ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก
เขาเรียกว่าโดนหลอกค่ะ กิเลสหลอกผู้ปฏิบัติ พออาจารย์พูดไม่ตรงใจ ก็คิดว่าอาจารย์ไม่รู้ เป็นเรื่องอันตรายสำหรับผู้ปฏิบัติตามปกติอยู่แล้ว เวลาหาครูจึงต้องหาให้ดีจริงๆ สืบดูให้มั่นใจจริงๆ และเมื่อเลือกท่านเป็นครูแล้ว ก็ต้องเชื่อท่านจริงๆ ค่ะ
ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตก็แล้วกัน ที่จริงอาการตาฝาดหูแว่วอาจเกิดได้จากการปฏิบัติทำสมาธิ แต่ปัญหาคือคุณไม่รู้วิธีจัดการ และวิธีวางใจกับสิ่งเหล่านี้มันเลยหลงไปกันใหญ่
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว(ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา) กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
อย่าไปสนใจเลยว่าเป็นไปได้อย่างไร สนใจว่าจะทำยังไงให้หายละกัน
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
เคสแบบนี้ ไปหาครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ เก่งกรรมฐาน ที่เชื่อถือได้ ก็ไม่น่าจะเสียหายนะคะ ถ้าไปหาพระแล้วไม่หาย ก็ยังไปหาหมอได้
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้
ต้องเข้าใจก่อนว่าที่ผ่านมาเราฝึกสมาธิผิดทาง เราเลยมีอาการปกติ
ที่ว่าผิดทางนี้คืออาจจะเป็นการเข้าใจผิด หรือว่าฝึกวิธีผิดจริงๆ หรือในตัวเรามีพื้นฐานที่แตกต่างจากคนอื่น จะเป็นจากเหตุใดก็ตาม รวมความแล้วว่าเราไม่ได้รับประโยชน์จากการฝึก แต่กลับสร้างปัญหาชีวิตแทน..
บางคนเขาว่ามีพื้นฐานจิตเภทซ่อนอยู่ในตัว พอฝึกสมาธิแล้วอาการเลยแสดงชัดก็มี
บางคนธรรมดาๆ เวลาฝึกยังได้ยินเสียงแปลก หรือเห็นอะไรแปลกๆ ทำให้กลัวมาถามกันก็มี แต่เขาไม่มีปัญหามาก เพราะเขาสติดี บางคนก็เลิกฝึกไป บางคนมาถามผู้รู้เขาตอบกันหายกลัวไปฝึกใหม่ไม่เป็นก็มี
สภาวะจากการปฏิบัติมีมากมาย แต่ละคน จิตแต่ละดวงไม่เหมือนกันเลย
มาถามแบบนี้ จะเอาคำตอบเป็นหลักยึดมั่นไม่ได้ค่ะ ได้แต่ตอบกันให้สบายใจระดับนึง เหมือนปฐมพยาบาล หาเพื่อนคุยเพื่อพิจารณา แต่ที่สุดแล้วจะรักษาก็ต้องไปถามผู้รู้จริงๆ ที่นั่งคุยกันได้ ท่านเห็นเรา เราเห็นท่าน ท่านมีความสามารถดูแลสภาวะจิตให้เราได้
ซึ่งตัวฉันเองก็เลือกพระสงฆ์ค่ะ เพราะมีความเชื่อมั่นในพระมากกว่าฆราวาสเป็นทุน รู้ตัวว่าถ้าเลือกฆราวาส จะมีอาการไม่เชื่ออย่างที่คุณเคยเป็น เวลาเราจะเลือกอาจารย์ เราต้องอดทน และศึกษาพิสูจน์ท่าน ชนิดที่เราลงใจอย่างไร้ข้อสงสัย เราจึงจะเรียนกับท่านได้ค่ะ ด้วยเหตุที่ฉันดื้อกว่าคนอื่นๆ นี่ล่ะ
--------------------
ฝึกแบบอาณาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด แล้วหยุดจับที่ปลายจมูกเหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้า และออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ แต่พอเจออะไรมากกว่านี้เลยไปไม่เป็น
ที่พูดมาก็เป็นปกติที่เขาสอนๆ กันนะคะ แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่เจออะไรมากกว่านี้แล้วไปไม่เป็นนั่นแหละค่ะ..
ประมาณวันที่สี่เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมาเหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป
อันนี้ก็ดูเหมือนเป็นสภาวะที่หลายๆ คนเจอ คืออาการปีติ ซึ่งนั่งต่อมันก็จะหายไป อาการปิติบางอย่างค้างได้ด้วย เลิกนั่งสมาธิก็เป็นต่อได้ เราเคยเป็นถึงสามวัน
มีเห็นแสงสี ต่อมาเริ่มหูแว่วเหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้ กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับบอกว่าต่อไปเราจะไปสร้างวัดตรงนี้
เห็นแสงสีก็ยังไม่แปลก แต่ที่เริ่มแปลกคือหูแว่ว ตาฝาด มีเสียงสั่งนั่นโน่นนี่..
อันนี้ทางการแพทย์ก็ต้องรับเป็นคนไข้อย่างแน่นอนค่ะ ครบอาการเลย..
ถ้าเป็นเรา พอเจอถึงตรงนี้ จะต้องรู้ตัวแล้วว่าผิดปกติ จะต้องหยุด treatment แล้วหาทางศึกษาว่าเราเป็นอะไร ถ้าครูที่สอนตอบไม่ได้ ก็ต้องไปหาครูท่านอื่นจนกว่าจะได้คำตอบ เราจะไม่ฝึกต่อเองค่ะ
ที่เขียนมาอย่างนี้ไม่ได้จะซ้ำเติมนะคะ แต่เราเห็นจากตัวอักษรว่าคุณเป็นปกติดี เขียนหนังสือถามมาก็เป็นปกติ ไม่ได้เวิ่นเว้อปรุงแต่งอะไร เขียนตามสิ่งที่เป็น แต่ที่ตอบแบบนี้ ต้องการจะบอกว่า
สิ่งที่เกิดกับคุณมีส่วนที่ไม่ผิดปกติ และผิดปกติ
สภาวะจากการปฏิบัติไม่น่าจะผิดปกติ แต่ความสามารถในการรับมือกับสภาวะเหล่านั้นมันผิดปกติค่ะ (เหตุจากความไม่รู้ หรือพื้นฐานจิตก็ได้)
ดังนั้นก่อนจะฝึกต่อไป ควรไปหาครูบาอาจารย์ที่ท่านชำนาญจริงๆ เท่านั้นค่ะ
และควรไปทางสติปัฏฐาน เยอะๆ ค่ะ
ส่วนเรื่องยาของหมอนั้น ระหว่างที่ยังรักษาอยู่ ก็ควรกินยาต่อไปก่อนจนครบค่ะ..
ทางพุทธศาสนาก็มักจะมีคำอธิบายกว้างๆ ว่า..สิ่งที่คุณพบเจอนั้นเป็นกรรมน่ะค่ะ.. มันฟังดูไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน แต่สำหรับเราก็เชื่ออย่างนั้นค่ะ
ทุกอย่างแก้ไขได้ค่ะ ถ้าเรามีความเพียรพอ