาดความเข้าใจและ ตรรกะในการ ถ่ายทอด การปฏิบัติ ทางศาสนกิจ จากรุ่นหนึ่งลงมายังรุ่นหลังๆ ความคิดเห็นที่ 37 “ด้วยเหตุที่คุณนำความรู้ความคิดเห็นของผู้อื่นมาตัดแปะ คุณจึงขาดความเข้าใจ  เรื่องที่เป็น สาระที่ผมเขียน  ด้วยเหตุนี้คุณจึงคิดว่าผม โกหก ทั้งนี้ คุณเชื่อตามผู้ที่ คุณลอกเขามา”   ซึ่ง การทำเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กถือหนังสือ แอบอ่านข้อความในหนังสือนั้นและขาดความเข้าใจ และนำความเข้าใจผิด มาปล่อยเป็นข่าวลือ” ตัวอย่างเช่น “ข้อความในหนังสือที่คุณ ถือมา เขียนว่า  “ห้าม มุสลิมะนอนตากลม  หน้าบ้าน”  แต่คุณแอบอ่านดูไม่เข้าใจ  เอาข่าวนั้นมาบอกชาวบ้านว่า  “เขาห้ามมุสลิมะ  นอน...ตา – กลม (นัยตา  กลม )  หน้าบ้าน”    มันเป็นเสียอย่างนี้คุณเข้าใจไหม?   ความคิดเห็นที่ 38     มันเป็นความคิดที่ดีของคุณที่รวบรวมไว้ศึกษาและเผยแพร่ข้อเขียน ของผมให้ทุกๆท่านทราบ    ผมไม่ได้หวังให้ทุกๆท่านเข้าใจและไปปฏิบัติตาม แต่เมื่อเขาเข้าใจ และคิดได้ ในอนาคต  เขาจะขอบคุณ ที่คุณแครอท รวบรวมไว้ให้เขาได้อ่านกัน  ผมตั้งใจจะคุยรายละเอียดกับผู้รู้ของคุณในทุกๆเรื่องที่คุณไม่เข้าใจ    ในเมื่อคุณแครอท เป็นเพียงผู้นำความรู้ของผู้อื่นมาแปะโดยไม่เข้าใจว่าผิดหรือถูก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคัดค้านความคิดเห็นของผม   คุณไปหาผู้รู้ของคุณมาคุยกับผม ดีกว่า และเป็นความคิดเห็นที่ดี ที่คุณและผมจะได้เข้าใจความรู้ที่ถูกต้องชัดเจน     แต่ คุณแครอทยัง   “แถเหมือนปลาหมอติดแห้งเช่นเดิม”  ไปศึกษามาหรือยังว่า เขาเรียน และ ใช้ ฮาดีษกันอย่างไร  ? น่าปวดหัวไหม? ครูบาอาจราย์ถูกด่ากันเป็นแถว  คุณไปศึกษาและตกลงกันให้เข้าใจเสียก่อน ว่า ควรจะเชื่อ ฮาดีษและนำมาประยุกต์ใช้กันอย่างไร ถ้ายังสับสนอยู่เช่นนัเ  คุณไม่มีทางได้รับความรู้จากที่ใดได้เลย คุณแครอท ไปศึกษาอิสลามที่ลิ้งค์ข้างล่างนี่ดูแล้วจะได้ฉลาดขึ้น และจะได้รู้ว่า ความเชื่อของคุณนั้นมันสับสนแค่ไหน?  มีทั้งของที่เชื่อว่าจริง และ ของที่รู้ว่าปลอมแต่ก็นำมาใช้อ้างอิงในหลักศาสนาของพระเจ้าได้ ไปศึกษาดูให้ดี  (ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมอ่านเวบนี้แล้วคุณๆจะปวดหัวครับโปรดสังเกตุการตอบโต้และการอธิบายของผู้สนทนา) http://www.muslimthai.com/mnet/content.php?bNo=42&qNo=2381&kword  ส่วนเวบที่ผมแนะนำให้เกี่ยวกับ เครื่องแต่งกายของหญิงนั้น  คุณไปหาผู้ที่เข้าใจภาษาอังกฤษ อ่านรายละเอียดให้คุณฟังแล้วคุณจะเข้าใจ   ทีหลังถ้าไม่เข้าใจว่าผู้เขียนเขาอธิบายถูกต้องหรือไม่? แล้ว อย่าไป ตัดแปะลอกเขามา ถ้าอธิบายไม่ได้แล้ว  หน้าตาจะ แยก เช่นนี้   การที่คุณไปตามผู้รู้มาอธิบายแทนคุณนั้น แสดงให้เห็นว่า คุณขาดความเข้าใจ  และเมื่อใช้ มรรยาทที่หยาบคาย ไม่เป็นผลต่อผม  เลยต้องไปตามผู้รู้แท้มาช่วยคุณอธิบาย  คุณคิดไม่ออกหรือ? "Our Nabi (S) (ท่านรอซูลต่างๆรวมทั้งท่านศาสนทูตมูฮัมมัด) did NOT say at any time that we must wear exactly as he did.  He placed NO emphasis whatsoever on the form of clothes we put on."  หวังว่าคุณแครอทคงได้รับแสงสว่างมากขึ้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 18:42:20

ความคิดเห็นที่ 40 แมทท์กำลังพยายามบอกว่า การแต่งกายหญิงที่ปกปิดมาก หรือปกปิดน้อย ไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศของผู้ชายอย่างนั้นใช่ไหมครับ?? คือถ้ายกข่าวอาชญากรรมซาอุฯมาได้สักข่าวหนึ่ง ก็จะรีบสรุปตามตรรกะคุณข้างต้นเลยใช่ไหมครับ?? คุณเรียนหมอมาจริงๆหรือนี่???? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 18:56:55

ความคิดเห็นที่ 41 ในที่สุด ก็แสดงธาตุแท้ออกมา ไม่เสียแรงที่ ลดตัวไปคุย เรามาดูกรณีแรกกันดีกว่า อันนี้ พยายามบิดเบือน คำพูดตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ไม่งั้นก็โกหกใส่กุรอ่านอยู่ดี เพราะ กรณีแรก พิมพ์มาเองอยู่แค่นี้ ไม่ได้มีคำว่ากุรอ่าน หรือ ปาด้วยหินแต่อย่างใด แต่ตั้งใจจะบอกว่า ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถลงโทษผู้อื่นได้ เพราะประโยคแรกบอกไว้แบบนี้ครับ กฏข้อบังคับของศาสนาอิสลามเป็นเรื่องของจริยาธรรมที่ มุ่งหมายการตอบแทนในปรโลกซึ่งถ้าปฏิบัติตามจะ ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติเป็นสมาชิกของสังคมที่ดีและประสพความสุขในปรโลก แล้วจึงค่อยเป็นประโยคนี้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามวิถีทางของพระเจ้า มนุษย์ในโลกนี้ไม่มีสิทธิที่จะลงโทษบุคคลผู้ใด ในโลกนี้ได้ แม้แต่ท่านศาสดามูฮัมมมัดเอง นั่นก็ชัดเจนแล้วล่ะครับว่า คำพูดที่ตัวเองตั้งใจจะสื่อคือ บอกว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิจะลงโทษใคร ถึงแม้คนคนนั้นจะทำผิดหลักศาสนา หรือฝ่าฝืนบัญญัติศาสนาก็ตาม จากประโยคที่ผมขีดเส้นใต้นั่นล่ะครับ เป็นย่อหน้าเดียวกัน เกี่ยวเนื่องกัน เห็นไหมล่ะครับ แม้แต่คำพูดตัวเองก็ยังบิดเบือน เนี่ยแหละน๊าาาา คนโกหก มันก็ย่อมโกหก และบิดเบือนโดยสันดานนั่นแล จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:32:59

ความคิดเห็นที่ 42 ตอนแรกบอกผมโกหก แต่ตอนนี้บอกผมไม่ฉลาดพอ แต่ดันบอกไม่ได้ว่าผมโกหกตอนไหน ไม่ฉลาดพออย่างไร เอางี้ ถ้าบอกมาตรงๆ ว่าไม่มีปัญญารับผิดชอบคำพูดตัวเองผมจะให้อภัยนะครับ เพราะคุณก็มีลักษณะ กลับกลอก ปากพล่อย และโง่เขลาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ผมคงไม่ตื่นเต้นหรอกนะครับ เพราะการที่คุณ โกหกแล้วโกหกเล่า หรือพูดพล่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่จะทำให้ คุณหมดความน่าเชื่อถือหรอกนะ แต่มันน่ารำคาญด้วยครับ ตั้งแต่ต้นกระทู้ กลางกระทู้ และล่าสุด ก็เหมือนเดิม คือโยนภาระให้พ้นตัว ตัวเองหมดปัญญาจะอธิบาย ไม่รู้จะทำยังไงก็ไล่ให้ไปอ่าน นั่นอ่านนี่ ผมบอกแล้วไงครับ ถ้าคนอย่างคุณ เคยตอบคำถามมุสลิมได้อย่างมีศักดิ์ศรี ผมคงทำตามที่คุณว่า แต่นี่ เล่นหนี แบบหมดศักดิ์ศรีมันซะแทบทุกกระทู้ แล้วคำพูดพล่อยๆ ของคุณ ใครเขาจะเชื่อ? เอาล่ะถ้าไม่มีปัญญาอธิบาย ผมจะอธิบายเองก็แล้วกัน เผื่อจะอ่าน 7:26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม(*1*)ทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม(*2*) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง(*3*)นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง(*4*)นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก ผมบอกว่า "หาก การทำดีตามแนวทางของอัลลอฮฺ หรือการทำตามบรรดาโองการของอัลลอฮฺนั้นเป็นเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง แล้วไซร้ แน่นอน การคลุมศรีษะ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาโองการ ของอัลลอฮฺครับ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการศรัทธา ไม่ใช่ไม่เกี่ยว" เครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั้น ก็คือฮิญาบครับ และฮิญาบคือคำสั่งของอัลลอฮฺ โดยชัดเจน ทั้งจาก กุรอ่าน และซุนนะห์ ดังนั้น การแสดงความยำเกรง คือการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺครับ ไม่ใช่ มาอ้างว่า นั่นอ้างนี่ แล้วบอกว่ามุสลิมมะห์ไม่ต้องคลุมผม เพราะถ้าไม่ทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺเรื่องคลุมผมแล้ว นอกจากจะเปลือยเปล่า และน่าอับอายทางร่างกายแล้ว ยังเปลือยเปล่าทางจิตใจด้วย การคลุมฮิญาบก็อย่างหนึ่ง การชิริกก็อย่างหนึ่งครับ ถ้าสมมุติ login แมทท์ สวมฮิญาบหรือนุ่งผ้าถูกต้องตามหลักศาสนา แต่ยังปฏิเสธฮะดีษซอเฮียะห์ ยังไงก็ยังตกศาสนาอยู่ดี แต่การแต่งกายถูกต้องครับ กลับกัน ถ้า login แมทท์แก้ผ้า แต่ไม่ปฏิเสธฮะดีษ แมทท์ก็ทำถูกเรื่องศรัทธา แต่ก็ทำผิดเรื่องการแต่งกาย ต้องรู้จักแยกแยะครับ ไม่ใช่ว่าไม่คลุมฮิญาบก็แต่ทำความดีก็จะถือว่าไม่ผิด เหมือนคน ทำบุญช่วยชาติแต่ฝ่าฝืนกฎจราจร คนคนนั้นก็ไม่ถือว่าทำถูกกฎหมาย หรือโทษของการฝ่าฝืนกฎจราจรจะถูกลืมเลือนไปจากการทำบุญช่วยชาติ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:33:22

ความคิดเห็นที่ 43 ส่วนเรื่อง ความคิดเห็นที่ 35 และ ความคิดเห็นที่ 36 คุณขาดความเข้าใจและ ตรรกะในการ ถ่ายทอด การปฏิบัติ ทางศาสนกิจ จากรุ่นหนึ่งลงมายังรุ่นหลังๆ - มันไม่ใช่ การขาดความเข้าใจเรื่องการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นหรอกครับ แต่ผมเข้าใจอย่างดี และนำผลเสียของข้ออ้างเรื่องการตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาให้ดูอีกด้วย เพราะ การละหมาดนั้น ไม่สามารถตกทอดมาโดยรุ่นสู่รุ่นได้ครับ ยิ่งเรื่องละหมาด 5 เวลา มีมาก่อนท่านนบีมุฮัมมัดจนมาถึงปัจจุบันไม่ขาดตอนนั้น ยิ่งเป็นเรื่องโกหก อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากกุรอ่านบอกเองว่า อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ระบุไว้ในซูเราะ ฮ์ อัลมุซซัมมิล และการวายิบละหมาดครั้งแรกนั้น  ก็ได้ระบุไว้ในช่วงแรกของซูเราะฮ์ดังกล่าว  ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสว่า  "โอ้ผู้ห่มผ้า (หมายถึงนบีมุฮัมมัดซึ่งกำลังห่มผ้า) - 1 - เจ้าจงตื่นกลางคืน(เพื่อทำละหมาด)เถิด  ยกเว้นเพียง(เวลา)เล็กน้อย (เพื่อใช้ในการพักผ่อน) - 2 - (นั่นคือ) ครึ่งคืน  หรือจงลดลงจากนั้นลงมาสักเล็กน้อย - 3 - หรือจงเพิ่งขึ้นกว่านั้นอีก  และเจ้าจงอ่านอัลกุรอานให้ถูกต้องชัดเจน - 4 - " นี่เป็นหลัก ฐานจากกุรอ่านชัดเจนครับว่า จงตื่นขึ้น เพื่อละหมาด ครับ ในเวลาละหมาด ของมุสลิม ที่มี 5 เวลานั้น มีเวลา 1.ซุบฮิ เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นครับ 2.ดุฮริ เวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปจากเวลาเที่ยงตรงแล้ว ซึ่งบางพื้นที่ คือเวลา เที่ยงกว่าๆ หรือบ่ายโมง 3.ฮัศริ คือเวลา บ่ายคล้อย ซึ่งจะเป็นเวลา 3-4 โมงเย็น แล้วแต่พื้นที่ และฤดูกาล 4.มัฆริบ คือเวลา พลบค่ำครับ 5.อิ ชา คือเวลากลางคืน แต่หลังจาก พลบค่ำเล็กน้อย ไม่ใช่กลางดึก หรือเวลาที่ตื่นขึ้นหลังจากนอนไปได้ระยะนึงแล้ว ดัง นั้นคำว่าจงตื่นขึ้นเพื่อละหมาดนั้น จึงไม่ใช่ทั้ง 5 เวลา ที่มุสลิมละหมาดเป็นภาคบังคับ แต่อย่างใด เรื่องนี้น่ะ จึงไม่ใช่ เรื่องตรรกะอะไร แต่มันเป็นการอ้างที่ขัดกับกุรอ่านเต็มๆ เพราะกุรอ่าน ระบุว่า ละหมาด 5 เวลาปัจจุบัน กับระยะเวลาการละหมาดในช่วงแรกของอิสลามนั้น คนละเวลา แสดงให้เห็นว่า ละหมาด 5 เวลาไม่ได้ตกทอดมาตั้งแต่แรกครับ ผมบอกแล้วไงครับ login แมทท์ ถ้าไม่มีปัญญาอ่านอะไรยาวๆ ก็บอกผม ผมจะได้สรุปสั้นๆ ให้อ่าน แค่อ่าน ก็ยังอ่านไม่แตก แบบนี้ดันบอกว่า เข้าใจกุรอ่าน น่าสมเพชนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:33:35

ความคิดเห็นที่ 44 เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ลองยกตัวอย่าง มาสักตัวอย่างนึง ในการสนทนาของผมกับคุณสิครับ ว่า มีกรณีนอนตากลม กระทู้ไหน ความเห็นใด บ้าง เพราะก่อนผมจะเอามาลงผมอ่านก่อนครับ ไม่ใช่ ก๊อบเอามาลงโง่ๆ ให้เขาจับได้ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบ login แมทท์ชอบทำกับกุรอ่าน แต่ผมพอจะนึกออกถึงกรณี พวกคนโง่ๆ ที่รีบไปเอาความเห็นของคนอื่นมาลงโดยไม่อ่านให้ดีเสียก่อน สุดท้ายก็หน้าแหกเพราะโดนจับได้แบบนี้ครับ ในกระทู้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8507923/Y8507923.html ความคิดเห็นที่ 54 login แมทท์ ทำท่าทำทางว่าเป็นผู้รู้ อธิบายฮะดีษเรื่องการคลุมศรีษะว่าอ่อนอย่างนั้นอ่อนอย่างนี้ ยกหมายเลขมาเสร็จสรรพ คงคิดว่าคนอื่นคงโง่เหมือนตัวเอง แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ในคคหที่ 60 ว่า login แมทท์ ไปเอามาจาก เว็บนี้ครับ http://www.irfi.org/articles/women_in_islam/is_head_cover_for_women_mandator.htm ไปเอามาก็ไม่ศึกษาให้ดีซะก่อน ว่า ฮะดีษเรื่องคลุมผมมีเพียบครับ ไม่ใช่ มีสองฮะดีษ อย่างที่ login แมทท์ไปลอกเขามาแปล แบบนี้ สิครับเรียกว่า ไปลอกเขามาแบบไม่เข้าใจ เพราะงั้นทีหลังจะกล่าวหาใครดูตัวเองก่อนนะครับ ว่า คนโง่ๆ อย่างคุณ มีสิทธิอะไรมาอวดฉลาด ถ้าไม่เจียมตัว ก็ต้องหน้าแตกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะมังครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:33:57

ความคิดเห็นที่ 45 อย่างที่ผมบอกนะครับว่า คนอย่าง คุณน่ะ login แมทท์ ถึงจะพยายามทำตัวเป็นผู้รู้อย่างไรแต่ประวัติการคุยของ login แมทท์มันก็ประจานตัวเองออกมาแล้วล่ะครับ ว่าไม่ได้มีสาระอะไรนอกจากคำโกหก และคำพูดพล่อยๆ แบบหาหลักฐานอะไรมายืนยันไม่ได้ และผมก็ว่ามันเป็นความคิดที่ดีครับ ที่จะรวบรวมกระทู้เหล่านั้นมาลง คนจะได้คิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร จะได้เห็นถึงความถ่อยความแถ ความไร้ยางอายของบาง login ที่ปากบอกว่า เข้าใจกุรอ่าน แต่โกหกใส่กุรอ่านประจำ อนึ่งผู้ที่ตามเข้าไปอ่าน ย่อมพบได้โดยง่ายว่า ใครโกหก และใครกันที่ไร้สาระ ใครกันที่หนีตลอด ใครกันที่จนด้วยเหตุผลเสมอ ดังนั้น คุณจะคุยกับผู้รู้หรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผมหรอกนะครับ เพราะถ้าคุณไม่คุย คุณก็กลายเป็นคนไร้เหตุผลเอง หรือถ้าคุณคุย คุณก็โดนประจานเองเหมือนเดิม ผลก็ใกล้เคียงกันอยู่ดี แต่ด้วย ความรู้ และหลักการที่ไร้สาระของคุณ ไม่ว่าใครที่เป็นมุสลิมก็ตอบได้ครับ เพราะอ่อนด้อย และน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นกระทู้นี้ ก็ได้เห็นถึงความโง่เขลาของคุณไม่รู้หลายเรื่องแล้ว ผมจะก๊อบ หรือไปนำความรู้ใครมา นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เพียงแค่ผมไปนำความรู้ผู้อื่นมา ไม่ได้พาผู้รู้มาเอง login แมทท์ ยังต้องหนี ไม่รู้จะหนีอย่างไร แล้วมีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องคล้อยตามคนไร้สาระอย่าง คุณล่ะครับ login แมทท์ ผมบอกแล้วนะครับว่ามันน่าสมเพช ที่ใครคนนึงพยายามทำตัวเป็นผู้รู้แต่ตัวเองไม่มีคุณสมบัติ เรื่องเว็บที่ว่าเกี่ยวกับฮะดีษนั้น ผมบอกแล้วว่าผมเข้าประจำ ถ้าคุณอ่านแล้วบอกว่ามีของที่รู้ว่าปลอม แต่ก็นำมาใช้อ้างในหลักศาสนาได้ล่ะก็ ผมก็ทราบแล้วล่ะครับว่า คุณ น่ะนอกจากจะไม่อ่านให้ละเอียดแล้ว ยังแทบจะไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งแสดงถึงความน่าสมเพชเข้าไปอีก กลับไปอ่านให้ดีดีนะครับ แล้วค่อยมาเรียกให้ไปอ่านก็ยังไม่สาย มันไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัว ทุกอย่างมีหลักการ มีการพิสูจน์ มีเกณฑ์ที่แน่นอน อ่อส่วนเว็บที่เกี่ยวกับฮิญาบนั้น ผมคงไม่ต้องอ่านหรอกมังครับ เพราะแค่ผมเจอ การ คัดลอกมาลงแบบโง่ๆ ของคุณในกระทู้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8507923/Y8507923.html คคหที่ 54 แล้ว ผมก็ทราบแล้วล่ะครับว่า สิ่งที่คุณเอามา มันน่าสมเพชแค่ไหน เอางี้ดีกว่า กลับไปอ่านกระทู้เหล่านี้ให้ดีนะครับ แล้วพิจารณาหน่อยว่า ถ้า link ที่คุณให้ผมมันดีจริง กระทู้เหล่านี้ จะหนีทำไม? http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8507923/Y8507923.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/08/Y8235445/Y8235445.html จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:34:31

ความคิดเห็นที่ 46 ผมบอกแล้วนะครับว่า คนที่ไม่มีคุณค่าทางวิชาการอย่างคุณน่ะ พูดอะไรไปมันก็ไม่น่าเชื่อถือหรอกครับ ผมจะบอกให้ว่า ที่ ท่าน SA Student ลดตัวมาคุยด้วย ก็เพราะเขาต้องการจะอธิบายหลักการอิสลาม อย่าเพิ่งสำคัญตัวผิดว่าตัวเองคู่ควร เพราะแค่คุยกันครั้งแรก login แมทท์ ก็แสดงความเขลาออกมาแล้ว เขาพิมพ์สั้นๆ ดัน อ่านไม่เข้าใจ น่าสมเพชแค่ไหน หลักการ ไม่เอาฮะดีษ ของคุณน่ะ มันจอมปลอม ผมบอกแล้ว มันยืนยันอะไรกับใครไม่ได้ แค่ละหมาดยังบอกไม่ได้ว่าทำอย่างไร จนสุดท้ายก็เผลอโกหกใส่กุรอ่านเข้า แล้วก็หนี หลักการแบบนี้ไม่มีใครเขาเอาหรอกครับ มันมีเอาไว้แค่บิดเบือนอิสลามเท่านั้น จะเห็นได้ว่า แต่ละครั้งที่ login แมทท์ถูกจับได้ ก็จะหนีไป แล้วก็ไปตั้งกระทู้ใหม่อย่างไร้ยางอาย ถ้า คนทั่วไปเจอจับได้แบบ login แมทท์ เขาก็อับอายไม่มีหน้ามาพบใครแล้ว เพราะหลักการที่ตัวเองยึดถือ ถูกจับได้ว่าจอมปลอม แต่ login แมทท์ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ได้ก็เพราะ หลักการที่อ้าง มันไม่ใช่หลักการที่มีอยู่จริงนั่นเอง พูดง่ายๆ คือทำแค่บิดเบือนอิสลามไปวันๆ เท่านั้น คนจะจับโกหกก็ต้องไปหาข้อมูลมาจับโกหก พอถูกจับได้ก็หนี คนโกหกแถมหน้าด้านแบบนี้มันเล่นง่ายนี่ครับ ไม่ต้องลงทุน ไม่มีตัวตน ไม่มีสาระ แต่เอาเถอะ โกหกมา ก็พยายามชี้แจงต่อไป ถ้าผมชี้แจงไม่ได้มุสลิมก็มีอีกเยอะแยะ รอมาชี้แจงอยู่ หน้าด้านได้เท่าไหร่ก็ทำไปนะครับ กิยามัตเมื่อไหร่ได้รู้กัน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:34:54

ความคิดเห็นที่ 47 โห... จากคุณ : praise9 เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 12:22:57

ความคิดเห็นที่ 48       ผมไม่ทราบว่าแครอทอายุประมาณเท่าไร?  เหมือนเด็กๆ   คุณก็ทราบว่าผมไม่เชื่อว่า ฮาดีษว่าเป็นเรื่องจริง         ถ้าผมจะปกปิดทำไมผมถึงลิ้งค์ ให้คุณไปศึกษา  เท่านี้ก็คิดไม่ออก   ไปเรียกผู้รู้ของคุณมาคุยกับผมดีกว่า  พูดถึงเรื่อง ฮาดีษ   ผมอ้างฮาดีษภาษาไทย คุณก็ต้องการภาษาอังกฤษ   ผมอ้างภาษาอังกฤษ  คุณอ่านภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง,  อ้างขอต้นฉบีบภาษาอรับ  ผมนำต้นภาษาอรับมา, คุณก็อ่านไม่รู้เรื่องอีก  กลับแก้ตัวบอกว่า "ตัวพิมพ์ไม่ชัด"  ผมขยายรูปให้ชัด ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องอ่านไม่ออกอีก,  ไม่ทราบว่า มันเป็นฮาดีษ หมวดใดเลขที่  เท่าใดกลับหาว่าผมไปลอกจาก เวบทำลายอิสลาม   พอถามเข้าจริงๆ ปรากฏว่าไม่เข้าใจฮาดีษนั้น เพราะอ่านภาษาอรับไม่รู้เรือง แล้วยังอุตส่าขอต้นฉบับภาษาอรับอีก  ผมชักสงสารคุณแล้ว ตัวอย่าง  จนป่านนี้ผมยังไม่ได้คำตอบจากคุณเลย ว่า  เรื่องโกหก ในฮาดีษซอเฮี๊ยะ ที่ว่า    ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้  ฮาดีษเหลวไหลอย่างนั้น ยังเชื่อกันไปได, เป็นฮาดีษที่ ทำลายคุณลักษณะของรอซูล เวบที่โจมตีอิสลามถึงมีฮาดีษจำพวกนี้มาก   ถ้าเวบพวกนั้น นำเรื่องนี้มาล้อเลียนผม ผมก้ตอบไปว่าเรื่องเหลวไหล มุสลิมไม่เชื่อเรื่องเช่นนั้น  การล้อเลียนก้จะหมดไป  เรื่องเช่นนี้ ยิ่งแก้ตัว ก้ยิ่งเสียหายมาก  คุณแครอทเห็นโทษของการหลงในเรื่องบอกเล่าเช่นนี้หรือไม่? เชิญเลยครับ บทแรกขจากกระทู้นั้น คือ ไปตอบเสีย ผมเข้ามาเตือนด้วย ฮาดีษ หมายเลข 268, บทที่ 13, เล่มที่ 5, หมวด 1 ของ Dr. Muhammad Muhsin Khan, Islamic University, Madina Al- Munawwara เป็น หนังสือ ฮาดีษ ที่ เป็นที่รับรองของ ซุนนีย์มุสลิม ทั่วโลก ครงกับที่คุณกล่าวไหม? "พูดง่ายๆ คือทำแค่บิดเบือนอิสลามไปวันๆ เท่านั้น คนจะจับโกหกก็ต้องไปหาข้อมูลมาจับโกหก พอถูกจับได้ก็หนี คนโกหกแถมหน้าด้านแบบนี้มันเล่นง่ายนี่ครับ ไม่ต้องลงทุน ไม่มีตัวตน ไม่มีสาระ" .......................    เห็นความเขลาของคุณไหม?   พอตอบไม่ได้ไม่รู้ว่า ผมถาม เรื่องอะไร ก็ต้อง ไปรบกวนผู้รู้มา ตั้งกติกาคุยกับผม และผมก้ยอมรับอย่าง เปิดใจ แหวะอกคุยเลย และกำลัง รอคำตอบอยู่  แต่ลูกศิษย์ (แครอท) กลับเที่ยวมาเปะปะเพ่นพ่าน สั่งสอนอธิบาย สื่งที่ ตัวเองไม่เข้าใจ ทำให้อาจารย์ปวดหัวมากขึ้นอีก  คุณจะให้ท่านผู้รู้ของคุณ ตามเช็ด ความไม่เข้าใจของคุณไปถึงไหน?  สงสารท่านผู้รู้เหล่านั้นบ้างซิครับ รบกวนเขามากไม่เกรงใจเขาหรือ? ผมช่วยอธิบายให้จนเบื่อเหมือนกัน  ถ้าข้อไหนที่ตอบไม่ได้ไม่มีความเข้าใจ  ก็หาว่า ผมโกหกบ้าง ไปลอกมาบ้าง   พอเอาหลักฐานมาก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา   คุณเห็นตัวเองไหมว่า กะล่อนเท่าใด  เมื่อจนด้วยเหตุผลก็พาลพะโลด่า สาด ด้วยความโมโห  ใจเย็นๆ ซิครับค่อยๆอ่านที่ผมเขียน  ที่คุณไม่เข้าใจ  ผมทราบดีเพราะ ว่า ถ้าคุณ ยอมรับ ว่า ผมและเอกสารที่อ้างอิงเป็นความจริง  คุณจะเอาหัวชนฝาเลยที่โง่มานาน ว่าการละหมาดตามฮาดีษเป็นเรื่องโกหก   คิดง่ายๆซิครับ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเขียน เป็นเรื่องเท็จแล้ว ผมคงไม่กล้าที่จะ นั่งสอนคุณอยู่มานานนม 6-10 ปี อย่างนี้, นี่คือจุดยืนของผม คือ  "ความจริง ของหลักการของศาสนาอิสลามที่มุสลิม อย่างคุณควรจะพิจารณา"   ผมจะสอนให้คุณเข้าใจ เกี่ยวกับ ความเหลวไหล ใน  ฮาดีษเหล่านั้น จนคุณแก่เลยละครับ  เพราะคุณขุดโพรงอยู่ลึกมากทีเดียว  คุณไม่เห็นหรือว่า ในบรรดานักวิชาการฮาดีษของคุณนั้น ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเชื่อถือ ฮาดีษกันอย่างไร? ที่ผมแนะนำไป คุณอ่านดูหรือยัง? ในเวบ สติวเด้นนั้นะ?  ถ้าคุณแครอทยังวนเวียน อยู่ในอ่างอย่างนี้ ผมจะไป นั่งรอคำตอบจากผู้รู้ของคุณก่อน เพื่อผมจะได้ฉลาด กว่าคุณมากกว่านี้  คุณรู้ใช่ไหม? ว่า ผมจะไปรออยู่ที่กระทู้ไหน? ชื่อกระทู้คือ "คุณ แครอท โปรด อธิบาย อะฮาดีษ ต่อไปนี้ ที่ละบท" ตามความสามารถของคุณ.."    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9020534/Y9020534.html   อย่าหนีผมมาเสียเวลาที่นี่เลย กลับไปตอบคำถามที่คุณสงสัย และที่ผมตั้งคำถามถึงคุณ      ในเรื่อง ฮาดีษเหล่านั้น "หลับนอนกับภรรยา 9- 11 คน แล้วจะละหมาดเมื่อไร?   มีพร้อม  ภาษาไทย, อังกฤษ และ อรับ ไม่มีข้อแก้ตัวอีกแล้ว  โกหกคนเขามากแล้ว  ผมจะ แสดงให้เห้นว่า  "คุณไม่เข้าใจฮาดีษ" เหล่านั้น เมื่อคุยเรื่องนั้นจบและผู้รู้คุณตอบเรียบร้อยแล้ว ผมยังมีอีกหลายเรื่องที่จะสอนให้คุณฉลาดขึ้น     เรื่องคลุมผมนะครับ โลกมุสลิมที่เขาเข้าใจแล้ว เขา อธิบายให้เข้าใจอย่างที่ผมยกตัวอย่างให้เห็นนั้นแหละ   ปล่อยให้ ชาวบ้านเขาตัดสินใจเองเองดีกว่า    อย่าไป หลอกเขาเลย เพราะการคลุมผมไม่ได้ทำให้ได้บุญขึ้น สวรรค์อะไรเลย มีประโยชน์ช่วยไม่ให้ต้อง สระผมบ่อยๆเท่านั้น      ผมเพียงแต่อธิบายให้เห็นว่า  มีมุสลิมะในโลกอีกเป็นจำนวนมากที่ เขาไม่สวม ฮิญาบ  คลุมหัวกัน เพราะเขาทราบว่าไม่ใช้ข้อบังคับ  เช่นการทำละหมาด  ผมพร้อมแล้วครับจะไปรอคำตอบของคุณและผู้รู้ของคุณ... หวัดดีครับ ปล. ถ้าคุณเป็นเด็กไม่เกิน 19 -20 ผมต้องขอโทษด้วย ที่กระเซ้าเด็กจนเกินไป,ผม ไม่ทราบว่า คุณมี อะไรดี  ทำให้ผมชอบสนทนากับคุณมากกว่าทุกๆคนเลย หรือ อาจว่า คุณ เป็นคน ขี้ตกใจง่ายก็ไม่ทราบ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 53 13:31:27 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 13:27:30

ความคิดเห็นที่ 49 ผมบอกแล้วผมไม่ได้สนใจว่าคนอย่างคุณน่ะจะเชื่อฮะดีษหรือไม่ หรือแม้แต่นับถือศาสนาอะไร เพราะจากการคุยมันก็แสดงให้ทราบแล้วว่า คุณไม่ได้มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ไปก๊อบมาจากที่นั่น ที่นี่ ก็เพื่อบิดเบือนอิสลามเท่านั้น ส่วนลิงค์ขยะอะไรที่คุณนำมามันก็ไม่ได้ค่าอะไรเพราะ ตัวคุณที่ไปลอกเขามายังต้องหนีหัวซุกหัวซุนในเรื่อวเดียวกัน 3 กระทู้ เท่านี้ยังไม่สำนึกอีกเหรอครับว่าสิ่งที่คุณเรียกมันว่าความรู้น่ะมันคือขยะ ส่วนการที่ผมถามหาฮะดีษภาษาอาหรับนั้น ก็เพื่อต้องการหาตัวบทจริวๆ เพื่อไปถามผู้รู้ครับ ส่วนภาษาอังกฤษน่ะผมไม่ต้องการเท่าไหร่ ผมหาได้จากเว็บทั่วไป อยู่แล้ว แต่ที่ผมต้องการภาษาอาหรับเพราะลักษณะของคุณเป็นคนโกหกนะครับ ดูได้จากคคหที่ 41 ถึง 46 คุณก็แก้ตัวแบบ โง่ๆ แก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ เรียกได้ว่าแก้ตัวแบบไร้ยางอายนั่นแหละ ผมจึงต้องการฮะดีษภาษาอาหรับก็เพื่อป้องกันการบิดเบือนครับ และไม่ให้คนต่างศาสนิกเข้าใจผิด และก็ปรากฎว่า ฮะดีษที่คุณเอามานั้น แสดงว่าคุณไม่รู้ภาษาอาหรับ แต่อ่านมาจากภาษาอังกฤษ ที่แสกนมานั้นก็คงไปซื้อหรือยืมหนังสือมาแสกนนั่นแหละครับ ตามหมายเลขฮะดีษที่ปรากฎในเว็บโจมตีอิสลาม คุณถึง แสดงความเขลาออกมา ซ้ำยังจับได้ว่า โกหกใส่ฮะดีษด้วย ดังนี้ครับ ตัวฮะดีษคืออันนี้ อัลบุคอรีย์กล่าวว่า 268 - حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ قَالَ حَدَّثَنَا مُعَاذُ بْنُ هِشَامٍ قَالَ حَدَّثَنِى أَبِى عَنْ قَتَادَةَ قَالَ حَدَّثَنَا أَنَسُ بْنُ مَالِكٍ قَالَ كَانَ النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - يَدُورُ عَلَى نِسَائِهِ فِى السَّاعَةِ الْوَاحِدَةِ مِنَ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ ، وَهُنَّ إِحْدَى عَشْرَةَ . قَالَ قُلْتُ لأَنَسٍ أَوَكَانَ يُطِيقُهُ قَالَ كُنَّا نَتَحَدَّثُ أَنَّهُ أُعْطِىَ قُوَّةَ ثَلاَثِينَ . وَقَالَ سَعِيدٌ عَنْ قَتَادَةَ إِنَّ أَنَسًا حَدَّثَهُمْ تِسْعُ نِسْوَةٍ ความหมาย "อะนัส บิน มาลิกเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเคยเวียนต่อบรรดาภริยาของท่านท้งหมด (มีเพศสัมพันธ์กับพวกนาง) ในเวลาเดียวจากกลางคืนและกลางวัน และพวกนางมีทั้งหมดสิบเอ็ดท่าน" เกาะตาดะฮฺได้ถามอะนัสว่า "ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมมีความสามารถขนาดนั้นเลยหรือ?" อะนัสตอบว่า "พวกเราเคยพูดคุยกันว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้รับการประทานพลังเท่ากับชายสามสิบคน" และสะอีดได้เล่าจากเกาะตาดะฮฺว่า อะนัสได้เล่าแก่พวกเขาว่า พวกนางมีทั้งหมดเก้าท่าน" ซึ่ง คำแปลนั้น ไม่ใช่แปลว่า ทั้งวันทั้งคืน จนไม่สามารถละหมาดได้หรอกนะครับ คำว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้..."   เป็นการโกหกใส่อิสลามอย่างเห็นได้ชัด เพราะ คำว่าمِنَ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ แปลว่า จากกลางวันและกลางคืน ไม่ได้แปลว่าทั้งวันทั้งคืน คำว่า "มิน" ในภาษาอาหรับให้ความหมายว่า บางส่วน หรือส่วนหนึ่ง เราสามารถแปลว่า "จากส่วนหนึ่งของเวลากลางคืนและกลางวัน เหมือนกับคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า ساعة من النهار หรือ ساعة من نهار หมายถึง "เวลาเพียงชั่วครู่เดียวในเวลากลางวัน " นี่เองผมถึงได้ถามภาษาอาหรับไงครับ เพราะฮะดีษนั้นย่อมต้องไม่ขัดกับกุรอ่านอยู่แล้ว การที่คุณบอกว่า "...สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้..." มันจึงทำให้ผมจับโกหกได้ไงครับว่ามันไม่จริง มันไม่เกี่ยวกับผมจะอ่านภาษาอาหรับออกได้หรือไม่ได้หรอกครับ เพราะคนอย่างคุณ ถ้าไม่ไปลอกคนอื่นเขามา ไม่ไปจำตามเว็บมาคุย ก็ไม่ได้มีความรู้อะไร ภาษาอาหรับจากที่คุยมาก็ทำให้ผมทราบว่า คุณก็ไม่เข้าใจภาษาอาหรับ ผมถึงถามหาภาษาอาหรับไงครับ เพราะอยากรู้ว่า ที่เอามานั้นน่ะ ตัวเองเข้าใจหรือไม่ ผลก็ปรากฎว่า คุณไม่ได้เข้าใจอะไรในฮะดีษเลย ได้แต่อ่านคำแปลภาษาอังกฤษเท่านั้น แล้วก็เอาต้นฉบับมาแสกนลงโดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาหมายความว่าอะไร อ่านดูนะครับว่า ตัวคุณเองพิมพ์อะไรไว้ และแน่นอน ได้พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าคุณโกหกใส่คำสอนอิสลาม และได้โกหกใส่ร้ายท่านนบีด้วย ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ทำแบบที่คุณกล่าวหา และฮะดีษก็ไม่ได้บอกในสิ่งที่คุณกล่าวหา ผมคงต้องแจ้งพี่น้องของเรา รวมตัวกันเพื่อร้องเรียนทางพันทิพให้พิจารณาเรื่อง login ของคุณนะครับ เพราะนี่ไม่ใช่ความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่นี่คือการโกหก และใส่ร้ายศาสนาว่าสอนแบนนั้น ทั้งๆ ที่ศาสนาไม่ได้สอนอย่างที่คุณกล่าวหาเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 14:19:56

ความคิดเห็นที่ 50 ส่วนเรื่องผู้รู้ที่มานั้น ผมต้องไปรบกวนเพราะผมไม่มีความรู้เพียงพอในการแปลฮะดีษ และหลักการอิสลามไม่ใช่หลักการจอมปลอมแบบหลักการของ login แมทท์นะครับ ผมจึงต้องการ ความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ซึ่งต่างกับคุณ ที่เมื่อจนด้วยเหตุผลเมื่อไหร่คุณก็หนีไปตั้งกระทู้ใหม่ หรือหายไปจนกระทู้ตก แล้วกลับมาใหม่เท่านั้น คุณเองก็ไม่ได้ ใส่ใจกับความอับอายของตัวเอง ก็ เพราะหลักการของคุณ ตัวตนของคุณ มันก็จอมปลอมทั้งนั้น ไม่ได้มีคุณค่าอะไร มันจึงต่างกันครับ ผมทำอะไรกับศาสนา ผมต้องรับผิดชอบ ผมจึงไม่สามารถปล่อยให้อารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเองบงการให้ผมหน้าด้าน โฆษณาเกินจริง โกหกสร้างภาพว่าตัวเองเป็นผู้รู้ได้ เมื่อผม ไม่ทราบผมต้องถามครับ และจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้เพื่อคุยกับคุณด้วย เพราะคุณก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย โกหก และมั่วกุรอ่านมานักต่อนักแล้ว และก็ยังสะสางการโกหกเหล่านั้นไม่ได้เลยมาเป็นเวลา 5 -6 ปี แบบนี้ การเป็นผู้รู้จึงไม่สำคัญสำหรับการคุยกับคนแบบคุณหรอกครับ นอกจากคุณจะโกหกเรื่องฮะดีษ ผมก้ต้องไปถามผู้รู้มาตอบเพื่อความถูกต้องเท่านั้นเอง และจะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปโกหก หรือทำตัวสู่รู้แปลอะไรผิดๆ ให้ผู้รู้ต้องมารับผิดชอบนะครับ เพราะเวลาผมจะตอบหรือจะให้ข้อมูลอะไรผมไม่ตอบเอง ผมไม่เดาเอง แต่ผมจะถามหรือไปหา ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาเสียก่อน นอกจาก คุณจะโกหกใส่อิสลามนั่นแหละครับ ผมถึงต้องรบกวนผู้รู้มาจับโกหก และอธิบายสิ่งที่ถูกต้องแทน มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้วนะครับ เพราะผมจะไม่ยอมเป็นจอมโกหก แบบคุณ ที่โกหกแล้ว พอรับผิดชอบคำโกหกของตัวเองไม่ได้ คุณก็หนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากอิสลามเป็น ศาสนาที่แท้จริงครับ ฮะดีษต่างๆ มีหลักการชัดเจนแน่นอน ผมจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการตอบ ซึ่งต่างกับการอ้างบรรพบุรุษของคุณ ที่ไม่ได้มีหลักการอะไรเลย พอถูกซักไซร้ ก็หนี แค่นั้น ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร เรื่องแบบนี้ เข้าใจได้ไม่ยากนะครับ อ่อแล้วอย่าลืมนะครับ การที่บอกว่าผมไม่เข้าใจ หรือกะล่อน ลองบอกหน่อยนะครับว่าผมกะล่อนอย่างไร กระทู้ไหน เมื่อไหร่ ข้อแหล่งอ้างอิงด้วย เพราะเมื่อผมบอกว่าคุณโกหก ผมไม่ได้กล่าวหา ลอยๆ หรือพูดพล่อยๆ แบบคุณ แต่ผมจะเอาหลักฐานมาด้วยเสมอ อย่างเรื่อง ละหมาด หรือการลงโทษผู้ทำผิดหลักศาสนา หรือเรื่องฮิญาบ สิ่งเหล่านี้ ถ้าผมบอกว่าคุณโกหก ผมจะมีหลักฐานให้ คุณดิ้นไม่หลุดมาด้วย ถ้าคุณแก้ข้อกล่าวหาได้ ผมถึงจะเลิกพูดถึง ผมไม่ใช่พวกปากพล่อย แบบคุณนะครับ ผมไม่ชอบทำตัวไร้ยางอายแบบนั้น เพราะตั้งแต่คุยมา คุณบอกว่าการละหมาดตามฮะดีษเป็นเรื่องเหลวไหลนั้น ผมยังไม่เห้นคุณจะมีเหตุผลเพียงพอใจการคุยกับผมเรื่องนี้เลย ซึ่งก็ไม่ผิดกับที่ ท่าน SA student กล่าวไว้ หรอกนะครับว่า คุณ ไม่ยอมอ่านความเห็นคนอื่นให้ดี ได้แต่พิมพ์สิ่งที่อยากพิมพ์ คุณถึงตอบคำถาม หรือหาหลักฐานมารับผิดชอบคำพูดตัวเองไม่ได้ไง มันก็เพราะคุณไม่ยอมอ่านอะไรให้ดีซะ ก่อน พอมาดูอีกก็พบว่าตัวเองน่ะมั่วสุดๆ ลองไปอ่านดูซะว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า และผมจะบอกให้คุณทราบอีกครั้ง และจะอธิบายตัวตนของคุณให้ตัวคุณเองอ่านอีกรอบว่า ที่คุณหน้าด้านหน้าทนสนทนาด้วยการบิดเบือนแม้กระทั่งคำพูดตัวเองได้นาน 5-6 ปีเนี่ย ก็เพราะ หลักการของคุณมันจอมปลอมไงล่ะครับ มันไม่มีอยู่จริง เวลาโดนจับได้ คุณก็ไม่สนใจเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณยึดถือ มันเป็นแค่เรื่องโกหกที่ปั้นแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง แล้วมันจะมีค่าอะไรล่ะครับ คุณจะคุยอีกสัก 20 ปี ก็ได้ login แมทท์ เพราะเมื่อคุณหน้าแตก มันก็ไม่ได้หน้าแตกจากหลักการที่คุณเชื่อถือ แต่เป็นหลักการจอมปลอมที่สร้างใหม่เท่านั้น มันจะไปมีผลอะไร เอาล่ะ ทีนี้ก็อ่านซะนะครับ เรื่องฮะดีษที่คุณโกหกน่ะ ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 14:43:58

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบ ความคิดเห็นที่ 40     ความจริงแล้วผมไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงในเรื่องนี้ “การสวมฮิญาบ” เลย เนื่องจาก ไม่มีทางที่สิ้นสุดได้ แต่ความคิดที่ดีควรมาจาก  อัลกุรอาน ซูเราะห์   อัลอะอฺร้อฟ อายะที่ 26   ที่ให้ความหมายว่า “แต่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ดีที่สุด คือความมีศรัทธาต่อพระเจ้าและประพฤติตนให้อยู่ในจริยาธรรมตามแนวทางของพระเจ้า(the raiment of righteousness)   ซึ่งจะปกปิดจิตใจจาก ความชั่วช้าและจะประดับเชิดชูมนุษย์ให้บริสุทธิ์และดี เลิศ”       การปกคลุมร่างกายทั้งหญิงและชายนั้น ก็มีประโยชน์สำหรับมุสลิมที่มีใจ อ่อนไหวในเรื่อง อารมณ์เพศได้ง่าย  การปกปิดร่างกายจึงมีส่วนช่วยให้ความศรัทธา เข้มแข็งขึ้นโดยไม่มีสิ่งที่มายั่วเย้าให้เกิดอารมณ์ใคร่       แต่อย่างไรก็ตาม ในสังคมของผู้ปกคลุมและไม่ปกคลุมร่างกายไม่มีความแตกต่างกันมากนักในเรื่อง อาชญากรรมทางเพศ  ซึ่งส่วนมากแล้วเกิดจาก ความไม่สามารถจะยับยั้งอารมณ์ของเพศชายผู้กระทำ       แต่ก็ยังมีความจริงอยู่ที่ว่า ความสำรวมและอดกลั้นความใคร่นั้นเริ่มจากจิตใจของเรา ที่ควบคุมการกระทำทุกๆสิ่งทุกๆอย่างของเรา ด้วยเหตุนี้ การสวมฮิญาบหรือไม่สวมฮิญาบ ควรเป็นสิทธิและการตัดสินใจของ สตรี ที่เขาเห็นสมควรอย่างไรในสังคมรอบข้างของเขา   มุสลิมควรจะให้ความเคารพซึ่งกันและกัน, ระหว่างเพศและต่อ สมาชิกของสังคมอื่นที่ไม่ใช่มุสลิม,  โดยไม่ตำหนิสังคมอื่นที่ไม่ปกปิดว่า เป็นความชั่วช้า แต่ในทางตรงข้ามเขาอาจจะกล่าวว่า สมาชิกของสังคมของเขาสามารถที่จะ มีจริยาธรรมที่ ปกคลุม จิตใจ ระหว่างเพศได้ดีกว่า สังคม มุสลิมเรา ..................     เรื่องจาก ลิ้งค์ นี้อาจจะตอบคำถามคุณได้ว่า อาชญากรรมทางเพศนั้น มีอยู่ในทุกๆสังคม และเมื่อมุสลิม ชายกระทำนั้น  มุสลิมจะโทษว่าหญิงเป็นต้นเหตุ  ถ้าอยู่ในสังคมอรับ ผู้หญิงไม่มีทางต่อสู้และหาความยุติธรรมได้เลย, ชายมุสลิมจึงได้ใจ แต่ถ้าไปกระทำในสังคมอื่นที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี  เราก็จะอับอายเขา และจะถูกเขาลงโทษตามกฏหมายเขา  ลองอ่านเรื่องนี้ดูจะเข้าใจได้ดี ว่า  มุสลิมมีความลำเอียงในเรื่องนี้อย่างไร? http://hecubus.wordpress.com/2006/10/26/thats-my-imam-der-de-der/ http://search.yahoo.com/search;_ylt=A0oGkmTuBLNLkm0BHZlXNyoA?p=Imam+fired+Australia+gang+rape&fr2=sb-top&fr=yfp-t-892&sao=1  เหตุที่มุสลิมส่วนมากไม่ทราบเรื่อง การผิดประเวณี หรือ การ ข่มขืน ในสังคมผู้สวม ฮิญาบนั้น เพราะว่า ถูกปิดข่าว  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาและอังกฤษจะได้ยินอยู่เสมอ เนื่องจาก ข่าวสาร มีอิสระในการเผยแพร่  แต่มุสลิมจะไม่เชื่อ หรือ เปิดเผย  กลับปกปิดว่าเป็นการกระทำของผู้ที่ต้องการทำลายอิสลาม แต่มุสลิมที่มีใจยุติธรรมในสังคม ออสเตรเลีย ได้ ช่วยกันออกเสียงไล่อีมามผู้นี้ออกจากตำแหน่งผู้นำอิสลามใน ชุมชนของเขา จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 15:37:31

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องฮิญาบชัดเจนแล้วในกระทู้นี้ ไม่ใช่ไม่สิ้นสุดหรอกนะครับ ไปอ่านกันได้ เพราะสรุปแล้ว มุสลิมมะห์ ต้องคลุมฮิญาบครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8507923/Y8507923.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/08/Y8235445/Y8235445.html การจะป้องกันนั้นต้องทำควบคู่ครับ ต้องระมัดระวังสายตาตัวเอง และแต่งกายให้มิดชิดครับ ไม่ใช่ทำอย่างใดอย่างนึงก็จบ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:07:53

ความคิดเห็นที่ 53 จากความเห็นยที่ 50 คุณแครอท ก่อนจะแจ้งขับไล่ผมจะไม่รอดูหลักฐาน จาก ผู้รู้และ จากผม ก่อนหรือครับว่า  คุณสอนกันไว้อย่างไร?   สอนด้วยความเขลาไม่ดูตาม้าตาเรือให้คนเขาดูถูกอิสลามได้   คุณเกรงว่า จะขายหน้ามากกว่านี้หรือครับ ผมพยายามที่จะ อธิบายให้ทราบว่า "ฮาดีษ" นี้ ไม่มีความจริงที่เป็นไปได้   เรื่องขับไล่นี้ทำไม่ยากหรอกครับ แต่คุณจะไม่อับอายหรือที่ไม่ยอมฟังเหตุผลที่ถูกต้องเสียก่อน     ผมคิดว่า ผู้มีเหตุผลอ่านข้อเขียนของผมแล้วคงเข้าใจได้ดี  คุณเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามารวมกับหลักวิชา   ลองเป็นคนฟังเหตุผลบ้างชิครับ    ก่อนจะขับใสไล่สง่ผมๆขอฟังเหตุผลจากคุณก่อนได้ไหมครับ  หรือผู้รู้ของคุณ ไม่อาจจะ อธิบายได้ เลยพยายามจะ ใช้วิธีการของ กฏหมายอรับ    ที่นี่ประเทศไทย สังคมไทยครับ ไม่ใช่สังคม อรับ เมื่อ 1400 ปีมาแล้ว  ประเทศไทยเราให้อิสระภาพในการแสดงความคิดเห็นภายในกรอบวิชาการครับ และด้วยเหตุนี้ ผมถึงรักเมืองไทยและสังคมไทยเรามาก กว่าสังคมอรับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:11:09

ความคิดเห็นที่ 54 ผมกำลังรอครับว่า login แมทท์ไปอ่านจากฮะดีษบทไหนถึง แปลว่าได้ความว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ ..." รออยู่นะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:11:23

ความคิดเห็นที่ 55 อ่านใหม่นะครับว่า ฮะดีษนั้นแปลว่าอะไร แล้วที่คุณใส่ร้ายว่าฮะดีษสอนแบบนั้นน่ะ ผม cap ภาพไว้แล้วครับ มันไม่ใช่การเข้าใจไม่ตรง แต่นี่คือการโกหกใส่ฮะดีษ อย่างชัดแจ้ง มีเหตุผลอะไรก็ว่ามาครับ แล้วบอกด้วยว่า ฮะดีษไหน ถึงแปลได้ว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ ..." สำหรับผู้มีจริยธรรมแล้ว จะ 1400 ที่แล้ว หรือปัจจุบัน ก็ไม่ควรปล่อยคนโกหกเช่นคุณเพ่นพ่านาร้างคามเดือดร้อนแบบนี้หรอกนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:14:09

ความคิดเห็นที่ 56 คุณต้องรอผู้รู้ที่คุณเชิญมาอธิบายก่อน คุณต้องให้ความเคารพในความรู้เขาก่อน ผมทำตามกติกาข้อเสนอของเขา คุณต้องอดใจรอ  ถ้าคุณจะรอคำอธิบาย ของผม จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยต่อคุณ ผมต้องการให้ คุณ SA อธฺบายให้ผมเข้าใจก่อน   ถ้าผมเข้าใจผิด และคุณ SA มีเหตุผลที่ทำให้ผมเชื่อได้ จะเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง ต่อสมาชิกทุกๆท่านที่อ่าน โดย เฉพาะต่อตัวผมเอง จะได้ สนใจในฮาดีษมากขึ้น และเกิดความเชื่อว่า  ถ้าไม่มี เรื่องบอเล่า จากฮาดีษ แล้ว อัลกุรอานจะไม่มีความหมายต่อมุสลิมเราเลย ด้วยเหตุนี้ ฮาดีษจึงสำคัญต่ออิสลาม มากว่า อัลกุรอาน ตามความศรัทธาของคุณ    ผมอธิบายไปคุณก็ไม่เข้าใจ ขอให้อดใจรอไว้ก่อน จน คุณ SA เข้ามาตอบแอธิบาย จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:23:31

ความคิดเห็นที่ 57 54 และ 55 นั้นคุณอ่านภาษาไทยยังไม่เข้าใจหรือครับว่าผมหมายถึงอะไร?  ลองอ่านใหม่และคิดดูดีๆซิครับ    เรื่องมันเกี่ยวกับกระทู้เดิมครับ ไม่ไอยู่ในกระทู้นี้   คุณพยายามเอาคำพูดคุณยัดปากผม นี่แหละครับที่เรียกว่า กะล่อน "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ ..." ประโยคเข่นนี้เขาเรียกว่าอะไรครั? มันเป็นคำถามที่ผม ย้อนถามกลับต่อผู้ที่เชื่อ ฮาดีษนี้ ว่า, มันเป็นไปได้หรือ ที่ท่านศาสนทูตหรือศาสดาของอิสลาม ผู้มีเกียรติคุณสูงส่งจะปฏิบัติตัวเช่นนั้น?  มันเป็นเรื่องเล่าที่เท็จ, คุณเข้าใจไม? อย่าเอานิสัยกะล่อนเช่นนี้มาใช้อีกครับ^^ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:33:50

ความคิดเห็นที่ 58 "ผู้ที่เดือดร้อนจากความจริง"   คือผู้ที่ชอบกล่าวเท็จ และผู้หลอกลวงสังคม   บุคคลเหล่านี้มีอยู่ในทุกๆยุตสมัย   เขาจะเกลียดกลัวความจริง ที่จะทำให้หัวใจเขาหวั่นกลัว เนื้อหนัง ร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟนรกเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา  คุณ แครอทมีความรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:46:32

ความคิดเห็นที่ 59 ผมต้องปฏิบัติภาระกิจที่จำเป็นแล้วครับ สวัสดีครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 16:48:13

ความคิดเห็นที่ 60 สรุปจะเอาอย่างไรกันแน่ครับ login แมทท์ คุณบอกผมเองนะครับว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 19:30:45

ความคิดเห็นที่ 61 ผู้รู้ท่านก็คงมาตอบของท่านล่ะครับ แต่คุณก็บอกให้ผมตอบนี่ครับ ผมก็ไปถามผู้รู้มาตอบแล้ว จะมาอ้างว่ารออะไรเหรอครับ? ตอบไม่ได้ก็บอกตอบไม่ได้สิครับ หรือจะขอเวลาไปหาข้อมูลมาก็บอกได้ เขาทราบกันหมดแ้ล้วมังว่าคุณไม่มีความรู้อะไรเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 19:32:24

ความคิดเห็นที่ 62 ส่วน 54 และ 55 นั้นน่ะ ถ้าคิดว่าผมไม่เข้าใจภาษาไทยหรือยังอ่านไม่ดีแล้วล่ะก็ ผมจะเอามาให้อ่านใหม่ พร้อมเน้นคำให้ด้วยก็แล้วกันนะครับว่า คำพูดของคุณ เป็นคำถามว่าเป็นไปได้ หรือถามว่าอะไรกันแน่ ลองอ่านดูดีดีนะครับ แม้แต่คำพูดตัวเองก็จะบิดเบือนหรือ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 19:43:36

ความคิดเห็นที่ 63 ลองอ่านดูนะครับ ถ้ามีสักคำ ที่คุณถามว่า มันเป็นไปได้หรือ ที่จะมีฮะดีษเหล่านี้ ก็บอกด้วย เพราะที่คุณบอกมา คุณบอกเต็มๆ ว่า ฮะดีษซอเฮียะห์ มีเรื่องที่ท่านนบี "...หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้..." คุณจะไม่ตอบผมก็ไม่ว่าหรอกครับ เพราะมันก็ไม่ต่างกับที่แล้วๆ มา ที่คุณ หนีมา 5-6 ปี ผมแ่ค่อยากให้ทุกท่านทราบว่า จริงๆ แล้ว คุณไม่มีความรู้อะไร ถ้าไม่ไปลอกคนอื่นมา ซึ่งนอกจากไม่มีความรู้ แล้วเวลาไปเอาอะไรมาตอบยังไม่รู้จักพิจารณาแถมยัง ไม่ยอมรับความจริงอีก รอคำตอบนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 19:45:30

ความคิดเห็นที่ 64 ไม่ได้ความรู้อะไรมากมายครับ นอกจากเข้ามาดูคนทะเลาะกัน เฮ้ย...T T จากคุณ : Esma Man Armin เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 22:26:26

ความคิดเห็นที่ 65 โอ้  ไม่ได้เข้ามานาน  ไปถึง 64 แล้วรึเน่ย ยังไงก็ขอบคุณทุกคนนะคับที่เข้ามาให้ความเห็นคับ ก็เชียร์ ให้ใจเย็น ๆ ค่อยๆคุยกันนะคับ  .... จากคุณ : ramai เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 02:01:55

ความคิดเห็นที่ 66 เรื่องนี้ความจริงแล้วคุณแครอทไม่มีหน้าที่จะเรียกร้องจากผมแล้วนะครับเนื่องจาก ผมได้รับข้อเสนอและกติกาตามที่ คุณ SA ต้องการทุกๆข้อ  คุณแครอทจะเห็น  ได้อย่างชัดเจนว่า คุณ SA เสนอความต้องการจะตอบคำถามผม  แทนคุณแครอท  หลังจากที่คุณได้ตอบผม ดังข้อความต่อไปนี้ว่า "ความคิดเห็นที่ 2     งั้นก็รอก่อนนะครับ ผมไปถามผู้รู้ก่อนก็แล้วกัน จากคุณ : Carroth"   .................. นี่คือข้อ หนึ่งในหลายฮาดีษ ที่ผม  ........ ถามคุณแครอทว่า 1.ท่านรอซูล ร่วมรักกับ ภรรยาทั้งกลางวันและกลางคืน จำนวน 11 คน ติดต่อกัน (ถ้าเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ท่านเอาเวลา เมื่อใดทำการละหมาด)  ผมว่าเมื่อมุสลิมอ่านฮาดีษนี้แล้วจะต้องมีความสงสัยเ อย่างผม หมือนกัน(สำหรับมุสลิมบางท่าน) ................................. หลังจากนั้น ผู้รู้ของคุณ คือ คุณ SA ก็เขียนถึงผมในกระทูว่าดังนี้  ข้อความ"ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ อยากลองตอบคำถามของคุณแมทท์ในหัวกระทู้ และความเห็นที่หนึ่งดูครับ แต่จะใช้กติกาของผมเอง ... คุณแมทท์สนใจมั้ยครับ? กติกาคือ 1. คุณถามผมหนึ่งคำถาม ผมจะตอบแบบตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม ถ้าคุณสงสัยเชิญถามต่อในประเด็นเดียวกัน 2. หลังจากนั้น ผมจะถามคุณหนึ่งคำถาม คุณตอบแบบตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม หากผมสงสัยคำตอบของคุณ ผมจะถามต่อในประเด็นเดียวกัน ห้ามคุณอ้อมค้อม ตกลงมั้ยครับ? ตอบสั้นๆ พอว่า "ตกลง" หรือ "ไม่ตกลง" ไม่ต้องยืดเยื้อ ... หากยืดเยื้อผมถือว่าผิดกติกา จบเกมส์ครับ หมายเหตุ: "ตอบคำถามของคุณแมทท์ในหัวกระทู้" หมายถึงว่า "คำถามคือ ให้อธิบายว่า ฮาดีษภาษาอรับ ในรูปข้างล่างนี้  แสดงความดีงามในการปฏิบัติของท่านศาสดามูฮัมมัดอย่างไร?"    ซึ่งหลังจากต่อรองแล้วผมก็รับยอมตามเงื่อนไขทุกๆข้อ  และผมกำลังรอคำอธิบายของ คุณ SA  อยู่ครับและให้เวลาในการตอบ อย่าง เหลือเฟือ  แถมยังบอก รายละเอียดในการค้นหาให้ด้วย  เพื่อจะได้เห็นว่าผม เอามาจากของจริง ไม่ใช่จาก เวบทำลายอิสลาม    เรื่องนี้ผมคิดว่าคุณ SA พออ่านฮาดีษอรับได้ เขาก็ทราบว่า เป็นของจริง  เขาจึงรับอาสา ตอบแทนคุณแครอท ซึ่งเขา ทราบดีว่า คุณแครอทไม่รู้เรื่อง ว่า ฮาดีษนั้นมาจากที่ใด    ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องระหว่างผมกับผู้รู้ของ คุณ แครอท เสียแล้ว  คุณมีหน้าที่รับฟังอย่างเดียว ให้ ผมและผู้รู้ของคุณสนทนากันก่อน เมื่อคุณมีความสงสัยแล้วจึงถาม ในขณะนี้ คุณต้อง หยุด พร่ำไปสักพกก่อน  เข้าใจไหมครับ?   ผมเข้าไปตรวจดูแล้วครับแต่ยังไม่มีคำตอบในกระทู้นั้น แต่ถ้าคุณรอไม่ไหวหรือคิดว่าคุณมีทางตอบได้ แล้วก็เชิญคุณได้ตามสบาย  เพราะคุณได้ทราบแล้วว่า ฮาดีษนั้น เป็นของจริง มาจาก หนังสือของผู้ที่คุณยกย่อง และ สดุดีตลอดมา ไม่ได้มาจากเวบทำลายมุสลิม อย่างที่คุณได้โกหก ปรักปรำผม เชิญกลับไปตรวจดูอีกทีครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 02:39:34

ความคิดเห็นที่ 67 นี่คือฮาดีษที่ผมถาม จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 02:47:35

ความคิดเห็นที่ 68 ผมก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้แต่แรกอยู่แล้วล่ะครับ แล้วก็ไม่ได้สนใจอยากจะคุยกับคุณด้วย ผมคุยเรื่องฮิญาบ แต่ตัวคุณเองก็บอกชัดๆนะครับว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 09:59:06

ความคิดเห็นที่ 69 แถมยังเป็นคนถามเรื่องนี้กับผมเองอีกดังนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 09:59:41

ความคิดเห็นที่ 70 บางครั้งก็แสดงความอยากคุยกับผมจนน่าสะอิดสะเอียน แต่พอตอบแล้วดันเลี่ยงซะอย่างนั้น ผมไม่ได้อยากคุยกับคุณหรอกนะครับ ถ้าตอบไม่ได้ผมก็ไปถามมา แต่เมื่อเอาคำตอบมาแล้ว ทำไมจะเลี่ยงซะล่ะ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 10:20:03

ความคิดเห็นที่ 71 เอาเถอะ คุณจะรอตอบ ท่าน SA ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเมื่อคุณ แสดงการโกหก ออกมาแล้ว มันก็จบ ไม่ว่าคุณจะตอบหรือไม่ตอบมันก็ไม่เกี่ยวแล้วล่ะครับ เพราะผมถามคุณแล้วว่า ฮะดีษนั้นอยู่ตรงไห ถึงแปลได้ว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ ..." ถ้าคุณไม่ตอบก็เท่ากับยอมรับว่าโกหก ก็ไม่จำเป็นต้องคุยต่อแล้ว เรื่องฮิญาบก็จบแล้ว เพราะงั้นก็ตัวใครตัวมันละกันนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 10:22:38

ความคิดเห็นที่ 72 ส่วนฮะดีษที่ คุณนำมาแปะ คำตอบก็มีใน คคหที่ 49 แล้วครับ ถ้าไม่ได้อ่านก็อ่านใหม่นะ อัลบุคอรีย์กล่าวว่า 268 - حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ قَالَ حَدَّثَنَا مُعَاذُ بْنُ هِشَامٍ قَالَ حَدَّثَنِى أَبِى عَنْ قَتَادَةَ قَالَ حَدَّثَنَا أَنَسُ بْنُ مَالِكٍ قَالَ كَانَ النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - يَدُورُ عَلَى نِسَائِهِ فِى السَّاعَةِ الْوَاحِدَةِ مِنَ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ ، وَهُنَّ إِحْدَى عَشْرَةَ . قَالَ قُلْتُ لأَنَسٍ أَوَكَانَ يُطِيقُهُ قَالَ كُنَّا نَتَحَدَّثُ أَنَّهُ أُعْطِىَ قُوَّةَ ثَلاَثِينَ . وَقَالَ سَعِيدٌ عَنْ قَتَادَةَ إِنَّ أَنَسًا حَدَّثَهُمْ تِسْعُ نِسْوَةٍ ความหมาย "อะนัส บิน มาลิกเล่าว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเคยเวียนต่อบรรดาภริยาของท่านท้งหมด (มีเพศสัมพันธ์กับพวกนาง) ในเวลาเดียวจากกลางคืนและกลางวัน และพวกนางมีทั้งหมดสิบเอ็ดท่าน" เกาะตาดะฮฺได้ถามอะนัสว่า "ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมมีความสามารถขนาดนั้นเลยหรือ?" อะนัสตอบว่า "พวกเราเคยพูดคุยกันว่า ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้รับการประทานพลังเท่ากับชายสามสิบคน" และสะอีดได้เล่าจากเกาะตาดะฮฺว่า อะนัสได้เล่าแก่พวกเขาว่า พวกนางมีทั้งหมดเก้าท่าน" ซึ่ง คำแปลนั้น ไม่ใช่แปลว่า ทั้งวันทั้งคืน จนไม่สามารถละหมาดได้หรอกนะครับ คำว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้..."   เป็นการโกหกใส่อิสลามอย่างเห็นได้ชัด เพราะ คำว่าمِنَ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ แปลว่า จากกลางวันและกลางคืน ไม่ได้แปลว่าทั้งวันทั้งคืน คำว่า "มิน" ในภาษาอาหรับให้ความหมายว่า บางส่วน หรือส่วนหนึ่ง เราสามารถแปลว่า "จากส่วนหนึ่งของเวลากลางคืนและกลางวันเหมือนกับคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า ساعة من النهار หรือ ساعة من نهار หมายถึง "เวลาเพียงชั่วครู่เดียวในเวลากลางวัน" นี่เองผมถึงได้ถามภาษาอาหรับไงครับ เพราะฮะดีษนั้นย่อมต้องไม่ขัดกับกุรอ่านอยู่แล้ว การที่คุณบอกว่า "...สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้..." มันจึงทำให้ผมจับโกหกได้ไงครับว่ามันไม่จริง แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 10:29:18 แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 10:26:59 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 10:26:25

ความคิดเห็นที่ 73 ทีนี้รู้หรือยังครับว่าทำไม ท่าน SA จะมาตอบ นั่นก็เพราะ อ่านปุ๊บก็ทราบว่า login แมทท์โกหกไงล่ะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 10:30:16

ความคิดเห็นที่ 74 ตอนนี้ จึงยังไม่มีฮะดีษไหนที่แปลว่า "...ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ ..." อย่างที่ login แมทท์โกหกแต่อย่างใด ฮะดีษที่นำมาก็ไม่มีคำแปลนี้นะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 10:35:22

ความคิดเห็นที่ 75 ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแจ้งให้สมาชิกห้องศาสนาทราบโดย ทั่วๆกันว่า  คุณ Caroth ได้ใช้วิธีการที่ไม่ใช่นักวิชาการ ใช้ในการสนทนา กัน ก่อนอื่นผมขอความกรุณาทุกๆท่านให้ ตาม ลิ้งค์ นี้ ไปอ่าน ให้เข้าใจ http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?PHPSESSID=823e60c7069906a5dae6a26d0997125f&action=profile;u=1254;sa=showPosts;start=15    คุณแครอทนำกระทู้ที่สนทนากับผม ทุกๆกระทู้ ไป ถาม เวบ ดังกล่าว ซึ่ง แม้แต่ผู้ตอบก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมถาม  เนื่องจาก ไม่ทราบ ข้อมูล ว่า ผมได้มาจากที่ใด    ผมได้มาจาก ตำราในห้องสมุดที่บ้านผม สะสมไว้ เป็นเวลานาน และเมื่อมี อินเทอเนท์ มันทำให้สดวกกับผมในการค้นหาบทความที่มีความถูกต้องตามหลักการของอิสลามมากขึ้น  ฮาดีษ หมายเลข 268, บทที่ 13, เล่มที่ 5, หมวด 1 ของ Dr. Muhammad Muhsin Khan, Islamic University, Madina Al- Munawwara เป็น หนังสือ ฮาดีษ ที่ เป็นที่รับรองของ ซุนนีย์มุสลิม ทั่วโลก Dr. Muhammad Muhsin Khan เป็นผู้แปล ฮาดีษ จาก ภาษาอรับ ข้างบนนี้ มาเป็นภาษาอังกฤษ ใช้กันทั่วโลก ซุนนีย์มุสลิม ซึ่งแปลว่า.. Anas bin Malik said, "The Prophet used to visit all his wives in a round, during the day and night and they were eleven in number." I asked Anas, "Had the Prophet the strength for it?" Anas replied, "We used to say that the Prophet was given the strength of thirty (men)." And Sa'id said on the authority of Qatada that Anas had told him about nine wives only (not eleven). ข้างล่างนี้ คือคำแปลของผม  อานาส บิน มาลิก กล่าวว่า, “ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (มูฮัมมัด) ได้เคย ไปเยี่ยมภรรยาทั้งหลายของท่าน(ในการร่วมเพศ), ระหว่างเวลากลางวันและกลาางคืน และบรรดาภรรยาของท่าน เป็นจำนวน 11 คน,”  ฉันได้ถาม อานาสว่า  “ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (มูฮัมมัด) มีกำลังในการทำเช่นนั้น (ร่วมเพศกับภรรยาระหว่างเวลากลางวันและกลางคืนในฮาดีษไม่ได้ระบุไว้ว่า ท่านร่วมกับภรรยาท่านคนละกี่ครั้ง แต่ทั้งหมด 9-11 คน), อานาสตอบว่า, เราเคยกล่าวกันว่า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (มูฮัมมัด) ได้รับประทานกำลัง เท่ากับ กำลังของชาย 30 คน, และ ซาอิด ได้กล่าวจาก รายงานของ คอตะดะว่า อานาส ได้บอกเขาในเรื่องนั้นว่า  “ภรรยาของท่านจำนวน 9 คนเท่านั้น ไม่ใช่ 11 คน ที่ในตอนแรกผมไม่บอก หมายเลข, ตัวบท และ หมวดหมู่ของ ฮาดีษ บทนี้นั้น มันเป็นความตั้งใจของผมที่ ผมต้องการทดสอบ ความรู้ทางภาษาอรับ และ ทางภาษาอังกฤษ และความ มีการศึกษามากน้อยเพียงใดในเรื่อง ฮาดีษ ของคุณ แครอท  ซึ่งผมเดาแล้วไม่ผิด  ว่า แกเป็น คนที่ ผรั่ง เรียกว่า  "BULLY"      ผมจะยังไม่บอกหรืออธิบายว่า "ฮาดีษบทนี้ ผิดถูกอย่างไร? ผมจะรอให้ คุณ SA  กลับมาคุยกลับผมก่อน  การอธิบายของคุณแครอทข้างบนนี้ 72-73-74 เป็นการเล่นลิ้นเล่นสำนวนในภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่แกไม่เข้าใจ สำนวนของทั้ง ภาษาอรับ และ ภาอังกฤษ ของ Dr. Muhammad Muhsin Khan  แปลไว้ อย่างถูกต้อง "during the day and night " เป็น วลีที่ง่ายๆที่สุดในภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่ต้องการ ตีความหมายอย่างหนึ่งอย่างใดเลย  แต่คุณ แครอท พยายามจะ ทำให้ทุกๆท่านเห็นว่า แกเข้าใจภาษาอังกฤษดีกว่า ผม และ Dr. Muhammad Muhsin Khan   ลองพิจารณาคำถามของคุณแครอท ในเวบสติวเด้นข้างบนนี้ จะเห็นว่า คุณแครอท ยอมรับว่า ไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจสิ่งที่ผมเขียนเลย คุณแครอทแจ้งแก่เวบข้างบนนี้ว่าดังนี้ ....................... เนื่องจากได้มีการโจมตีอิสลาม และได้ใช้ฮะดีษเหล่านี้ เพื่อบอกว่า ฮะดีษไม่น่าเชื่อถือ โดย login แมทท์ ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8948889/Y8948889.html ผมจึงให้ login นี้ ไปหาตัวบทภาษาอาหรับมา ถ้าหามาไม่ได้ผมคงต้องแจ้ง ทาง pantip ให้ดำเนินการยึด login เพื่อไม่ให้บิดเบือนอิสลามต่อไป และผมอยากทราบครับว่า ฮะดีษดังกล่าวนั้นมีจริงหรือไม่? และอยู่ในบทไหน ครับ มีรายละเอียดอย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะครับ เพราะมันคือการโจมตี และบิดเบือนอิสลาม จะมีอีกกี่คนที่จะเข้าใจอิสลามผิดๆ จากการกระทำของ login นี้ จึงรบกวนผู้ที่พอหามาได้อธิบายด้วยครับ เพราะผมเองไม่ใช่ผู้รู้ ทำได้แค่นำข้อมูลจริงไปลงเท่านั้น วัสลาม   .................. จากคำถามนี้คุณจะเห็นว่าที่ผมเสียเวลาโต้ตอบกับคุณแครอท มาเป็นปีๆนั้น  ไม่ใช่สนทนา กับคนที่มีความรู้ทางศาสนาเลย คงเป็น เด็กวัยรุ่น เดินหนังสือ จากเวบหนึ่งมาอีกเวบหนึ่งเท่านั้น  เพื่อ จะเอาเพียง แค่ คำชม และ กิฟต์ จาก กองเชียร์ และ หลอกด่าผม ฟรีๆ เท่านั้น  ความจริงแล้ว ไม่มีแก่นสารอะไรเลย, และได้มีเพื่อสมาชิกเตือนผมไว้แล้วในเรื่องนี้มาก่อนแล้ว     คุณลองสังเกตุคนมีความรู้อย่างคุณ SA คุณจะเข้าใจว่า เขามีความรู้ และ เลือกจะสนทนา ในด้านความรู้ที่เขาเรียนมา ซึ่งเขาจัดว่าเป็นผู้รู้ในเวบข้างบนเช่นกัน     สิ่งสกปรกที่สุดและผิดจริยาธรรม ของนักวิชาการคือ คุณแครอท ทำตัวเป็น บ่างช่างยุ  พยายามยุยงปลุกปั่น  ต่อเวบ สติวเด้น ให้ โทรศัพท์ ถึงเวบพันทิพย์ รให้ะงับสิทธิของผมในการใช้ ห้อง ศาสนาของพันทิพ   ถ้าเขาทำกับผมได้สำเร้จ  เขาก็ทำกับสมาชิกทุกๆท่านได้ โดยใช้คำอ้างเพียงประโยคเดียว คือ "ผู้ทำลายอิสลาม" ทั้งๆ ที  เวบนี้ ไม่มีความคิดเห็นในหลักการ ถูกต้อง กับ เวบอนุลักษ์ อิสลาม และ มุรีด .คอม  ซึ่งเป็นเวบซุนนีย์มุสลิมเช่นกัน, เพื่อนสมาชิก จะเห็น ข้อโต้เถียงกันไม่ยากเลย  ถ้า ตามอ่าน กระทู้ต่างๆ ของเวบเขา  ผมคิดว่าเพื่อนๆ สมาชิก คงจะเห็นการกระทำ ที่ขาดจริยาธรรมและความซึ่อตรง ในการแสดงความคิดเห็น  ต่อคู่สนทนาของคุณแครอทแล้ว   ถ้าเขาสนทนากับ พุทธศาสนิก, คริสเตียน หรือ ศาสนิกชนอื่นๆ และเกิด มีความขัดกันเรื่องศาสนาตามเหตุผลแล้ว  เขาจะทำกับเพื่อนๆสมาชิกด้วยกันเช่นที่ทำกับผม  คือ พยายาม จะใช้ ความเป็นเจ้าเลห์  ตะลบตะแลง แจ้งเท้จและใส่ร้าย โดย ไม่ใช้เหตุผลว่า " ผู้ทำลายอิสลาม"   ในเมื่อไม่มีความรู้ พอที่จะตอบโต้คู่สนทนาด้วย เหตุผลทางตรรกวิทยา   ด้วยเหตุผลนี้ ผมจะไม่สนทนากับคุณแครอทต่อไป และ ขอร้อง อย่าให้ คุณแครอท เข้ามายุ่ง ในกระทู้ใดๆ ของผมอีกต่อไป ถ้าไม่พยายาม ใช้มรรยาท ที่สุภาพ และ ถูกวัฒนธรรมและประเพนีของชาวไทยและสังคมของคนไทยเรา โดยทั่วๆไป และคุยด้วยสติปัญญาของตนเอง แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 12:56:50 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 12:44:49

ความคิดเห็นที่ 76 ถ้ารับผิดชอบคำพูดตัวเองไม่ได้ ก็ไม่น่าจะต้องเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้มันเป็นเรื่องตื่นเต้นเลยนะครับ ยิ่งมาแจ้งให้สมาชิกในห้องศาสนาทราบนี้ ผมคิดว่าน่าตลกเข้าไปอีก เพราะสมาชิกในห้องศาสนา เขารู้ครับ เนื่องจากผมไม่เคยปกปิดว่า ผมได้ไปถามผู้รู้ทั้งหลายมาตอบ เอางี้ดีกว่า ผมว่านี่เป็นหลักฐานที่ดีนะครับ ว่าผมก็บอกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:33:22

ความคิดเห็นที่ 77 ผมบอกเสมอว่า ผมต้องไปถามผู้รู้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:33:59

ความคิดเห็นที่ 78 ผมว่าผมบอกมาตลอดนะครับ และแทบจะทุกครั้งเลยว่าเรื่องฮะดีษนั้น ผมต้องไปถามผู้รู้ครับ ผมเคยบอกไหมว่าผมเชี่ยวชาญภาษาอาหรับ? ผมเคยบอกหรือเปล่าว่าผมตอบเอง? เปล่าเลยผมจะบอกทำนองนี้เสมอว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:34:41

ความคิดเห็นที่ 79 ถึงผู้ที่ใช้นามว่า nada-yoru     ฮาดีษที่คุณ ช่วยหาให้..นั้นเป็น.. ฮาดีษ หมายเลข 268, บทที่ 13, เล่มที่ 5, หมวด 1 ของ Dr. Muhammad Muhsin Khan, Islamic University, Madina Al- Munawwara เป็น หนังสือ ฮาดีษ ที่ เป็นที่รับรองของ ซุนนีย์มุสลิม ทั่วโลก  ผมหวังว่าคุณคงได้ความรู้ เพิ่มเติมบ้าง, ผมอยากแนะนำว่า อย่าเชื่อ "กระต่ายตื่นตูม" และ/หรือเชื่อ "เด้กเลี้ยงแกะ" มากไปนะครับ คุณจะเสียผู้ใหญ่  ถ้าไม่เช่นนั้นคุณก็คงเข้าใจผิดคิดว่า Dr. Muhammad Muhsin Khan เป็นผู้พยายามทำลายศาสนาอิสลามอีกเช่นกัน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:35:08

ความคิดเห็นที่ 80 ผมบอกแล้วไงล่ะครับว่า ผมต้องการต้นฉบับภาษาอาหรับ เพื่อจะได้ทราบว่าคุณโกหกหรือไม่แล้ว ก็โกหกจริงๆ ด้วย ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับผมจะอ่านภาษาอาหรับออกได้หรือไม่ได้หรอกครับ เพราะคนอย่างคุณ ถ้าไม่ไปลอกคนอื่นเขามา ไม่ไปจำตามเว็บมาคุย ก็ไม่ได้มีความรู้อะไร ภาษาอาหรับจากที่คุยมาก็ทำให้ผมทราบว่า คุณก็ไม่เข้าใจภาษาอาหรับ ผมถึงถามหาภาษาอาหรับไงครับ เพราะอยากรู้ว่า ที่เอามานั้นน่ะ ตัวเองเข้าใจหรือไม่ ผลก็ปรากฎว่า คุณไม่ได้เข้าใจอะไรในฮะดีษเลย ได้แต่อ่านคำแปลภาษาอังกฤษเท่านั้น แล้วก็เอาต้นฉบับมาแสกนลงโดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาหมายความว่าอะไร แล้วคุณก็ทำเหมือนเดิมคือกล่าวหาคนอื่นโดยปราศจากหลักฐาน ตอนนี้ก็บอกอีกแล้วว่าผู้ที่ตอบผมในกระทู้เว็บ Sunnah Student นั้น ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณถาม??? แต่บอกไม่ได้ว่าเขาไม่เข้าใจตรงไหน? ส่วน คำอธิบายของผมเรื่องนี้นั้น ผมบอกแล้วครับว่า ผมไม่ได้มั่วตอบเอง ผมถามผู้รู้มาแล้ว และคุณก็แปลของคุณเองนะครับ login แมทท์ว่า จนป่านนี้ผมยังไม่ได้คำตอบจากคุณเลย ว่า  เรื่องโกหก ในฮาดีษซอเฮี๊ยะ ที่ว่า   ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้  ฮาดีษเหลวไหลอย่างนั้น ยังเชื่อกันไปได, เป็นฮาดีษที่ ทำลายคุณลักษณะของรอซูล เวบที่โจมตีอิสลามถึงมีฮาดีษจำพวกนี้มาก ดังนั้นไม่ต้องพยายามแก้ตัวหรอกครับ เพราะตอนนี้ ไม่เกี่ยวแล้วว่าผมจะไปหามาจากไหนหรือไปถามใครมาเนื่องจากผม บอกตลอดว่าไปถาม แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณโกหกใส่ศาสนาอิสลามครับ คุณบอกเองนะว่า เรื่องโกหกให้ฮะดีษซอเฮียะห์ ที่มีการสุขสำราญจนไม่มีทางละหมาดได้ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณโกหกใส่ศาสนาอิสลามครับ คุณบอกเองนะว่า เรื่องโกหกให้ฮะดีษซอเฮียะห์ ที่มีการสุขสำราญจนไม่มีทางละหมาดได้ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณโกหกใส่ศาสนาอิสลามครับ คุณบอกเองนะว่า เรื่องโกหกให้ฮะดีษซอเฮียะห์ ที่มีการสุขสำราญจนไม่มีทางละหมาดได้ ย้ำอีกที่ว่า แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณโกหกใส่ศาสนาอิสลามครับ คุณบอกเองนะว่า เรื่องโกหกให้ฮะดีษซอเฮียะห์ ที่มีการสุขสำราญจนไม่มีทางละหมาดได้ ดังนั้นแล้วผมจึงต้องไปถามมาตอบไงล่ะครับเพื่อ จับโกหก login แมทท์ แล้วในที่สุด login แมทท์ก็โดนจับโกหกได้อีกแล้ว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:50:51

ความคิดเห็นที่ 81 ไม่หรอกครับ อ่านดูดีดี คุณบอกเองว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:53:14

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่เกี่ยวกับ ภาษาอังกฤษ ที่ ท่านผู้รู้ได้แปลมนะครับ  เพราะคุณแปลว่า จนป่านนี้ผมยังไม่ได้คำตอบจากคุณเลย ว่า  เรื่องโกหก ในฮาดีษซอเฮี๊ยะ ที่ว่า  ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้  ฮาดีษเหลวไหลอย่างนั้น ยังเชื่อกันไปได, เป็นฮาดีษที่ ทำลายคุณลักษณะของรอซูล เวบที่โจมตีอิสลามถึงมีฮาดีษจำพวกนี้มาก นี่ยิ่งแสดงว่า นอกจากคุณจะไม่รู้ภาษาอาหรับคุณยังจะโกหกอีก ภาษาอังกฤษ ก็ไม่เคยแปลว่าทั้งวันทั้งคืน แล้วไปเอามาจากไหน ว่าสุขสำราญ ทั้งวันทั้งคืน จนไม่มีทางทำละหมาดได้ บอกมาสิครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 14:55:12

ความคิดเห็นที่ 83 อ่อผมจะบอกอะไรให้นะครับว่า ผมหรือมมุสลิมในที่นี้ ไม่ได้มีใครอยากเสียเวลา และลดสถานะตัวเองเพื่อไปสนทนากับคนอย่างคุณหรอก login แมทท์ แต่ก็ต้องทำ เพราะคุณกำลังบิดเบือนอิสลาม และโกหกใส่อิสลามครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งโกหกใส่ กุรอ่าน โกหก ใส่ฮะดีษ บิดเบือนคำสอนของอิสลาม พอถูกจับได้ก็หนีหลักฐานมีเป็นสิบกระทู้ และอีกอย่างนะครับ ผมไม่คิดหรอกครับว่า การกระทำของผมจะผิดหลักจริยธรรม เพราะผมไม่ได้ยุใคร ปลุกปั่นใคร ครับ แต่ผมเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิม ทำการใดๆ ที่สมควรเพื่อหยุดยั้งการโกหก และบิดเบือนอิสลามของคุณไงครับ login แมทท์ เพราะการกระทำของคุณเป็นการโกหกบิดเบือนศาสนาอย่างชัดแจ้ง และแน่นอน ผมจะทำแบบนี้กับใครก็ตาม ที่พยายามบิดเบือนอิสลามแล้วหนี ไม่รับผิดชอบคำพูดตัวเอง โกหก ใส่ร้ายศาสนา ซึ่งทางพันทิพจะทำการพิจารณาเอง ผมไม่ได้ทำการลบด้วยตัวเองนะครับ และการกล่าวหา ของผม ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ แต่เป็นการ บอกโดยมีหลักฐานสนับสนุนด้วย และผมขอบอกไว้เลยนะครับว่า เคยมีพวกที่ปากเสีย พูดจาดูถูกดูหมิ่นโจมตีอิสลาม อย่างไร้เหตุผลจากนั้นคนพวกนี้ก็โดนยึด login โดน ระงับ login ไปแล้วครับ ไม่ใช่ว่าทำกับคุณได้ คนอื่นก็จะโดน แต่คนอื่นโดนมาแล้วครับ และคิดว่า อินชาอัลลอฮฺ การโกหกใส่ร้ายอิลามในกระทู้ของคุณ น่าจะทำให้คุณโดนไปด้วย ผมจะลองปรึกษา พี่น้องทั้งในนี้ และที่อื่นๆ ดู ครับ เพราะครั้งนี้ มันเริ่มเกินเลย และเกิดเหตุแล้ว ฮะดีษซอเฮียนะห์ไม่เคยมีกรณี สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้ แต่คุณกลับบอกว่า เรื่องแบบนี้ มีอยู่ใน ฮะดีษซอเฮียะห์ แบบนี้ จะปล่อยไว้ได้หรือ? คุณจะคุยกับ ท่าน SA หรือใคร ก็ตามใจครับ แต่ผมบอกแล้ว หน้าที่ผมคือ จัดการคนโกหกอย่างคุณ และในกระทู้นี้ก็ได้ประจาน ความโกหก ปลิ้นปล้อน และกลับกลอกของคุณ เรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะ จะยึด login ได้หรือไม่ ก็ต้องรอดูครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 15:06:21

ความคิดเห็นที่ 84 อ่านซะนะครับ แล้วบอกหน่อยซิว่า กรณีนี้มีในฮะดีษไหน แต่ไม่ใช่ ฮาดีษ หมายเลข 268, บทที่ 13, เล่มที่ 5, หมวด 1 ของ Dr. Muhammad Muhsin Khan, Islamic University, Madina Al- Munawwara แน่ๆ ครับ เพราะผมเอาคำแปลมาให้อ่านกันแล้ว ดังนั้นคุณไปหามาสิครับ ฮะดีษซอเฮียะห์บทใด มีกรณีนี้ จนป่านนี้ผมยังไม่ได้คำตอบจากคุณเลย ว่า  เรื่องโกหก ในฮาดีษซอเฮี๊ยะ ที่ว่า ท่านรอซูล หลับนอนกับภรรยา 9-11คน  ทั้งคืนทั้งวันนั้น มันเป็น ซุนนะห์ที่ดีงามอย่างไร?  สุขสำราญจน ไม่มีทางทำละหมาดได้  ฮาดีษเหลวไหลอย่างนั้น ยังเชื่อกันไปได, เป็นฮาดีษที่ ทำลายคุณลักษณะของรอซูล เวบที่โจมตีอิสลามถึงมีฮาดีษจำพวกนี้มาก รับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 15:10:54

ความคิดเห็นที่ 85 อืมมมมมมม   เมื่อแพะ มาชนแกะ ทีไร  อ่านกันยาววววทุกที      ไม่เข้ามาซ่ะนานนนน ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน  อิอิ .... จากคุณ : bawon เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 17:49:01

ความคิดเห็นที่ 86 ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าจะจบโดยไว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 19:11:37

ความคิดเห็นที่ 87 ผมว่าคุณแมทท์คงเป็นคนมีอายุอย่างที่หมั่นอ้างจริงๆหล่ะครับ เพราะดูผิวเผินก็เหมือนจะสุขุม ยิ่งถ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านจับประเด็นแบบติดตามแล้วหล่ะก็ ดูเป็นคนคุมเกมส์เลยทีเดียว แต่..ผมกลับเห็นว่าคุณแมทท์เป็นคนเซื่องๆมากกว่าครับ คนที่ย้ำคิดย้ำทำในประเด็นที่ฝังหัว ไม่เปิดรับอะไรใหม่ๆแล้ว ไม่ว่าใครจะพยายามชี้แจงอย่างชัดเจนเพียงใด คุณแมทท์ไม่สน ส่วนคุณ Carroth ก็ดูเหมือนจะฉุนเฉียวอยู่เหมือนกัน ก็เป็นธรรมดาครับกับการคุยกับคนแก่ที่เหมือนหูไม่ค่อยดี ตาก็ฝ้าฟาง แต่หัวแข็งกับประเด็นฝังหัวมาแต่วัยหนุ่ม คงจะเด็กกว่าจริงๆเพราะดูแล้วสติปัญญายังฉับไวและติดตามประเด็นได้อย่างไม่หลงลืม เห็นคุณแมทท์ยกมาเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือหรืออย่างไรไม่ทราบ ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งความรู้หลายภาษา ทั้งวัยวุฒิ  ทำให้ผมก็ชักอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกันครับ ว่าคุณแมทท์อายุเท่าไหร่กันนะ?? ถึงโดนเด็กถอนหงอกได้ซะขนาดนี สงสารคนแก่ครับเหมือนถูกเด็กรังแก แต่อย่างน้อยถ้าคุณแมทท์ขยันแสดงความคิดเห็นขนาดนี้ ก็น่าจะมีกติกาปัญญาชนบ้างนะครับ เช่น การอ้างอิงที่เชื่อถือได้ กับการยอมรับบทสรุปในเรื่องที่ชัดเจนแล้วในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่เบี่ยงเบนประเด็นบ่อยๆ เป็นต้น ไม่ทราบคุณแมทท์อายุเท่าไหร่ครับ? ผม 34 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 23:28:41

ความคิดเห็นที่ 88 เป็นครั้งแรก ที่ตั้งกระทู้แล้ว คห เกือบร้อย.... .....จะดีใจดีมั้ยเนี่ย ตรู...... จากคุณ : จขกท (ramai) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 17:22:25

ความคิดเห็นที่ 89 ท่าน จขกท ครับ สรุปว่า ต้องคลุมฮิญาบเท่านั้นครับ ไม่มีทางเลี่ยงเป็นอื่นได้เลย ครับ ส่วนจะคลุมแบบไหน สไตล์ไหน อิสลามไม่กำหนด ขอเพียงแต่ว่า 1. สามารถเปิดเผยได้มากที่สุดคือใบหน้ากับฝ่ามือ 2. ไม่รัดรูปจนเห็นสัดส่วน แค่นั้นครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:53:12

ความคิดเห็นที่ 90 เรียน..จขกท (ramai) "อันนี้เป็นเรื่่องของนิกาย  หรือ กฏระเบียบยกเว้น ของแต่ละนิกาย"  การสวม ฮิญาบ..อันนี้เป็นเรื่องของนิกายในศาสนาอิสลามครับ  อิสลามไม่ได้บังคับ ถ้าเป็นเรื่องของหลักการศาสนาแล้ว มุสลิมะทุกๆท่านจะต้องสวมฮิญาบทุกๆคน,เพราะมีมุสลิมมะที่เข้าใจหลักการศาสนาอิสลาม อย่างดี ที่ไม่อาจจะถุกหลอกด้วยเหตุผลง่ายๆได้, และจะไม่ต้องมีการเรียกร้อง, ยังคับ หรือ ชวนเชิญ ในการสวมฮิญาบ, แต่เรื่องมันเกิด เพราะ บางนิกายยึดติดกับประเพนีอรับ จนเกินเถิดไป     การคลุมฮิญาบไม่ได้ทำให้จิตใจของใครเปลี่ยนไปได้   แม้แต่ ชายที่สายตาซุกซน   และไม่สามารถป้องกัน ความรู้สึก ทาง กามรมณ์ ของตนเองได้  เช่น บรรดา "มูนาฟิก" ทั้งหลายได้ ที่ชอบมอง ผู้หญิง อย่างเสียมรรยาททั้งหลาย  การ ดูหนังและฟังเพลงล  การเชื่อโชคลางล การเชื่อ ดวง การ การเชื่อ วันเดือน ปีเกิด , การดูดวงว่า คนเกิด วันอะไรสมพง กับ วันใด ซึ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ มูนาฟิกทั้งหลายปฏิบัติกัน  และหลอกตัวเอง หลอก และสังคมว่า  ตูข้าคือผู้ที่ป้อง กันอิสลาม  บางนิกาย ห้ามอย่างเด้ดขาด บางนิกาย ห้ามบ้างไม่ห้ามบ้าง     แต่ศาสนาอิสลามไม่ได้ห้าม การดุหนัง หรือ ฟังเพลง  เพราะหลัการของอิสลามสอนให้มนุษย์ใช้สคิปัญญาในการปฏิบัติศาสนากิจ, อิสลามห้ามเรื่อง การทำนาย การดูหมอ การเชื่อโชคลาง  ซึ่ง "มูนาฟิกส่วนมาก มักปฏิบัติกัน   ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่ บรรดานิกายต่างๆในอิสลาม ตั้งกกของตัวเองขึ้นมาคือ   การเยี่ยมหลุมศพคนตาย, การทำบุญฉลองวันเกิดของศาสดามูฮัมมัด และตัวเอง, การนำรูปภาพคนตายมา โพสต์และ แสดงความเสียใจจากการจากไปสู่อัลลอฮ์ ของผู้ตาย  เป้นต้น  บรรดามูนาฟิกจะไม่สนใจ และมองดุสังคมมุสลิมในสิ่ง เหล่านี้  แต่พอมีผู้มาทักท้วง  กลับ โกรธเคือง ว่า "เป้นผู้ทำลายหลักการของอิสลาม"  ทั้งๆที่ตัวเอง กำลังทำลายหลักการของอิสลาม อยู่ทุกๆวัน ทั้งโดยตั้งใจ และ ไม่ตั้งใจ   สิ่งเหล่านี้ คือ ความจริงในสังคมมุสลิม ทุกๆสังคม ซึ่งไม่ต่างจาก สังคมอื่นๆ  คุณเชื่อไหมว่า  มุสลิมบางนิกายเชื่อ และ สอนว่า ผู้ที่ ทำผิดทั้งหลาย, อาชญากรรมทุกๆประเภท  เช่น การข่มขืน, ฆ่าคนตาย, ทำความชั่วช้านาๆประการ  เขาเหล่านั้น จะได้การอภัยจากพระเจ้า และจะได้เข้าสวงสวรรค์ ...ข้อยกเว้นนี้ก็คือ ถ้า ในชีวิตของ เขาเหล่านั้นไม่เคย กราบไหว้หรือเคารพบูชาเทวรูป หรือยกสิ่งใดเทียบเคียงพระเจ้า"  ซึ่งในอิสลามไม่มีข้อยกเว้นในสิ่งเหล่านี้เลย, ถ้าใครทำความเลวเท่าใดก็จะได้รับสนองในความเลวนั้นเท่าหรือมากกว่าที่เขาทำไป,    นี่คือกฏทั่วๆไป ของ อิสลาม ไม่มีข้อยกเว้นในอาชญากรรม และการทำความชั่วใดๆ,  ซึ่งสิทธิในข้อยกเว้นอยู่ที่พระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่อาจจะกำหนดได้ หรือ ทำนายได้ว่า หรือ คาดว่า พระเจ้าจะให้ข้อยกเว้นแก่เขา    มุสลิมบางนิกายจะเลือกปฏิบัติตามใจชอบ  ถ้าอัลกุรอาน ห้ามสิ่งใดที่เขาต้องการทำ เขา จะอ้าง "ฮาดีษ" ที่มีข้อยกเว้นมาใช้อ้าง   ถ้า"ฮาดีษ" ห้ามอะไรแล้ว  เขาจะเลือก ข้อยกเว้นจาก อัลกุรอาน มาอ้าง   และถ้า ฮาดีษและอัลกุรอานห้ามแล้ว เขา ก็จะไป เอา ข้อ อ้าง ของ ฮาดีษ  บทอื่น หรือ การลงมติของ ผู้รู้ มาปฏิบัติ  เป็นข้ออ้าง   พวกที่ทำเช่นนี้คือ  บรรดามูนาฟิกีน ทั้งหลาย ที่เห็นๆกันอยู่เป็นประจำ  สรุปแล้วก็คือเลือก ปฏิบัติตาม ชอบใจ เป็นเรื่องๆไป โดยใช้ข้อยกเว้น ที่ตนต้องการจะใช้    แต่ถ้าเวลาถกปัญหากันแล้ว  "มูนาฟิก" พวกนี้จะออกมาป้องกันหลักการ อย่าง ว่า "ตูข้ารักอิสลาม" อย่าง นักหนา ทั้งๆที่  ทำตัวเหมือน นกมีหูหนูมีปีก  ไม่มีจุด ยืนของตัวเอง อยู่ทุกๆวันนี้ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 02:41:20 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 02:31:44

ความคิดเห็นที่ 91 กระทู้เหล่านี้่เป็นบทสรุป ของ การคลุมฮิญาบครับ ทั้งกุรอ่านและฮะีดีษระบุให้คลุมศรีษะไม่มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับนิกายนะครับ login แมทท์ ผู้ซึ่งพยายามบ่อนทำลายอิสลาม กำลังโกหกอยู่ ลองตามไปอ่านได้ที่กระทู้เหล่านี้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8507923/Y8507923.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/11/Y8521431/Y8521431.html http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/08/Y8235445/Y8235445.html ซึ่งมีทั้งบทความของผู้รู้ และการวิเคราะห์จากคนในอินเตอร์เน็ทครับ ไม่มีตรงไหนอนุญาตให้มุสลิมมะห์เปิดผมได้ นอกจากจะไม่มีความสามารถ หรือจำเป็นจริงๆ อันนี้คร่าวๆ อีกรอบ 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ)  ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา) และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่อง ประดับ (ซีนะห์) ของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ จบ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 17:21:54

ความคิดเห็นที่ 92 ผมลองอ่าน วีดีโอ และข้อความของการตอบกระทู้เรื่องเดียวกันนี้ จึงอยากแนะนำให้ เพื่อนๆสมาชิกลองอ่านดู้บ้าง อาจจะได้ ความคิดที่ต่างไปจากกระทู้นี้  ลองอ่านดุซิครับว่าเขาจบกันอย่างไร?  มีข้อความใดที่กล่าวถึงการทำลายอิสลามหรือไม่? MrsHaseeb214 As Salaamu Alaikum, So true and I'm glad to see a posting exposing the truth on this matter. Many scholars have deceived people into thinking that "hijab" is required for Muslim women when that's just not true. The Qur'an does not require it and in the versus that people use to justify "hijab" Allah mentions nothing of covering your head or hair. Being muslim isn't about a look, it's about a lifestyle of submission to Allah, swt. "But the raiment of righteousness-that is best" Qur'an 7:26. 4  5 months ago Hijab: Hijab Not Islamic but Cultural - Part 1   http://www.youtube.com/watch?v=HIqBNu-WLNQ Hijab: Hijab Not Islamic but Cultural - Part 2 http://www.youtube.com/watch?v=zFgd8wRy8AY แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 19:45:49 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 19:36:11

ความคิดเห็นที่ 93 ถ้าผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม อ่านจากกระทู้ที่คน มุสลิมไทยสนทากัน  อาจจะคิดว่า ผมกำลังทำลาย "อิสลาม" แต่ความจริงแล้ว มีผู้ที่เข้าใจในเรื่อง ฮิญาบนี้ ว่า "ไม่ใช่ข้อบังคับในศาสนาอิสลามแต่เป็นประเพน๊" อยู่มากแต่ไม่กล้าเปิดปากออกมา เพราะกลัวจะถูกรุมด่าจากมุสลิมด้วยกันอย่างหบาบคาย อย่างที่คุณๆเห็นผมถูกด่าอยู่ที่นี่    สำหรับข้อเขียนของ มุสลิม จากต่างประเทศ  มีมาก ในเรื่อง ฮิญาบนี้  ทั้งนี้เพราะว่า  ในจำนวนมุสลิมทั้งโลกนี้  มีเพียงกระจุกเดียวที่เป็น Non- Arabian Muslim ที่ยังหลงอยู่ว่าถ้า นับถือศาสนาอิสลามแล้ว จะต้องแต่งกายตามประเพนีอรับ จึงจะ เป็นที่เคร่งครัดในศาสนา อิสลาม  ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น  ซึ่งจะเห็นได้จาก การอธิบาย ใน วีดิโอ ดีกว่าที่ผมอธิบาย  เพราะเขาเข้าใจภาษาอรับดีกว่า ชนชาติใดๆ WhereIsTruth (1 year ago) Salaam, i agree with your video. Allah was telling men and women to dress moderately. he never instructs women to wear a hijab. the woman of the time wore head covering because they lived in a desert, to protect them from the sun. Allah was just saying they should pull them over their chests. the command from God was to cover their bossom well...not wear a scarf. lengthening your garments and cover you chest does not mean you have to wear Islamic dress. peace upon you   อ่านและศึกษาดูแล้วกันครับว่า การมีจุดยืนในความศรัทธาศาสนาที่ถูกต้องนั้น  ไม่อาจจะมีสิ่งใดมาทำให้ ความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอนได้  แม้ ว่าจะถูกด่า ด้วย ความหยาบคาย และด้วยความกักขระ ของผู้ที่ พยายามปิดบังความจริง  ที่กลุ้มรุมกันด่าเหมือน PACK OF WOLVES  ก็ตาม จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 20:59:25

ความคิดเห็นที่ 94 http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/426 http://www.muslimnakhon.com/view/index.php?topic=221.0 ทั้งกุรอ่าน และฮะดีษ ไม่มีการอนุญาตให้มุสลิมะห์ไม่ต้องคลุมฮิญาบได้หรอกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 21:00:07

ความคิดเห็นที่ 95 ถ้ามุสลิมมะห์สามารถเปิดศรีษะได้จริง หรือกุรอ่านอนุญาตให้ไม่ต้องคลุมศรีษะได้จริง หรือไม่มีข้อบังคับใดในอิสลาม ให้ต้องคลุมศรีษะได้จริงแล้วล่ะก็ แนวคิดนี้ย่อมแผ่กระจายไปทั่วครับ ไม่ใช่มีมากแค่คำอ้าง แล้วบอกมาทีหลังว่า ไม่กล้าเผยตัวเพราะกลัวโดนรุมด่า เพราะถ้าการไม่คลุมฮิญาบมีเหตุผลทางศาสนาจริงแล้วล่ะก็แนวคิดนี้ไม่สามารถถูกห้ามได้หรอกครับ เพราะศาสนาอิสลาม มีหลักการชัดเจน ตั้งอยู่บนกุรอ่าน และแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด แต่ถ้า ไม่มีหลักการอะไรชัดเจน เป็นเพียงแค่คำอ้างลอยๆ ไม่สมเหตุสมผล ก็ไม่แปลกที่คนอ้างจะไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะถ้าเปิดเผยตัวย่อมจะไม่มีที่ยืนในสังคมอิสลาม เพราะไม่มีเหตุผลในหลักการที่เพียงพอนั่นเอง และอย่างผมเน้นย้ำไปนั่นแหละครับว่า ฮิญาบนั้นเป็นมติเอกฉันท์ของบรรดาผู้รู้ทั่วโลกครับ ไม่มีการขัดแย้งเรื่องนี้ นอกจากลัทธินอกศาสนา ที่ไม่มีหลักการอะไรเท่านั้นเอง คำว่าศรัทธาที่ถูกต้อง หรือคำว่าเข้าใจกุรอ่านนั้น ไม่ใช่คำที่ใครก็จะมาอ้างลอยๆ ด้วยความมันปาก หรือด้วยความคะนองได้หรอกนะครับ แต่คำนี้ต้องแสดงออกมาจริงได้ด้วย และกุรอ่าน รวมทั้งฮะดีษ นั้น มุสลิมมะห์ต้องคลุมศรีษะครับดังโองการนี้ 24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ)  ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา) และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่อง ประดับ (ซีนะห์) ของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 21:16:33