ความคิดเห็นที่ 1 ก็อย่างที่เข้าใจนั้นแหละครับมันเป็นความเชื่อ จุดประสงค์ลึกๆแล้วก็คือการรักษาศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป จากคุณ : Cigarette Smoking Man เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:52:00

ความคิดเห็นที่ 2 อานิสงส์ของการบวช เป็นอานิสงส์พิเศษแตกต่างจากการทำบุญอื่นอยู่อย่างหนึ่งคือ ปกติเราทำบุญ เราต้องบอกให้คนอื่นโมทนาบุญเขาถึงจะได้บุญ รวมถึงพ่อแม่ด้วย ถ้าไม่โมทนาบุญก็ไม่มีสิทธิ์ได้บุญ แต่การบวชพระหรือบวชเณร ไม่ว่าพ่อกับแม่จะโมทนาหรือไม่ จะทราบหรือไม่ ท่านก็ได้รับบุญส่วนนี้เต็มที่โดยที่ไม่ต้องโมทนาบุญ จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:03:31

ความคิดเห็นที่ 3 ที่บอกว่าจะเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก์เนื่องจาก  อานิสงค์ของการบวชนั้นมีมาก   ใครบวชก็ได้บุญต่อตนเองและพลอยให้พ่อแม่ได้บุญนั้นไปด้วย ถึงพ่อแม่ที่ให้กําเนิดคนที่บวชจะไม่เคยเลี้ยงดูก็ตาม หรือไม่รู้ว่าลูกจะบวชก็ตาม ยังไงพ่อแม่ก็ได้บุญ ส่วนคนที่มีส่วนช่วยเหลือในการบวชก็ได้บุญ ลดหลั่นตามกันไป คือว่ายังงี้ บุญของการบวชให้พ่อแม่ พ่อแม่ก็จะได้อยู่บนสวรรค์หลายกับป์ครับ  เช่น ถ้าพ่อแม่ได้ไปอยู่สวรรค์ชั้น  ไหนก็ตาม   พอหมดอายุบุญของสวรรค์ชั้นนั้นแล้ว ก็ยังได้อยู่  ต่ออีก หมดบุญก็อยู่ต่อ เช่นสวรรค์ชั้นดาวดึง อยู่ได้แค่1000ปีทิพย์  แต่ถ้าพ่อแม่ได้อานิสงค์ที่ลุกบวชให้ละก็ อยู่ได้ถึงหลายสิบกัปป์เลยทีเดียวประมาณสัก30กัปบ์   ส่วนตัวลุกเองจะได้เยอะคือประมาณ60กัปป์   เรียกว่าครบ1000ปีทิพย์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบเลยละมั่ง จนกว่าจะครบ จํานวนกัปป์ ที่ว่า แต่ทั้งนี้การบวชนั้นต้องทําด้วยความศรัทธาและบริสุทธิ์ ไร้การสร้างบาปในการบวชด้วยเช่น ไม่ฆ่าสัตว์ เลี้ยงสุราในงานบวช ซึ่งสมัยนี้  การบวชงานการใหญ่โตต้องสร้างบาปมากกมาย แบบนี้บุญก็ได้แต่บาปก็ได้ และเมื่อบวชแล้วต้องปฎิบัติตนให้อยู่ในศีลตลอดการบวชด้วยพ่อแม่และตนเองถึงจะได้บุญไม่งั้นแทนที่จะได้บุญ จะได้บาปเพิ่มเป็นเท่าทวีคุณกว่าคนธรรมดามากมายนัก บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทศนาอานิสงส์แห่งการบรรพชาอุปสมบทไว้โดยเอนกประการว่า ทาสสส อานนท ดูกรอานนท์  บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชา ทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์ ๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป  ถ้าอุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้บรรพชาบุตรตนเองก็ดี บุตรผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิ....ฯ จากคุณ : PredatorNeverdie เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:18:40

ความคิดเห็นที่ 4 พ่อแม่ ไม่อยากให้บวช เราก็บวชไม่ได้ครับ พ่อแม่ต้องอนุญาต ก่อน ถึงบวชได้ครับ จากคุณ : สระนาฬิเกร์ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:26:13

ความคิดเห็นที่ 5 1. นั่นเป็นสาเหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้พระสงฆ์สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ การบวชคือการน้อมนำตนเข้าสู่พุทธศาสนา เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วนำสิ่งนี้มาพูดคุยกับพ่อแม่ให้ดวงตาเห็นธรรม ถือว่าเป็นกุศลอันแรงกล้า นี่ยังไม่นับว่า เมื่อลูกบวชแล้วพ่อแม่จะเข้าวัดถี่ขนาดไหน เคยไปงานบวชบ้างมั้ย พ่อกับแม่ล้วนแต่น้ำตาไหลเมื่อเห็นชายผ้าเหลืองของลูกทั้งนั้น เพราะลูกที่เขารักนั้นกำลังจะเป็นมนุษย์ดีที่สุดคนหนึ่งที่มนุษย์จะมีได้ ความสุขนี้ แม้ซื้อบ้านหลังโต รถคันสวย ก็ไม่อาจจะทำให้ท่านมีความสุขขนาดนี้ได้ นี่แหละครับ ลูกบวชนะพ่อแม่ได้บุญด้วย การที่ท่านได้บุญเป็นเสบียงไปยังชาติภพต่อไปเรื่อย ไม่ทดแทนบุญคุณหรือครับ 2. ตามข้อ1. คุณเชื่อมั้ยครับ ลึกๆแล้วคนเราอยากเป็นคนดีครับ แต่อ้างเหตุผลต่างๆนานาเพื่อหลบเลี่ยง ทำไปเรื่อยๆจนเป็นความเคยชินเป็นนิสัย เมื่อพ่อแม่ไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ลูกชายมาบวช พอสึกกลับไปบ้านเป็นคนที่ดียิ่งกว่าเดิม พ่อแม่ก็ย่อมเห็นว่าศาสนาพุทธนี้มีประโยชน์ ใจเริ่มใฝ่มาทางนี้มากขึ้น เริ่มเข้าวัดมากขึ้น ลูกพูดจาดีมีเหตุผลอ่อนน้อมถ่อมตนระลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ พ่อแม่ย่อมชื่นอกชื่นใจเป็นธรรมดา การทำให้พ่อแม่มีความสุขเป็นการทดแทนบุญคุณหรือไม่ครับ และการน้อมนำพ่อแม่มาสู่พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องอันเป็นกุศลหรอกหรือครับ 3. คุณลองไปถามพระที่ปฏิบัติีดีปฏิบัติชอบและบวชมานานๆดูนะครับว่าพ่อแม่เขารู้สึกอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วอนุโมทนาสาธุ บางคนถึงกับมาบวชชีร่วมวัดด้วยก็มี นี่แหละครับทดแทนบุญคุณอันคนธรรมดาก็ทำไม่ได้ คนเรามองแต่ว่า ต้องทดแทนเป็นเงินเป็นทอง เป็นโน่นเป็นนี่ ความสุขของคนเราอยู่ที่ไหนกันแน่ ลองตรองให้ดีๆ ไปถามเลยครับ พ่อแม่ที่จิตใจปกติล้วนแล้วแต่บอกว่า อยากให้ลูกเป็นดีทั้งนั้น เห็นลูกเป็นคนดีพ่อแม่ก็ชื่นใจ 4. เรื่องบทสวดมนต์ก่อนบวชนั้น เป็นการทดสอบระดับหนึ่งว่า อยากจะบวชจริงๆหรือเปล่า ไม่ได้มาเล่นๆใช่มั้ย อีกทั้งยังเป็นพิธีกรรมเตรียมใจให้นิ่งก่อนเปลี่ยนชีวิต เพราะเป็นพระกับเป็นคนนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนและหลังใส่ผ้าเหลืองต่างกันมาก และยังเป็นพิธีที่ได้ถามไถ่ว่ามีคุณสมบัติการบวชจริงๆหรือเปล่าด้วย ส่วนบทสรรเสริญพระรัตนตรัยก็มีเพื่อย้ำในใจว่าเราไม่ได้มาทำเล่นๆ เราไม่ได้หลงผิดมาบวช บทสวดทำวัตรเ้ช้าเย็นถ้าได้สวดแบบมีคำแปล ก็จะูรู้ว่าพระุพุทธศาสนานั้นสอนอะไร มันเป็นฉบับย่อๆอย่างหนึ่งให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:35:50

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เรียกว่าทดแทนคุณพ่อแม่  ก็เพราะพ่อแม่เห็นลูกบวชแกจะดีใจมาก  อนึ่งพ่อแม่เป็นบุพการี  อานุภาพความรักลูกอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทน ด้วยใจใสซื่อ ทำให้ร่วมอนุโมทนาบุญที่ลูกบวช  บุญนั้นจึงมีกำลังกล้า อย่างที่คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พ่อแม่ทำบุญอย่างนี้ไม่ได้ (จริงไหมจะมีใครบ้าง รักเราเท่าพ่อแม่) แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 13:32:56 จากคุณ : Terawat เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:32:08

ความคิดเห็นที่ 7 ความเห็นส่วนตัว คิดว่า การทำความดี ละเว้นความชั่ว   ก็เป็นการทดแทนคุณพ่อแม่แล้วครับ ... จากคุณ : ปันน้ำใจ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 14:07:21

ความคิดเห็นที่ 8 ๑) การบวช จะทดแทนบุญคุณได้อย่างไร ? - มันอยู่ที่ ผู้บวชสามารถช่วยให้บิดา มารดา ให้ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิได้ไหม ถ้าทำได้ ไม่ใช่แค่เพียงทดแทน แต่นี่ถือเป็นการ "ตอบแทน" ท่านด้วย ๒) ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ปรารถนาให้ลูกบวช แต่ลูกอยากบวช ถือเป็นบุญหรือบาป - จิตมันเป็นอกุศล ทำให้บิดา มารดา ห่างจากพระพุทธศาสนา ๓) ในกรณีที่บวชแล้ว กรณีที่ตกลงไว้แต่แรกว่าจะบวช เท่านี้ๆ วัน       แต่พอถึงวันใกล้สึก กลับตัดสินใจบวชต่อ พ่อแม่ก็นึกว่าลูกจะสึก       มาช่วยทำมาหากิน แต่ลูกฝักใฝ่ในธรรมมะ อย่างนี้ เป็นบุญหรือเป็นบาป - จิตมันเป็นอกุศลเช่นกัน คือไปขัดขวางการกระทำความดีของผู้อื่น และมันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง ของผู้บวชที่ตนเคยไปขัดขวางการกระทำความดีของผู้อื่นไว้ ๔) เราสวดมนต์ไปเพื่ออะไร? - บ้างก็สวดเพื่อลาภ ยศ สุข เป็นไปในสังสารวัฏ - บ้างก็เพื่อสืบทอดพุทธวัจนะ บ้างก็หวังความสงบสุขทางจิต ออกไปจากสังสารวัฏ จากคุณ : ใจพรานธรรม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 14:56:45

ความคิดเห็นที่ 9 ๑) การบวช จะทดแทนบุญคุณได้อย่างไร ? มันเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อกับแม่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ลูกที่พ่อแม่เลี้ยงมาจนโตบัดนี้ได้ปฏิบัติธรรม แม้เดินบินฑบาท อยู่ ชาวบ้านเห็นจิตย่อมน้อมไปในทางกุศล หากได้ใส่บาตรย่อมเป็นการต่อชีวิตให้ลูกปฏิบัติธรรมต่อ เมื่อบรรลุธรรมมากน้อยก็ย่อมสั่งสอนให้คนได้ดวงตาเห็นธรรมตาม คนที่เห็นธรรมย่อมสอนคนอื่นตามได้อีก นี้แลคือเลือดเนื้อเชื้อไข ที่แม้พ่อแม่ไม่ได้บวชแต่ลูกได้บวช อานิสงค์อันไม่มีประมาณในการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ๒) ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ปรารถนาให้ลูกบวช แต่ลูกอยากบวช ถือเป็นบุญหรือบาป -จิตใดตั้งอยู่กุศลย่อมเป็นบุญ อกุศลย่อมเป็นบาป ๓) ในกรณีที่บวชแล้ว กรณีที่ตกลงไว้แต่แรกว่าจะบวช เท่านี้ๆ วัน      แต่พอถึงวันใกล้สึก กลับตัดสินใจบวชต่อ พ่อแม่ก็นึกว่าลูกจะสึก      มาช่วยทำมาหากิน แต่ลูกฝักใฝ่ในธรรมมะ อย่างนี้ เป็นบุญหรือเป็นบาป -จิตใดตั้งอยู่กุศลย่อมเป็นบุญ อกุศลย่อมเป็นบาป ๔) เราสวดมนต์ไปเพื่ออะไร? - เพื่อเป็นพุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติ คือคิดถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ จิตย่อมโน้มไปในทางกุศล ถ้าจิตตามดูรู้เห็นรูปกำลังสวด นั้นเป็นวิปัสนาอย่างหนึ่ง ถ้าทำบ่อยย่อมเห็นไตรลักษณ์ ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายวาง จิตย่อมบรรลุธรรมในที่สุด อย่าเชื่อผมนะครับ แค่เป็นมุมมองส่วนตัวเท่านั้นครับ จากคุณ : คนกวาดลานวัด เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 16:03:49

ความคิดเห็นที่ 10 เอาแบบที่เคยเจอและเป็นรูปธรรมนะครับ แม่ผมไม่เคยเข้าวัดเลย หรือลุกมาใส่บาตรตอนเช้าเลย แต่หลังจากผมบวชแม่ผมไปวัดทุกวัด และใส่บาตรทุกเช้า (ใส่กับพระลูกชายแก ^^) ผมว่า อันนี้น่าจะเป็น กุศโลบายเพื่อให้พ่อแม่หรือญาติรวมทั้งคนรู้จักเรา หันมาเข้าวัด ตักบาตรกัน นะครับ จากคุณ : นครพนม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 16:32:43

ความคิดเห็นที่ 11 การบวชถือเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งใช่ไหมครับ อย่างเราๆ การทำความดีแค่ถือศีล 5 ก็พอแล้ว ถูกต้องไหมครับ (แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังทำกันได้ไม่ครบทุกข้อเลย) แต่ถ้าเป็นพระแล้ว ก็ต้องถือศีล 227 ข้อและมีวัตรปฏิบัติอันพึงกระทำอีก หากเราปฏิบัติได้ครบ บุญกุศลที่เราจะได้ย่อมมีมากกว่าการถือศีล 5 ถูกต้องไหมครับ แล้วพอเวลาเราบวช เราก็น้อมรำลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ และตั้งใจนำเอาความดีงามที่เราปฏิบัติขระบวชเป็นพระให้แก่พ่อแม่....ก็เป็นการทดแทนพระคุณอย่างหนึ่งได้แล้วครับ ผมขอใช้คำว่า อย่างหนึ่ง นะครับ เพราะจริงๆ แล้วยังมีอีกหลากหลายวิธีที่จะทดแทนคุณพ่อแม่ ผมขอตอบคำถาม ข้อ 3 ที่ถามว่า หากถึงกำหนดสึกแล้วเรายังบวขต่อไป เป็นบาปหรือไม่ หากพ่อแม่ไม่ต้องการให้คุณบวชต่อ ไ่ม่มีจิตใจอนุโมทนาบุญแล้วย่อมไม่ได้รับบุญอย่างแน่นอน และหากขัดขวางมิให้บวชต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม ย่อมบาปครับ แต่สำหรับพระที่บวชต่อ ไม่บาปแต่อย่างใด เพราะเมื่อคุณบวช เท่ากับว่าคุณได้ตัดทางโลกแล้ว สิ่งที่คุณทำได้คือภาวนาให้ครอบครัวของคุณอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข โดยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของคุณครับ จากคุณ : AchuEk เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 18:38:32

ความคิดเห็นที่ 12 ขอให้ความเห็นตามกำลังปัญญานะคะ (1) การบวช จะทดแทนบุญคุณได้อย่างไร ? >> การบวชทำให้ได้ปฏิบัติและเรียนรู้ธรรมซึ่งเป็นการได้บุญกุศลสูง และเมื่อได้รู้ธรรมก็เอาธรรมนั้นมาเป็นทานค่ะ กุศลที่พระได้ก็แผ่ให้แก่พ่อแม่เป็นการตอบแทนบุญคุณ สรุปง่ายๆว่าเป็นการสะสมบุญให้ตัวเองแล้วมาแบ่งปันให้พ่อแม่ค่ะ (2) ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ปรารถนาให้ลูกบวช แต่ลูกอยากบวช ถือเป็นบุญหรือบาปครับถือ เป็นการทดแทนบุญคุณหรือไม่ ? >> ถ้าได้บวชและเอาธรรมมาสอนพ่อแม่ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณค่ะ กุศลจากการบวชก็ยังสามารถแผ่ให้พ่อแม่ได้ แต่แยกกันคนละส่วนกับการทำให้พ่อแม่ไม่พอใจนะคะ (3) ในกรณีที่บวชแล้ว กรณีที่ตกลงไว้แต่แรกว่าจะบวช เท่านี้ๆ วัน       แต่พอถึงวันใกล้สึก กลับตัดสินใจบวชต่อ พ่อแม่ก็นึกว่าลูกจะสึก       มาช่วยทำมาหากิน แต่ลูกฝักใฝ่ในธรรมมะ อย่างนี้ เป็นบุญหรือเป็นบาปครับ ? >> กรณีนี้ได้บุญแต่ไม่ได้บาป แยกบุญกับบาปออกจากกันค่ะ ได้บุญก็ตามที่ว่ามาข้างต้น ส่วนไม่บาปคือไม่ได้ทำอะไรเป็นการอกตัญญูเพียงแค่ไม่ทำตามเท่านั้น (4) เราสวดมนต์ไปเพื่ออะไรครับ ? >> เพื่อสร้างสมาธิค่ะและระลึกรู้ในพระคุณของพระรัตนตรัย เมื่อถือศีลทำสมาธิจนได้ปัญญาเราจะไม่มีข้อสงสัยในพระคุณเลย การจะเข้าถึงปัญญาก็ต้องมีสมาธิและการสวดมนต์ก็เป็นอุบายอย่างนึง จากคุณ : Chulapinan เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 19:25:34

ความคิดเห็นที่ 13 ....ความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา หายไปไหน ธรรมะของพระพุทธเจ้า             สอนให้เป็นคนอกตัญญูหรือครับ           ผมเกริ่นก่อนนะครับ ถ้าพ่อแม่ตาบอด แล้วท่านหนี้ไปบวช แล้วใคร จะหาน้ำหาข้าวป้อนให้ท่านล่ะครับ ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ใครจะหายาใครจะ พาท่านไปหาหมอครับ      (1) การบวช จะทดแทนบุญคุณได้อย่างไร ? ต้องการปฏิบัติธรรม หรือ ต้องการบวชครับ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่จำ เป็นต้องบวชก็สามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ครับ ผ้าเหลืองก็คือ ผ้าเหลืองครับ โกนหัวไม่หรือไม่โกน ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าท่านจะ ปฏิบัติธรรมะได้ดีกว่าครับ หากไม่พร้อมที่จะบวช เพราะยังเห็นพ่อและแม่ ลำบากอยู่ ก็ศึกษาธรรมะด้วยตัวเองก็ได้ครับ ไม่เข้าใจตรงไหน หาเวลา ว่างๆ หลังจากช่วยกิจการพ่อแม่เสร็จแล้ว ก็ไปหาสำนักปฏิบัติธรรมถาม พระอาจารย์ก็ได้ครับ แล้วก็ฝึกปฏิบัติไป ช่วยเหลือครอบครัวไป ก็ทำได้ ครับ แล้วถ้าวันหนึ่ง พ่อแม่ หมดความลำบากแล้ว จะมาบวชก็สามารถทำ ได้ครับ ให้ทำทั้งสองไปพร้อมกันครับ (2) ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ปรารถนาให้ลูกบวช แต่ลูกอยากบวช ถือเป็นบุญหรือ บาปครับถือเป็นการทดแทนบุญคุณหรือไม่ ?    ถ้าไม่ช่วยพ่อแม่(เช่นพ่อแม่ตาบอด)แล้วหนี้ไปบวช ท่านแน่ใจหรือครับ ว่าท่านจะหมดห่วงได้ แล้วใครจะหาน้ำหาข้าวให้ท่านทานล่ะครับ หรือท่าน จะเสี่ยงวัดดวงว่า หากทิ้งพ่อแม่ไปแล้ว ท่านจะสามารถนิพพานได้ในชาติ นี้ ถ้าจนแล้วจนเล่า ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้เลย บาปก็เพิ่มขึ้นไป เรื่อยๆครับ ดังนั้นทำตามข้อ 1 ดีกว่าครับ ทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ครับ (3) ในกรณีที่บวชแล้ว กรณีที่ตกลงไว้แต่แรกว่าจะบวช เท่านี้ๆ วัน       แต่พอถึงวันใกล้สึก กลับตัดสินใจบวชต่อ พ่อแม่ก็นึกว่าลูกจะสึก       มาช่วยทำมาหากิน แต่ลูกฝักใฝ่ในธรรมมะ อย่างนี้ เป็นบุญหรือเป็น บาปครับ ?    ก็อย่างที่บอกครับว่า ถ้าท่านไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในเวลาอันสั้น ท่าน ก็จะเริ่มเสี่ยงแล้วครับ ดังนั้น ควรทำตามที่สัญญาไว้กับพ่อแม่ดีกว่าครับ แล้วช่วงเวลาที่บวชนั้น ก็มุ่งมานะทำให้ถึงที่สุด แล้วมาถามตัวเองอีกทีว่า ตัวเราบรรลุธรรมได้ในระดับไหน หากไม่มีความคืบหน้าเลย ก็คงจะรู้คำตอบ อยู่แล้วนะครับว่า จะบวชต่อ หรือ จะไปปฏิบัติธรรมที่บ้าน (4) เราสวดมนต์ไปเพื่ออะไรครับ ?     ตามจริงแล้วก็ไม่ได้อะไรครับ ทั้งมนต์แปล หรือ บาลี ก็ท่องแบบนกแก้ว นกขุนทองครับ สมาธิก็ไม่ได้ครับ เพราะเมื่อจำได้หมดแล้ว ปากก็ท่องไป ใจก็ลอยไปถึงไหนต่อไหน    แต่สิ่งที่จะได้ก็เห็นจะเป็นเพียง ในใจท่านยังมีพระศาสนาอยู่ครับ การสวด มนต์ทุกวัน ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ท่านยังมีความตั้งใจที่จะประพฤติอยู่ใน กรอบของศาสนาครับ ทำให้ท่านไม่หลงไปในอบายมุขหรือการกระทำผิด ศีลธรรมโดยง่ายครับ อย่างเห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าจะสวดมนต์วันนี้ต้องไม่ดื่ม เหล้าเป็นต้นครับ แล้วถ้าสวดแล้ว วันนั้นเราก็ไม่อยากโกหกครับ เพราะมี ความเกรงกลัวต่อบาปครับ    เสริมนะครับ การบรรลุโสดาบันนั้น ปุถุชนคนธรรมดาสามารถทำได้ ครับ ไม่ต้องบวชครับ การถืออพรัมะจาริยา(คือการไม่ทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน) ไม่ต้องบวชก็ทำได้ครับ ศีล 5 ใครก็ทำได้ครับ ฌานสมาธิวิปัสสนา อยู่บ้าน ก็ทำได้ครับ     มีอะไรตรงไหนที่ทำไม่ได้ครับ ถึงกายไม่ได้บวช แต่ขอให้ใจได้บวช อนิสงส์ก็มากมายเหลือคณาแล้วครับ แล้วท่านยังได้ทำการ กตัญญูอีกด้วย ท่านก็จะได้รับอนิสงส์อีกมากมายที่สุดหามิได้เช่นกันครับ ท่านได้ทั้งสอง อย่างในเวลาเดียวกันครับ                                                                                              ++ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 22:43:53