|
สุตฺต ที. สีลกฺขนฺธวคฺโค - หน้าที่ 227 [๒๘๒] ปุน จปร โปฏฺปาท ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพ ว โสมนสฺสโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุข อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถ ฌาน อุปสมฺปชฺช วิหรติ ตสฺส ยา ปุริมา อุเปกฺขาสุขสุขุมสจฺจสฺา สา นิรุชฺฌติ อทุกฺขมสุขสุขุมสจฺจสฺา ตสฺมึ สมเย โหติ อทุกฺขมสุขสุขุมสจฺจสฺีเยว ตสฺมึ สมเย โหติ เอวปิ สิกฺขา เอกา สฺา อุปฺปชฺชติ สิกฺขา เอกา สฺา นิรุชฺฌติ อยปิ สิกฺขาติ ภควา อโวจ ฯ [๒๘๒] อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขและเพราะละทุกข์ เพราะดับโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนเสียมีความที่แห่งสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่. สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยสุขอันเกิดแต่อุเบกขา มีในก่อนย่อมดับ. สัญญาในสัจจะอันละเอียดอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ย่อมมีในสมัยนั้น. เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียด อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ในสมัยนั้น. สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือจตุตถฌาน). ________________________________________ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ = ความที่แห่งสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ อุปสมฺปชฺช = เข้าถึง, ถึงพร้อม วิหรติ = อยู่ ( ศัพท์เดียวกับ วิหาร ) จขกท. ไปยกศัพท์เฉพาะคำว่า " แล้วแลอยู่ " มาด้วนๆ จึงไม่สามารถเข้าใจได้เพราะคำว่าแล้วเป็นคำที่ติดอยู่กับ " อุเบกขา"(แล้ว) - แลอยู่ คือท่านหมายเอาไม่แต่เพียงเข้าได้น่ะ แต่ต้องทรงได้ด้วยคือเป็น วิหารธรรม หรือสภาพ อัปปนา กล่าวง่ายๆ ก็คือ อย่าง คห.3 ท่านแปลว่า " ทำแล้ว และอยู่ " ก็ได้
แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 53 22:17:41
แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 53 22:17:09
แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 53 22:12:31
จากคุณ |
:
aero.1
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ต.ค. 53 22:10:43
|
|
|
|
|