ความคิดเห็นที่ 1 5000 ปี หมดศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฏกครับ ไม่มีใครเดินหนทางตาม มรรค มีองค์ 8 เนี่ยแหละครับ หมดศาสนา จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 01:13:34

ความคิดเห็นที่ 2 ศึกษาเพิ่มเติมในทวีปทั้งสี่ โลกทั้งโลกนี้เรียกชมพูทวีป   ถ้าคิดว่าภพภูมิที่ให้มนุษย์ได้เกิดนี้มีได้เพียงโลกใบเดียวก็จะงง  คิดว่าโลกแตกแล้วจะไม่มีโลกใหม่อีกก็จะงง   ^_^'  โลกก็ธาตุดิน เกิด ตั้ง ดับ  ตอนที่ตั้งอยู่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตามเรื่องของโลกที่มันจะเป็นไป  มีชื่อเรียกสภาพของโลกในแต่ละช่วงแตกต่างกันไป ปล. ผมจำไม่ได้แล้วว่าอ่านเจอที่ไหน แต่มีพระหลายรูปท่านบอกว่า โลกทั้งโลกนี้เรียกชมพูทวีป ไม่ใช่เฉพาะอินเดีย ยังมีที่อื่นๆอยู่อีก   และโลกนี้ก็ดับได้  และก็เกิดใหม่ก็ได้  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีโลกให้รองรับการเกิดอีก :) ปล. ไม่ควรสนใจเรื่องพวกนี้  ควรสนใจแค่ มรรคประกอบด้วยองค์ 8 ก็พอครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 01:46:16 จากคุณ : temjung99 เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 01:45:29

ความคิดเห็นที่ 3 ประการแรก ข้อมูลผิดเกือบหมด เข้าใจว่าจำมาแต่จำได้ไม่หมด ฉะนั้น หากจะสงสัยบางเรื่อง ควรศึกษาให้แน่ใจก่อน ไม่งั้นความสงสัยจะหากรอบไม่เจอ เพราะข้อมูลที่รับมายังไม่ถูกต้อง ประการที่สอง นรกที่ยกมา นั่นคือมหานรก ซึ่งในมหานรกแต่ละขุม จะมีนรกขุมบริวารรายล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 4 ขุม เรียกว่าอุสสทนรก และถัดจากอุสสทนรกยังมียมโลกนรกอยู่อีกทิศละ 10 ขุม รวมมหานรกหนึ่งจะมีนรกใหญ่ตรงกลางและนรกขุมบริวารรวมทั้งสิ้น 57 ขุม มหานรกมีทั้งสิ้น 8 ขุม ฉะนั้น รวมจำนวนขุมนรกทั้งหมดมี 456 ขุม ตามลักษณะความรุนแรง และลักษณะของกรรมที่กระทำ โดยเฉพาะยมโลกนรก หากมีผู้อุทิศบุญไปให้มากพอ ก็สามารถพ้นจากขุมนรกนั้นมาได้ ส่วนอุสสทนรกกับมหานรกทำแบบนั้นไม่ได้ ประการที่สาม ทำบาปไม่ได้หมายความว่าต้องไปตกนรกอย่างเดียว หากบาปนั้นไม่มากนัก ก็มีภพภูมิอื่นรองรับอยู่ เช่น เปรต อสุรกาย สัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นเพราะผลบาปเช่นกัน และหากบาปมีปริมาณน้อยมาก บางทีก็ไม่พอที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้น เพียงแต่ส่งผลให้ เป็นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น เช่น เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ พิการ โดนขโมยขึ้นบ้าน เป็นต้น ประการที่สี่ ที่ว่าโลกเกิดมา 4,500 ล้านปีนั้น เป็นแค่การประมาณของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น เอาเข้าจริงแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะเวลามันนานมากเกินไป ความจริงแล้วโลกมีอายุมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าโลกจะมีอายุแค่ไหน จักรวาลก็มีอายุมากกว่าโลก ตราบใดที่ยังมีที่อยู่ ก็ย่อมมีการเกิดขึ้นของสัตว์โลกได้ แม้มนุษย์จะอาศัยอยู่ในจักรวาลไม่ได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภพภูมิอื่น ๆ หรือจะเรียกว่ามิติที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ก็ได้ เขาอยู่ได้ เราเห็นเป็นที่ว่าง แต่มันอาจจะเป็นเมืองอันใหญ่โตก็ได้ เพราะภพภูมิที่ซ้อนกัน มันจะไม่ทับกัน เหมือนสถานที่เดียวกัน แต่ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ นั่นเอง ภพภูมิที่มีความหยาบของธาตุมากกว่า ก็จะมองไม่เห็นภพภูมิที่ละเอียดกว่า แต่ภพภูมิที่ละเอียดกว่า จะสามารถมองเห็นภพภูมิที่มีความหยาบของธาตุมากกว่าได้ เหมือนกระจกที่ฝั่งหนึ่งมองเห็นอีกผั่งหนึ่ง แต่ฝั่งตรงข้ามมองมาไม่เห็น เป็นต้น ความจริงแล้วการเกิดไม่ได้เฉพาะตอนที่เราตายเท่านั้น แม้ในขณะปัจจุบัน เซลล์ของตัวเราเองก็ตายไปแล้วสร้างใหม่มาแทนตลอดเวลา เซลล์ที่เกิดใหม่ก็แย่กว่าเดิม เราจึงมีความแก่ไปทุกอนุวินาที เพียงแต่เราจะสามารถเห็นมันได้ชัดตอนที่เราเห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยตาแล้วนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 02:44:29 จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 02:41:01

ความคิดเห็นที่ 4 ตกนรกได้ก็ปีนขึ้นมาได้  แล้วแต่กรรมหนักหรือเบา ใช้กรรมในนรกแล้ว ก็ยังกลับมาเป็นคนได้ ถ้าหมดกรรม และบุญส่งผล แต่ว่ามันนาน... อย่าลงนรกจะดีกว่านะ ขี้เกียจไต่เต้า จากสัตว์นรกเป็นเปรตอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะกลับเป็นคนได้อีกที  พอเป็นคนได้ สติไม่ดีเผลอทำตามสันดานเดิมที่เคยๆ มา ก็ต้องลงนรกไปอีกรอบ..คิดแล้วก็หยอง... จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 05:44:07

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านมาทีแรกก็เห็นด้วย ต่อมา  บรรทัดหลังนี่เริ่มงงแล้ว พระพุทธเจ้าเกิดทุก 5000 ปี นี่ไม่ใช่ครับ เทียบเวลาผิดมันก็เลยทำให้งง ที่ผมอ่านพระพุทธเจ้าเกิดนี่ต้องเทียบเวลาเป็น กัลป์ ไปเลย แล้วระยะเวลาล้านล้านปีมนุษย์เทียบกับกัลป์แล้วมันยังน้อยมาก ลองอ่านเรื่องระยะเวลาเป็นกัลป์ดูก่อนแล้วกัน มันนานมาก ๆ ๆ ระยะเวลาตกนรกดูน้อยไปเลย แต่อย่าไปตกนรกดีกว่าแค่นอนป่วย ไม่กี่วันยังแทบแย่เลย จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 08:57:40

ความคิดเห็นที่ 6 มนุษย์เกิดมา ไม่กี่หมื่นปีมั้ง หรือหลักวิทยาศตร์มันไม่จริง มนุษย์ หมายถึง สิ่งมีชีวิตในจักรวาลที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้ จักรวาลนี้ เกิดดับมาไม่รู้กี่รอบ ดังนั้น มนุษย์ในชมพูทวีป จึงเกิดและสูญพันธุ์มานับได้ไม่ถ้วน มนุษย์ต่างดาวก็มี แล้ว เนี้ย เหมือนเคยอ่าน พระพุทธเจ้าจะมาเกิดในทุกๆ 5000ปีมนุษย์ แล้วเหมือนองค์สุดท้าย พระสุริยะเมตตรัย (ผิดขออภัย) จะมาเกิดอีก 2500 ปีข้างหน้า อันนี้ ข้อมูลคาดเคลื่อน อายุพระพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับ บารมีที่พระพุทธองค์นั้นๆบำเพ็ญมา (ยุคเราประมาณการไว้ห้าพันปี) จากนั้น จะเป็นช่วงว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา ส่วนพระศรีอริยเมตไตรย์ก็มาอุบัติในตอนที่มนุษย์ในยุคนั้นมีอายุขัยเฉลี่ยแปดหมื่นปี ซึ่งก็คงอีกหลายล้านปีข้างหน้า กว่าจะวิวัฒนาการไปได้ถึงขนาดนั้น เผลอๆ อาจจะไม่ใช่โลกใบนี้ด้วยซ้ำ แล้วผีตัวที่ตบยุงตายเมื่อ 500 ล้านปีก่อน ยังไม่ได้พ้นเสี้ยวนรกเลย แล้วงี้มันจะมีการวนว่ายตายเกิดได้ไงกัน งงเนี้ย งง มีระลึกชาติได้งั้นงี้ ไม่จริงอะ ฆ่าคนยิ่งไม่ต้องพูดกันเลย เวียนสิ จักรวาลเกิดดับมาไม่รู้กี่อสงไขย ลงภพต่ำก็นานหน่อย ตามวิสัยภพที่เร่าร้อน ลองไปเกิดเป็นพรหมสิ หลับไปตื่นนึง ผ่านไปแล้วแปดกัป จักรวาลนี้เกิดดับไปแล้วแปดรอบ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 09:20:26 จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 09:20:09

ความคิดเห็นที่ 7 กระทู้นี้น่าสนใจแหะ จากคุณ : snoopy21 เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 09:26:06

ความคิดเห็นที่ 8 ถึงแม้จะไม่ทันครั้งนี้ หลังจากหมดพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ต่อไปก็มีพระพุทธศาสนาของพระศรีอริยะฯ อีก แล้วก็จะมีอีกเรื่อย ๆ ครับ พระโพธิสัตว์ยังมีอีกหลายพระองค์นัก ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดหรอกครับ จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 12:57:57

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าตกนรกในชาตินี้ รับรองว่าไม่ทันมาเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรแน่นอน แต่พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัทรกัปป์นี้น่าจะมาตรัสรู้อีก8ล้านปีโลกมนุษย์ไม่ใช่2500ปี จากคุณ : PredatorNeverdie เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 13:21:56

ความคิดเห็นที่ 10 มันไม่ใช่ว่า องค์สุดท้ายแล้วเหรอ พระศรีอริยะ อะครับ เหมือนคนแก่จะสอนว่าให้ทำบุญเยอะๆจะได้ไปเกิดในชาติที่พระองค์มาเกิด ความเห็น 3 ผมงงอะ เพราะแค่ผมยกตัวอย่างนรกเล็กๆ ที่โทษแค่ฆ่าสัตว์ก็ต้องลงไปอยู่ 2000ปีนรก มันเหมือนกับว่า คนเราจะสามารถมาเกิดบนโลกใบนี้ได้แค่ หนเดียว เพราะเวลาที่ตกนรกมันนานเวอร์เกินจริง อย่างในหนังเนี้ย เรื่องเจ้ากรรมนานเวรอะไรแบบนี้ นักรบสมัยก่อนมันฆ่าคนจะเป็นจะตาย ตกนรกเป็น ล้านล้านล้านปี ไม่มีทางหรอกจะได้มาเกิดร่วมกับนางเอกได้ในสมัยนี้ แสดงให้เห็นว่า มัน นานเวอร์.... โดยไม่สามารถเกิดเรื่องราวของชาติภพ ได้เลย อาจจะเป็นได้ว่า ฆ่าคนชาตินี้ พอพ้นนรก โลกดับไปซะละ ไปเกิดใหม่ บนดาวนาแม๊ก มันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโลกที่เคยทำกรรมไว้เลย งง งง แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันมีช่วง break ของศาสนาด้วย - -* *** แล้วเวลาไหนที่พระพุทธเจ้าจะมาเกิด (ต้องมีเหตุการณ์อะไร หรือสภาพเป็นยังไง) และเวลาไหนที่จะจบสิ้นศาสนาพุทธ(สภาพแวดล้อมต้องเป็นอย่างไร)*เหมือนจะเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ถึงจุดสูงสุด ต่ำสุด ยังไงอะ แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 13:29:57 จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 13:26:27

ความคิดเห็นที่ 11 พระศรีอริยะ เป็นองค์สุดท้ายของกัปนี้ แต่ก็ยังมีกัปต่อ ๆ ไปอีกครับ อันนี้ลองอ่านเล่น ๆ ดูครับ ผมไม่รู้ที่มาที่ไปของบทความนี้ บทความนี้กล่าวถึงพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ต่อไป http://www.84000.org/anakot/index.html จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 13:36:15

ความคิดเห็นที่ 12 ธรรมมะของพระพุทธเจ้า เป็นวิทยาศาตร์ ลองปฏิบัติเอง พิสูจน์ได้เอง เห็นได้เอง นรก มี สวรรค์ มี แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวยืนยันลงไปไว้ว่า ใครทำบาปต้องลง นรก และท่านก็ไม่ได้กล่าวยืนยันลงไปว่า ทำดีตลอดชีวิต จะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านกล่าวว่า " เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี " จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 16:04:12

ความคิดเห็นที่ 13 งงอะ สรุป ต้องทำอะไรถึงตกนรก เหมือนกับว่า คนมีบาป น้อยมาก ต้องตกนรกหมด พอรับโทษหมดแล้วค่อยไปสวรรค์ หรือกลับมาเกิดได้อีกครั้ง ไม่มีทำบุญชดใช้บาป บาปที่ทำต้องรับกรรมตกนรก พ้นแล้วถึงได้รับผลจากผลบุญที่ทำ แต่ตกนรกที่ว่า มันนานเวอร์ ออกมาก็ โลกแตกไปแล้ว จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 17:04:40

ความคิดเห็นที่ 14 เคยดู MIB ภาคใหนจำไม่ได้ ที่ตอนจบมีสัตว์ประหลาดเล่นลูกบอล จักรวาล อยู่มั้ยครับ ประมาณนั้นแหละครับ มันซ้อนกันเป็นชั้นๆ เอาแค่จักรวาลนี้เรายังรู้ไม่หมดเลย ยังหาขอบไม่เจอเลย และสัตว์ประหลาดที่เล่นลูกบอลนั้น อาจเรียกตัวเองว่า มนุษย์ก็ได้ และกระนั้นก็เช่นกัน อาจจะมีจักรวาลที่เป็นกลุ่มละอองฝุ่น ลอยอยู่ที่ใหนซักที่ในโลกเราก็ได้ 1 กัลปของจักรวาล ละอองฝุ่นนี้ ก็ยังไม่เท่า 1 ชม ของโลกเราด้วยซ้ำ ปล.ขออณุญาติ จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยครับ อย่าถือสา ^_^ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 17:51:23

ความคิดเห็นที่ 15 1.  ให้มองง่าย ๆ ว่า  ภูมิมนุษย์  ภูมิสวรรค์  ภูมินรก  มีศักดิ์ศรีเท่ากันหมด ประชากรแต่ละภูมิ  มีการเกิด  การแก่  การตาย  ได้หมด  เท่าเทียมกัน   แค่คำพูดว่า  "ตายไปแล้วตกนรก  พอกรรมหมด  จึงได้กลับมาเกิดใหม่"  นี้ก็ผิดหลักแล้ว เพราะความจริง  ตายในภูมิมนุษย์นี้  ก็เกิดใหม่ทันที  เป็นประชากรนรก  1 ท่านแล้ว  ดำรงชีวิตอยู่ที่ดาวนรกไปจนตาย  ก็เกิดใหม่อีก  จะอยู่ดาวนรกเดิม  หรือ  จะไปอยู่ดาวสวรรค์  ดวงไหน  หรือ  มาอยู่ดาวโลกของมนุษย์อีกก็ได้ เทวดา  ก็เกิด  แก่  ตาย  ได้หมด   ดำรงชีวิตตามปกติ นี่คือเหตุผลที่ชอบมีคนมาบอกว่า  คนในโลก  มีจำนวนมากขึ้นทุกปี  มาจากไหน จริง ๆ คือ  เวียนว่ายตายเกิดไปมาได้หมด  ทั้ง  สัตว์ในนรก  เปรต  อสุรกาย  เดรัจฉาน  คน  เทพ  พรหม    ก็มีภูมิส่วนตัว  กันทั้งหมด   ทั่วทั้งจักรวาล จากคุณ : ไจโรสโคป เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 22:23:50

ความคิดเห็นที่ 16 สเกลเวลา   1  โลก  =  1  กัปป์ ในโลกของเราดวงนี้  มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว  4  พระองค์   และอีกองค์ที่จะมาในอนาคต  คือพระศรีอาริยเมตไตรย์  (สรุปรวมเป็น 5 องค์)   หลังจากนั้น  โลกนี้จะพินาศไป  สิ้นกัปป์ ภูมิมนุษย์ก็อาจจะย้ายไปอยู่ดาวดวงอื่น  ในกาแล็กซี่อื่น     ก็เริ่มต้นกัปป์ใหม่   พอพินาศอีก  ก็ย้ายดาวอีก  เป็นอย่างนี้เรื่อยไป จากคุณ : ไจโรสโคป เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 22:26:20

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ต้องมองไปไกลเลยครับ แค่ติดคุก 10 ปี ออกมาก็ไม่มีใครจำได้แล้ว ติดคุก 50 ปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางคนติดคุกเป็นพันปี คิด่วามันเว่อร์ไหมล่ะ ตกนรกนานขนาดนั้นไม่เว่อร์หรอกครับ จะห่วงว่าใครจะจำได้ เพราะเมื่อตายไปทุกคนก็แยกกันกระจัดกระจายหมดแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนเราทุกคนต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น และตรัสอีกว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก เหมือนเต่าทะเลน้ำลึกที่ 100 ปี จะโผล่ขึ้นมาผิวน้ำซักที แล้วบังเอิญตอนโผล่ หัวไปมุดห่วงเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่กลางทะเลพอดิบพอดี มันยากขนาดไหน การได้เกิดเป็นมนุษย์มันยากกว่านั้น เพราะเมื่อพลัดไปตกนรกแล้ว ก็แทบจะหมดโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีกเลย ที่สำคัญ อุตส่าห์ได้เกิดเป็นมนุษย์ โดยมากก็กลับตกนรกลงไปอีก ที่จะประคองตัวไม่ให้พลัดไปภูมิอบายมีน้อยมาก เพราะอย่างนี้เราจึงไม่ควรประมาทในความชั่ว ไม่ควรประมาทในการสร้างความดี จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:27:30

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านแล้วเหนื่อยเลยอ้ะ เกิดตาย วนมาหลายรอบแล้ว เหนื่อย... จากคุณ : N'Wan เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:47:13

ความคิดเห็นที่ 19 ประเด็นที่ผมอยากจะรู้คือ เรื่องภพชาติ เนี้ย แบบในหนังเนี้ย มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าเวลาต้องโทษในนรกนานเวอร์แบบนี้ ไม่มีวัน ที่คนสมัยสุโขทัยเงี้ย จะมาเกิดใหม่ในยุคเรา แสดงได้ว่า คนตายไปแล้วไม่มีวันได้มาเกิดบนโลกใบนี้ได้อีกเลย อย่างในหนัง "นี่เป็นคุณปู่ทวดมาเกิดใหม่" ถ้าปู่ทวดเคยทำบาปเล็กน้อย ฆ่ายุง ฆ่างู โกหก กินเหล้า (เกิดขึ้นแน่นอน) ไม่มีทางเป็นไปได้ ทวิภพอะไรงี้ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะผมเชื่อว่า 100% ของคนทั้งโลกทำบาปแน่นอน อย่างน้อยก็นิดหน่อย ซึ่งนิดหน่อยที่ว่า ต้องตกนรก อย่างน้อยก็ เป็นหลายล้านปีมนุษย์ เรื่องระลึกชาติ หรืออะไร เกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะเวลานรกมันเวอร์เกินไป ผิดหลักความเป็นจริง สรุปเลยว่า ภพชาติ ตามหลักพุทธศาสนา เป็นเรื่องหลอกลวง จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 10:16:15

ความคิดเห็นที่ 20 ประการแรก อย่าเอาละครมาปนกับเรื่องจริง ประการที่สอง ตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์อีกทีก็มี หรือไปเกิดในภพภูมิใกล้เคียงมนุษย์ก็มี ประการที่สาม คนที่ไปเกิดในนรกแล้วไม่ได้มาเกิดเลยมีมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนที่มาเป็นเป็นมนุษย์เลย ประการที่สี่ แม้บาปจะมีผล แต่บุญก็มีผล บุญนั้นคอยช่วยประคองไม่ให้บาปส่งผลมากมาย หากทำบาปไว้ แต่บุญส่งผลก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องไปตกนรกเสมอไป ประการที่ห้า ภพชาติไม่ควรจะเกิดขึ้นนี่เป็นเรื่องจริง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น พระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องภพชาติเพื่อให้เชื่อ แต่สอนเพื่อให้รู้ว่าความจริงมันเป็นแบบนี้ เพื่อที่จะสามารถเอาตัวรอดได้ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 11:01:30

ความคิดเห็นที่ 21 ประการแรก สรุปได้ว่า หนังเป็นเรื่องกุ ไม่อิงหลักพุทธศาสนาเลย ละครกับเรื่องจริง เรื่องจริงคืออะไรครับ ช่วยยกตัวอย่างให้คนที่ไม่ได้อ่านไตยปิฎกหนา เข้าใจได้ ประการสอง เกิดเป็นมนุษย์อีกทีตอนไหน (ถ้าตกนรกขั้นต่ำสุดๆๆๆ เช่นตกปลาเล่น กินเหล้าจนเมา) ประการที่สาม ขอคำตอบจากข้อสอง ประการที่สี่ ผมเคยถามพระที่เคยคุยด้วยที่เคร่งศาสนามาก แล้วก็ตอบคำถามผมได้ฉะฉาน ท่านบอกว่า ไม่ว่าทำบาปอะไรไว้ ต้องรับโทษจากบาปนั้นก่อน เมื่อสิ้นบาป ถึงจะรับผลจากบุญที่ได้ทำไว้ ไม่สามารถ ทำบุญล้างบาปได้ ฆ่าคนมาต้องรับผลตกนรก แม้จะทำบุญหลังทำผลไว้เยอะเท่าไรก็ตาม นรกก่อน>ขึ้นสวรรค์ทีหลัง ## แสดงว่าพระรูปนั้นศึกษามาผิดใช่ สอนผมผิดใช่หรือไม่ ที่ถูกต้องจริงคืออะไร ประการที่ห้า ผมค่อนข้างจะอิงประวัติศาสต์การมีมนุษย์ ประวัติการบันทึกต่างๆ ทำให้เห็นว่า คนเราดำเนินชีวิตมาได้ไม่ได้นาน เป็นล้านปี มีคนบอกโลกมีอายุ 1 กัลป์(เท่ากับเวลาของเม็ดผักกาดที่ยิบออกจากพื้นที่ 1 ลูกบากศ์โยชน์ 100ปีละเม็ด) เวลาก่อนหน้าการมีบันทึกของมนุษย์คืออะไร ไม่มีบันทึกไว้หรือ? หน้าตาคนตอนนั้นเป็นอย่างไร เชื่อว่าถ้าความคิดผมถูกต้อง คนจะไม่ได้เกิดมาใน โลกใบนี้อีกเลย ทุกคน!! มันเหมือนกับใส่เวลามามั่วๆ ให้ดูเยอะๆเวอร์ๆ ถามว่ามันทำไม? ไม่สมเหตุผล ผมมีความขัดข้องใจจึงอยากจะเข้ามาถามในชุมชนคนศาสนา อยากให้กระจ่าง เพราะศาสนาพุทธ เหมือนจะอ้างอยู่เสมอว่าทำบุญๆ ชาติหน้าๆ ทำเพื่อภพหน้า ให้เกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน ทำบุญด้วยกันเกิดมาคู่กัน ผมยังเชื่อถูกต้องหรือเปล่า ว่าไม่มีชาติหน้าบนโลกใบนี้อีกแล้ว ชาติหน้าของคุณคือ ดาวเกิดใหม่ดาวไซย่ามีหน้าตาหัวโตตาโตแขนขาลีบ จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 16:33:29

ความคิดเห็นที่ 22 การไม่เชื่อชาติภพจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ   จิตขณะตายเกาะอารมณ์ไหนไว้  ก็ไปเกิดในภูมินั้นก่อน ไม่จำเป็นว่าทำความดีมากมายต้องขึ้นสวรรค์เสมอไป   หรือแทบจะไม่ทำดีเลยแต่จิตเกิดระลึกถึงความดีก่อนตายก็มีสิทธิ ไปสวรรค์ได้เหมือนกัน  แต่มันเสี่ยงมากเพราะมักจะนึกไม่ออก แต่คนดีถึงลงนรกก็ไม่นาน เช่น อรรถกถา ขุททกนิกาย  พระนางมัลลิกาที่เสวยทุกข์ในนรก 7 วัน (เวลามนุษย์) เพราะทำความดีไว้มากมายแต่จิตเศร้าหมองก่อนตายนิดเดียว จากนั้นไปสวรรค์ กรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  การให้ผลก่อนหลัง ระยะเวลา ก็ซับซ้อน  เกินกว่าสติปัญญาปุถุชนที่ไม่ใช่พระอริยะ ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็คงต้องปฏิบัติเอง เริ่มจาก ทาน ศีล ภาวนา การอ่านจากตำรา หรือตั้งคำถามก็ไม่สามารถทำให้ความสงสัยหมดไป  เพราะคำตอบแบบไหนก็คงไม่ถูกใจ  เพราะหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาให้ดูไม่ได้ เหมือนรู้ว่าพรุ่งนี้ มีแต่พาไปพรุ่งนี้ไม่ได้       เผื่อเหลือเผื่อขาด ก็สร้างความดีมากๆ อย่าไปสนใจเรื่องนรกอะไรนั่นเลย เพราะตายเมื่อไรก็คงได้รู้ด้วยตัวเองทุกคน จากคุณ : shinnoir เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 20:29:29

ความคิดเห็นที่ 23 งั้น ตายแล้วจะไปไหนขึ้นอยู่กับว่า "การระลึกได้ก่อนตาย" ประมาณว่าคนทำบาปมาเยอะสิ่งที่จะคิดได้ก็มีแต่เรื่องบาป คนทำบุญเยอะก็คิดได้แต่เรื่องบุญก็ไปภพดี คนตายอุบัติเหตุ ไม่ทันได้คิด เป็นผีไปไหนไม่ได้ ลืมคิดที่ไป หมายถึงว่า ทำบุญเยอะๆเพื่อเพิ่มโอกาสในการระลึกได้ก่อนตาย ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ เวลาตาย ประมาณนี้ปะครับ อธิบายแบบคนธรรมดาเข้าใจง่ายอะ ถ้าให้ไปปฎิบัติคงนานเกินกว่าจะได้คำตอบ เพราะคนธรรมดาทั่วไป ไม่รู้หรอกว่าจริงๆศาสนาพุทธมันน่าเลื่อมไสตรงไหน มีแต่ทำบุญๆมีแต่เสีย บอกแต่ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ศีล5 เข้าวัดฟังเทศภาษาอะไรไม่เข้าใจ นั่งปวดขา ง่วงนอน บลาๆ คนได้แต่เกิดมาพร้อมศาสนาในใบเกิด ไม่มีคนอธิบาย(เผยแพร่) ให้เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ เห็นแต่ภาพลบออกสื่อทุกวัน พระกระเทยเต้นในวัด เจ้าอาวาสมีเมีย พระเกย์ตุ๋ยเณร ลัทธิจานดาวเทียมหลอกบวชฟรีแต่เสียเป็นหมื่นๆ ฯลฯ ที่ผมมาสนใจก็เพราะพระอาจารย์ ว.วัชระ เทศเข้าใจง่ายน่าสนใจ และได้อ่านหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ที่เข้าใจง่ายน่าอ่านและราคาถูก ศาสนาพุทธขาดคนสื่อสารที่เข้ากับผู้คนธรรมดาได้ง่ายและถูกต้องผมเข้ามาห้องนี้หวังได้คำตอบแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ความเห็น 22 คุณ shinnoir เข้าใจง่ายสุดละเกี่ยวกับการตกนรก แต่ก็สงใสอยู่หละว่า ถ้าจิตก่อนตายแสวงบุญได้ไปเกิดภพดี แล้วบาปที่ทำมาก่อนหน้า ไปอยู่ไหนเสีย ลงนรก 7 วันก็มีด้วยนะ แล้ว การไม่เชื่อชาติภพจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เหมือนกับว่า มีปัญหากับคำสอนเป็นบาป สงใสมากเป็นบาป ดูไม่เหมือนศาสนาพุทธ เหมือนๆกับ ไม่เชื่อในพระเจ้า ตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด ปะ มันแค่มีความไม่กระจ่างครับ ปล.รบกวนผู้รู้ที่มีเวลา สามารถอธิบายได้ ผ่านโปรแกรมแชต หรือพูดคุยผ่าน skype user ผมตามชื่อ pantip นะครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 21:29:54 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 21:26:29 จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 21:24:00

ความคิดเห็นที่ 24 ประการแรก สรุปได้ว่า หนังเป็นเรื่องกุ ไม่อิงหลักพุทธศาสนาเลย ละครกับเรื่องจริง เรื่องจริงคืออะไรครับ ช่วยยกตัวอย่างให้คนที่ไม่ได้อ่านไตรปิฎกหนา เข้าใจได้ - ละครจะหยิบยกเรื่องราวใด ๆ ก็ได้ มาแต่งเติมเพิ่มความสนุกและเพิ่มเนื้อหาที่น่าสนใจ น่าติดตาม ละครบางเรื่องหาความจริงไม่ได้เลย ในขณะที่ละครบางเรื่องหาความจริงได้บ้าง เหมือนเราเอาการ์ตูนมานั่งคิดว่าโดเรมอนเป็นหุ่นยนต์ แต่หุ่นยนต์แบบโดเรมอนมันจะมีได้ยังไง พาลให้เหมาเอาว่าหุ่นยนต์นั้นไม่มีจริง มันก็ไม่ใช่ ก็โดเรมอนเป็นเรื่องแต่ง แม้จะอิงความเป็นจริงบ้างมันก็คือเรื่องแต่ง ฉะนั้น เอามาเหมารวมกันไม่ได้ การที่คุณไม่เข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนาเพราะไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก ก็พอ ๆ กับการที่ไม่มีใครเข้าใจว่าคุณรับรู้อะไรมาบ้าง เลยตอบให้ถูกใจไม่ได้ เพียงแต่จะทำให้มีคนเข้าใจคุณมันยากกว่าการที่คุณจะทำความเข้าใจในพระไตรปิฎกมากนัก ประการสอง เกิดเป็นมนุษย์อีกทีตอนไหน (ถ้าตกนรกขั้นต่ำสุดๆๆๆ เช่นตกปลาเล่น กินเหล้าจนเมา) - นรกที่มีโทษสถานเบาที่สุดก็คือยมโลกนรก คนบางคนกำลังถูกพาตัวไปยมโลก ยังไม่ทันจะถูกลงโทษเลย ก็พ้นนรกมาเสียแล้ว เพราะมีคนอุทิศบุญไปให้อย่างมากเพียงพอ เขาเรียกว่าบุญมาตัดรอนให้บาปไม่ได้ส่งผล บาปก็ยังมีอยู่ แต่บุญมาอุ้มขึ้นไปก่อน เหมือนคนที่กำลังจะถูกศาลตัดสิน แต่มีพระราชโองการอภัยโทษมาถึงก่อน เป็นต้น หรือแม้แต่กำลังถูกลงโทษอยู่ แต่มีคนอุทิศบุญให้ ก็เหมือนคนที่ติดคุกแล้วได้รับอภัยโทษนั่นเอง ไม่ว่าจะตกปลาเล่น หรือกินเหล้าจนเมา หากไม่มีกรรมอื่นมาตามส่งผล ก็ไม่มีอะไรมาช่วยให้พ้นนรก เพียงแต่กรรมเป็นสิ่งที่ซับซ้อน แม้คนที่ดื่มเหล้ามาตลอดชีวิต แต่ก่อนตายกลับเลิกเหล้า แล้วเข้าวัดเข้าวาทำบุญ อีกทั้งขณะตายใจก็นึกถึงแต่บุญที่ทำในช่วงใกล้ตายได้ บุญก็จะส่งผลก่อนแล้วพาไปสวรรค์ ส่วนบาปก็รอส่งผลต่อไปในอนาคต ไม่ได้หายไปไหน ประการที่สาม ขอคำตอบจากข้อสอง - ตอบแล้วมั้ง ประการ ที่สี่ ผมเคยถามพระที่เคยคุยด้วยที่เคร่งศาสนามาก แล้วก็ตอบคำถามผมได้ฉะฉาน ท่านบอกว่า ไม่ว่าทำบาปอะไรไว้ ต้องรับโทษจากบาปนั้นก่อน เมื่อสิ้นบาป ถึงจะรับผลจากบุญที่ได้ทำไว้ ไม่สามารถ ทำบุญล้างบาปได้ ฆ่าคนมาต้องรับผลตกนรก แม้จะทำบุญหลังทำผลไว้เยอะเท่าไรก็ตาม นรกก่อน>ขึ้นสวรรค์ทีหลัง ## แสดงว่าพระรูปนั้นศึกษามาผิดใช่ สอนผมผิดใช่หรือไม่ ที่ถูกต้องจริงคืออะไร - เรื่องนี้มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก เราแทบจะรู้ไม่ได้เลยว่า บาปหรือบุญจะส่งผลก่อน แต่หลักการส่งผลของกรรม จะมีหลักอยู่ 4 อย่างคือ 1. ครุกรรม เป็นกรรมหนักจะส่งผลก่อนกรรมใด ๆ ทั้งหมด ไม่มีกรรมใดมาห้ามได้ 2. อาสัญณกรรม เป็นกรรมก่อนตาย คือก่อนตายทำกรรมอะไร ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ จะส่งผลก่อนกรรมอื่น ๆ เว้นแต่มีครุกรรม 3. อาจิณกรรม คือ กรรมที่ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ หากไม่มีกรรมก่อนตาย กรรมนี้ก็จะส่งผล 4. กตัตตากรรม คือ กรรมที่ทำโดยสักแต่ว่าทำ จะส่งผลเป็นลำดับสุดท้าย ฉะนั้น การจะบอกว่ากรรมใดส่งผลก่อน ก็ต้องดูเป็นราย ๆ เป็นคน ๆ ไป ไม่สามารถเจาะจงได้ แม้พระเทวทัตทำกรรมไม่ดีมาตลอด แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่พยากรณ์ว่าพระเทวทัตจะตกนรก เพราะว่าผลแห่งความดีที่พระเทวทัตเคยทำมาในอดีตยังมีอยู่ ต่อเมื่อพระเทวทัต ทำชั่วจนเลยขีดที่ความดีจะส่งผลได้ พระพุทธเจ้าจึงพยากรณ์ว่าพระเทวทัตจะตกนรกแน่ ๆ ฉะนั้น หากยังไม่ได้สร้างครุกรรม คือกรรมหนักแล้ว ก็ยังมีโอกาสกลับตัวถ้าไม่ตายซะก่อน ถ้าตั้งใจทำตัวเสียใหม่ ก็จะประคองตัวให้พ้นนรกได้ ตรงกันข้าม ต่อให้ทำความดีมาตั้งแต่เกิด แต่บั้นปลายชีวิตกลับกลายเป็นคนชั่ว ก็ไปตกนรกได้เช่นกัน ประการที่ห้า ผมค่อนข้างจะอิงประวัติศาสต์การมีมนุษย์ ประวัติการบันทึกต่างๆ ทำให้เห็นว่า คนเราดำเนินชีวิตมาได้ไม่ได้นาน เป็นล้านปี มีคนบอกโลกมีอายุ 1 กัลป์(เท่ากับเวลาของเม็ดผักกาดที่ยิบออกจากพื้นที่ 1 ลูกบากศ์โยชน์ 100ปีละเม็ด) เวลาก่อนหน้าการมีบันทึกของมนุษย์คืออะไร ไม่มีบันทึกไว้หรือ? หน้าตาคนตอนนั้นเป็นอย่างไร - แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังถกเถียงกันไม่จบเลยว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดอย่างไรกันแน่ มีแต่ว่าทฤษฎีไหนได้รับการยอมรับมากที่สุดเท่านั้น เพราะเขาศึกษาจากหลักฐานที่ค้นพบ ส่วนหลักฐานที่ค้นไม่พบ และความจริงที่เขาไม่รู้ยังมีอยู่อีกมากมาย อีกอย่าง ที่ว่ามีบันทึกการคงอยู่ของมนูษย์นั้น เขาเพิ่งจะมาบันทึกให้เราได้ศึกษา แค่ไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง ตามทฤษฎีของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และบันทึกของมนุษย์ยุคเก่า ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ไม่ได้มีหลักฐานว่ามีการบันทึกเรื่องราวของมนุษย์มานับตั้งแต่มีการเกิดมนุษย์ขึ้นแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ คือ เป็นการคาดเดาของคนสมัยใหม่เท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานที่มีใครมาบันทึกไว้ ส่วนเรื่องมนุษย์ยุคโบราณ หรือการกำเนิดมนุษย์ก็มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหมดแล้ว อีกทั้งเรื่องที่ว่าจักรวาลมีความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนับประมาณไม่ได้ก็มีบันทึกไว้ ก็เหลือแต่ว่าเราอยากจะศึกษามันหรือไม่เท่านั้น เชื่อว่าถ้าความคิดผมถูกต้อง คนจะไม่ได้เกิดมาใน โลกใบนี้อีกเลย ทุกคน!! มันเหมือนกับใส่เวลามามั่วๆ ให้ดูเยอะๆเวอร์ๆ ถามว่ามันทำไม? ไม่สมเหตุผล - ไม่ใช่ไม่สมเหตุสมผล แต่เพราะเรามีอายุน้อยเกินไป จึงไม่สามารถเห็นเหตุและผลเหล่านั้นได้ต่างหาก โลกมีอายุหลายล้านปี ตัวเราเองมีอายุยืนพอที่จะอยู่ดูมันหรือไม่ เพราะแบบนี้เราจึงไม่รู้ไม่เห็น และคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร หากเป็นการใส่ตัวเลขมั่ว ๆ แล้ว ที่นักวิทยาศาสตร์คำนวณมันก็มั่วเช่นกัน คุณนึกออกไหมที่ ณ เวลาหนึ่งในโลก มีแต่ไดโนเสาร์ป้วนเปี้ยนกันเต็มไปหมด ไม่มีตึกรามบ้านช่องอย่างในสมัยนี้ แค่นี้ก็คงเห็นแล้วว่า หลาย ๆ อย่างมันไม่เหมือนที่คุณคิด ตอนนี้เราอยู่ในเมือง มีโรงเรียน มีบ้าน มีถนน เราก็นึกไม่ออกว่าโลกที่ไม่มีโรงเรียน ไม่มีบ้าน ไม่มีถนน มันเป็นอย่างไร ฉะนั้น ต้องบอกว่า โลกมันเป็นไปได้ทั้งหมดที่เราจินตนการไปไม่ถึงนั่นแหละ เพียงแต่มันจะเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง ผมมีความขัดข้องใจจึงอยากจะเข้ามาถามในชุมชนคนศาสนา อยากให้กระจ่าง เพราะศาสนาพุทธ เหมือนจะอ้างอยู่เสมอว่าทำบุญๆ ชาติหน้าๆ ทำเพื่อภพหน้า ให้เกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน ทำบุญด้วยกันเกิดมาคู่กัน - ต้องแยกระห่วางคำสอนกับค่านิยมให้ออก สิ่งที่ชาวพุทธพูด ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ศาสนาพุทธสอนเสมอไป เพราะทุกคนก็มีความชอบไปคนละแบบ พอใจไปคนละอย่าง ย่อมพูดในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ผมยังเชื่อถูกต้องหรือเปล่า ว่าไม่มีชาติหน้าบนโลกใบนี้อีกแล้ว ชาติหน้าของคุณคือ ดาวเกิดใหม่ดาวไซย่ามีหน้าตาหัวโตตาโตแขนขาลีบ - ไม่ว่าจะเชื่ออย่างไร ก็หนีความจริงไม่พ้น แม้ว่าเราจะเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีแรงดึงดูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากระโดดลงจากหน้าผาแล้วจะไม่ตกลงมาตาย เราเชื่ออย่างไร เราก็จะทำอย่างนั้น และต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นด้วยตัวเอง ฉะนั้น จะเชื่ออะไรไม่ได้มีผลต่อคนอื่น ถ้าเชื่อผิด ๆ ตัวเราเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ถ้าเชื่อถูกต้อง ตัวเราเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์ ฉะนั้น จะเชื่ออะไรหรือไม่เชื่ออะไร อย่าใช้อารมณ์ อย่าให้ความประมาทในการตัดสิน ควรไตร่ตรองให้ดี และใช้สติปัญญา พิจารณา และศึกษาให้รอบคอบ ว่าอะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ เพราะว่าคนที่รับผลจากความเชื่อและการกระทำของเราเอง ก็คือตัวเราเองนั่นเอง ทุกคนเลือกทางชีวิตของตัวเอง แม้ว่าใครจะหวังดีหรือหวังร้าย แต่เมื่อตัวเราตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครห้ามได้ และไม่มีใครช่วยได้ด้วย จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 00:51:15

ความคิดเห็นที่ 25 เดี๋ยวไปหาปัญหามาถามอีก ข้อสุดท้ายก็สงใสอยู่ดี เพราะผู้คนคอยพร่ำสอนเรื่องชาติหน้า ที่ว่า "จะเชื่ออะไรไม่ได้มีผลต่อคนอื่น ถ้าเชื่อผิด ๆ ตัวเราเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ถ้าเชื่อถูกต้อง ตัวเราเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์" เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเชื่อถูก หรือเราเชื่อผิด อย่างโดดลงเหวไม่รู้จักแรงดึงดูดแต่รู้แน่ตกไปตายซึ่งสมเหตุสมผล แต่ศาสนานี่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ที่เขียนๆไว้ถูกหรือผิด เชื่อดีไม่เชื่อดี เท่าที่รู้คือความสมเหตุสมผล ส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือมาก็ดูสมเหตุผล แต่ก็มีหลายจุดที่ติดๆจุดเล็กจุดน้อย แต่ก็อาจจะสำคัญ เหมือนศาสนาคริส ผมเคยอ่านพระคำภีย์ตอนหนึ่งพระเยซูสาปต้นมะเดื่อตายโชว์ชาวบ้านเนื่องจากเหตุแค่ว่า ต้นมะเดื่อไม่ออกผล(ไม่สร้างประโยชน์) ผมก็เลยมองเห็นว่าแค่ไม่ทำประโยชน์ซึ่งก็ไม่เดือดร้อนใครไม่เห็นผิด ทำไมต้องตาย? อ่านๆไปก็สงสัยไป นี่หละต้องการคำอธิบายจากผู้รู้จริงว่าเหตุที่แท้คืออะไร เพราะอะไร ไม่ใช่จะสรุปได้เองว่า พระเยซูแย่ ศาสนาคริสแย่ ไม่งั้นก็คงไม่มีครูสอนศาสนา ไม่ต้องเข้าเรียนตีความหมายพระคำภีย์ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 09:33:00 จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 01:51:25

ความคิดเห็นที่ 26 กรรมหนักที่พวกเราทำกันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เกี่ยวกับ ผิดหนี้สงฆ์ เนี่ยล่ะค่ะ พราะบางครั้งการเอาของวัดกลับมาที่บ้าน นี่ก็บาปแล้วนะคะ ถึงแม้พระท่านจะอนุญาต เพราะของที่ญาติโยมถวายนั้น ถวายเป็นสังฆทาน ฉะนั้น ต้องได้รับความยินยอมจากพระ 4 รูปขึ้นไปก่อน แค่นี้ก็บาปมากแล้วค่ะ ตัวเราก็ทำผิดมากเหลือเกิน อย่าทำกันนะคะ ถ้าเลี่ยงได้อย่าไปยุ่งกับของสงฆ์จะดีที่สุดค่ะ เพราะละเอียดอ่อนมากค่ะ   ขอฝากเว็บนี้ไว้ด้วยนะคะ ทำให้เข้าใจคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีขึ้นค่ะ เว็บนี้เลยค่ะ http://www.baansuanpyramid.com เข้าไปที่หัวข้อ "รายการคุยไปแจกไป" จะสามารถดูย้อนหลังได้ทุกตอนค่ะ ส่วนทางทีวีดูได้ที่ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม MVTV บางกอกทูเดย์ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00 น. - 17.00 น. และออกอากาศซ้ำในคืนวันจันทร์ เวลาเที่ยงคืนถึงตีสอง (24.00 น.- 02.00 น.) จากคุณ : ตุ้ย (beauty21) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 10:27:07

ความคิดเห็นที่ 27 ^ อยากรู้ว่าควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ก็รู้ให้รอบทิศครับ มองให้ทุกมุม อย่าปักธงที่มีคำว่า เชื่อ ไว้ที่ด้านใดด้านหนึ่ง เปิดใจที่จะมองทุกมุมมอง อันใหนไม่เชื่อก็อย่าพึ่งทิ้ง อันใหนไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งเชื่อ มองเพิ่มอีกหลายๆด้าน แล้วใช้สติ ปัญญา ของเราตัดสินครับ ซึ่งจะถูกผิด มากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาแล้วการสังเกตุของเรานั่นเอง ท่านถึงให้หมั่นเจริญปัญญา ครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 10:31:12

ความคิดเห็นที่ 28 เราจะรู้ให้ชัดเจนว่าสิ่งใดถูกหรือผิด มีกรณีเดียวคือเราพิสูจน์ได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่เกิดปัญหาว่าเราควรเลือกเชื่ออะไร ฉะนั้น ข้อนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่ลงมือพิสูจน์ กรณีคนที่ยังไม่อยากพิสูจน์ แต่อยากจะรู้ว่าควรพิสูจน์อะไร ก็ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ เพราะยังไม่ได้ก้าวไปสู่ความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ยังไม่รู้อะไรเพราะยังไม่เคยพิสูจน์ เหมือนคนที่ไม่เคยดูหนังเรื่องหนึ่ง แต่อยากรู้ว่าหนังสนุกไหม ควรไปดูไหม ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่คนไม่เคยดู ย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่ามันสนุกไหม ฉะนั้น เราก็ต้องฟังเอาจากคนที่เคยไปดูมาแล้ว จากสกู๊ปหนัง คำวิจารณ์ ตัวอย่างหนัง เป็นต้น ในกรณีของความเชื่อก็เช่นเดียวกัน เราต้องสังเกตเอาจากคนที่เขาพิสูจน์มาแล้ว เช่น เคยศึกษาคำสอน เคยนั่งสมาธิ เคยบวช ฯลฯ เราต้องดูว่ามีคนที่เคยพิสูจน์ และได้ผลกับตัวเองมากแค่ไหน ได้ผลดีอย่างไร และชีวิตเขาเป็นอย่างไร อีกทั้งต้องทำอย่างเข้าใจ และพิจารณาให้กว้างมากพอ ไม่ใช่สุ่มตัวอย่างแค่เพียงบางส่วน ในสมัยพุทธกาลคนจำนวนมากเห็นพระภิกษุมีท่าทางสงบสำรวมและดูปลอดกังวลไม่เป็นทุกข์ ผู้คนก็เลื่อมใส อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงเข้าไปหา เข้าไปฟังธรรม แล้วก็ได้บรรลุธรรมสมใจ ดังนั้น หากเราอยากเป็นแบบไหน ก็เข้าไปหาแบบนั้น อยากเป็นนักกายกรรม ก็ต้องไปหานักกายกรรมมืออาชีพ อยากเป็นหมอ ก็ต้องเข้าไปหาหมอมืออาชีพ หรือคนที่สามารถสอนวิชาหมอให้แก่เราได้ อยากบรรลุสัจธรรม ก็ต้องเข้าไปหา ผู้ที่สำเร็จธรรม เป็นต้น ไม่ว่าเรื่องระลึกชาติ หรือเรื่องใด ๆ ในทางพุทธ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าไม่ลงมือพิสูจน์ คือตั้งใจปฏิบัติเพื่อการนั้น แล้วจะบอกว่ามันไม่มีจริง เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เหมือนที่เราไม่เคยไปดูหนังเรื่องนั้น ๆ แล้วบอกว่ามันไม่สนุกนั่นแหละ ผู้ที่ระลึกชาติได้ด้วยการฝึกฝนยังมีอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่แค่ระลึกได้ขึ้นมาเอง ตัวเราเองก็ฝึกได้ โดยที่จริงแล้ว หากเราได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรม ยังไม่ถึงขั้นระลึกชาติเลย ตัวเราเองก็จะเข้าใจขึ้นมาได้เองว่าเรื่องเหล่านี้มันมีจริง เพราะเราจะมีประสบการณ์บางอย่างที่ไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวได้ และไม่เคยคิดว่ามันจะทำได้จริง ดังนั้น หากยังไม่เคยลงมือปฏิบัติสมาธิมาเลย ที่จะให้หายสงสัย และคิดว่ามันจะมีหรือไม่ เป็นอันเป็นไปไม่ได้ ก็จะเหมาเอาเองอยู่ร่ำไปว่าตัวเองทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเพราะตัวเราไม่ได้ทำต่างหาก ไม่ใช่ทำไม่ได้ สุดท้าย หากยังเลือกที่จะเชื่อ ก็ต้องอาศัยวิธีดังว่า คือสังเกตเอาจากคนที่เขาพิสูจน์มาแล้ว หรือหากอยากหมดความสงสัยเรื่องนี้ ก็ให้ลงมือปฏิบัติ หาคนที่พอจะแนะนำได้ ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วตั้งใจปฏิบัติไป เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจะจริงหรือไม่จริง ตอนนั้นก็ค่อยตอบตัวเองก็ยังไม่สาย แต่หากยังไม่เคยทำแต่บอกว่ามันทำไม่ได้ นี่แหละที่มันไม่สมเหตุสมผลอย่างแท้จริง จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 14:28:57

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องเกี่ยวกับจิตเนี่ย มันก็พูดยากนะครับ เพราะแค่เอามานั่งคิดมันก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ ยิ่งหลักของศาสนาพุทธ (หลักจริงๆ นะครับ ไม่ใช่ค่านิยมที่บอกว่าทำบุญๆ ชาติหน้าๆ) ต้องปฏิบัติให้เห็นจริง ถึงจะตอบคำถามที่เราสงสัยได้ ดังนั้น ผมคงไม่กล้าตอบอะไรท่านเจ้าของกระทู้ แต่อยากแชร์ให้ฟังว่า เมื่อก่อนผมก็เต็มไปด้วยคำถามแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมเชื่อมั่นในพุทธศาสนาเต็ม 100% ครับ ตั้งแต่ผมและภรรยาได้ไปปฏิบัติกรรมฐาน ภรรยาผมเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งครับ แต่ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมต้องนั่งภาวนา ทำไมต้องเดินจงกรม ทำไมต้องมีสติ แต่เธอมีข้อดีอยู่ว่า ถ้ามุ่งมั่นทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ (ใจเด็ดกว่าผู้ชายอีก) พระอาจารย์ให้กรรมฐาน และบอกให้ตั้งใจปฏิบัติ ใครตั้งใจจะได้ "ของดี" กลับไป ภรรยาผมอยากได้ของดีมาก ปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว พอวันที่ 5 ที่ปฏิบัติ เธอน้ำตาไหลเลย มาเล่าให้ผมฟังสรุปความได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งรู้ว่า "สติ" คืออะไร ซึ่งของแบบนี้มันบอกกล่าวกันไม่ถูกหรอกครับ เหมือนเรากินอะไรที่คนอื่นไม่เคยกินมาก่อน จะเล่าให้คนอื่นฟังว่าของนั้นรสชาติอย่างไรเค้าก็คงไม่รู้อยู่ดี ดังนั้นที่ท่านบอกว่า เรื่องของศาสนาจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดีนั้น ขอให้ลองปฏิบัติดูเลยครับ อย่าเอาแต่นั่งคิด เพราะคิดให้ตายยังไงก็ตอบคำถามไม่ได้หรอกครับ ที่สำคัญผมว่าท่านดูจะอ่านอะไรมาเยอะนะครับ ตอนเริ่มจะศึกษาเพื่อปฏิบัตินั้น ขอให้ตัดสิ่งที่เคยอ่านมาทิ้งไปก่อนครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ ลองหา คู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธทาสมาอ่านดูก็ได้ครับ ท่านเขียนไว้ดีมาก จากคุณ : ล่ำโหลด เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 15:14:05

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้ามันไม่ยุ่งยาก ใช้เวลานานเป็นปี หรือทั้งชาติก็น่าลองครับ ถ้าไม่เสียหายอะไร ความรู้สึกของแฟนคุณ ล่ำโหลด คงเหมือนๆกับที่คนคริสรู้สึกถึงพระเจ้าขณะรับเชื่ออะไรแบบนี้ก็ได้ แต่จะให้ไปรับเชื่อลองเปลี่ยนศาสนาดูก็ดูจะทดลองมากไป เพื่อกระจายความเสี่ยงก็เลยกำลังศึกษาว่าศาสนาไหนดีจริง เพราะจากที่ผมไปโบสคนที่โบสอัฐยาศัยดีมาก เป็นมิตรทุกคนส่วนแทบไม่ต้องพูดเกี่ยวกับศาสนา (นอกพิธี) เค้าบอกศาสนาอะไรก็มาโบสได้ มาลองชั่งใจดู มาสังเกตุการณ์ ผมก็เห็นว่ามันดูอบอุ่นเหมือนเขาห่วงใยกันดีมากโดยมีพระเจ้าเป็นจุดรวมใจ โบสโปแตสเทน ปฎิบัติพุทธก่อน ไม่เวิร์คเดี๋ยวอาจไปรับเชื่อดู จากคุณ : EsaOsy เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 54 17:24:47

ความคิดเห็นที่ 31 ทิ้งความรู้ทั้งหมดที่ได้รู้มาจากการอ่าน ทิ้งความคิดที่จากการถูกยัดเยียด ทิ้งคำถามทั้งหมดไป หยุดการปรุ่งแต่งความคิด และอารมย์ ปล่อยใจให้ว่าง ตั้งจิตให้สงบเป็นกลาง บริสุทธ์ มีสติ สัมผัสทุกสิ่งรอบกายตามธรรมชาติ เปรียบสเหมือน จิตที่สงบเป็นกลาง บริสุทธ์ก็คือเครื่อง เรด้า ที่ปราศจากคลื่นอื่นๆมารบกวน จิตคุณจะได้รับรู้สิ่งรอบกายตามธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง ไม่ต้องมีใครมาบอกคุณ หรือขนขวายหาอ่านจากที่ไหน แต่การที่คุณจะรู้คำตอบทั้งหมดที่คุณสงสัยได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับทำจิตให้ว่าง ตั้งจิตให้สงบเป็นกลาง และบริสุทธ์ ได้ระดับไหน ยิ่งบริสุทธ์มาก ก็จะรับรู้ความเป็นไปของธรรมชาติของสิ่งรอบกาย อย่างแท้จริง และถูกต้องได้มากเท่านั้น เปรียบเหมื่อนเครื่องเรด้า ที่มีคุณภาพสูง ถึงจะมีคลื่นรบกวนมาก แต่ก็สามารถ ที่จะรับคลื่นที่ถูกต้องได้ การที่คุณดูหนัง อ่านหนังสือ ได้รับการปลูกฝังความคิด ขนบประเพณีต่างๆจาก ที่อบรมสั่งสอนกันมา ทำให้สะสมจนเกิดการยึดมั่นถือมั่นเชื่อถือ จิตใจไม่เป็นกลาง ไม่สามารถรับสิ่งที่เป็นจริงได้ เปรียบเทียบได้กับเรด้าที่ มีรับคลื่นหลายคลื่น จนใช้การไม่ได้ คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวของคุณเอง ไม่มีใครช่วยคุณได้ คุณต้องทำจิตใจของคุณให้อิสระ จากการปรุ่งแต่งในชีวิตประจำวัน การนั่งสมาธิปฎิบัติธรรม ทำจิตให้สงบ เพื่อจูน(จิตใจ)คลื่นวิทยุ รับคลื่นที่ชัดเจน และถูกต้องน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณ อตตา หิ อตตโน นาโถ “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ” จากคุณ : กล้วยไม้สีเงิน เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 05:28:45

ความคิดเห็นที่ 32 การแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนา การแบ่งกัปในทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.    สุญญกัป คือ กับที่ว่างจาก พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระเจ้าจักรพรรดิ 2.    อสุญญกัป คือ กัปที่ไม่ว่างจากผู้มีบุญโดยเฉพาะพระพุทธเจ้า มี 5 กัปคือ 1.    สารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 1 พระองค์ 2.    มัณฑกัป คือ กัปที่ผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 2 พระองค์ 3.    วรกัป คือ กัปที่ประเสริฐ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 3 พระองค์ 4.    สารมัณฑกัป คือกัปที่เป็นแก่นสารและผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 4 พระองค์ 5.    ภัทรกัป คือกัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์. กัปปัจจุบันเป็นภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมะ พระศรีอริยเมตไตรย วิธีนับกัป วิธีนับกัป กำหนดกาลว่านานกัปหนึ่งนั้น พึงรู้ด้วยอุปมาประมาณว่า มีขุนเขากว้างใหญ่สูงโยชน์หนึ่ง (16 กิโลเมตร) ถึง 100 ปีมีเทพยดาเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดลงมาเช็ดถูบนยอดขุนเขานั้นหนหนึ่งแล้วก็ไป ถึงอีก 100 ปีจึงเอาผ้าลงมาเช็ดถูอีก นิยมอย่างนี้นานมาจนตราบเท่าขุนเขานั้นสึกเกรียนเหี้ยนลงมาราบเสมอพื้นพสุธาแล้ว กำหนดเป็น 1 กัป เมื่อนั้น อีกนัยหนึ่ง กำหนดด้วยประมาณว่า มีกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสโดยกว้างลึกกำหนดหนึ่งโยชน์ ถึง 100 ปีมีเทพยดานำเมล็ดผักกาดมาหยอดลง 1 เม็ด เมล็ดผักกาดเต็มเสมอปากกำแพงนั้นนานเท่าใด จึงกำหนดว่าเป็น 1 กัป (ดูการประมาณความยาวนานใน อสงไขย) อ้างอิง 3.    พระคัมภรีอนาคตวงศ์ , ประภาส สุระเสน, มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์,พ.ศ. 2540, โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย , ISBN 974-580-742-7 4.    ความหมาย ของ อสงไขย , กัป , มหากัป    ที่มาข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B   ตามหลักพุทธแล้ว   โลกของเราใบนี้หรือกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว ๔ พระองค์  คือ   พระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธ ๑    พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมน ๑    พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป  ๑      พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตม ๑   และในอนาคตจะมีอุบัติอีกพระองค์หนึ่งคือ พระศรีอริยเมตตรัย   ======= ถาม :  พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ห่างช่วงกันนานไหมครับ? ตอบ :  ระยะห่างของการอุบัติของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เป็นเวลานานมาก   บางช่วงนานหลายๆกัปก็มี บางช่วงไม่ถึงกัปก็มีแต่ถ้านับจำนวนปีเป็นเวลา   กว่าล้านๆ โกฏิปี  ครับ ======== จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 09:30:24

ความคิดเห็นที่ 33 การคำนวณความยาวนาน   1 โยชน์   =  16 กิโลเมตร 400 เส้น  =  1 โยชน์ 20 วา      =  1 เส้น 1 กัป       =  ตั้งแต่โลกเกิด จนถึงโลกดับ 1 ครั้ง อสงไขย   =  10 ยกกำลัง 140 กัป คำว่า กัปป์ กับ คำว่า กัลป์ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน คำนึงเป็น บาลี คำนึงเป็น สันสกฤต   1. สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง กว้าง 100 โยชน์ ยาว 100โยชน์ และ สูง 100 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่อง นั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป 2. (บางตำรากล่าวว่า กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์) วิเคราะห์คำนวณ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 1600X1600X1600 = 4,096,000,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร 1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 = 1,000,000 มิลลิเมตรจะได้ 1 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด 3. ดังนั้น 1600 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1600X2,000,000 = 3,200,000,000) เมล็ด ถ้าเป็นปริมาตร คือ (กว้าง x ยาว x สูง) ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด คือ (3,200,000,000X3,200,000,000X3,200,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000,000,000 เมล็ด) 4.  ใน 100 ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ 32,768,000,000,000,000,000,000,000,000X100 =3,276,800,000,000,000,000,000,000,000,000 ปี 5. จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณ สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้านล้าน ปีประมาณ 3.3 X 10 ยกกำลัง 30 ปี 6. 1 อสงไขย มีกี่ปีนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอน คือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10 ยกกำลัง 140 ปี       เมื่อสิ้นมหากัปป์นี้แล้ว คัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวไว้ว่าอสุญญกัปป์ต่อไปจะเป็น มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ พระรามโพธิสัตว์  และพระเจ้าปเสนทิโกศล (พระธรรมราช)   ที่มาข้อมูล   http://silance-mobius.blogspot.com/2007/10/blog-post_9055.html ========   แต่กระนั้นก็ตามเราพบว่า : 1 โกฏิ(ปี) มีค่าเท่ากับ 1,000,000 กัป(ปี)    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   ผู้มีสติปัญญาจะเชื่อโดยใช้มาตรฐานอย่างไรดี ในเมื่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันเป็นเอกฉันท์ชัดเจนว่า 1. เมื่อ 10 ล้านปีที่แล้ว มนุษย์ยังไม่มีร่องรอยปรากฎ อยู่บนจักรวาลนี้เลย 2. โลกใบนี้มีจุดเริ่มต้นเมื่อ 4,500 ล้านปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้นโลกยังไม่มี     ที่เหลือให้ผู้อ่านที่มีสติปัญญาทั้งหลายคิดเอาเองครับ... จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 09:30:52

ความคิดเห็นที่ 34 การจะไปเกิดหลังจากตายเนี่ย มันไม่ได้ขึ้นกับว่าคุณทำบุญบาปมาทั้งชีวิตเท่าไร สำคัญอยู่ที่ว่าก่อนขาดใจตาย จิตใจเป็นอย่างไร ถ้าจิตเศร้าหมองหรือไปทางลบก็ลงอบาย นั่นคือ นรก เปรต อสูร แต่ถ้าจิตผ่องใสก็กลับมาเป้นคน ไปสุขคติภูมิ สวรรค์ พรหม เป็นต้นครับ แต่ที่ให้ทำบุญเยอะๆเพราะเวลาทำอะไรบ่อยๆ  จิตเราจะจำสิ่งนั้นได้ดี แล้วก็จะช่วยให้ก่อนตายนึกถึงสิ่งนั้นๆครับ ส่วนเรื่องเวลายาวนานเวอร์ๆที่ใส่มา ผมก็ไม่อาจทราบได้ ได้แต่ศึกษา ไม่อาจเห้น เพราะเป็นปุถุชน ย้ำ จะไปเกิดหลังจากตายแล้วที่ไหน อยู่ที่จิตสุดท้ายก่อนตายครับ  บางทีทำบุญมาทั้งชีวิต ตอนจะตาย หนวกหูเสียงก่อสร้างข้างบ้าน หงุดหงิด ลงนรกก็มี อ้าว... จากคุณ : จักรพรรดิแดนรักทหารErosPhoenix เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 17:08:13

ความคิดเห็นที่ 35 แต่ก็สงใสอยู่หละว่า ถ้าจิตก่อนตายแสวงบุญได้ไปเกิดภพดี แล้วบาปที่ทำมาก่อนหน้า ไปอยู่ไหนเสีย ----------------------------------------------------------------------------- บาปก็วนเวียนรอให้ผลจนกว่าจะได้ชดใช้ หรือ ไปนิพพานครับ เช่น ทำบาปอื้อ บุญน้อย ตายไปสวรรค์  ก็เสวยแต่บุญ  บาปก็วนรออยู่ ตายจากเทวดาลงมาเป็นคน ก็อาจจะได้รับบาปนั้นก้ได้ คือ มันจะรอให้ผลน่ะ มันหายไปหรอก จากคุณ : จักรพรรดิแดนรักทหารErosPhoenix เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 17:11:07