ความคิดเห็นที่ 1 เวลากินอาหาร และเวลาเลิกกิน จากการคำนวณ เริ่มกิน 6.00 น. เลิกกิน 12.00 น. เริ่มกิน 6.30 น. เลิกกิน 12.15 น. เริ่มกิน 7.00 น. เลิกกิน 12.30 น. เริ่มกิน 7.30 น. เลิกกิน 12.45 น. เริ่มกิน 8.00 น. เลิกกิน 13.00 น. เริ่มกิน 8.30 น. เลิกกิน 13.15 น. เริ่มกิน 9.00 น. เลิกกิน 13.30 น. เริ่มกิน 9.30 น. เลิกกิน 13.45 น. เริ่มกิน 10.00 น. เลิกกิน 14.00 น. เริ่มกิน 10.30 น. เลิกกิน 14.15 น. เริ่มกิน 11.00 น. เลิกกิน 14.30 น. เริ่มกิน 11.30 น. เลิกกิน 14.45 น. เริ่มกิน 12.00 น. เลิกกิน 15.00 น. เริ่มกิน 12.30 น. เลิกกิน 15.15 น. เริ่มกิน 13.00 น. เลิกกิน 15.30 น. เริ่มกิน 13.30 น. เลิกกิน 15.45 น. เริ่มกิน 14.00 น. เลิกกิน 16.00 น. เริ่มกิน 14.30 น. เลิกกิน 16.15 น. เริ่มกิน 15.00 น. เลิกกิน 16.30 น. เริ่มกิน 15.30 น. เลิกกิน 16.45 น. เริ่มกิน 16.00 น. เลิกกิน 17.00 น. เริ่มกิน 16.30 น. เลิกกิน 17.15 น. เริ่มกิน 17.00 น. เลิกกิน 17.30 น. เริ่มกิน 17.30 น. เลิกกิน 17.45 น. จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 11:55:55

ความคิดเห็นที่ 2 สำหรับตอนหลังๆ ที่ต้องกินล่วงเข้ามาเวลาบ่าย และเวลากินกระชั้นชิด  ก็ควรพยายามกินมือเดียว  แบบว่า  นั่งแล้วกิน  กินแล้วลุก  ลุกแล้วไม่กินอีกตลอดวันครับ ^ ^ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 12:00:25

ความคิดเห็นที่ 3 วันนี้วันพระ ผมก็ถือศีลแปดนะครับ ตื่น+เล่นเนตเสร็จก็ราวๆสิบเอ็ดโมง กินไก่ทอดไปหนึ่งชิ้น อาบน้ำ เสร็จก็เที่ยงพอดี ^^ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 12:18:43

ความคิดเห็นที่ 4 การพยายามเปลี่ยนเวลา  คือ  ความพยายามเลี่ยงบาลี ต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ    พยามยามตื่นและกินให้เสร็จก่อนเที่ยง จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 12:35:31

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่จำเป็นต้องให้เสร็จไม่เกินเที่ยงมั้งครับ  หลายอาชีพเวลาทำงานไม่ได้อำนวยให้ปฏิบัติตามได้  ผมว่าอยู่ที่ใจนะครับ  กินเท่าที่กายต้องการ ผมถือว่าเป็นการเพียงพอแล้วที่จะถือได้ว่าปฏิบัติตามศีลที่กำหนด จากคุณ : อย่าไปรู้เลย เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 12:43:46

ความคิดเห็นที่ 6 ก็เพราะความคิดประหลาดๆประเภทอยู่ที่ใจนี่ไง ในอดีตพระภิกษุบางแห่งทางเหนือ  ถึงฉันภัตราหาร  เลยเที่ยงบางแห่งยันบ่ายก็มี "อยู่ที่ใจ"   แล้วใจนั้นเต็มไปด้วยกิเลส หรือ บริสุทธิ์ ลำบากนัก ก็งด ข้อ "วิกาลโภชนา"   แต่อย่าเลี่ยงบาลี จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 13:07:07

ความคิดเห็นที่ 7 ประสงค์จะถือศีล 8  เพื่อละกิเลส แล้วมาเห็นแก่กิน คิดเลี่ยงบาลี   ให้มันวุ่นวาย   แล้วกิเลสมันจะลดไหมนี่! จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 13:12:31

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อไปถือศีล 8 อยากจะถือข้อไหน ก็เลือกถือเอาตามใจเลยก็ได้แค่ให้มี 8ข้อ งั้นสิ อย่าตามใจกิเลสมากไปเลยครับ เอาเท่าที่ตัวเองปฏิบัติได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรให้เข้าหาตัวเองหรอก ควรจะเปลี่ยนตัวเองเข้าหาดีกว่า จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 13:15:10

ความคิดเห็นที่ 10 #7 แลกกับการอดกินตลอดวัน เอาเหรอครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 13:17:25

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 53 13:22:05 จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 13:19:11

ความคิดเห็นที่ 12 ไก่ทอดชิ้นเดียว อิ่มเหวอ ทอดทั้งตัวครับ ^^ . . . ไก่ทอดส่วนอกชิ้นเล็กๆเองครับ ซื้อมาเมื่อคืน ตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว T_T แต่ในเมื่อผมตื่นสายเอง ก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ผมตั้งปณิธานว่า ต่อไปนี้จะรักษาศีลเพิ่มจากศีลห้าเป็นศีลแปดทุกวันพระน่ะครับ นี่เป็นครั้งที่สองที่รักษาศีลแปดนอกวัด (ครั้งแรก วันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา) จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 14:03:02

ความคิดเห็นที่ 13 แค่ศีล 5 รักษาให้ได้ก่อน....ไม่ด่าง / ไม่ทะลุ / ไม่ขาด ฐานะเราเป็นฆราวาส...ควรทำการให้เหมาะแก่ตน.. ................................................................. เห็นด้วยกับ คห 4 และ 7... ................................... หากสมาทานแล้ว..รักษาไม่ได้ ก็กลายเป็นคนไม่มีสัจจะ.. บาปหนักกว่าเดิมอีก จากคุณ : tumyota เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 14:07:06

ความคิดเห็นที่ 14 แบบนี้คงต้องทำทุกอย่างตามเวลาครับคุณสมภพ แต่อาจต้องทำวีซ่าเปลี่ยนประเทศ จะได้ไม่ผิดข้อกำหนด โดยอาศัยอ้างอิงตามเวลาท้องถิ่น งานบางอย่างที่ทำในอินเทอร์เน็ต แล้วต้องอยู่ดึก ถือศีลแปดได้แล้ว ไชโย ...เฮ ~~~ จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!! เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 14:09:50

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าตื่นเที่ยง ก็คงกินได้แต่น้ำปานะไปนั่นแหละ ถ้าจะถือให้ถูกหลักเกณฑ์นะ กินตลอดเที่ยงวันยันเที่ยงคืนยันรุ่งสางก็ได้ แต่ถ้าจะถือเอาตามหลักกรู ก็กินไปเถิ๊ด จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 14:18:55

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าจะถือศีล 8 ก็ต้องไม่มีข้อแม้ อย่าทำตามกิเลส มันหลอกเอาค่ะ สมัยบวชชี โกนหัวนะคะ  ถ้าวันไหน ถูกลพ.ใช้ให้ไปทำอะไร ไม่ได้ฉันตั้งแต่เช้า  ถึงเพลก็ไม่ได้ฉัน  (ปกติฉันมื้อเดียว)  วันนั้นก็เท่ากับไม่ได้ทาน  ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ถ้าถือศีล 8 ไม่ได้  ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร  ขอให้ถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์ให้ได้ก่อนเถอะค่ะ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 53 14:26:35 จากคุณ : kaoim เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 53 14:23:39

ความคิดเห็นที่ 1 ศีลกำหนดมาเป็นสมมุติ ศีลกำหนดไว้เพื่อปิดกั้นกิเลส ไล่ตั้งแต่ศีล 5 ไปจนถึงศีล ระดับสูง ไม่ต้องไปยึดติดมาก ถ้าจะถือศีล8 แล้วมีเหตุจำเป็นแบบนี้ กลัวจะผิดศีล ก็ไม่ต้องไปถือ ท่านสามารถนำมาปรับเปลี่ยนใช้กับตัวเองได้ ศีลข้อ 1 ก็ไม่เบียดเบียน ลดความพยาบาท 2 ก็ไม่ลักทรัพย์ ลดความยึดมั่นในวัตถุของผู้อื่น 3 ก็ไม่ไปเกี่ยวกับสตรี ลดกามราคะตัณหา 4 ก็ไม่ไปพูดเท็จ ลดอัตตาในตัวเรา ของเรา ของเขา 5 ก็ไม่กินสุรา ลดจากความมัวเมาลุ่มหลงที่ตั้งแห่งความประมาท 6 ไม่กินอาหารหลังเที่ยง ก็คนเรากินอาหาร 2 มื้อก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แล้วเหตุใดจึงต้องการมากกว่านั้น 7 เว้นจากความเอนเตอร์เทนทั้งหลายแหล่ ก่อเป้นเหตุลุ่มหลงมัวเมา ไม่มีสติเห็นชอบรู้ชอบ 8 เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่ หรูหราฟุ่มเฟือย ศีล เป็นไปเพื่อลดละกิเลส ให้รู้เหตุนี้แล้วจึงรักษาศีล หรือถ้ารักษาไม่ได้เพราะความจำเป็นก็พยายามจำกัดตัวให้อยู่ในขอบเขตนี้ ที่จะเป็นไปเพื่อละนิวรณ์ ก่อเป็นจิตตั้งมั่นได้ต่อไป จากคุณ : มอสคุงอะครับ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 02:01:48

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าสุดวิสัยสายจริงๆแต่มีเจตนาอยากทำนะคะ ก็สามารถจัดการธุระตัวเองให้เสร็จก่อน จากนั้นก็ค่อยอารธนาศีล 8 แล้วอธิษฐานไปว่าจะถือศีล 8 กี่ชั่วโมงจะไปจบเมื่อไหร่แบบนี้ก็ได้ค่ะ... บางครั้งดิฉันไปปฏิบัติกรรมฐานกว่าจะถึงสถานที่ก็เย็น เริ่มถือศีล 8 ตั้งแต่ตอนเย็นที่เพิ่งเริ่มไปถึงจนถึงกี่วันก็ว่าไป อานิสงค์อาจจะไม่ได้เต็มที่เหมือนกับถือเต็มวันแต่ก็ยังได้มากกว่าศีล 5 หวังผลน้อยก่อนก็ได้ค่ะ พอได้เริ่มต้นแล้วถูกจริตเมื่อศรัทธาเกิดคุณก็อาจจะเริ่มตื่นเช้าได้เอง... จากคุณ : pandha (pandha) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 06:09:02

ความคิดเห็นที่ 3 บางท่านน่าเห็นใจมาก เพราะมีวิถีชีวิตแตกต่างจากคนทั่วไป เช่น ทำงานกะกลางคืน เป็นต้น ดังนั้นหากยึดบาลีเป็นหลักแล้ว ตราบเท่าที่ทำงานแบบเดิมคงไม่สามารถถือศีล 8 ได้ อันที่จริง "วิกาล" น่าจะหมายถึง "วิ" ที่แปลว่า "ไม่" และ "กาล" คือ "ไม่ใช่กาลที่เหมาะสม" หรือกินเมื่อร่างกายต้องการสารอาหารตามความเหมาะสม (ไม่ใช่ความเคยชิน 3 มื้อบ้าง 4 มื้อบ้าง) มากกว่าครับ เพียงแต่มีการกำหนดอย่างหยาบๆว่าหลังกลางวันไม่ควรรับประทานอีก ซึ่งแท้จริงก็ยังไม่ครอบคลุมเสียทีเดียว เพราะหากก่อนกลางวันหากมีการรับประทานอาหารว่าง กินขนมขบเคี้ยว (แบบสนุกปาก) ย่อมถือว่ากินในกาลที่ไม่สมควรเช่นกัน ดังนั้นต้องพิจารณาตาม (1) วิถีชีวิต ไม่ใช่ตามสะดวกสบาย (2) ความเหมาะสม ไม่ใช่ความพอใจ ในกรณีของคุณ จขกท. ยังสามารถตื่นเช้าได้ ก็ควรตื่นให้เช้าหน่อย หากวันใดตื่นสาย ก็เลือกรับประทานเพียงมื้อเดียว ส่วนเวลาให้ยึดกลางวันเป็นหลักไว้ก่อน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เช่น ต้องรับประทานยาบางชนิด ก็ไม่ควรรับประทานหลังเที่ยงครับ จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 08:19:13

ความคิดเห็นที่ 4 ...     พอดีผมเห็น login ว่าเป็นคนดังพันทิป ก็เลยขอรวมเสวนา ด้วยครับ ขอยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างนะครับ (อ้างนะครับ ไม่ใช้ข้อเท็จจริง) ขอยก สังโยชน์ ๑๐ ในข้อที่ ๓ มาพิจารณาครับ ๓. สีลัพพตปรามาส ความยึดมั่นถือมั่นในศีล(ข้อบังคับ)และวัตร(ข้อ ปฏิบัติ)แบบผิดๆ, ความถือมั่นในข้อบังคับและข้อปฏิบัติโดยสักแต่ว่าทํา ตามๆกันมาอย่างงมงาย อันเกิดจากการไม่เข้าใจในธรรม(สภาวธรรม)ตาม ความเป็นจริง แต่ปฏิบัติเป็นไปตามความเชื่อ ความยึด หรือตามประเพณีที่ สืบทอดกันต่อๆมา โดยขาดปัญญาพิจารณา     ผมขอถามดังนี้นะครับ 1. แน่ใจหรือครับ ว่าศีล 8 นั้นมีข้อกำหนดไว้จริงๆ 2. ไม่กินข้าวเย็นนั้นได้อะไรหรือครับ 3. ถ้าการฉันท์ข้าวตอนกลางคืนนั้นผิด     3.1 ผิดอย่างไรครับ     3.2 แล้วบาปอย่างไร โทษเป็นอย่างไร เป็นกรรมประเภทไหน ใน สีลัพพตปรามาส นั้นก็กล่าวไว้ดีอยู่แล้วนะครับว่า อย่างมงาย ก็เพราะว่า ที่พระภิกขุควรจะฉันท์มือเดียวนั้นก็คือ  1. ภิกขุ แปลว่า ผู้ขอ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ญาติโยมนั้นลำบาก จึงควรรบกวน      ญาติโยมให้น้อย ไม่ใช่กินกันทั้งวัน ใครจะมานั้งเลี้ยง 2. ภิกขุ ต้องรู้จักประมาณการบริโภค เพื่อไม่ให้วุ่ยวายต่อการหาเลี้ยงชีพ 3. ภิกขุ ต้องพิจารณาว่า ของทีฉันท์เข้าไปนั้นเป็น ปฏิกูล ดังนั้น ฉันท์เพื่อ     ให้มีชีวติอยู่ปฎิบัติธรรมได้ ไม่ได้ฉันท์เพื่อความอร่อยในกิเลส     ถ้าเข้าใจตามนี้ได้แล้ว ทำไมต้องกำหนดเวลาการกินด้วย ไม่เข้าใจ ถ้าทุกครั้งที่กิน แล้วระลึกถึงที่มาของศีลข้อนั้นละก็ จะกินเวลาไหนก็ได้     ถ้าสรุปง่ายๆ ก็คือ ฉันท์มื้อเดียว มื้อไหนก็ได้ นี่ก็คือการประมาณการ บริโภคแล้ว ถ้าจะให้เกิดเป็นอนิสงส์ขึ้นไปอีก ขณะก่อนรับประทานอาหาร ก็ให้พิจารณาสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะอาหารก่อนว่า เป็น ปฎิกูล คือการพิจารณา ให้รู้ทันว่า อาหารเมื่อทานเข้าไปแล้ว ก็จะถูกย่อยและถ่ายออกไปเป็นกาก ท้องก็เหมือนสุสานของสัตว์ที่กำลังจะกินเข้าไป ปลาที่อยู่ต่อหน้าก็ต้องมา ตายเพราะเราเป็นต้นเหตุ สิ่งที่มีชีวตทั้งหลายต้องมาจบชีวิตลงก็เพราะเรา เป็นต้นเหตุ ก็ขออุทิศส่วนกุศลให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย       หากพิจารณาอย่างนี้ทุกครั้งที่ทาน หรือ ทุกคำที่ทานแล้วละก็ ดีกว่า ไปนั่งกำหนดความกำหนัดที่ต้องกินก่อนเวลานั้นเวลานี้ อย่างนั้นเขาเรียกว่า ถือ สาก ครับ ไม่ได้เรียกว่า ถือศีล เพราะไปกดความรู้สึกตัวเองไปวันๆ แทนที่ จะเคราะห์ในส่วนที่เป็นธรรม(ในส่วนที่เป็นจริง) แต่กับเสียเวลาโดย เปล่าประโยชน์ไปกับห้องขังของศีล                                                                                            ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 08:33:50

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ต้องถือศีล 8 ก็ได้นี่ครับ ให้ลดละอกุศลกรรมบถ 10 ก็ได้ 1. ปาณาติบาต ทำให้สัตว์ให้ตกล่าง คือ ฆ่าสัตว์ 2. อทินนาทาน ถือ เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วย อาการแห่งขโมย 3. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม 4. มุสาวาท พูดเท็จ 5. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด 6. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ 7. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ 8. อภิชญา โลภอยากได้ของเขา 9. พยาบาท ปองร้ายเขา 10. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม ลดละได้ ไม่ตกนรก จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 09:09:43

ความคิดเห็นที่ 6 มื้อไหนก้อได้ ที่ทำแล้วร่างกายไม่เป็นทุกข์ ไม่ลำบาก อยู่ที่ใจและการตั้งอธิษฐานจิต แต่เราแค่คนธรรมดาศีล5ก้อพอมั้งค่ะ จากคุณ : pimploy_2010 เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 10:09:27

ความคิดเห็นที่ 7 อะไรกันนักกันหนา... ถึงขนาดจะบำเพ็ญศีล ๘  แต่ทำไมขี้เกียจตัวเป็นขนขนาดเม่นเรียกพ่อแบบนี้ ???  ทำไมคิดอยากจะตื่นสายถึงเที่ยงเลยหรือ ???  โอ้โห... ..ปกติคนฝึกธรรมะ  ต้องขยันหมั่นเพียร  เขาตื่นตั้งแต่ตี ๓ หรือช้าหน่อยก็ตื่นตี ๕  ตอนไก่ขัน  ไม่เคยได้ยินว่าใครจะนอนถึงขนาดจะตื่นเที่ยงวัน.... ตอนเช้ามืด  นักภาวนาเขาจะรีบตื่นมาฝึกจิตภาวนา  เพราะตอนนั้นจะได้ผลดีที่สุด  เงียบ สบายที่สุด .... จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 10:43:09

ความคิดเห็นที่ 9 ก็อย่าไปถือเลยยากนักก็อย่าไปทำ ไว้พร้อมเมื่อไรค่อยทำก็คงไม่สายไปหรอกครับ ชีวิตคนอายุตั้ง 120 ปี สักวันก็คงได้ทำน่า ถ้าจะทำจริง ๆ ก็คงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างซึ่งก็ลำบากอีกแหละครับ จากคุณ : จามรี เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 11:23:18

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าต้องตื่นเที่ยงเพราะหน้าที่การงานบังคับ ก็ลองปรับเวลากินตามความเหมาะสม แต่ถ้าตื่นเที่ยง เพราะกิเลสพาไป ก็ต้องต่อสู้กับมันบ้างครับ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 11:37:59

ความคิดเห็นที่ 11 ในอดีตพุทธศาสนาเคยแตกแยกออกเป็นนิกายเหตุผลข้อหนึ่งก็มาจากเรื่องเห็นแก่กินนี่แหละ จำชื่อบุคคลและสถานที่ทั้งหมดไม่ได้  ไว้วันหน้าจะค้นตำรามาเสนอ คือมีสมัยที่ชนบทแห่งหนึ่ง   มีปัญหาภัยแล้ง  อาหารขาดแคลน  พระภิกษุลำบากมาก  พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุ  เก็บอาหารบางประเภทไว้บริโภคข้ามคืนได้  แต่เมื่อภัยพิบัติหมดไป   พระพุทธองค์ทรงยกเลิก  ห้ามพระเก็บอาหารค้างคืนมาบริโภคอีก ภายหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน  พระมหากัสสปนำภิกษุสังคยานาพระไตรปิฏก  บอกพวกภิกษุที่ยังเก็บอาหารค้างคืนไว้บริโภคให้เลิก    แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่เลิก   กลับบอกว่าตอนพระพุทธเจ้าอนุญาต  พวกตนรับรู้  แต่ตอนยกเลิกพวกตนไม่เคยได้ยินและไม่รับรู้  จึงไม่ยอมเลิก  แถมยังชักชวนกันไปสังคยานาพระไตรปิฎกที่อื่นอีก   นี่ก็เพราะเห็นแก่กินแท้ๆ แล้วจขกท.ยังจะนำเสนอเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความวิบัติต่อพระศาสนาไปทำไมครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งศีลข้อวิกาลโภชนานี้  ปกติท่านที่คิดจะปฎิบัติอย่างอุกฤตเพื่อจุดประสงค์ไม่ให้มีอาหารส่วนเกินในร่างกาย  อันเป็นสาเหตุของกิเลสกาม หรือความต้องการทางเพศ ที่มาจากการสะสมมากไปจากการบริโภคอาหาร    คนถือศีล 5 ก็นิพพานได้   อย่าคิดนำเสนอเลี่ยงบาลีให้มันเป็นปัญหาในอนาคตเลยครับ ปล.ขอรบกวนท่านที่สามารถค้นเหตุการณ์ในพระไตรปิฎกตอนนี้  กรุณาช่วยส่งข้อความเพื่อเป็นความรู้หน่อย  ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:42:21

ความคิดเห็นที่ 12 login คนดังพันธิป  คือใครหรือครับ ตำแหน่งนี้ใครเป็นคนแต่งตั้งครับ   แล้วถูกต้องตามกฎกติกาพันธิปไหมครับ พอดีเมื่อสักครู่ลูกชายเข้ามาอ่านกะทู้  เลยฝากคำถามมาให้จขกท. และคุณชูสองนิ้วช่วยตอบหน่อยว่า ถ้าภิกษุ สามเณร นอนตื่นสาย (ตื่นเที่ยง)  แล้วมาขอใช้ตารางเวลาที่จขกท.นำเสนอในการออกบิณฑบาตร  และฉันภัตตราหาร   หยิบยกสังโยชน์ 10 ข้อที่ 3 สีลพตปรามาส  (ตามคุณชูสองนิ้ว)   โดยอ้างว่าไม่ควรปฎิบัติตามความเชื่อ ความยึดถือ  หรือ ตามประเพณีที่สืบทอดกันต่อ ๆ มา โดยขาดปํญญา   แล้วยังถามกลับพุทธศาสนิกชนว่า  จะฉันข้าวกลางคืนผิดด้วยหรือ ผิดอย่างไร  เป็นบาปกรรมประเภทไหน  ก็ในเมื่อภิกขุ แปลว่าผู้ขอ   บางทีญาติโยมก็ตื่นสาย(ตื่นเที่ยง) เหมือนจขกท.ว่าไว้    เพราะฉะนั้นตื่นสายทั้งพระเณรและญาติโยม  บิณฑบาตรและฉันมันกลางคืนนี่แหละดี  สะดวกทั้งพระเณรและญาติโยม ถ้าเหตูการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส  เป็น ดังตัวอย่างคำถามทั้งของจขกท>และคุณชูสองนิ้ว  คุณว่าพระพุทธศาสนาจะเดินไปในแนวทางไหนครับ เมื่อวันสงการณ์  ผมได้มีโอกาสคุยกับแคชเชียร์ของร้านอาหารแห่งหนึ่งในจ.เชียงใหม่  เธอเป็นคนดอย  เธอบอกว่าจะไม่ทำบุญใส่บาตรอีก   เพราะรับพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ฉันข้าวตอนเย็นที่เธอไปพบมาไม่ได้     เศร้าไหมครับ แล้วทั้งจขกท>คุณชูสองนิ้ว ยังอยากให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาหรือครับ  ผมถึงใช้คำว่าอย่าเลี่ยงบาลีไงครับ ปล.ท่านสมาชิกที่มาอ่านภายหลัง  กรุณาช่วยย้อนอ่านคำถามของคุณชูสองนิ้วก่อน  ผมคิดว่าจะเข้าใจมากขึ้นว่าผมกำลังสื่ออะไร    ขอขอบพระคุณตรับ จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 16:51:44

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับคุณ สองนิ้วชี้ ตามหลักการก็เห็นด้วยน่ะครับ แต่ทว่า  ผมก็เคยได้ยินมาว่า เคยมีภิกษุเข้าไปบิณฑบาตตอนเย็น แล้วชาวบ้านตกอกตกใจ  จากนั้นจึงทรงบัญญัติให้ภิกษุบิณฑบาตตอนเช้าเท่านั้น (ผิดถูกอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยน่ะครับ) ดังนั้น พระวินัยจึงเหมือนระเบียบอย่างหนึ่ง  ในการร้อยดอกไม้ที่กระจัดกระจายให้เป็นพวงมาลัยสวยงามได้ครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 17:23:07

ความคิดเห็นที่ 14 ดังนั้น ผมจึงกล่าวไว้แล้วว่า  กรณีนี้ ไม่รวมถึงสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือวัด  ซึ่งเป็นสถานที่ๆนักบุญไม่ได้ทำงานเป็นกะ  สามารถตื่นตามเวลาปกติของมนุษย์ได้ และผมเชื่อเสมอน่ะครับ  ว่าศีล 5  ศีล 8 หรือกระทั่งศีล 227 ทุกข้อเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนสามารถดำรงค์ชีวิตอยู่ได้สบายครับ  ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอริยะเท่านั้นครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 17:28:44

ความคิดเห็นที่ 15 และที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นกะ  แต่ว่าวันหนึ่ง อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับผู้ที่ตื่นเป็นปกติได้ ขอถามคุณ คนโบราณนานมาแล้ว หรือท่านอื่นๆ จะช่วยตอบก็ได้น่ะครับ "สุปปะพุทธะ นำข้าราชบริพารไปนั่งดื่มสุราขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไม่ได้เพราะมีทางออกอยู่ทางเดียว ถึงกับต้องอดพระกระยาหารไป 1 วัน  หลังจากนั้นจึงถูกธรณีสูบ" อันนี้อยากจะถามว่า ถ้าสุปปะพุทธะ เลิกลาตอนเที่ยง  พระพุทธองค์จะเสด็จออกไปบิณฑบาตอยู่หรือไม่ครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 17:38:53

ความคิดเห็นที่ 16 อันที่จริงการรับอาหารไม่เกินเที่ยงนั้นมันก็มีความหมายอยู่ เท่าที่พอจะนึกอก 1)อย่างแรกโยคีเป็นผู้ฝึกตน การนอนตื่นสาย เป็นการเกียจคร้านย่อมไม่สมควร 2) อันร่างกายประกอบด้วยธาตุ 4 การ รับอาหาร ช่วง 11-12.00 น เพราะช่วงนั้น ธาตุไฟที่ช่วย ย่อยอาหารนั้น มีกำลังเต็มที่ การย่อยก็เป็นไปด้วยดี พระพุทธเจ้า ก็สรรเสริญว่า ทำให้มีอาพาธน้อย กายเบา ฯลฯ เพราะระบบย่อยทำงานได้ดีนั่นเอง พึงสังเกตุ ว่า เวลาโยคีไปปฏิบัติธรรม ตอนเช้าๆ เขาให้รับแค่อาหารอ่อนๆ แต่ตอน เพล จะเป็นมื้อที่ หนักขึ้นมาหน่อย เพราะการทำงานระบบย่อยทำได้ดี ตามธาตุ ช่วงๆบ่ายๆร่างกายมันควรจะพักผ่อน ประสาทจะล้า อาหารย่อยไม่ดี เป็นเวลาพัก อะไรประมาณนี้ครับ ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็นสุขอนามัยในการ บริโภค นั่นแหละ ส่วนข้อเสียอื่นๆ ท่านลองตรึกๆดู ว่ามันไม่เหมาะสมอย่างไร จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 17:56:46

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบ จขกท. (คห. 15/2) ผมคงไม่บังอาจตอบคำถามแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ในทัศนะความคิดเห็นของผม  เชื่อว่าพระพุทธองค์  คงจะไม่สเด็จบิณฑบาตรหลังเที่ยงแน่ๆ  เพราะเท่าที่รู้มาไม่เคยได้ยินได้ฟัง   หรืออ่านพบในตำราใดว่า  เคยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือ  พระปัจเจกพุทธเจ้า  พระองค์ใด  เคยสเด็จบิณฑบาตรหลังเที่ยง หรือหากใครมีหลักฐานในตำราเล่มใด  ช่วยกรุณานำมาเสนอเป็นความรู้หน่อย  จะเป็นพระคุณยิ่ง ปล.ยินดีมากที่ได้สนทนาธรรมด้วย  แต่หากคำถามตอบผมหนักไป  ต้องขออภัยด้วย  คนกันเองทั้งนั้น จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 18:31:07

ความคิดเห็นที่ 18 ใช่แล้วครับ  เพิ่งนึกออก  ตรงกับ คห. 16 พระพุทธองค์เคยตรัสสรรเสิรญ การฉันภัตตาหารแต่พอควร  เป็นเหตุให้มีอาพาธน้อย กายเบา เหมาะสมแก่การประพฤติพรหมจรรย์ ส่วนข้อเสียกินมาก ร่างกายสะสมมาก กิเลสกามมันจะเกิดง่ายครับ จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 18:42:30

ความคิดเห็นที่ 19 ....     ถูกต้องครับ ถ้าเป็นสงฆ์ที่บวชอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องทำตามกฎ ของนิกายนั้นครับ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่เกี่ยวครับ พอดีผมตอบ ในฐานะที่ ท่าน สมภพ เป็น ฆาราวาสครับ     ที่ต้องเอยว่า ท่าน สมภพ ว่าเป็นคนดัง เพราะถ้าจำไม่ผิด เคย คิด ทฤษฏี มะเขือเทศเขตร้อน หรือ หนอนปลอก อะไรซะอย่างครับ ให้ชาวพันทิป ได้เรื่อลือกันไปทั่วครับ คนจะรู้จักกันดี และมีคนเกรงใจ ค่อนข้างเยอะครับ แม้แต่ตั้งกระทู้ผิดห้อง ก็ไม่มีใครกล้าให้ไฟแดงครับ       สำหรับใครตั้งนั้น คงไม่มีครับ แต่หลายคนก็ชอบในความคิด ความสามารถของท่าน สมภพ ครับ        ก็รู้สึกแปลกใจที่ พบท่านที่ห้องนี้ครับ และก็รู้สึกยินดีครับที่ได้ ตอบอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ท่านด้วยครับ         ด้วยความเคารพนับถือครับ                                                                                           ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 18:56:50

ความคิดเห็นที่ 20 รับทราบ   ขอบคุณครับ จากคุณ : คนโบราณนานมาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 20:13:56

ความคิดเห็นที่ 21 เวลาขีดเส้นทำมุม 1 องศา ทีแรกก็ไม่รู้สึก  ลากยาวออกไปเรื่อยๆ  เส้นใหม่ กะเส้นฐาน ก็ห่างออกไป ออกไปทุกทีๆ ดัดแปลง พระวินัย คนละนิด คนละหน่อย  ในปีที่1  จนถึงปีที่100 อะไรจะเกิดขึ้น ก็คงเป็นไปตามพุทธทำนาย  ศาสนาพุทธของพระองค์ จะมีอายุ แค่ 5000ปี เพราะนี่ 2500 ปีผ่านมา  แต่ละคน ฝืนคนละนิด  บางข้อ ตอนนี้ผิดเพี้ยนจนชาวพุทธเองยังงง แล้วนี่ คิด อีกนิด เพื่อ ความสะดวก ฉะนั้น มันก็จะค่อยๆๆกว้างไป ถ้า จขกท มีอายุ ยืน 500 ปี  ก็จะ เห็นคนถือศีล 8 ตามสบายตัวเองไป มันคงเท่านี้เอง จากคุณ : p-pen เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 20:26:46

ความคิดเห็นที่ 22 เสนอให้ ตื่นมากิน แล้ว กลับไปนอนละกัน น่ะ เวลาต้องไปธุระที่เวลาจำกัด ยังไปก่อน แล้วค่อยนอนได้เลย จากคุณ : p-pen เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 20:29:04

ความคิดเห็นที่ 23 เราอาศัยเรื่องของคนจน กับ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มาช่วยพิจารณาดีมั้ยครับ อาศัยจากที่ท่านแนะนำคนจนที่เข้ามาทำงานในเรือนของท่าน มาอนุมานว่าควรจะปฏิบัติเช่นไรมาเป็นแนวทาง เพราะว่าท่านเศรษฐีก็ถือว่าเป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน) องค์หนึ่งในธรรมวินัยนี้ คำแนะนำของท่านคงไม่ผิดแน่แท้ ............................. เรื่องเต็ม ๆ ก็ตามอ่านจาก link ที่ให้ไว้ละกันครับ http://www.luangporruesi.com/741.html ชายผู้นี้ก็ถามต่อว่า "ตอนเช้ามืดไม่ได้สมาทานอุโบสถศีล ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม" ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า "ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้ รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้" อุโบสถศีล กับศีล 8 มีองค์แห่งศีลข้อเดียวกัน ต่างกันเฉพาะว่า อุโบสถศีล จะถือเฉพาะวันพระ ถ้าพิจารณาตามคำตอบของพระอริยบุคคลท่านนี้ การเลื่อนเวลาถือออกไปเพื่อให้ครบเวลาตามที่ท่านเจ้าของกระทู้เสนอ ก็ไม่น่าจะเข้าทีน่ะครับ ------------------------------------ เจริญทำครับ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 53 21:48:28 จากคุณ : วิริยารัมภะ (XeRaMos) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 21:46:28

ความคิดเห็นที่ 24 คนที่ต้องการรักษาศีลจริงๆ จะไม่มีความสัยในเรื่องนี้เลย จากคุณ : ใจพรานธรรม เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 53 13:03:00

ความคิดเห็นที่ 25 เดินข้ามช่วงเวลาไปกิน ก็ไม่นับว่าเลี่ยงบาลีสิครับ เช่นตื่นเที่ยง ไม่อยากผิดศีลก็บินไปทางตะวันตก เพื่อให้เวลาไม่ถึงเที่ยง บินไปอินเดียก็จะได้ แล้วช่วงเย็นก็บินไปยุโรปกินข้าวเย็นได้อีก d จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 53 11:00:12

ความคิดเห็นที่ 26 #21 ผมก็ตระหนักอยู่เหมือนกันครับ  แต่ว่าข้อความที่ผมเขียนนั้น  ไม่ได้มีผลต่อพระไตรปิฎกแต่อย่างใด  จารึกไว้เฉพาะในกระทู้นี้เท่านั้น  จะมีผลก็ต่อเมื่อผมไปตั้งลัทธิของตัวเองครับ #24 คนอีกมากมายไม่สงสัยเพราะไม่มีปัญญาพิจารณา ยังมีอีกมากมายในสังคมมนุษย์ ไม่ควรนำมาปนกันครับ ไม่อย่างงั้นหัวใจนักปราชญ์คงมีแค่ สุ กับ ริ เท่านั้น จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 53 13:20:18

ความคิดเห็นที่ 27 ศีล 8 จริงๆก็อนุโลมถึงบ่ายโมง  (ในกรณีที่มีกิจ) แต่ถ้าศรัทธามาก เที่ยงก็หยุดได้เลย พระ (ถ้าจำไม่ผิด) ต้องตื่นก่อน พระอาทิตย์ขึ้น ไม่งั้นอาบัติ ส่วนเรื่องมื้อเย็น ก็อนุโลมกรณีที่ไม่สบาย ให้ฉันได้ ตึงไป หย่อนไป ไม่ดี ต้องกลางๆ จากคุณ : locomotion เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 22:05:45

ความคิดเห็นที่ 28 คิดว่าน่าจะตื่นให้เร็วกว่าปกติสักหนึ่ง-สองชั่วโมง สำหรับวันที่จะถือศีลแปด เช่นเคยตื่นเที่ยงวันก็ตื่นสักสิบโมงหรือสิบเอ็ดโมง ทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนเที่ยง อาจจะทานเยอะหน่อยในกรณีที่ต้องทำงานกลางคืน จากนั้นหลังเที่ยงก็งดอาหารที่เป็นของขบเคี้ยว   ตอนกลางคืนระหว่างทำงาน หากหิวก็ดื่มน้ำผลไม้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ก็น่าจะทำได้  ไม่ต้องไปคำนวนเวลาอะไรใหม่หรอก จากคุณ : พระอาทิตย์ทรงกลด เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 53 00:10:01