ความคิดเห็นที่ 1 สมมุติว่า คุณแต่งงานกับแฟนคุณแล้ว แฟนนับถือศาสนาพุทธ คุณนับถือศาสนาอิสลามเหมือนเดิม ผมเชื่อว่าพ่อแม่ของฝ่ายชายคงไม่มีปัญหาเพราะไม่มีข้อบัญญัติอะไรเป็นพิเศษ แต่พ่อแม่ของคุณเจ้าของกระทู้จะมีปัญหาหรือไม่ถ้าฝ่ายชายไม่เปลี่ยนศาสนา จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 20:24:11

ความคิดเห็นที่ 2 พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาคะ ความจริงคุณพ่อคาดหวังให้มีคู่เป็นมุสลิมด้วยซ้ำ แต่แฟนเป็นคนดี ตอนนี้ก็เข้ามาทำความรู้จักพ่อกับแม่เต็มตัวเลย ถึงไม่ใช่มุสลิมก็ยังไม่แย้งอะไร เพราะเอ็นดู แต่ท่านกังวลว่าจะยังไงดี เพราะกลัวว่าญาติๆที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวจะต่อว่าดูถูกอะไรทำนองนี้ จากคุณ : จขกท (Beth-B) เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 20:29:35

ความคิดเห็นที่ 3 การแต่งงานของคู่ที่นับถือต่างศาสนากัน  ระหว่างศาสนาอื่นๆ  ไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไร  เช่น ระหว่างคริสต์กับพุทธ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร .... มีปัญหาก็มุสลิมนี่แหล๊ะะะะะ..หาจุดร่วมไม่ค่อยลงตัวซะที  ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงจะลงตัวได้  แต่ก็ต้องเข้มแข็ง  ฟันฝ่าหน่อย  จึงจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 54 20:54:59 จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 20:37:49

ความคิดเห็นที่ 4 เคยได้ยินมานะ ว่าถ้าเราเป็นอิสลามแล้ว ลูกเรา เป็นคนศาสนาอื่น ด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราก็จะได้รับบาปนั้นด้วย แต่ถ้ามองในแง่ของคนทั่วไปแบบไม่อิงศาสนา คุณควรตกลงกันว่าคุณทั้งคู่จะเลือกนับถือศาสนาใดดี เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องการทะเลาะกันว่าให้ลูกเป็นศาสนิกใหน ป้องกันการเกิดปัญหาครอบครัวครับ จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 20:40:40

ความคิดเห็นที่ 5 เหตุผลที่เราไม่เปลี่ยนเป็นพุทธเหมือนแฟนหากแต่งงาน ก็เพราะจากการอ่านๆฟังๆศึกษามาแล้ว มันผิดมากอะคะ ไม่ห้าม แต่ทำแล้วบาป ตกนรก มันต่างอะไรกับห้ามละคะ? บวกกับถึงขั้นพ่อกับแม่เป็นบาป เลยไม่คิดจะเปลี่ยน อีกอย่างก็นับถือมาตั้งแต่เกิด จะให้มาเปลี่ยนมันก็กระไรอยู่ คือถ้ามันจำเป็น ก็เปลี่ยน แต่นี่คิดว่าไม่จำเป็น ดูท่าอีกฝ่ายจะมีปัญหาซะมากกว่า เพราะแนวทางของมุสลิมซับซ้อน... ไม่มีคำพูดเหมือนกัน ณ จุดนี้ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:03:28

ความคิดเห็นที่ 6 (ผมเป็นชาวพุทธนะครับ) คุณเจ้าของกระทู้ควรปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ดูครับ 2 ประเด็น 1) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเจ้าของเจ้าของกระทู้จะอนุญาตหรือไม่ ถ้าคุณจะแต่งงานกับแฟนโดยมีข้อแม้ว่า แฟนของคุณจะไม่เปลี่ยนมานับถืออิสลาม 2) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเจ้าของกระทู้จะทนการต่อว่า นินทาจากญาติๆที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวได้หรือไม่ สำหรับคุณเจ้าของกระทู้เองก็ต้องถามตัวเองจะทนต่อการต่อว่านินทาได้หรือไม่ เมื่อฝ่ายชายมาขอเจ้าของกระทู้แต่งงาน เจ้าของกระทู้น่าจะลองคุยกันเรื่องบทบัญญัติของศาสนาแต่ละฝ่าย - ถ้าฝ่ายชายยอมเปลี่ยนก็ดีไป - ถ้าฝ่ายชายไม่ยอมเปลี่ยนคุณเจ้าของกระทู้ก็มีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าจะตกลงหรือปฎิเสธ  เพราะได้ปรึกษากับคุณพ่อคุณแม่มาแล้ว ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ถ้ารักกันจริงน่าจะฟันฝ่าปัญหาตรงนี้ได้ไม่ยาก จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:03:28

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนคำถามที่ว่า "เราเป็นมุสลิม แต่แฟนที่คบกันอยู่นับถือศาสนาพุทธ สรุปเป็นข้อบังคับเลยหรือคะว่าถ้าแต่งงานกันแฟนต้องมาเข้าอิสลาม" คงต้องให้พี่น้องมุสลิมเป็นคนตอบครับ จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:11:06

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบ คห บนนะคะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าคะ ไม่ห้าม คือแฟนเริ่มเข้ามารู้จักจากทางบ้านในฐานะเพื่อนสนิทของเราคะ ไม่ได้เข้ามาตอนที่คิดจะแต่งงานแล้วหรืออะไรแบบนี้ เข้าตั้งแต่แรกๆเลย จนตอนนี้เวลาผ่านไป ที่บ้านก็มั่นใจแล้ว แฟนก็เริ่มเปรยๆกับคุณแม่ เรื่องอนาคต ทำนองนี้อะคะ เรื่องพวกนี้เลยเพิ่งเริ่มเข้ามา คือ คุณพ่อยังไม่ได้พูด แต่เค้าลองซื้อหนังสือการเป็นมุสลิมมาให้แฟนอ่านคะ อีกไม่นานพ่อคงถามว่าจะเปลี่ยนมั้ย แต่คุณพ่อก็ทราบดีคะ ว่าแฟนเป็นพุทธที่เคร่งแล้วก็ศรัทธาศาสนาพุทธมาแต่ไหนแต่ไร (ความจริงแฟนเพิ่งบวช คุณพ่อคุณแม่ยังไปร่วมงานอยู่เลยคะ แค่ไม่ได้ไปกราบบูชาหรือทำพิธี อะไรทำนองนี้) สรุปคือคุณพ่อคาดหวังว่าแฟนจะเข้าศาสนา แต่ไม่บังคับหากไม่เข้าคะ แต่เหมือนทุกคนยังไม่กล้าคุยกันจริงจังว่า ถ้าแฟนไม่เข้าแล้วจะคุยกับญาติๆยังไง เรื่องนินทา เราไม่เป็นไรคะ แต่แคร์พ่อกับแม่ คิดอยู่ว่าสมมติแต่งจริงๆแล้วแฟนไม่เปลี่ยน เราอยากอธิบายความคิดและความรู้สึกเราให้ญาติๆฟัง และจะศึกษาข้อมูลดีๆก่อนไปพูดด้วย เผื่อเค้าจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น พอดีตอนนี้ยังอยู่ต่างประเทศอยู่คะ ไม่มีโอกาส และเรื่องแต่งคงยังไม่เร็วๆนี้ แต่แม่บอกว่าญาติมาถามแล้วว่าเมื่อไหร่แฟนจะเข้าศาสนาสักที เลยกระอักกระอ่วนกันอยู่นี่อะคะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:12:44

ความคิดเห็นที่ 9 พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในอัลกุรฺอานว่า และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก(*1*) จนกว่านางจะศรัทธา(*2*) และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านางได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงานกับบรรดาชายมุชริก(*3*) จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่าชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรกและอัลลอฮ์นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้ (1) หญิงที่มีราคีแก่อัลลอฮ์ หรือเคารพสักการะเจว็ด ร่วมกับการเคารพสักการะอัลลอฮ์ (2) ศรัทธาด้วยความจริงใจ มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น (3) จงอย่าจัดการแต่งงานหญิงมุมินให้แก่ชายมุชริก (สูเราะฮฺบะเกาะเราะฮฺ : 221) สรุปง่ายๆจากโองการข้างบน คือ จากคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺจะเห็นได้ว่า อิสลามไม่อนุญาตให้มุสลิมชายหรือหญิงแต่งงานกับต่างศาสนิกจนกว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้ศรัทธา หรือเป็นมุสลิมเสียก่อน เชื่อในสิ่งที่ศึกษาและพิสูจน์แล้วว่า อิสลามเป็นศาสนา ที่เที่ยงแท้ แล้วเข้ารับอิสลามด้วยหัวใจแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพราะรักในตัวคนๆนั้น เสริมนิดนึง ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีกฎเกณฑ์,กฎระเบียบทีถูกกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่มาจากการบัญญัติของมนุษย์ เมื่อเป็นกฎจากพระเจ้าหน้าที่ของบ่าวจำเป็นจะต้องน้อมรับสถานเดียวเท่านั้น อิสลามไม่ได้สอนให้มนุษย์ปฏิบัติตามอารมณ์ของตนเองโดยเด็ดขาดถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของศาสนา เรื่องการแต่งงานก็เช่นกัน อิสลามมิได้สอนว่า ความรักไม่มีพรมแดน ความรักไม่มีศาสนา แต่อิสลามสอนว่า "ความรักต้องอยู่ภายใต้กรอบของศาสนา" กรอบของศาสนาบอกว่า หากจะแต่งกับชายหรือหญิงต่างศาสนิก, ต่างศาสนิกผู้นั้น (ไม่ว่าชายหรือหญิง) จำเป็นจะต้องเรียนรู้อิสลามและศรัทธาอิสลามอย่างลึกซึ้งเสียก่อน, ก่อนที่จะแต่งงาน (นิกาหฺ) ได้ ความศรัทธาต้องมาก่อนอย่างอื่น ความศรัทธาต้องอยู่เหนืออารมณ์ ความศรัทธาต้องอยู่เหนือตัณหาราคะ ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นคนละเผ่าพันธุ์ หรือคนละประเทศ หรือคนละเชื้อชาติ หากแต่มีอิสลามเท่านั้นถือว่าแต่งงานกันได้ทันที ในทางตรงกันข้ามหากคนละศาสนาก็แต่งกันไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะ เป้าหมายสำคัญของมุสลิมในการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้นั้น คือ การอิบาดะห์หรือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ(ซ.บ)เพื่อหวังผลตอบแทนในวันอาคีเราะห์นะ และทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองนั้น มิได้มีเป้าหมายเพื่ออนาคตในเรื่องของการมีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่นเพียงนั้น แต่หากเค้าเหล่านั้นทั้งสองฝ่ายจะต้องประคับประคองอามาลและการปฏิบัติตัวให้อยู่ในครรลองอิสลามอยู่เสมอๆ และนำไปสู่การได้รับสวนสวรรค์ของอัลลอฮ(ซ.บ)ต่างหากหล่ะ รวบรวม ถาม-ตอบ ปัญหาของมุสลิมและต่างศาสนนิก จากเวปอิสลาม แล้วมาสรุปเป็นใจความสำคัญ( หลักศาสนบัญญัติ) ให้คุณนะคะ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจว่า  อิสลามมีบทบัญญัติกับเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 54 22:00:14 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 54 21:31:12 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:26:55

ความคิดเห็นที่ 10 บอกเค้าไปตรงๆสิครับ ว่าหากเค้าไม่เข้าอิสลามปัญหาอะไรจะตามมาบ้าง ให้เขาเข้าใจ ดีที่สุด จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:29:33

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ Ms.Kohlanta คะ งั้นถามเพิ่มนิดหน่อยคะ มุสลิมไม่ต้องการแต่งงานนี่ ห้ามอีกรึปล่าวคะ? จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:33:23

ความคิดเห็นที่ 12 อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่ครับ เมื่อแฟนคุณเจ้าของกระทู้ทำความเข้าใจแล้วอาจเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอิสลามก็เป็นได้ ทีนี้ลองตั้งสมมุติฐานว่าแฟนเจ้าของกระทู้นับถือศาสนาพุทธตามเดิม ตอนนี้ปัญหาที่คุณต้องคิดคือ "ถ้าแฟนไม่เข้าอิสลามแล้วจะคุยกับญาติๆยังไง" แต่ปัญหาที่คุณร้อนใจจนมาตั้งกระทู้คือ (ผมเดาเอานะครับ) "แม่บอกว่าญาติมาถามแล้วว่าเมื่อไหร่แฟนจะเข้าศาสนาสักที เลยกระอักกระอ่วนกันอยู่นี่อะคะ" ปัญหาข้อแรก ไว้ค่อย ๆ คิดนะครับเพราะยังมีเวลา ส่วนข้อสอง คุณก็ให้แม่ตอบญาติ ๆ ไปว่า แฟนคุณเป็นคนเคร่งศาสนา ต้องให้เวลาแฟนคุณศึกษาอีกสักระยะ -------------------------------------------------------------------------------------------------- ปล. ผมไม่คิดว่าตัวเองจะให้คำปรึกษาที่ดีกับคุณได้ แต่เป็นเพื่อนคุยให้คุณคลายกังวลได้บ้าง จริง ๆ แล้วผมว่าคุณมีคำตอบในใจแล้วสำหรับเรื่องนี้ ขอให้โชคดีนะครับ จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:34:12

ความคิดเห็นที่ 13 ประเด็นไม่ใช่ว่าเราอยากให้เค้าเข้าแค่เค้าไม่ยอมนะคะ เราไม่อยากบังคับเค้าด้วยซ้ำ เห็นแก่ตัวคะบอกตรงๆ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:34:29

ความคิดเห็นที่ 14 #13 (ไม่แน่ใจว่าพิมพ์ผิดหรือเปล่า) ผมเข้าใจว่า ถ้าคุณบอกให้แฟนคุณเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม แฟนคุณยินดีเปลี่ยน แต่คุณไม่อยากบอก เพราะมันเสมือนกับว่าคุณไปบังคับเขา และมันเสมือนกับว่าคุณเห็นแก่ตัว ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ จากคุณ : sky-hook-damper เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:45:25

ความคิดเห็นที่ 15 รู้จักผู้หญิงมุสลิมสองคน คนหนึ่ง แต่งงานกับคนพุทธ อีกคนหนึ่งแต่งงานกับคนคริสต์ ทั้งคู่เปลี่ยนศาสนาไปนับถือพุทธ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร  และรู้จักผู้ชายที่เป็นพุทธแต่งงานกับผู้หญิงมุสลิมแล้วเปลี่ยนไปนับถืออิสลามตามภรรยา ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่ว่าเขาเสียโอกาสที่จะมาปฏิบัติธรรมตามวิธีของพุทธเฉพาะเป็นข้อห้ามทางศาสนา เคยมาถามผมว่า อยากนั่งสมาธิจะต้องทำอย่างไรเพราะบริกรรมพุทโธไม่ได้ ผมเลยแนะนำให้ไปบริกรรมว่า อัลเลาะห์ๆ ปัญหาของจขกทเนี่ยถือว่าไม่ใหญ่แล้ว พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับ ติดขัดอยู่ที่ชายหญิงนับถือศาสนาต่างกัน  ต้องคุยกันดู ทางออกมาอยู่ตามที่ท่านข้่างบนกล่าวแล้ว จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:50:42

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ sky-hook-damper ขอบคุณมากคะ สำหรับคำปรึกษาและคำแนะ จริงคะที่คุณก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาคะ :) เรื่องญาติถามไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เราร้อนใจจนมาโพสคะ ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นแล้วเท่านั้นเอง แย่นะคะ พอดีเกิดมาเป็นมุสลิมท่ามกลางสังคมที่ไม่ได้มีแค่มุสลิมซะด้วยสิ ถามว่าเคร่งมั้ย ไม่เคร่งหรอก พ่อกับ:-)านยุ่งเกินกว่าจะนำศาสนามาแนะนำแนวทางการดำเนินชีวิต 100% แต่จะเป็นแนวมีศาสนาในใจพอดีๆ ให้ไม่ดำเนินชีวิตไปในทางที่ผิดมากกว่า (เปรียบเทียบให้ดูคะ เคยมีครอบครัวมุสลิมที่รู้จัก ฐานะยากจนมาก แต่มีลูกด้วยกันแปดคน แทบไม่รอดคะ หากินประทังชีวิตไปวันๆเลยทีเดียว กลายเป็นคนรู้จักทั้งหลายต้องผลัดกันเอาเข้าให้เอาเงินให้เพื่อให้อยู่รอด ที่มีลูกเยอะเหตุเพราะศาสนาอิสลามห้ามคุมกำเนิด แต่พ่อ(ซึ่งทำงานตัวเป็นเกลียว แต่ละหมาดทุกวัน) บอกว่า พระเจ้าสร้างสมองให้มนุษย์ไว้คิดเช่นกัน พูดแค่นี้ก็เก็ทละคะว่าเค้าหมายความว่ายังไง และพ่อเราทำหมันคะ เพราะมีลูกสี่คนแล้วไม่อยากมีเพิ่ม บางทีชีวิตคนในเมืองสมัยนี้มันก็ปรับเข้ากับศาสนาไม่ได้ทุกเรื่องแล้ว อย่างน้อยก็ครอบครัวเรา) ตัวเราเองเคยอยู่โรงเรียนศาสนาตอนเด็กเพราะปู่เป็นครูใหญ่ แต่ปู่เสียปุ๊บ คุณพ่อเอาลูกทุกคนย้ายเข้าโรงเรียนเอกชนหมด เพราะแค่ศาสนาอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ และเราก็ได้อยู่โรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็ก และได้เรียนรู้ศาสนาอื่นๆอีก จะว่าเราห่างศาสนาที่ตัวเองนับถือก็ได้คะ ไม่ได้ไม่ศรัทธา แค่ห่าง ไม่รู้จะผิดขนาดไหนนะนี่ พอไม่ได้อยู่ในสังคมมุสลิมที่เคร่งมากๆแล้ว หากวันนึงต้องปฎิบัติตามหลักของศาสนาที่ค่อนข้างจะพิเศษกว่าปกติ ยอมรับเลยคะว่าเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา เรื่องแต่งงานกับคนที่รักพระเจ้าเหมือนกันคะ เราอยู่ในสังคมไทย ความจริงคือศาสนามาควบคู่กับเรื่องอื่นๆ(นิสัยใจคอ ความเข้ากัน โอกาส เวลา ฯลฯ) ไม่ใช่ศาสนามาก่อนเรื่องอื่น หากจะต้องปฏิบัติตามจริงๆ ก็คงใช้เวลาในการทำความเข้าใจและยอมรับอยู่คะ ขอโทษทุกคนที่เป็นมุสลิมและเคร่งด้วยนะคะ ที่มีความคิดแบบนี้ หากเราเกิดมาในสังคมที่เป็นมุสลิมเคร่งๆตั้งแต่เกิด และไม่มีโอกาสได้รู้ถึงศาสนาอื่นๆ หรือสังคมที่เปิดเสรี เราก็คงเคร่งไม่แพ้คนอื่นน่ะค่ะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:53:32

ความคิดเห็นที่ 17 คห 14 คุยกันแล้ว เค้าบอกว่าเค้าคงไม่เปลี่ยนคะ (แต่ยินดีจะศึกษา) แต่ตัวเราเองไม่ต้องการจะขอเค้าให้เปลี่ยนตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ คือคงถามคะ หากเห็นเค้าไม่ได้เคร่งอะไรมากมาย แต่นี่เค้าเข้าถึงศาสนาจริงๆคะ เห็นแล้วถามไม่ลง 55 จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 21:55:37

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ นิแรน คะ ใช่คะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ปัญหาคือหากแฟนไม่เปลี่ยนศาสนาจะไปขัดแย้งกับความคิด 'ญาติๆ' และหลักบัญญติของศาสนาอิสลาม ตามคำอธิบายใน คห 9 จริงคะ ครอบครัวเราค่อนข้างจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบ้านอื่นซักเท่าไหร่ เพราะลูกสี่คนคะ พ่อแม่ทำงานหนัก แล้วเรามักจะสนิทกันในบ้าน มากกว่าไปสนิทกับญาติๆ แต่เรื่องแบบนี้  ญาติมักมาขอแจมเสมอคะ แค่พ่อกับแม่ส่งเรากับพี่ๆมาเรียน ตปท เค้าก็เอาไปเม้ากันเป็นปีๆ จนทนไม่ไหว มีตัวแทนมาถามแม่ว่า ส่งไปทำไม เมืองไทยก็มีทำไมไม่เรียน แหม่ อยากจะเป้นคนตอบแทนคุณแม่มากคะ ว่าลูกบ้านอื่นจะเรียนที่ไหนรู้ไปก็ไม่ได้มีเงินเพิ่มเข้ามาในกระเป๋าตังคนถามแล้วจะถามไปทำไม อธิบายแค่นี้คงพอเข้าใจนะคะ ว่า'ญาติ' จะทำให้บ้านเรา กังวลยังไงหากทำอะไรผิดขึ้นมา อย่างกะเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียวคะ :( พูดแล้วเซ็ง จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:03:00

ความคิดเห็นที่ 19 เอาใจช่วย คุณจขกท.ครับ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:22:34

ความคิดเห็นที่ 20 จขกท ก็รู้แล้วว่า ปัญหาที่แท้จริงก็คือ กลัวว่าทางญาติจะไม่ยอมรับคุณทั้งคู่ แฟนคุณก็บอกแล้วว่า จะไม่เปลี่ยนศาสนา ดังนั้น คนที่จะแก้ปัญหานี้ก็คือ ตัวคุณเอง ผมไม่รู้ว่า ทำไมญาติคุณถึงมีอิทธิพลกับการตัดสินใจของคุณมากมายนัก สำหรับผม ญาติไม่มีอิทธิพลใดๆเลย เพราะว่า ญาติไม่เคยให้การอุปถัมภ์ด้านการเงินแก่ผมและผมก็ไม่คิดว่าจะได้รับมรดกใดๆจากพวกเขาเลย ผมว่า แท้จริงแล้ว ปัญหานี้อยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะตัดสินใจอย่างไร จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:28:19

ความคิดเห็นที่ 21 หากคุณ จขกท มาศึกษาอิสลามอย่างจริงจังแล้ว จะทราบว่า อิสลาม สอนให้เลือกคู่ครองที่นำเราไปสู่สิ่งที่มีความสุขทั้งดุนยา(โลกนี้) และอาคีเราะห์(โลกหน้า) นั้น เป็นอย่างไร เป็นเค้าหรือไม่ แล้วอย่างนี้ ความสุขที่จะได้รับทั้งดุนยาและอาคีเราะหฺก็คงจะมีไม่ได้แน่ ถึงตอนนั้นก็คงขึ้นอยู่กับคุณเองหล่ะนะ ว่าเป้าหมายของคุณต้องการอย่างไร ลองคิดให้ดีๆ ลองคิดหน้าคิดหลัง ให้รอบคอบมากที่สุด อย่าลืม ว่าเราเป็นใคร แล้วเราจะกลับไปหาใคร ขออัลลอฮุ์ชี้นำ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:39:06

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ นิแรน คะ ใช่คะ นอกเหนือจากสมาชิกในครอบครัว (พ่อ แม่ พี่น้องในบ้าน) และพี่น้องของพ่อกับแม่พ่อแท้ๆและ เราก็ไม่สนใจใครอีกเลยคะ เพราะไม่เคยไปขอความช่วยเหลืออะไร มีเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเท่านั้น จะพูดอะไรถึงเรา ก็ช่าง แต่เรารักพ่อกับแม่มาก และไม่ชอบและไม่อยากเห็นเค้าทั้งสองต้องถูกญาตินินทาอะคะ พูดง่ายๆ ไม่มีทางแน่ๆที่สมมติเราทำผิดกฏศาสนา แล้วญาติจะว่าเราคนเดียวแต่ไม่ว่าพ่อแม่ ญาติทางนี้ว่าหมด เค้าจะอยากรู้เรื่องครอบครัวเรากันมากๆ (เข้าใจว่า เพราะว่าบ้านเราค่อนข้างจะปลีกตัวออกมา ไม่ค่อยมีข่าวอะไร คนก็สงสัยอะคะ) เพราะฉะนั้นเนี่ย ญาติๆจะติดตามความเป็นไปของบ้านนี้มากคะ ที่ผ่านมาถึงไม่มีเรื่องของเรา ก็เป็นแบบนี้มาตลอด บ้านเราเลยไม่อยากไปยุ่ง แต่นี่มาเจอเรื่องของเราเข้าแล้ว ก็หนักใจ เพราะเหมือนจะสร้างปัญหาให้พ่อกับแม่โดยมีเรื่องศาสนามาเกี่ยว สรุปคือ หนักใจว่า จะทำยังไงให้ญาติๆเข้าใจ และไม่มานินทาลับหลัง หรือทำไปเม้ากันให้สนุกปากจนบาป จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:40:45

ความคิดเห็นที่ 23 จขกท ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า คุณไม่สามารถห้ามญาติไม่ให้นินทาครอบครัวของคุณได้  ถ้าคุณแคร์พวกเขามากขนาดนั้น ก็ควรทำตามความต้องการของพวกเขาทุกคน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่า คนเรามีความต้องการไม่เหมือนกันและความต้องการของคนก็เปลี่ยนได้เรื่อยๆตามกาลเวลา อุตส่าห์ไปเรียนถึงต่างประเทศแล้ว ลองทำความเข้าใจระหว่างคำว่า extended family vs intermediate family หรือคำว่า dependent vs independent ดูดีสิครับ ปัญหานี้อยู่ที่ตัวคุณเองจริงๆ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:54:44

ความคิดเห็นที่ 24 ถามคุณ Ms.Kohlanta นะครับว่า กรณีนี้คือการแต่งงาน ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องเป็นพิธีแต่งงานตามประเพณีและธรรมเนียบมุสลิมใช่ไหมครับ? ถ้าหากสมมติว่า ไม่มีพิธีแต่งงาน แต่อยู่ร่วมกันเฉยๆนี่ จะเ้ข้าข่ายในบัญญัติของพระอัลเลาะฮ์ด้วยรึเปล่าครับ? จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:56:12

ความคิดเห็นที่ 25 สงสัยจะได้แต่งแบบไทย ถ้ายอมทำผิดกฏเนาะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 22:57:43

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้างั้นก็ถือว่าทำซินาซินะครับ จากคุณ : เจือจาง เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 23:20:14

ความคิดเห็นที่ 27 ชอบคำพูดของคุณพ่อคุณครับ พระเจ้าสร้างสมองมาให้เรา ควรจะใช้มันตรึกตรองให้คุ้มที่สุดครับ กฏหมายยังเปลี่ยนไปตามสังคมและกาลเวลาได้ กฏการดำเนินชีวิตเราลองพิจารณาดูว่าอะไรที่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแล้วมั่นคงกับสิ่งที่เลือกจนกว่าจะถึงที่สุดครับ จากคุณ : chakrint เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 23:22:00

ความคิดเห็นที่ 28 เอาเถอะคะ ถึงนาทีนี้ยังไม่ได้บทสรุป กำลังอยู่ในช่วงไตร่ตรอง แต่ยังไงตอนจบก็คงอยู่บนความพอดีคะ ใจเขาใจเรา จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 54 23:50:14

ความคิดเห็นที่ 29 ผมขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุขนะครับ ผมเองก็เคยทำพลาดในชีวิตเพราะศาสนามาแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ศรัทธาเราไปบังคับเขา มันก็ยากเปล่าๆ แถมทำให้ไม่เกิดความสุขในครับครัวด้วย แม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว ผมเองก็ไม่เคยคิดจะบังคับใครให้มาเปลี่ยนตามเราอีกต่อไปแล้วครับ ปัจจุบันตอนนี้ เราก็เลือกคนที่เชื่อเหมือนเราแทนครับ ตอนนี้ชีวิตผมก็มีความสุขดีครับ จากคุณ : หอบหืด เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 00:09:26

ความคิดเห็นที่ 30 มีแฟนเป็นมุสลิมเหมือนกันค่ะ เขาเป็นมุสลิมอยู่ปัตตานี ดิฉันเป็นพุทธแต่บอกตรงๆนะคะ ว่าไม่ได้คบจริงจังถึงขั้นแต่งงานแน่นอน เพราะเราสองคนเข้ากันไม่ได้ ส่วนเรื่องของจขกท.ดิฉันว่าลองคิดๆดูดีๆนะคะ ค่อยๆคิด ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : คุณแฉวแหวว เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 00:13:32

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่ต้องสนใจญาติอีกเสียงค่ะ พ่อแม่เรา พ่อแม่เค้าเข้าใจพอแล้วค่ะ เอาใจช่วยจขกท.นะ จากคุณ : azur เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 00:27:57

ความคิดเห็นที่ 32 เอ้อ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะคะ อยากถามด้วย คำถามนี้มีในใจมานานแล้ว การที่คนเราจะศรัทธาในศาสนาเนี่ย เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ศาสนาอาจะบัญญัติให้เราทำโน่นทำนี่ได้ แต่ความศรัทธาในศาสนามันต้องเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของคนนั้นๆ จริงมั้ยคะ? ทีนี้ ศาสนาอิสลาม หากไม่ศรัทธา ก็บาป และสมมติว่าไม่ศรัทธาเพราะคนนั้นๆศึกษาแล้วรู้สึกว่า 'ยังไม่ใช่' จะย้ายศาสนาก็ห้ามอีก ย้ายแล้วบาป แล้วแบบนี้จะทำยังไงคะ บาปทั้งขึ้นทั้งล่อง เหลืออยู่วิธีเดียวคือคุณต้องศรัทธา ซึ่งเรื่องนี้มันห้ามกันไม่ได้หนิคะ หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกใจตัวเองไม่ได้ อยากถามว่าเคสแบบนี้จะทำยังไง ไม่ใช่ความผิดมนุษย์คะที่ในใจจะปรารถนาจะอยากหรือไม่อยากทำอะไร ทำไม่ทำอีกเรื่อง อันนี้ฝากตอบด้วยคะ หากใครทราบ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 00:31:43

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ศรัทธาแล้ว จะบาป  นั่นคือคำขู่   ..แล้วจะบาปจริงตามคำขู่นั่นไหมละ    พิจารณาดูเอง จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 01:12:06

ความคิดเห็นที่ 34 มนุษย์เกิดมาหลายล้านปีแล้ว ศาสนาเป็นคำสอนที่บัญญัติขึ้นโดยมนุษย์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่พันปีที่ผ่านมา  พวกที่เกิดก่อนศาสนาก็จะมีความเชื่อแบบอื่นๆ   ไม่ศรัทธาก็บาป ย้ายศาสนาก็บาป เป็นการสร้างความเชื่อขึ้นมาครอบงำความคิดของคน ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดและที่จะเชื่อ คนที่เชื่อมั่นมากๆก็จะกลายเป็นศรัทธา  หากไม่เชื่อ ทุกอย่างก็จบ อยู่ที่ตัวเราเอง ผมไม่เชื่อ ผมจึงไม่บาป (ถึงแม้ว่าจะบาปจริงๆ แต่บาปแบบนี้ผมจะปล่อยให้เป็นบาปไป) แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 02:02:07 จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 01:55:13

ความคิดเห็นที่ 35 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 07:00:17 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 06:59:53

ความคิดเห็นที่ 36 พระเจ้าได้ประทานทางเลือกให้ทุก ๆ คน เพื่อเป็นการทดสอบว่าใครปฏิบัติดีและถูกต้องตามหลักคำสั่งสอนที่พระองค์ยอมรับ  ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับวิจรณญาณของแต่ละคน  ทั้ง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงบอกแล้วว่า  ศาสนาที่แท้จริง ณ  อัลเลาะห์นั้น คืออิสลาม(ปรากฏอยู่ในอัลกรุอ่าน)   เพราะฉะนั้นใครจะตัดสินใจนับถือศาสนาใดก็โปรดคิดวิเคราะห์ให้รอบคอบ เพียงแค่หัวใจตัวเองนึกและบอกว่า ฉันไม่อยากเป็นอิสลามแล้ว หรือฉันจะเป็นศาสนาพุทธ เหตุผลแค่นี้แหละก็ตกจากอิสลามแล้ว โดยพฤตินัยแล้ว เรียกว่า  "มุรตัด"  (สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม) ส่วนอีกแนวหนึ่งคือ อิสลามยังอยู่แต่เอาศาสนาอื่นมาร่วมกัน หรือบูชาสิ่งอื่นรวมกับอัลลอฮ คือ เชื่อในอิสลามและเชื่อในศาสนาอื่นด้วย เรียกว่าคน " มุชริกีน " และสุดท้าย ก็คือ ปากบอกว่าอิสลาม แต่ภายในใจไม่มีการปฎิบัติตาม เช่น ไม่ละหมาด  ไม่คลุมฮิญาบ ไม่ถือศีลอด และอื่นๆที่ศาสนบัญญัติเอาไว้   เรียกว่า “คนมูนาฟิก” (คนกลับกลอก หน้าไหว้ หลังหลอก) หรือ เรียกง่ายๆว่า อิสลามแต่ในทะเบียนบ้าน   ส่วนใหญ่ที่เจอจะไม่ค่อยออกจากอิสลามกัน มีแต่คนไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะออกจากอิสลามได้ อันด้วยมาจาก สาเหตุไม่เข้าใจ "หลักการศรัทธา หลักปฎิบัติ  หลักต่างๆเกี่ยวกับการอธิบายความหมายอัลกรุอาน และอื่นๆที่ต้องเรียนรู้" เมื่อเรารู้ถึงแก่นแท้ของศาสนาที่สมบูรณ์แล้วเราจะพบหนทางและทางออกให้กับตัวเอง และเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเป็นเพราะใคร  เป็นเพราะ "บทบัญญัติ  หรือ  การยอมรับจากตัวเองและจากสังคม" และทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้นเอง ที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจเลือกของตัวเอง เพราะฉะนั้น  ถ้าหากผู้หนึ่งผู้ใดจะออกจากอิสลาม   "เมื่อบุคคลนั้นเปลี่ยน ก็คือว่า ไม่เชื่อในพระเจ้า"  แล้วจะแคร์ทำไม ในเมื่อไม่ศรัทธาต่อพระเจ้า และ ก็ไม่ศรัทธาในศาสนาอย่างแท้จริง แต่ถ้ายังลังเลที่จะเปลี่ยน หรือไม่กล้าเปลี่ยน  มันก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของศาสนาแล้ว  มันเป็นเรื่องระหว่าง บุคคลๆนั้น กับสังคม  และเมื่อเป็นเช่นนั้น การเปลี่ยนศาสนาของพุทธกับการเปลี่ยนศาสนาของมุสลิม มันก็ไม่ได้ต่างกัน "เป็นเรื่องการยอมรับความจริงของตัวบุคคลนั้น  ไม่เกี่ยวกับข้อบัญญัติศาสนาอีกแล้ว" ดังนั้นจะมาอ้างว่า ถ้าจะเปลียนก็กลัวบาป  อะไรๆก็บาป  หรือ เพราะกลัวการลงโทษจากพระเจ้า มันเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น   เพราะฉนั้นอย่าได้แคร์  เพราะในเมื่อบุคคลนั้น "ไม่เชื่อและไม่ศรัทธาในอิสลามอย่างแท้จริง" "ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด  ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต(ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว   โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้"   (กุรอาน 2:256) ถ้าหากจะออกจากอิสลามไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร( นอกจากการบังคับ) เขาผู้นั้นต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจต่อพระผู้เป็นเจ้าเอง และสุดท้ายหวังว่า กระทู้นี้คงจะไม่เลยเถิดไปในเรื่อง "การวิจารณ์ หรือ การดูถูกหลักคำสอนของศาสนาจนเกินขอบเขต อันด้วยมาจากการขาดความรู้ความเข้าใจในรายละเอียด ไม่ว่าศาสนานั้นจะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม " มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 07:32:57 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 07:24:40 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 07:22:14 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 07:21:49 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 07:17:59

ความคิดเห็นที่ 37 เราว่าคุณ จขกท โชคดีมากนะคะ ที่คุณพ่อคุณแม่รักคุณและเอ็นดูแฟนคุณ ไม่กีดกันเพราะต่างศาสนากัน แถมโชคดีเด้งที่สองที่ครอบครัวแฟนก็ไม่กีดกันคุณที่ไม่ได้นับถือพุทธ พี่ชายเราเคยมีคนที่ดูๆกันอยู่เป็นคริสต์ พอเค้าชวนพี่เราไปเข้าโบสถ์ โห บ้านแทบแตกนะคุณ สุดท้ายก็เลิกดูใจกัน เพราะแม่เรากลัวเค้าจะทำให้พี่เราเปลี่ยนไปนับถือคริสต์แทน คนพุทธส่วนมากเค้าโอเคนะคะถ้าจะมีลูกเขยลูกสะใภ้นับถือศาสนาอื่น แต่อาจจะไม่โอเคถ้าจะไปเปลี่ยนลูกหลานเค้าให้เปลี่ยนไปเป็นศาสนาอื่น เรื่องนินทาเรื่องญาติๆดูหมิ่นดูแคลน อยากให้คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอมีเรื่องอื่นคนอื่นเรื่องของคุณก็เงียบไป กอดคุณพ่อคุณแม่แล้วขอให้ท่านเข้มแข็งต่อเสียงนินทา การแต่งงานตามพิธีศาสนาอาจจะข้ามไปเลยดีมั๊ย ของทั้งสองศาสนา จะได้ไม่ชัดเจนว่าตกลงยังไงกัน คนอื่นถามก็ตอบแต่เพียงว่าให้ลูกเขยศึกษาแล้วแต่ตามใจเค้าว่าถ้าเค้าอยากเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็เปลี่ยน แล้วงานแต่งก็จัดพิธีที่บ้านเป็นไหว้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายแทนแล้วก็จดทะเบียนแล้วก็เลี้ยงฉลองมงคลสมรสไปเลย การดำเนินชีวิตครอบครัวก็ตามที่คุณคิดไว้ก็ดี บ้านคุณก้ไม่ต้องมีเนื้อวัวเนื้อหมู ลูกๆก็ให้โตๆมาค่อยตัดสินใจเอง อย่างเราตอนที่ยังกินเนื้อสัตว์แต่สามีเราไม่กิน เราก็ยังอยู่ร่วมกันได้ค่ะ ความรักความเข้าใจกันและการให้อภัยกันสำคัญต่อชีวิตครอบครัวครัวมากกว่าความเหมือนกันในศรัทธาหรือศาสนาค่ะ ขอให้คุณโชคดีนะคะ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 08:20:36

ความคิดเห็นที่ 38 ผมว่า น้องไก่ เดือดร้อน มากกว่าคุณทั้งสองอีกนะ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 09:03:04

ความคิดเห็นที่ 39 มีน้องผู้หญิงที่รู้จักคนหนึ่ง  แต่งงานกับผู้ชายอิสลาม  พ่อแม่ผู้ชายให้ผู้หญิงเปลี่ยนศาสนา ไม่งั้นไม่ให้แต่ง  ที่บ้านผู้หญิ่งเป็นพุทธทั้งบ้าน ทำบุญกันเป็นเรื่องเป็นราว  ไม่ยอมเปลี่ยน   แต่รักกันมาก  สุดท้าย เป็นอย่างที่จขกท. คิดไว้  คือเปลี่ยนศาสนาเป็นพิธี เข้าพิธีต่างๆ ตามจำเป็น  ผู้ชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิง  เมื่อมีงานบุญใดๆ  ก็ช่วยตัวเป็นเกลียว    แต่งเข้าบ้านผู้หญิง  เลยห่างจากสังคมมุสลิม  ปรับตัวง่ายหน่อยค่ะ    ก็ยังรักกันดี  บ้านผู้หญิงก็กินหมูปกติ  แต่ผู้ชายก็คงไม่กิน  หาอย่างอื่นกินแทน จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 09:25:50

ความคิดเห็นที่ 40 เป็นกำลังใจให้ครับ ผู้ชายดีๆมีน้อยนะครับ ขอให้ไปด้วยกันได้ตลอดลอดฝั่ง ส่วนผมเองไม่มีความรู้กับประสบการณ์ตรง (แต่มีพี่ที่เคยมีเมียอิสลาม ตอนนี้หย่ากันเรียบร้อยแล้ว) เหนือสิ่งอื่นใด อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันมาก มันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดฝันก็ได้ครับ จากคุณ : เป็ดจิ๋ว เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 09:38:43

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณทุกความเห็น ทั้งที่ให้กำลังใจและให้คำตอบคะ จากใจ เรานับถือศาสนาอิสลามโดยกำเนิด คือพ่อกับแม่เป็น เราเกิดมาเลยเป็นไปด้วยโดยอัติโนมัติ มีคำถามมากมายหลังจากการเรียนศาสนา (ตอนสมัยอยู่เมืองไทย) แต่ถามไม่ได้ หรือถามแล้ว ใครก็ตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ จึงนับถือ แบบมีคำถาม (ขอไม่ถามในนี้คะ) แต่เรายืนยันว่าไม่ได้ต้องการเปลี่ยนศาสนา แต่ก็หนักใจ เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นมุสลิมที่ดี(เึคร่งครัด)เลย เรียนจบกลับไป คงจะหันไปศึกษาศาสนาตัวเองใ้ห้มากขึ้น เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น และค่อยๆเป็นมุสลิมที่ดีขึ้น จนดีพอ... เรื่องกับแฟน คงละเรื่องนี้กันไปก่อน เพราะคุยกันแล้ว จะไม่ได้คำตอบจากความสบายใจของทั้งสองฝ่ายปล่าวๆ แต่ถามว่าจะเลิกเพราะเรื่องนี้มั้ย คงไม่คะ สำหรับเรา ศาสนาสำคัญ แต่เราจะไม่ใช้ศาสนาอย่างเดียวเป็นเกณฑ์การตัดสินใจหากจะทำอะไรหลายๆอย่างในชีวิตคะ ขอโทษอีกเช่นเดียวกันกับคนมุสลิมที่เคร่งครัดคนอื่นๆที่ต้องมาอ่านเจอข้อความนี้ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 10:45:59

ความคิดเห็นที่ 42 น่าสงสาร และน่าเห็นใจที่สุด  เวลาที่คู่รักฝ่ายหนึ่งเป็นมุสลิม   อีกฝ่ายเป็นต่างศาสนิก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เห็นมีกรณีนี้บ่อยๆ  นับเป็นโศกนาฏกรรมนึงของมนุษยชาติ ที่สร้างกรงมาขังตัวเอง หากกระทบจิตใจไปบ้างขออภัยนะครับ จากคุณ : บ่าวอุดรคนโก้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 10:50:23

ความคิดเห็นที่ 43 ขอชมเชยว่า  ท่านเจ้าของกระทู้ .....เป็นคนมีศาสนา  ที่ไม่   " คลั่ง "   ไม่ "  ไคล้ " ถือเป็นคนมีศาสนา  ที่สมัยใหม่  ก้าวหน้า  คิดเป็น  คิดมีเหตุ  มีผล...... ซึ่งหาได้ยาก  ในปัจจุบัน  ( หรืออนาคต ) ขอชมเชยอีกครั้ง  ด้วยใจจริง จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 11:51:01

ความคิดเห็นที่ 44 คลั่ง ความหมาย [คฺลั่ง] ก. แสดงอาการผิดปรกติอย่างคนบ้า, เสียสติ; โดยปริยายหมายความว่า หลงใหลในบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น คลั่งดารา, หมกมุ่นอยู่กับงานหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น คลั่งอำนาจ คลั่งเล่นกล้วยไม้, คลั่งไคล้ ดังนั้นคำว่า "คลั่งศาสนา(อิสลาม)" ไม่สามารถใช้คำนี้ได้ ส่วนใหญ่ จะใช้กับคนที่สติไม่สมบูรณ์แล้วเกิดอาการดังกล่าว อิริยาบท ของคำว่า คลั่ง ไม่สนใจผู้คน อาละวาด ทำอะไรโดยไม่สนใจใคร ไม่เกรงกลัวสิ่งใดๆ   การคลั่งศาสนา ส่วนใหญ่มาจากคำกระแนะกระแน ของคนต่างศาสนิก หรือ ผู้ที่ไม่เข้าใจ ถ้าจะยกตัวอย่าง เช่น การที่คนๆหนึ่ง ไม่กินเนื้อสัตว์เลยแม้แต่ชนิดเดียวซึ่งไม่มีข้อบังคับดังกล่าวในด้านศาสนา(อื่นๆที่ไม่ใช่อิสลาม) ถามว่าคนๆนั้น คลั่งศาสนา หรือเปล่า คำตอบ ก็คือไม่ใช่ ก็จะกล่าวว่า "คนๆนั้นเขาเคร่งครัด หรือ ละทิ้งกิเลส หรืออื่นๆ ในด้านของเขา เช่นกัน การที่จะมี คนๆหนึ่งพยายามที่กระทำสิ่งหนึ่งตามที่เขาเรียนรู้มาเฉพาะตัวเขานั้นแล้วไม่ไปรบกวนผู้อื่นๆ ก็ไม่สามารถกล่าวคำ คลั่ง กับผู้นั้นได้ เขาแค่ "เคร่งครัด" หรือ อื่นๆ ในด้านของเขา "อิสลามไม่ใช่ศาสนาที่ เอาอารมณ์ หรือ ความต้องการของตนเองเป็นใหญ่หรือเอาเป็นที่ตั้ง  โดยที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานศาสนา แต่อิสลาม การกระทำทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ของมัน" จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 12:14:15

ความคิดเห็นที่ 45 อันนี้ทางพุทธนะครับ อีกมุมหนึ่ง ไม่ก้าวล่วงความศรัทธาเช่นเดียวกันครับ " จะเป็นคู่สร้างคู่สม เมื่อมีสมธรรม ๔ ประการ     ชีวิตคู่ครองนี้ มีคำเรียกตามนิยมว่า ชีวิตสมรส ในทางพระพุทธศาสนามีคำสอนว่า ชีวิตสมรสที่จะมีความสุข ราบรื่น มั่นคงยืนยาวได้นั้น คู่สมรสควรมีคู่ธรรมที่สมหรือสม่ำเสมอกัน อันจะพึงเรียกได้ว่า สมธรรม ๔ ประการ คือ สมศรัทธา สมศีลา สมจาคา และ สมปัญญา สมธรรม ๔ ประการนี้ เป็นฐานรองรับชีวิตคู่ครองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าฆราวาสธรรม ๔ อย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะแสดงถึงความมีคุณสมบัติสมกันและความมีลักษณะนิสัยสม่ำเสมอกัน ของคู่ครอง ซึ่งจะทำให้ผู้สมรสทั้งสองสมชีพหรือสมชีวี คือมีชีวิตที่สมหรือเสมอกัน สมธรรม ๔ ประการ นั้น คือ     ๑. สมศรัทธา มีศรัทธาสมหรือเสมอกัน ศรัทธานั้นหมายถึงความเชื่อ ความเลื่อมใส หรือความใฝ่นิยม เช่น ความเชื่อถือในลัทธิศาสนา ความเลื่อมใส ในพระรัตนตรัย และความใฝ่นิยมในคุณค่า หรือสิ่งที่ยึดถือเข้าใจว่าเป็นความดีงามต่าง ๆ ความมีศรัทธาสมกันย่อมเป็นสิ่งสำคัญเบื้องแรก ที่จะทำให้ชีวิตครองเรือน กลมกลืนสนิทสนมแน่นแฟ้น เพราะศรัทธาเป็นเครื่องหล่อหลอมความรู้สึกนึกคิด และเป็นพลังชักจูงใจในการดำเนินชีวิต และกระทำกิจการต่าง ๆ ความมีศรัทธาสมกัน ตั้งต้นแต่ความเชื่อถือในลัทธิศาสนาอย่างเดียวกัน ตลอดจนการมีรสนิยมแนวเดียวกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตสมรส ถ้าศรัทธาเบื้องต้นไม่เป็นอย่างเดียวกัน ก็ต้องตกลงปรับให้เป็นไปด้วยความเข้าใจต่อกัน      ๒. สมศีลา มีศีล คือความประพฤติสมหรือเสมอกัน คือ มีความประพฤติที่เข้ากันได้ อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่เป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจ ดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือขัดแย้งรุนแรงต่อกัน เช่น ฝ่ายหนึ่งปากร้าย ชอบกล่าวคำหยาบคาย อีกฝ่ายหนึ่งได้รับการอบรม กวดขันมาทางด้านการพูดจาสุภาพอ่อนหวาน ทนฟังคำหยาบ ไม่ได้ หรือฝ่ายหนึ่งชอบเป็นนักเลงหัวไม้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบชีวิตสงบไม่วุ่นวาย ก็อาจเป็นทางเบื่อหน่ายร้าวฉานเลิกร้างกัน หรืออยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน      ๓. สมจาคา มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละสมหรือเสมอกัน ในชีวิตของบุคคลที่ต้องติดต่อเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ เริ่มแต่ญาติมิตรสหายเป็นต้นไปนั้น ธรรมข้อสำคัญที่จะต้องแสดงออกอยู่เสมอก็คือ ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีใจกว้างขวาง การช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกัน หรือในทางตรงข้าม ก็เป็นความ ตระหนี่ ความมีใจคับแคบ กระด้าง คู่ครองที่มีจาคะไม่สมกันย่อมมีโอกาสเกิด ความขัดแย้งกระทบกระเทือนจิตใจกันอยู่เรื่อยไป ทำให้ชีวิตครอบครัว เป็นชีวิตที่เปราะ มีทางที่จะแตกร้าวได้ง่าย     ๔. สมปัญญา มีปัญญาสมหรือเสมอกัน ปัญญาหมายถึงความรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักดีชั่ว รู้จักประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ความรู้จักคิด ความสามารถในการ ใช้ความคิดและเข้าใจในเหตุผล ความมีปัญญาสมกันมิได้หมายความว่าคู่ครองทั้งสองฝ่ายจะต้องได้เล่าเรียนศิลปวิทยาการ ทรงความรู้เชี่ยวชาญเหมือน ๆ กัน แต่หมายถึงการมีความคิด การรู้จักรับฟังและเข้าใจในเหตุผลของกันและกัน และการช่วยเป็นคู่คิดของกันและกันได้ อย่างที่กล่าวกันง่าย ๆ ว่าพูดกันรู้เรื่อง คุณธรรม ข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะสามีภรรยาเป็นผู้อยู่ร่วมใกล้ชิดกันทุกเวลา จำต้องมีความเข้าใจกัน ร่วมคิดร่วมปรึกษาหารือกัน บรรเทาข้อหนักใจ และช่วยกันหาทาง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ เป็นกำลังแก่กันและกันได้ ความมีปัญญาสมกันนี้ นอกจากเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจทำให้มีความสนิทสนมกันด้วยดีแล้ว ยัง ทำให้ชีวิตของคู่ครอง ทั้งสองฝ่ายเป็นชีวิตที่ส่งเสริมคุณค่าเพิ่มกำลังแก่กันและกันอีกด้วย " ... เอามาจาก http://www.aiyaragems.com/content.aspx?id=1126 ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีครับ อย่าลืมเอารูปแต่งงานมาอวดด้วย :) จากคุณ : kamas เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:30:37

ความคิดเห็นที่ 46 ขอความสันติจงมีแด่ท่าน อ่านคร่าวๆ สรุปจับใจความ 1. เจ้าของกระทู้เน้นการดำเนินชีวิตในโลกนี้ (ดุนยา) 2. เรื่องญาตินั้น การเข้ามาแนะนำเขาก็ด้วยห่วง เนื่องจากอิสลามเน้นสัมพันธ์เครือญาติและเพื่อนบ้าน หากเห็นว่าสิ่งใดไม่เหมาะสม เขาก็ต้องแนะนำ เพราะถ้าปล่อยไปเรื่องใครเรื่องมัน ในกลุ่มชุมชนนั้น ก็จะได้รับการลงโทษแบบรวมๆในชุมชน เรียกว่าลงบาลอ ซึ่งหากมองว่าเขามายุ่งเรื่องส่วนตัวก็เป็นมุมมองที่เป็นสังคมแบบตัวใครตัวมัน มันก็ขัดกับแนวทางมุสลิม มีคนห่วง ดีกว่าไม่มีใครเลยนะคะ ^^ 3. แนะนำว่าอย่างน้อยๆ เราก็มีพ่อแม่ที่ยังนับถือศาสนานี้ ถ้าต้องการแต่งงานกันจริงๆ แนะนำให้เข้าครอส ปรับพื้นฐานศาสนานิดหน่อย แต่อยากแนะนำให้ศึกษาทั้งคู่ จะได้มีเพื่อนเรียน ปรึกษากันอะไรที่ไม่เข้าใจ เรียนเชิญได้ที่ มูลนิธสันติชน ลาดพร้าว 112 หรือ เข้าทางรามคำแหง 53 ศึกษาก่อนแต่งงาน มีสอนทุกวันอาทิตย์  จบครอสแล้วก็ค่อยเข้าพิธีนิกะห์  ให้เกียรติพ่อแม่ และญาติพี่น้องก็สบายใจไปด้วย 4. หากว่าคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร ก็สุดแล้วแต่ความสบายใจของเจ้าของกระทู้ค่ะ เพราะเห็น คคห.ท่านอื่นๆแนะนำกันมาแยะแล้ว 5. หากมีความประสงค์จะสอบถามอันใด เป็นการส่วนตัว ยินดีเสมอค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : นะ(รก) เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 15:10:38

ความคิดเห็นที่ 47 ขออีกนิดนะคะ ดิฉันไม่อยากให้คุณไปบังคับแฟนคุณให้เปลี่ยนศาสนานะคะ อยากให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ขนาดคุณยังไม่อยากเปลี่ยนศาสนาเลย แฟนคุณก็คงไม่อยากเปลี่ยนเหมือนกันแหละค่ะ แต่ถ้าแฟนคุณเปลี่ยนด้วยความเต็มใจก็ดีค่ะ สบายใจและมีความสุขกันทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : คุณแฉวแหวว เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 15:17:27

ความคิดเห็นที่ 48 ปัญหาไมได้อยู่ที่คุณ แต่อยู่ที่สังคมรอบข้างฝั่งคุณต่างหาก ผมมีคำถามง่ายๆ.... คุณแคร์พวกปากก๊ะหลุกปุก มากว่าแฟนที่รักคุณและคุณรักด้วยเหรอ? แง่บๆ คนไม่สร้างสรรค์ปากเค้าก้ไม่สร้างสรรค์น่ะ ถ้ามั่นใจแล้ว พิจาณาถี่ถ้วนหาทางออกดีแล้ว และพร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำควรแล้ว ..อย่าซะมากเลยครับ .. จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 19:17:31

ความคิดเห็นที่ 49 ผมเคารพศาสนาอิสลาม ตรงที่เขามีกฎระเบียบที่เคร่งครัด และผมเป็นพุทธ ถ้าผมเป็นแฟนที่จะแต่งงานกับคุณ ผมต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามครับ ถ้าผมไม่เปลี่ยน ผมต้องไม่แต่งกับคุณ ถ้าทำไม่ได้ ต่อไปก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับใครเลย ตรงๆอย่างนี้ครับ ใช้คำว่า"ต้อง" จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 20:50:48

ความคิดเห็นที่ 50 จขกท ตอนนี้เป็นแค่เพียงอิสลาม แต่คุณยังไม่ไช่ผู้ศรัทธาครับ มีสองอย่างไห้เลือก 1 เลือกที่จะเป็นผู้ศรัทธาหันกลับมาอยู่ในทางนำและน้อบรับไปปฎิบัติ เพราะเราเป็นคนเดินทางครับมาอยู่โลกนี้เพื่อจะไปโลกหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทุกปัญหาคุณสามารถตัดสินได้ด้วยตัวเอง หรือหันกลับไปถามปัญหากับผู้รู้ในชุมชนของคุณแต่ก็ต้องเปิดใจกับคำตอบที่ตัวเองไม่อยากไห้เป็น 2. อยู่แบบเดิม ใช้ความคิดตัวเอง และอารมณ์ตัดสิน คุณจะพบกับความผิดพลาดมากมายครับ จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 20:51:07

ความคิดเห็นที่ 51 คือ ขออธิบายก่อนนะคะ จขกท ไม่ได้มีเจตนา ทั้งแบบตรงๆหรือแอบแฝง ที่จะพยายามสื่อว่า เราไม่ใช่มุสลิมที่เคร่งครัด ซึ่งมีความพอดี แต่มุสลิมที่เคร่งครัดไม่มีความพอดี(มากเกิน) อย่าเข้าใจผิดนะคะ เพราะความจริงก็คือ ตามหลักศาสนาแล้ว เราเป็นฝ่ายที่ทำตัวไม่เหมาะสมด้วยซ้ำไป (ซึ่งก็หมายความว่า เราชื่นชนมุสลิมที่เคร่งแน่นอนคะ) อย่างที่บอก หากเราได้อยู่ใกล้ศาสนาจริงๆตั้งแต่เด็ก และอยู่มาเรื่อยๆ เราก็คงเคร่ง และปัญหาที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็คงไม่เกิดด้วยซ้ำไป แต่นี่ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีโอกาสแบบนั้นเลย และเราไม่ต้องการที่จะโทษพ่อกับแม่ (เพราะฉะนั้น คนอื่นก็อย่าโทษคะ) ที่ทำให้เรามีชีวิตห่างศาสนา ใช่คะ ถูกทำให้ห่าง ทั้งโรงเรียนเอย มาเรียนต่อเอย บ้านไม่ได้อยุ่ใกล้มัสยิด อย่างที่คนเคร่งศาสนามักจะอยากอยู่เอย ฯลฯ แต่เจตนาเขาไม่ได้ต้องการให้'ห่างศาสนา'แต่ต้องการให้มีทุนชีวิต(ก็คือ การศึกษา) ที่ดีเพื่ออนาคตของตัวเราเอง ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง แต่เขาเลือกให้เรามีทุนชีวิตที่ดีจากการศึกษา แต่มีโอกาสคุณพ่อคุณแม่จะสนับสนุนเราให้ไปร่วมกิจกรรมที่มัสยิด หรืออะไรทำนองนี้เสมอ เราถึงว่าเค้าทำดีที่สุดแล้วคะ ตามความคิดของเค้าและของเรา ส่วนเรื่องที่จะแต่งงานกับแฟนแต่นับถือคนละศาสนา ความจริงมันไม่ใช่แค่อยู่ที่เรื่องญาติๆ แต่เป็นเรื่องของการขัดบทบัญญัติ (ซึ่งทำให้ญาติสามารถว่าได้นั่นเอง) ของศาสนาอิสลาม ซึ่งตรงนี้เราก็หนักใจ จะว่าเราเห็นแก่ตัวก็ได้คะ ที่(นาทีนี้)ก็คงยังทำใจไม่ได้ หากจะต้องเลิกกับแฟนเพราะเรื่องศาสนา ทั้งที่คบกันมาจนป่านนี้แล้ว แต่อย่างที่กล่าวไป เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เรื่องนี้มันยากก็คือ ตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่ได้อยู่ใกล้ศาสนามากจนศาสนาเป็นทุกอย่างในชีวิต แต่อีกด้านนึง เราก็ไม่อยากทำผิดอะไร (อารมณ์เหมือนกับ รู้สึกหิวระหว่างเรียน มีกฏห้ามทานขนม/อาหารในห้องเรียน อยากกิน แต่ก็ไม่อยากทำผิดกฏ และเราก็ต้องมาเลือกว่าจะกินหรือไม่กิน ไม่กินก็ไม่ผิดกฏ แต่รู้สึกหิวจนจะเป็นลม แต่ถ้ากิน อิ่ม สบายทั้ง แต่ไม่สบายใจ อะไรประมาณนี้) นาทีนี้คิดได้แล้วคะ สรุปสั้นๆคือ เราต้องเลือกว่าจะทำผิด หรือไม่ทำผิด (ไม่สำคัญว่าเราจะเคร่งหรือไม่เคร่ง ไม่เคร่งไม่ได้แปลว่าทำผิดแล้วไม่รู้สึกผิดหนิคะ ผิดก็คือผิด) แต่ที่หนักใจเพิ่ม คือหากเราทำผิด ไม่ใช่แค่เราที่จะโดนประนาม แต่พ่อกับแม่ด้วย หากผลกระทบในตอนจบมันมาแค่ตกมาที่เราคนเดียว เราคงไม่ต้องคิดมากเท่ากับที่ต้องคิดในตอนนี้  ถ้ามันจะมีสักทางที่เลือกแล้วผลกระทบของันไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตกอยู่แค่ที่เรา และไม่กระทบพ่อกับแม่เลย เราจะเลือกทางนั้นคะ โอกาสของเราที่จะได้อยู่ใกล้พ่อกับแม่ เหมือนใครหลายๆคนที่ไม่ต้องจากบ้านตัวเองมา มีน้อย ไม่มีโอกาสได้ทำดีหรือดูแลพ่อกับแม่เลยมาหลายปี เราเลยรู้สึกอยากทดแทนด้านความรู้สึกเป็นพิเศษ คือ จะแคร์ความรู้สึกมากๆ ไม่ทำให้เขาทั้งสองหนักใจขณะอยู่ไกลกัน ไม่เกเร ดังนั้นการที่จะต้องทำให้พ่อกับแม่ถูกคนดูถูกเพราะการกระทำของเราเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่อยากให้เกิดขึ้นคะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 20:58:12

ความคิดเห็นที่ 52 ผมไม่ต้องการสรุปให้ ผมเป็นพุทธไม่ใช่มุสลิมครับ เป็นการตัดสินใจของคุณ แฟนของคุณต้องเป็นมุสลิม หรือคนเดิมต้องเปลี่ยนเป็นมุสลิม ชัดเจนมากครับ เพราะคุณคือมุสลิม ต้องเข้าใจว่า คุณคือมุสลิม แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 22:12:36 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 22:11:49 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 22:08:34

ความคิดเห็นที่ 53 - 51 ขอตอบในฐานะคนพุทธที่เคยเป็นเหมือนแฟนคุณ และศึกษาอิสลามแค่เพีัยงคร่าวๆ และ...... ..... ผม ไม่ชอบ คน หักหลัง.... และยิ่งการหักหลัง ทรยศนั้น รวมไปถึงพ่อแม่ผม ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องมองถึงโลกหน้า แค่โลกนี้ ..ผมก็สามารถกล่าวว่า กลุ่มคนทรยศชาติ... ได้เสมอ ผมว่า คุณกำลัง ออ่นแอแล้วมังครับ อย่าไปถามอะไร อย่าให้ใครตัดสินใจ ิอย่าไปอ้างอะไร .... แค่ตัวคุณ ในสองสิ่งที่ถูกสร้าง ปัญญาและหัวใจ ทรงสร้างและรักปัญญาที่สุด แต่ทรงให้หัวใจแก่เรา อะไรหนักกว่ากัน สิ่งที่สร้าง รึสิ่งที่ให้? ในคำตอบง่้ายๆของผม มันมีคำตอบง่ายๆอีกคำ เชื่อใจในเค้ารึเปล่า?์ เค้าผู้พูดว่้่า.... สิ่งหนึ่งของข้า สิ่งหนึ่งของเจ้า สิ่งหนึ่งระหว่างข้ากับเจ้า และอีกสิ่งระหว่างเจ้ากับบ่าวของข้า (กุดซีย์ 19) รึการ์เฟต ไม่ใช่บ่าวของเค้า? การ์เฟตก็ไม่ใช่อีกสิ่งที่ถูกสร้าง? รึการ์เฟต ก็เป็นฮะรอม? ถ้าคุณศรัทธาและยึดมั่นกับท่าน ผมเคยเห็นมุสลิมที่เลว แต่เป็นคนที่ดีในสายตาผม และภรรยาเค้าก็ขอรับอิสลามเอง และผมก็เคยรู้จักคนมุสลิมที่ดี มีเหตุผลมากมาย และดูถูกต้อง แต่ในวันนั้นผมเชื่อว่า... ผมก็คนนึงสามารถยืนชี้กราดดด ได้ว่า .... พวกเค้า.... นั่นหละ ใช่เลย ชา่ติ... ปล..... โดยปัญญาอันน้อยนิดของผม ผมว่าทางออกของคุณที่ตกลงกันนั้นดูดีแล้ว สุดแต่จะไตร่ตรอง จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 01:01:05

ความคิดเห็นที่ 54 ซิลมี่ก็เป็นคนนึงที่เคยนับถือศาสนาพุทธค่ะ แล้วมาเข้ารับอิสลาม เจออะไรมาเยอะเหมือนกัน  แต่ทุกอย่างมีทางออกค่ะ ด้วยพระเมตตาของพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  อยากให้จขกท.ค่อย ๆ ทบทวนตัวเองน่ะคะ  ทบทวนตัวเองว่ากำลังคิด กำลังทำอะไรอยู่ กำลังหวังอะไรจากใคร  ทบทวนว่าตัวเองมาจากไหน กำลังจะไปไหน และแท้จริงแล้วตัวเองนั้นเป็นใคร  แล้วค่อย ๆ คิดไปทีละขั้นถึงอนาคตที่จะมาถึงค่ะ แล้วคุณจะเห็นเส้นบาง ๆ ที่ขั้นกลางอยู่   ระหว่างนี้คุณก็ควรศึกษาศาสนาอิสลามพร้อมกันกับแฟนของคุณค่ะ  พาเค้าไปรู้จักอิสลามที่แท้จริง  แล้วถ้าพระองค์ทรงประสงค์  อินชาอัลลอฮ์ทุกอย่างจะคลี่คลายไปโดยที่คุณคิดไม่ถึงเลยทีเดียว   ซิลมี่ได้เขียนเรื่องราวคร่าว ๆ ของตัวเองไว้กับเว็บพี่น้องมุสลิมที่เป็นมุสลิมใหม่ไว้น่ะคะ  ยังไงว่าง ๆ ก็ลองเข้าไปอ่านดูน่ะคะ เผื่อได้แรงบันดาลใจจากการแก้ปัญหาและการเผชิญปัญหาของท่านอื่น ๆ http://www.islam-talks.com/index.php/newmuslim/104-yourlovegone  มีเบอร์ติดต่อซิลมี่ที่เว็บน่ะคะ  ยังไงถ้าสะดวกคุยกันก็ติดต่อมาได้ค่ะ  ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ  ขอพระองค์ทรงเมตตาค่ะ จากคุณ : zilmee1447 เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 09:10:46

ความคิดเห็นที่ 55 เจ้าของกระทู้เป็นมุสลิมจริงหรอเนี่ย คุณไม่ได้เข้าถึงศาสนาของคนเองจริงๆครับ เห็นประโยคที่เขียนมา เหนชัดเจนว่าไม่เข้าใจ เข้าถึง คำสอนของศาสนาอิสลามจริงๆครับ คุณคงอยากจะเอาความสุขเฉพาะในโลกนี่เท่านั้นเอง ไม่ได้นึกถึงว่าเราตายไปแล้วจะไปอยู่แห่งหนใด อย่างไรบ้าง ลองสละเวลาสักนิด หันมาศึกษาศาสนาของตนให้เข้าใจจริงๆเถอะครับ ขอให้อัลลอฮฺ เปิดหนทางแสงสว่างให้กับเจ้าของกระทู้ด้วยเถิด แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 54 12:40:36 จากคุณ : Lawsgod เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 12:39:28

ความคิดเห็นที่ 56 อยากฝากอายะห์นี่ให้เจ้าของกระทู้ได้อ่าน หากคิดว่าตนเองยังเป็นมุสลีมะห์อยู่ และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก(*1*) จนกว่านางจะศรัทธา(*2*) และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านางได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงานกับบรรดาชายมุชริก(*3*) จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่าชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรกและอัลลอฮ์นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้ (1) หญิงที่มีราคีแก่อัลลอฮ์ หรือเคารพสักการะเจว็ด ร่วมกับการเคารพสักการะอัลลอฮ์ (2) ศรัทธาด้วยความจริงใจ มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น (3) จงอย่าจัดการแต่งงานหญิงมุมินให้แก่ชายมุชริก (สูเราะฮฺบะเกาะเราะฮฺ : 221) จากคุณ : Lawsgod เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 12:42:57

ความคิดเห็นที่ 57 คนที่เกิดมาแล้วได้อยู่กับศาสนาเลย และไม่เคยต้องห่างไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน จะไม่เข้าใจความรู้สึก ว่า คนที่'ห่าง'ศาสนา แต่ยังเป็นในนาม (เปลี่ยนก็ไม่ได้ และไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะเปลี่ยน'เพราะเห็นว่าศาสนาอื่นดีกว่า' เพียงแต่คงต้องใช้เวลาศึกษาไปเรื่อยๆ เพื่อให้เข้าใจศาสนามากขึ้นจนดีพอในสายตาคนที่เคร่ง) ว่าเป็นยังไง จะว่าไป เราเป็นคนที่ เชื่อว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล'ที่สมเหตุสมผล' บวกกับเราขี้สงสัย จึงมักจะมีคำถามสำหรับสิ่งต่างๆรอบตัว รวมไปถึงเรื่องศาสนา เอาง่ายๆเรื่องนึงเลยนะคะ มีบัญญัติไว้ ว่ามุสลิมผู้ใดที่เปลี่ยนศาสนา 'ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม' พ่อแม่ของเขาจะเป็นบาป รวมถึงตัวผู้ที่เปลี่ยนด้วย ที่อ่านเจอมาหลายที่แล้ว รวมถึงในกระทู้นี้ ที่มีหลายคนมาอธิบายไว้ แต่สมมติว่า มีมุสลิมคนนึง ต้องไปอยู่ห่างไกลบ้าน ซึ่งที่แห่งนั้นผู้ที่อาศัยไม่ใช่มุสลิมแต่นับถือศาสนาอื่น มุสลิมผู้นั้นเกิดประสบอุบัติเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้เจ้าตัวเสียความทรงจำ จำไม่ได้วาพ่อแม่เป็นใครตัวเองมาจากไหน และนับถือศาสนาอะไร หาทางกลับบ้านไม่ได้เป็นระยะเวลานาน กลุ่มคนที่ให้ความช่วยเหลือมุสลิมผู้นี้ ก็ให้เขาอาศัยอยู่ด้วย และเขาก็กลายเป็นนับถือศาสนาอะไรก็ตามที่คนสังคมนั้นนับถือ  ในเมื่อบอกไว้แล้วว่า การเปลี่ยนศาสนาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทำให้พ่อกับแม่ของบุคคลนั้นเป็นบาป เคสนี้ก็คงจะเป็น เราถามว่า ยุติธรรมมั้ย สำหรับบิดามารดาของบุคคลๆนั้น ที่ต้องได้รับบาป เพราะลูกเปลี่ยนศาสนาเนื่องจากเสียความทรงจำและจำไม่ได้ว่าเดิมทีตนนับถือศาสนาอะไร ? และแม้แต่บิดามารดาของบุคคลนั้นเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าลูกของเขาได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เราสงสัย ถามก็โดนดุ (เคยถาม ไม่ได้คำตอบ แต่โดนดุว่าลบหลู่ ถามแบบนี้เป๊ะๆ) อย่างน้อยๆ สำหรับเรา บทบัญญัติเรื่องนี้ยังจะทำให้เรารู้สึกดีกว่า หากลดความ extreme ลง เป็นอะไรอย่างเช่น หากมุสลิมคนใดเปลี่ยนศาสนาไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ยกเว้นแต่แต่บิดามารดาของมุสลิมผู้นั้นไม่รับรู้ถึงเรื่องเปลี่ยนศาสนา บิดามารดาของมุสลิมผู้นี้จะเป็นบาป และต้องได้รับโทษในวันอาคีเราะห์ ฯลฯ เรื่องบางเรื่อง คนเราก็ไม่ได้ทำ หรือปฏิบัติ 'ด้วยความตั้งใจ' หรือไม่ได้มีเจตนาให้มันเกิดขึ้น แต่คำสอนและหลักการของศาสนาอิสลาม ต้องยอมรับนะคะ ว่ามีกฏข้อบังคับ(บัญญติให้ทำนั่นแหละ) เยอะ และเคร่งครัดมากกว่าศาสนาอื่นๆอีกหลายศาสนา แต่บทบัญญัติของศาสานาอิสลาม เหมือนไม่มีความประนีประนอม คือ เราต้องน้อมรับทำตามสิ่งที่อัลเลาะฮ์กล่าวไว้ หากไม่ทำ คือบาปสถานเดียว และได้รับโทษในวันอาคีเราะห์ หรืออะไรก็ว่าไป เราไม่ได้บอกว่า บทบัญญัติควรจะถูกเปลี่ยนเลยนะคะ ทราบคะว่าบทบัญญตินี้ มาจากใคร และมีแบบนี้มาเป็นพันๆปี และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ประเด็นของเราคือ ในความคิดของเรา บทบัญญัติและหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่ประนีประนอมแบบที่บอก แล้วเรื่องบางเรื่อง ก็มักก็จะเกิดเป็นคำถาม เพราะอาจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดได้ แล้วมันไปขัดแย้งกับบทบัญญัติ พอกฏข้อบังคับมันextreme มาก และหากเกิดกรณีแปลกๆขึ้นมาจะทำยังไง นาทีนี้จำไม่ได้แล้วว่าเคยมีอะไรคาใจบ้างทั้งหมด แต่ถ้ามีใครอธิบายได้ แบบสมเหตุสมผล เราคงจะรู้สึกเข้าใจและศรัทธาในศาสนาอิสลามมากกว่าตอนนี้อะคะ... ขอโทษนะคะ เราบอกไปหลายรอบก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเราไม่ได้เคร่ง เพราะฉะนั้นจะเข้ามาถามคำถามว่า เป็นรึปล่าว หรือเป็นก็เหมือนไม่เป็น เรื่องนี้จะให้เราทำยังไงคะ มีวิธีแก้ไขก็แนะนำมาได้คะ มีวิธีไหนที่ทำให้เราไม่เป็นส่วนที่ทำให้ศาสนามัวหมอง ยินดีรับคำแนะนำคะ เพราะไม่อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เรื่องให้ศึกษาเพิ่มจนเข้าใจถ่องแท้ มีหลายคนแนะนำมาแล้ว อันนี้จะพยายาม แต่ไม่ได้มีอะไรมาการันตีเลย ว่าเราศึกษาแล้วจะ(เข้าใจและ)ยอมรับ 'ทุกเรื่อง' ด้วยความสมัครใจ ในนาทีนั้นๆที่ศึกษา เพราะฉะนั้น การศึกษาให้มากขึ้น ไม่ได้การันตีว่าเราจะเข้าใจศาสนามากขึ้นและทำตามบทบัญญัติทุกอย่างด้วยความสมัครใจ แล้วแบบนั้นเราจะยังเป็นมุสลิมที่ดีได้รึปล่าว? และอีกเรื่องนึง หากจะบอกว่า ก็ศึกษาและพยามทำความเข้าใจ รับๆไปเถอะ แบบนี้เราก็ไม่ชอบคะ ไม่ชอบอะไรที่มันคลุมเครือ มันอยู่ที่ใจของเราว่าจะยอมรับรึปล่าว แต่หากมีเรื่องไหนที่ทำให้เกิดคำถามในใจ ก็ต้องรอคำตอบที่สมเหตุสมผลก่อน เราถึงจะเข้าใจและยอมรับ ชีวิตเราไม่ได้มีวิธีคิดแบบนี้กับเฉพาะเรื่องศาสนา แต่เป็นในทุกเรื่องอยู่แล้ว มันเลยเป็นแบบนี้มาตลอดกับเรื่องนี้ด้วยคะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 17:36:06

ความคิดเห็นที่ 58 ''และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก(*1*) จนกว่านางจะศรัทธา(*2*) และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านางได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงานกับบรรดาชายมุชริก(*3*) จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่าชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรกและอัลลอฮ์นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้'' (1) หญิงที่มีราคีแก่อัลลอฮ์ หรือเคารพสักการะเจว็ด ร่วมกับการเคารพสักการะอัลลอฮ์ (2) ศรัทธาด้วยความจริงใจ มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น (3) จงอย่าจัดการแต่งงานหญิงมุมินให้แก่ชายมุชริก (สูเราะฮฺบะเกาะเราะฮฺ : 221) โอเคคะ นั่งอ่านทบทวนทุกความคิดเห็นดีๆ มีคำถามเพิ่มอีกหนึ่งข้อคะ จากบทที่ก๊อบมาให้อ่านนี้ สรุปได้ว่า ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนอกเหนือไปจากศาสนาอิสลาม ถือเป็นผู้ที่มีราคีแก่อัลลอฮ์ เข้าใจถูกรึปล่าว แล้วกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากพ้นดุนยาแล้วจะเกิดอะไรกับพวกเขา? มีสองคำถามย่อยในนี้นะคะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 17:49:46

ความคิดเห็นที่ 59  Beth-B ไม่ต้องยกน้ำท่วมทุ่งเลยครับ อ่านดูคุณเป็นคนฉลาด และเข้าใจ ศาสนาพอสมควร ว่าเป็นมุสลิมควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร? ผมแนะ นำว่า ในระยะยาว มันไม่ WORK   คุณตัดใจเลิกซะแต่ตอนนี้ ผมให้เวลาคุณ อย่างนานที่สุด6เดือน คุณจะสบายใจขึ้น และเห็น เหตุผล เรื่องความศรัทธา เป็น เรื่อง ที่เปลี่ยนยาก โดยเฉพาะ เปลี่ยนเพื่อ การแต่งงาน  เหตุผลก็คือการเปลี่ยนด้วยการแต่งงาน ด้วยความรัก คู่รัก แต่ คนรัก ของคุณ เขาไม่ได้เปลี่ยน ศาสนาเพราะ รักต่อ พระเจ้า หรือ ต่อ ศาสดาในศาสนาอิสลาม  ถึงแม้เขาจะไป เข้าค่ายก่อนนิกะห์ กับคุณก็ตาม  เขาไปเข้าค่าย เพราะความ ต้องการจะแต่งงาน กับ คุณ   โดยเฉพาะ พุทธศาสนิก ผู้ที่ เข้าใจเนื้อหาของ พุทธศาสนา อย่างลึกซึ้ง โดยตัดเรื่องไร้สาระออกไปแล้ว เขาจะไม่ยอม เปลี่ยน ศรัทธาอย่าง เด็ดขาด  เขายังคง เชื่อใน สิ่งที่ อิสลามไม่รับรอง เมื่อเวลามีลูกแล้วยิ่งลำบากมาก  กระเทือนจิตใจของ ญาติผุ้ใหญ่ ทั้งสองฝ่าย ในการรักลูกและหลาน  การเจ็บไข้ได้ป่วย การตาย มุสลิมชายที่ดีก็มีมากครับ ดูเรื่องการศึกษาและเหตุผลของเขาว่า เขาเป็นอรับหรือเป็นคนไทย หรือเป็นคนไทยแต่ กระแดะไปใช้ประ เพณีอรับ (เรื่องนี้มันยากมาก)  อยู่ๆเขาก็บอกเลิกกับคุณได้ ทันที อย่าเอาหนุ่มมุสลิมที่ทฤษฏีแสนจะดี แต่ปฏิบัติ ไม่ยอม ศิวิลัยเลย อดใจไปเถิดครับ หรือลองปรึกษา มุสลิม ที่อกหักไปรักมุสลิมด้วย กันดูว่า มีอะไรผิดพลาด  ถ้าคุณไปเจอชายมุสลิมที่ ไปเรียนมาจาก ภาคตะวันออกกลาง แล้ว ลืมได้เลย  หาชายมุสลิม ที่เรียนในไทย  หรือประเทศ อื่นๆ ที่ศิวิลัย หน่อยในเรื่อง สิทธิของสตรี   มีมุสลิมชายที่ดีๆอยู่มากและเข้าใจศาสนาด้วยเหตุผล  มีหญิงมุสลิม จำนวนมากที่ ไม่เข้าใจสิทธิของตนที่มีอยู่ในอัลกุรอาน  เนื่องจากไม่มี โอกาสได้ศึกษาอัลกุรอานโดยตรง   เริ่มศึกษาอัลกุรอาน และเข้าใจ ด้วยตนเอง พระเจ้าจะช่วยสอนให้คุณเข้าใจ ได้เอง ถ้าคุณเก่ง ภาษา อังกฤษ ผมแนะนำให้ ใช้อัลกุรอานภาษาอังกฤษ  ผมรู้จักน้องชายมุสลิมในห้องนี้คนหนึ่ง เป็นคนทันสมัย ขยันทำมาหากิน  ด้วยตนเอง รักพ่อแม่ การศึกษาดี จบวิศวกรรมศาสตร์ อายุประมาณ 25  ปี ความรู้ทางศาสนาใช้ได้ดีและมีเหตุมีผล ..คนดีต้องรักพ่อแม่และ  สุภาพต่อพ่อแม่ ของเขาตลอดเวลา       แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 00:42:14 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 54 22:13:24 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 22:10:42

ความคิดเห็นที่ 60 Beth-B ถามว่า..  สรุปได้ว่า ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนอกเหนือไปจากศาสนาอิสลาม ถือเป็นผู้ที่มีราคีแก่    อัล ลอฮ์ เข้าใจถูกรึปล่าว คุณเข้าใจผิดครับ: ถ้าคุณเป็นมุสลิมแล้วคุณต้องเชื่อว่า มนุษย์ทุกๆคนบนโลกนี้ เป็นลูกหลานของนบีอดัมทั้งนั้น  คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ที่ตัวคุณและมุสลิม 90 % บนโลกใบนี้นั้น เป็นมุสลิมโดยกำเนิดรวมทั้ง ต้วผมและตัวคุณ และอีก99.99 % ของสมาชิกมุสลิมในห้องนี้, ที่เหลือ เป็นการเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้าและหลักการของอิสลาม อย่างบริสุทธิใจ, และ มุสลิมที่แต่งงานด้วยความรัก ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ ถ้าเขาไม่พบเนื้อคู่ที่นับถืออิสลามก่อนเขาก็ไม่เรียนอิสลามและนับถืออิสลาม  พระเจ้ารักมนุษย์ทุกๆคนที่มีคุณธรรมและจริยาธรรมดีซึ่งเป็นมนุษย์ที่อยู่ในแนวทางของพระองค์   พระเจ้าบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในอัลกุรอานว่า ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคริสเตียน หรือผู้ที่เคยนับถือสิ่งอื่นที่กลับใจมาเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว จะไม่เสียใจ ในวันตัดสิน และจะได้รับรางวัลในความดีของเขา  การรู้จักพระเจ้าและศรัทธาในพระเจ้านั้นบังคับกันไม่ได้ ต้องมาจากหัวใจ พระเจ้าทรงทราบในเรื่องนี้ดี พระองค์จึงได้บัญญัติไว้ดังกล่าวแล้ว, ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าแล้วเป็นราคีต่อพระองค์  ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้ว อัลกุรอานจะไม่มีประโยชน์แก่มนุษย์เลย  ถ้าเป็นราคีแล้วจับต้องอัลกุรอานไม่ได้ ก็จะไม่มีทางรู้จักอิสลามได้ จริงไหม?  อัลกุรอานมีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาอิสลามและรู้จักพระองค์ แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลา พระเจ้าทรงรู้ดี  มนุษย์ที่เป็นมุสลิมอรับ หลังจากท่านรอซูลตายไปแล้ว ได้ "ไฮแจ๊ค" อิสลามไปครอบคลองเป็นลัทธิ ซุนนีย์,ชีอะต์, และลัทธิ หรือ มัสหับ ย่อยๆ  ซึ่งการกระทำเช่นนี้ผิดหลักการของอิสลาม  อิสลามห้ามแบ่งเป็นลัทธินิกาย แล้วกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากพ้นดุนยาแล้วจะเกิดอะไรกับพวกเขา? ถ้าคุณเชื่อและศรัทธาว่า พระเจ้าทรงหยั่งรู้แล้ว พระเจ้าจะเข้าใจทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติในโลกนี้  พระเจ้าทรงยิ่งด้วยความกรุณาปราณีและการให้อภัย  ถ้าเขาเหล่านั้นผู้ซึ่งยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ปฏิบัติตัวอยู่ในแนวทางของพระเจ้าไม่ใช่ในแนวทางของ ซัยตอน หรือ ความชั่วช้าแล้ว  เขาจะไม่เสียใจ   เมื่อเขาเหล่านั้นตายไป  เขาจะพบพระเจ้าและ เชื่อศรัทธาต่อความมีอยู่จริงของพระองค์ ซึ่งไม่สายไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เตรียมตัวกระทำความดีไว้แล้วในโลกนี้  อิสลามไม่ได้เป็นศาสนาของผู้หนึ่งผู้ใดหรือลัทธิหนึ่งลัทธิใด อิสลาม เป็นแนวทางดำเนินชีวิตที่นำไปสู่ คุณธรรมและจริยาธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบของมนุษยโลก และเป็นทางที่นำไปพบกับพระเจ้าในที่สุด จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 01:12:44

ความคิดเห็นที่ 61 อันเรามนุษย์มีสติ มีสมองที่มากกว่าสัตว์ทั้งปวง เหตุใด จึงไม่นำพาความคิด ว่าด้วยเหตุและผลมาพิจารณากันดูล่ะครับ ว่าอันใดควรด้วยเหตุและผล อันกรงที่มนุษย์สร้างขึ้นขังตัวเองก็ดีหรืออะไรก็ดี อันสิ่งที่แบกไว้บนบ่า มันหนักเกินกว่ากำลังจะแบกไหวหรือเปล่า ลองชั่งใจดูครับ ว่าจะวางลงเพื่อรักษาร่างกายไว้ หรือจะทนแบกต่อ แล้วหลังหักก็ลองดู ไม่มีเจตนาลบหลู่ศรัทธาทุกศาสนาครับ แค่ลองคิดว่า 5000 ปีก่อนหน้าที่ทุกศาสนาจะเกิด ถ้าสิ่งที่บังคับไว้ว่าไม่ทำแล้วบาป คนเหล่านั้น บาป??? ยังไงก็โชคดีทุกการตัดสินใจ เป็นกำลังใจให้ครับ จากคุณ : คนขวางโลก (อสูรเมรัย) เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 05:41:27

ความคิดเห็นที่ 62 ขอความสันติสุขจงมีแด่คุณ ถึงคุณ จขกท               ชีวิตของเราในโลกนี้สั้นนักนะครับ ยังงัยอยากให้กำลังใจให้เข้มแข็ง อย่าให้อารมณ์ ความรู้สึก อยู่เหนือความถูกต้อง               ทุก ๆ ชีวิต มีบททดสอบเสมอ และเรื่องนี้เป็นบททดสอบที่ใหญ่ยิ่งของคุณ ยังงัยขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ทบทวนตัวเองว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และจะไปไหน               ยังงัยก้อ ในฐานะมุสลิมคนนึง ก้อขอดูอาอ์ให้อัลลอฮเปิดใจ และชี้นำแนวทางที่ถูกต้องให้กับคุณด้วยนะครับ จากคุณ : kapho_27 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 10:23:51

ความคิดเห็นที่ 63 จากคำถามที่คุณสงสัยและถามมา ดิฉันจะพยายามตอบให้ตรงคำถามและตรงประเด็นมากที่สุดเท่าที่มีจะทำได้นะคะ หากต้องการเปลี่ยน ไปนับถือศาสนาอื่น สามารถทำได้ค่ะ เพราะอิสลามไม่มีการบังคับในเรื่องศาสนา และที่สำคัญ พระเจ้าทรงให้สติปัญญากับมนุษย์ให้คิด ไตร่ตรองเอาไว้แล้ว อยู่ที่ตัวผู้นั้นจะใช้ได้ระดับใหน เพียงแต่ว่า นั่นจะเป็นความผิดที่เขาผู้นั้นต้องรับผิดชอบของการกระทำต่อพระผู้เป็นเจ้าเองในโลกหน้า อัลกรุอ่านบอกว่า ไม่ มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต(ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้" (กุรอาน 2:256) และ ผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (กุรอาน 3:85) “...และ ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล” (อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 217) ผู้ ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความ กริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่าง มหันต์” (กุรอาน 6:106) มุสลิมที่ศรัทธาในอัลลอฮุ์และเชื่อในอิสลามอย่างแท้จริงจะให้ความสำคัญกับโลกหน้า (อาคีเราะห์ มากกว่าโลกนี้  (ดุนยา) เพราะเป็นโลกแห่งการตอบแทน  เป็นโลกที่จีรัง  ยั่งยืน ในอิสลามบอกถึงหน้าที่ ของพ่อแม่ไว้ด้วยค่ะว่า ต้องให้การศึกษาแก่ลูกในเรื่องศาสนาด้วย หากพ่อแม่ได้ให้การศึกษาแก่ลูกด้านศาสนาครบถ้วนแล้ว ได้ทำการตักเตือน และ ห้ามปรามลูกแล้ว ทำหน้าที่ที่ดีที่พ่อแม่ควรจะทำแล้ว "แต่ลูกยังดื้อด้าน ไม่ยอมฟัง  ก็ถือว่า พ่อแม่ก็ไม่มีบาปผิดอันใดเลย   เพราะการเปลี่ยนศาสนาเป็นการเลือกของลูกเอง  ไม่มีผู้ใดรับบาปผิดของอีกคนหนึ่งได้ แต่ถ้าพ่อแม่บกพร่อง หรือ ละเลยในการทำหน้าที่ พ่อแม่ก็จะได้รับความผิดในหน้าที่ของพวกเขาเช่นกันค่ะ" “ทุกคนต้องรับผิดชอบเฉพาะการกระทำในหน้าที่ของตนเองเท่านั้น” ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอแนะนำให้คุณลองทำการแนะนำที่หลังไมค์ไปให้จะดีกว่าค่ะ ถามผู้รู้โดยตรงเลย จะชัดเจนในความรู้มากกว่า *เพิ่มเติมเนื้อหา แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 11:52:26 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 11:48:12 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 11:16:12 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 10:55:19

ความคิดเห็นที่ 64 ก็เห็นใจครับ คุณ Beth-B         ไม่รู้คนอื่นเขาอ่านประวัติคร่าวๆของคุณบ้างหรือเปล่า ว่าทำไมเป็นยังงั้นยังงี้   สงสัยจะไม่มีใครสน   มัวแต่รับคำสั่งกันอย่างเดียว      ขอให้คุณเชื่อตัวเอง     ถามตัวเองว่าถ้าจะมีอะไรผิดพลาด เรารับได้มั๊ย   ถ้ารับได้  ก็ตัดสินใจไปเลยครับ     ก็ใครจะไปรู้อนาคตได้ ว่านรกหรือสวรรค์รออยู่     ถ้าไม่มั่นใจใครไม่เชื่อใคร ก็เชื่อตัวเองเป็นดีที่สุด แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 22:10:23 จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 21:54:40

ความคิดเห็นที่ 65 ศาสนาก็เป็นแค่แนวทางของการใช้ชีวิต ชอบอย่างใหนก็ไปอันนั้น   ตัวเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน มันก็โอเค.แล้ว        ชีวิต การใช้ชีวิต ความสงบ ความสุข  ต้องมาก่อนศาสนา จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 22:28:59

ความคิดเห็นที่ 66 แต่ในอิสลาม ศาสนา ต้องมาก่อน สิ่งอื่นใดค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 54 11:09:18 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 00:29:09

ความคิดเห็นที่ 67 ความแตกต่างด้านความคิดและศรัทธา ยิ่งเถียงก็ยิ่งถูก ต่างหาข้อขัดแย้งมาโต้เถียงกันจนได้ สุดท้ายสุดจะอ้าง ก็จบที่อำนาจที่มองไม่เห็นอีกนั้นแล ทางที่ดีเชื่อตัวเอง ใช้หลักการและเหตุผลครับ เพราะชีวิตเป็นของเรา จากคุณ : คนขวางโลก (อสูรเมรัย) เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 09:36:40

ความคิดเห็นที่ 68 ขอแย้งเรื่องการบอกว่า "ชีวิตเป็นของเรา" กับ "ชีวิต การใช้ชีวิต ความสงบ ความสุข  ต้องมาก่อนศาสนา" ค่ะ  ว่าควรพิจารณาก่อนค่ะ ชีวิตเป็นของคุณจริงหรือ? และหากไม่มีศาสนา ไม่ว่าศาสนาใด คุณจะรู้จักใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร?  ........ การคิดพินิจพิจารณาในเรื่องศาสนาอย่างละเอียดรอบคอบนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องไร้สาระน่ะคะ ที่เกิดเรื่องวุ่นวายเพราะคนทั้งหลายยังละเลยศาสนา คิดแค่ว่าตัวเองไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใครก็พอ  อยากถามต่อน่ะคะ คนแต่ละคนมีความคิด สติปัญญา มาตรฐานเป็นของตนเอง ฉะนั้นจะหาจุดศูนย์กลางได้อย่างไรว่า อะไรที่บอกว่าทำแล้วดีหรือไม่ดีถ้าไม่ใช่ศาสนา  ลองพิจารณาดูน่ะคะ จากคุณ : zilmee1447 เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 11:03:51

ความคิดเห็นที่ 69 :) มาอ่านอีกที ยังมีเข้ามาอธิบายกันต่ออยู่ ขอบคุณมากคะที่ยังสนใจ(แบบใยดี) วันนี้มีเรื่องอยากมาพูดอย่างนึงคะ  ให้ผู้ที่เป็นมุสลิมลองอ่านแล้วคิดตามดู เป็นเรื่องปกติ ที่เวลาคนเรามีทัศนคติไปในทางเดียวกัน หากจะวิจารณ์อะไรสักอย่างที่ไม่มีถูกกับผิด โดยภาพรวม/จากภาพรวม คนเหล่านั้นก็มักจะวิจารณ์ไปในทางเดียวกันอยู่ดี ยกตัวอย่างผู้ที่นับถืออิสลามและเคร่งในระดับที่เป็นมุสลิมที่ดีได้แล้ว ก็จะคุยกันรู้เรื่องเรื่องศาสนา และมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน เรื่องไหนที่คิดว่าไม่ถูกต้อง ก็จะมีโอกาสสูงที่มีความคิดเหมือนกัน เช่นเดียวกับเรื่องที่คิดว่าถูกต้อง แต่เรื่องศาสนา คำสอน บทบัญญัติแต่ละศาสนาต่างกัน ใคร(ไม่ว่าจะเป็นทั้งเลือกเองตามศรัทธา หรือเป็นโดยกำเนิด)นับถือศาสนาไหน ก็จะมีความเชื่อ ความเข้าใจตามหลักคำสอนของศาสนานั้นๆ  แต่เนื่องจากว่า มุสลิมจะเชื่อว่า'ศาสนาที่แท้จริงแห่ง อัลลอฮ์ คืออิสลาม' ตามที่เราเข้าใจ พูดง่ายๆก็คือ มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ หากไม่นับถือศาสนาอิสลาม ก็ถือว่าเป็นความ พลาด หรือหลงผิด นั่นเอง ในฐานะที่เป็นคนมุสลิมที่เป็นโดยกำเนิด หรือเป็นผู้ที่มาเข้าอิสลามหลังจากศึกษาและ'ศรัทธา' คนมุสลิมจะเห็นว่า สิ่งนี้คือ 'ความจริง' ไม่ใช่เรื่องที่ เราต้องมาตั้งคำถาม ว่าจริงหรือไม่จริง เราต้องเชื่อแบบนี้ และเมื่อเราเชื่อแบบนี้ มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องบอก และสอนต่อผู้ที่ไม่ทราบ (ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น และผู้ที่กำลังศึกษาศาสนาอิสลาม เพื่อจะเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม) แต่หากลองคิดใจเขาใจเรานะคะ อยู่ดีๆมีคนมาบอกเราว่า เนี่ย อะไรที่เราเชื่ออยู่นะ มันผิด มันไม่จริง มันต้องแบบนี้ ฯลฯ ทั้งๆที่คนนั้นเขาอาจจะมีความเชื่อแบบนั้นมาตั้งนมนาน เขาก็เชื่อปักใจ แบบเดียวกับที่เราเชื่อปักใจในคำสอนของศาสนาเราเหมือนกัน และยิ่งมาเป็นเรื่องศาสนาด้วย อย่าลืมคะว่าไม่ใช่แค่ศาสนาอิสลาม ที่มีมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน ศาสนาอื่น อย่างเช่น ฮินดู พุทธ และ คริสต์ก็เช่นเดียวกัน (1.ตามที่เราเข้าใจศาสนาอิสลามมีอายุเก่าแก่น้อยกว่าทั้งสามศาสนาที่กล่าวมาถูกรึปล่าวคะ  2. เรายกสิ่งที่เห็นและพิสูจน์ได้มาพูด ณ นาทีนี้ คือ ในโลกนี้มีหลายศาสนา ไม่ได้พูดถึงหลักความเชื่อของศาสนาใดศาสนานึง อย่างเช่นของอิสลาม เรื่องศาสนาที่แท้จริง) เรื่องศาสนา หากไม่ดี ไม่เหมาะสมจริงๆ ใครจะนับถือศรัทธาละคะ หากศาสนามีหลักคำสอน หรือข้อบังคับ ที่ผู้ศึกษาลองศึกษาดูแล้ว รู้สึกว่าศรัทธาไปไม่เห็นจะทำให้เราเป็นคนดีเลย ศาสนาก็คงมีอันต้องล้มเลิกไป เพราะฉะนั้น เรามองว่า ศาสนาทุกศาสนาที่ยังไม่หายสาบสูญ และยังมีให้เห็นที่คนศรัทธาอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ต้องมีอะไรซักอย่างนึงละ ที่ทำให้คนศรัทธา ถ้าต่างคนต่างอยู่น่ะ ก้อแล้วไปคะ แต่พอมีหลักคำสอนไหนของศาสนานึง ไปขัดแย้งกับคำสอนของอีกศาสนา ทีนี้ละ ปัญหาตามมา เรายกตัวอย่างในนี้เรืองเดียวพอคะ ที่พูดถึงข้างบน 'ศาสนาที่แก้จริงแก่งอัลลอฮ์ คืออิสลาม' >> ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่แล้ว ก็จะเชื่อฟัง เข้าใจ และจะไม่เป็นอะไรต่อข้อความนี้ แต่ถ้ามองจากผู้ที่(นาทีนั้น)ศรัทธาศาสนาอื่นอยู่ละคะ? 'อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าไง หมายความว่าที่ฉันเชื่ออยู่ทุกวันนี้พร้อมกับคนเป็นพันๆล้านคนมันไม่ถูกต้อง ฉันและพวกเขานับถือศาสนานี้มาตั้งนาน ตั้งแต่เกิด ฉัน'หลงผิด' หรอกหรือ แล้วศาสนาที่ฉันนับถืออยู่ มันไม่ดีตรงไหน หลักคำสอน ก็ทำให้ฉันปฏิบัติตนอยู่ในความชอบดีแบบนี้ ก็ยังผิดหรอกหรือ?' เราเชื่อคะว่าใครที่ทราบถือข้อความนี้ของชาวมุสลิมแล้ว จะมีแค่สองแบบ คือ หากไม่สนใจ ก็คิดคล้ายๆกับที่เราแต่งขึ้นมานั่นละคะ และจะเป็นความบาดหมางกันทางใจและมีทัศนคติที่แย่ต่ออีกศาสนาอีกต่างหาก เอาเราชาวมุสลิมเลยคะ ง่ายๆ หากมีคนที่ศรัทธาในศาสนาอื่นมาสอนวิถีของเค้า ว่าที่เราเชื่อเราทำอยู่ มันผิด/ไม่ถูกต้อง/ไม่จริง ต้องทำแบบนั้นแบบนี้นะ(ตามคำสอนตามหลักการศาสนาของเขา) คุณจะเชื่อเค้า แล้วจะปฏบัติตามหรือ? เรามั่นใจ ว่าสำหรับชาวมุสลิม คำตอบคือไม่ แต่เพราะอะไร? เพราะเราก็เชื่อในศาสนาของเรามาตั้งแต่ไหนแต่ใคร 'คนจะศรัทธาอะไร แม้แต่ตัวเขาเองก็บังคับตนเองไม่ได้' เราไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือดูหมิ่นอะไรนะคะ ชาวมุสลิมอ่านคัมภีร์กุรอาน คนพุทธก็มีของเขา(ไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไร) คนคริสต์ก็มีคัมภีร์ไบเบิล และคัมภีร์ที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนมีคำสอน และข้อความที่เป็น'โองการจากพระเจ้า' ของแต่ละศาสนาทั้งนั้น หากคนมุสลิมอ่านและเชื่อในคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วทำไมคนคริสต์จะต้องไม่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิลของเขาคะ? เราพยายามจะชี้ให้ดูว่า ในเรื่องของศาสนาแล้ว คนมุสลิมเห็นอะไรเป็นยังไง ถึงเราไปอธิบายให้ผู้อื่นที่ศรัทธาในศาสนาอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาจะเห็น/คิด/เข้าใจ อย่างที่เรา เห็น/คิด/เข้าใจ เสมอไป ประเด็นมันอยู่ที่การนำเสนอคะ หากคุณจะสอน จะบอกให้ผู้รู้ หากเป็นเรื่องของศาสนาแล้ว มันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก เราต้องดูเลยว่าผู้ที่เราจะบอกเขา กำลังศรัทธาในอะไรอยู่ หากเป็นผู้ที่มีความตั้งใจอยากเข้ามาศึกษาศาสนาอิสลามโดยความสมัครใจ แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เราทำดีที่สุดในการสอน เขาจะยอมรับแค่ไหน ก็อยู่ที่ความสมัครใจของเค้า แต่หากเป็นผู้ที่ไม่มีมีความตั้งใจจะเข้ามาศึกษาศาสนาอิสลาม 'เพื่อเปลี่ยนมาเข้าศาสนาอิสลาม'แล้ว มุสลิมที่อยากจะเผยแผ่คำสอนของศาสนาอิสลาม จะต้องระวังมากกว่านี้คะ หลายๆเรื่อง ไม่กระทบศาสนาอื่นโดยตรง ก็กระทบทางอ้อม อย่างเช่นquote ที่เรายกตัวอย่าง ที่สำคัญ ''การขอแย้ง'' สิ่งที่คนต่างศาสนาพูดมา (ซึ่งไม่ผิดในฐานะที่ความคิดส่วนบุคคล แต่ผิดในเชิงศาสนา(อิสลาม)) พร้อมกับบอกสิ่งที่เราศรัทธา และเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่อีกศาสนานึงไม่เชื่อ ปาวๆๆ (ทั้งๆที่เขาบอก ก็เป็นสิ่งที่เขาเชื่อแบบที่เราเชื่อของเรา)มันไม่น่ารักเลยคะ เหมือนการเถียงหัวชนฝา และมีแต่จะหันหน้าออกจากกัน แทนที่จะเข้าใจอีกฝ่าย และอีกเคสนึง คือเคสของการพูดคุยเรื่องศาสนา(อิสลาม) ต่อผู้ที่มีศาสนาเป็นเรื่องรองในชีวิต หรือกลุ่มคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ มากกว่าสิ่งที่พี่สูจน์ไม่ได้ ลองคิดดูนะคะ ว่าจะมีเยอะแค่ไหนเชียว ที่คนมุสลิมเผยแพร่คำสอนของศาสนาอิสลามให้พวกเข้าฟัง จนเกิดความศรัทธาและหันมานับถือในที่สุด เราไม่รู้ว่าคนมุสลิมที่เคร่งๆที่หาทางเผยแพร่ศาสนาอิสลามทุกคนจะลองคิดในมุมนี้กันบ้างรึปล่าว มุมที่ต้องกระหนักด้วยว่า เขา(คนที่นับถือศาสนาอื่น)ก็เลื่อมใสในแบบที่เราเป็นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น หากเรายืนยัน เราเชื่อตามคำสอน ว่าศาสนาอิสลามนี่แหละ ที่ความจริงแล้วคนต้องหันกลับมานับถือตามหลักคำสอน เราก็ต้องมีวิธีแผยแพร่ให้คนอื่นเข้าใจในศาสนาเรา ด้วยวิธีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกระแคะระคาย แต่เนื่องจากทางกฏหมาย(และไม่เกี่ยวกับ'ความเชื่อทางศาสนา') และสังคม ว่าด้วยสิทธิ์เสรีแล้ว ไม่มีกฏข้อบังคับไหน บังคับให้มนุย์นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และอันที่จริง มนุษย์มีสิทธิ์ชอบรรมที่จะเลือกเข้าศาสนาที่เขาต้องการ ดังนั้น ตามที่เราเข้าใจ ผู้ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนา(เจาะจงไปที่ศาสนาอิสลาม)ต้องมีเป้าหมายในการเผยแพร่คำสอนและบทบัญญัติ เพื่อเป็นการ'ช่วยเหลือผู้ที่หลง ให้''กลับเข้ามาในศาสนาอิสลาม''(เดินถูกทางนั่นเอง) แต่หากไม่ได้ ก็ควรจะแล้วแต่เขา'พร้อมกับไม่โทษในความคิดของเขา หากเขาไม่คิดจะมาทางเรา' เราพูดในฐานะที่เป็นมุสลิมที่ไม่เคร่ง ที่ไม่ได้อยู่แต่ในสังคมและชุมชนที่มีแต่มุสลิม พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? หมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่เราอาจมีมุมมองความคิดไม่เหมือนมุสลิมที่เคร่ง ถึงแม้จะนับถือศาสนาอิสลามก็ตาม และได้เห็น ได้ยินได้ฟัง และเข้าใจศาสนาของตัวเอง จากมุมมองของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาที่เรานับถือ เราเชื่อว่า มุสลิมหลายๆคนที่ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับคนอื่นๆที่ไม่ใช่มุสลิม ก็จะไม่เข้าใจความรู้สึก หรือทัศนคติของเขาต่อชาวมุสลิม(แต่ไม่เสมอไป) ซึ่งสำหรับตัวเราแล้ว เห็นจากหลายๆที่โดยทั่วไป จะเห็นได้ชัดมากว่า คนที่เคยนับถือศาสนาอื่น แต่หันมาศรัทธาในศาสนาอิสลาม ก็มี คนที่นับถือศาสนาอื่น แต่พอได้มาศึกษาศาสนาอิสลาม ก็ไม่ได้เข้ามาเชื่อ หรืออะไร (เฉยๆ) ก็มี คนที่นับถือศาสนาอื่น ก่อนได้รับรู้แนวทางและวิธีคิดของคนมุสลิม ก็เฉยๆต่อศาสนาอิสลาม แต่พอรับรู้แล้ว กลายเป็นถอยห่างและมีอคติต่อศาสนาอิสลาม ก็มี และมีเยอะมาก เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ว่าข้อบังคับ และบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม มีเยอะ เข้มงวด และศาสนาจะเกี่ยวข้องกับทุกอย่างในชีวิตของคนๆนึง เป็นสิ่งที่คนมุสลิม''ต้องปฏิบัติตาม'' ในขณะที่ศาสนาอื่น มักจะออกมาในแนวให้ทำตามความสมัครใจ ทำได้ก็ได้บุญ ไม่ทำ แต่ตราบใดที่ไม่เบียดเบียนใครหรือทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ก็จะไม่บาป พูดง่ายๆคือมีไว้เพื่อเตือนใจ มิใช่เพื่อให้ปฏิบัติตามแบบคำสั่งอย่างในศาสนาอิสลาม แล้วลองคิดดูนะคะว่า หากผู้ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาอิสลามไม่ระมัดระวังในการจะให้ความรู้ตรงนี้ออกไปในสังคม (เราพูดถึงสังคมไทย ประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติและมีคนนับถือมากกว่า 90%) จะส่งผลเสียหรือผลร้ายมากกว่ากัน แทนที่คนจะค่อยๆเข้าใจศาสนาอิสลามและ'อาจจะ'หันมานับถือศาสนาอิสลาม(เราพูดในมุมของเป้าหมายของมุสลิม ที่เข้าใจว่า'ศาสนาที่แท้จริงของ อัลลอฮ์ คืออิสลาม' ซึ่งก็แปลว่า มันเป็นหน้าที่ของคนมุสลิมที่ต้องตักเตือนคนที่เดินอยู่ในทางที่ผิด ให้กลับมาเดินในทางที่ถูกต้อง) กลับกลายเป็นขยาดศาสนาเราไปเสีย เนื่องจากหลักคำสอนของศาสนาก็ไม่ประนีประนอมอยู่แล้ว ซ้ำวิธีการนำเสนอก็ไม่ประนีประนอมอีก และปากต่อปาก จนเยอะแบบที่เห็นได้ทั่วไป มองจากคนที่มีสถานะแบบเรา ก็น่าจะมองออกได้แบบนี้เหมือนกันคะ (แต่ก็ถูกต้อง ที่จะไม่จำเป็นเสมอใจ) พิมพ์มาซะเยอะ งงๆตัวเองเหมือนกัน เพราะมีความเข้าใจแบบนี้ แต่ไม่เคยต้องอธิบายใครมาก่อน หากความจริงคือเป็นไปไม่ได้ที่คนมุสลิมจะแผยแพร่ศาสนาให้ทุกคนในโลกหันมาศรัทธาได้ หากจะต้องมีคนที่ต่อต้านศาสนาอิสลาม ก็เขาให้เขาต่อต้าน เพราะเขาคิดว่า การดำเนินชีวิตของเขา คงไม่สามารถสอดคล้องกับหลักคำสอนและบัทบัญญัติของอิสลามได้ ไม่ได้ต่อต้าน เพราะมีอคติที่แย่ต่อศาสนาอิสลาม เพราะวิธีการนำเสนอที่ไม่เหมาะสมคะ อันนี้จากใจ ขออภัยหากกระทบใคร นะคะ เราพูดรวมๆคะ แก้ไขข้อความนิดหน่อยคะ พิมหล่น แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 54 23:48:00 จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 16:05:03

ความคิดเห็นที่ 70 ตาลาย อ่านยังไม่หมด เท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็คงแค่ ขอดุอาร์จากพระเจ้าให้คุณได้เจอสิ่งที่ดีดีแล้วกันค่ะ อามีน แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 54 16:47:41 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 16:41:05

ความคิดเห็นที่ 71 ผมตอบในฐานะคนประเภทที่ 4 ไม่ได้ถอยห่าง แต่ผมเลือกสังคมที่ผมจะต้องอยู่ และยินยอมรับผลที่ผมเลือก ... ผมตอบว่า... เข้าใจความรู้สึกคุณครับ :) ยิ้มไว้ อย่างน้อยก็ได้ยิ้ม แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 22:54:39

ความคิดเห็นที่ 72 แต่ละคนมีวิถี มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน    ผมจึงไม่ได้มองว่าศาสนาพุทธดีที่สุด        แค่ต้องการสื่อตามความเห็นคุณ Beth-B ตรงนี้เท่านั้น    ... มนุษย์ควรมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเลือกเข้าศาสนาที่เขาต้องการ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนา(เจาะจงไปที่ศาสนาอิสลาม)ต้องมีเป้าหมายในการแผยแพร่คำสอนและบทบัญญัติ เพื่อเป็นการ'ช่วยเหลือผู้ที่หลง ให้''กลับเข้ามาในศาสนาอิสลาม''(เดินถูกทางนั่นเอง) แต่หากไม่ได้ ก็ควรจะแล้วแต่เขา'พร้อมกับไม่โทษในความคิดของเขา หากเขาไม่คิดจะมาทางเรา'      สังคมอิสลามเหมือนการบังคับกันกลายๆ ซึ่งผมไม่ชอบตรงนี้ และก็มีแค่นี้ที่ไม่ชอบ   นอกนั้น ไม่มีปัญหา  วิถีชีวิตก็สงบสุขดีออก(ไม่นับสงคราม)     การบังคับให้ศรัทธา เป็นเรื่องที่ย่ำแย่(ในความคิดผมนะ) จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 00:36:39

ความคิดเห็นที่ 73 รู้สึกว่าถ้าไม่นับถือศาสนาอิสลาม ก็ถือว่าเป็นคนบาป จะไปแต่งงานกับคนนอกศาสนาก็บาป ยิ่งถ้าคิดจะออกจากศาสนาก็ยิ่งบาป เหมือนกับคำว่าบาปเนี่ยจะหาความหมายเอามาอธิบายให้จริงๆ ไม่ได้ ก็แค่ไม่นับถือพระเจ้า คุณก็คือคนบาปแล้ว คนเราถ้า คิดดี ทำดี ไม่ทำความเดือนร้อนให้ใคร ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ชาตินี้เกิดมาแล้ว ตอนนี้เรายังรับรู้ได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของตนเอง ใช้สมองของเราใตร่ตรอง ผิดชอบชั่วดี โดยไม่ต้องเอาคำสอนของศาสนามาเกี่ยวข้องด้วย ผลลัพท์ออกมาได้แบบไหน ก็ถือว่าเราตัดสินใจไปแล้ว ยอมรับกับผลที่ตามมานั้นๆ แค่นั้นแหละค่ะ คนต่างศาสนา พุทธกับคริสแต่งกัน ก็เข้ากันได้ไม่มีปัญหา เคยได้ยินแต่ถ้าจะแต่งกับอิสลามนี่แหละปัญหาถึงเริ่มจะเข้ามา งั้นแสดงว่า ปัญหามันน่าจะมาจากตรงไหนหละ....... เอาใจช่วย จขกท นะคะ ทุกปัญหามีทางออกค่ะ แต่ถ้าจะต้องเลิกกับคนดีๆ (ที่ใช่ว่าจะหาง่ายๆ ) เพียงเพราะอุปสรรคทางศานาแบบนี้ คุณจะยังทำใจนับถือต่อไปได้หรือเปล่าคะคงไม่ใช่การแก้ปัญหา น่าจะเป็นการหนีปัญหามากกว่าค่ะ รึถ้าสักวันแฟนของ จขกท ยอมเข้าศาสนา นั่นเพราะว่าเค้ายอมเสียสละ ถึงวันนััน จขกท ลองคิดดูนะคะ ว่าตัวเองได้เสียสละอะไรแบบนั้นให้กับเค้าบ้าง ครอบครัวของ จขกท คงจะยินดีมีความสุข แล้วครอบครัวฝ่ายชายหละ เค้าจะทุกข์ใจขนาดไหน ทางออกน่าจะยังมี คิดให้รอบคอบค่ะ จากคุณ : InDy QuEeN เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 03:54:19

ความคิดเห็นที่ 74 คุณ กัป' ตอบ คห 72 นิดๆนะคะ เราย้ำด้วยน๊า ว่าข้อความที่คุณหมายถึงน่ะ เราพูดในมุมมองของคนอิสลามตามที่เราเข้าใจ คนศาสนาอื่นก็ไปห้ามความคิดไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกับที่คนมุสลิมเองก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนที่นับถือศาสนาอื่นมานับถืออิสลาม เว้นแต่ผู้นั้นจะสมัครใจเองจากการศรัทธา ปัญหาของเรา เรื่องแฟน เราจะหยุดถามแล้วคะ ได้คำตอบมาเยอะแล้ว จะเอาไปคิดดูอีกทีคะ แต่มีอะไร ก็มาพิมไว้ได้นะคะ ยินดีรับฟังความเห็นทั้งหมด เราเข้ามาดูเป็นพักๆ มีเรียนบ่อย แว๊บบ่อยได้แต่ไม่นาน ขอให้ทุกคนโชคดีกับชีวิตของตัวเองคะ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 10:55:08

ความคิดเห็นที่ 75 ตอบคุณ Beth-B อาจเพราะความเป็นมุสลิมที่ไม่เคร่งของคุณก็ได้ ที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาในวันนี้ เพราะถ้าคุณเคร่งครัด คุณจะไม่ปล่อยใจให้รักผู้ชายที่ไม่ใช่มุสลิม (และคงไม่ยอมเปลี่ยนเป็นมุสลิม) คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับศาสนาเป็นอันดับแรก ในการเลือกคบผู้ชายที่มีโอกาสพัฒนามาเป็นคนรัก เมื่อเลยเถิดมาถึงขั้นคิดแต่งงานแล้วคงจะทำใจยากนะคะ พุทธศาสนาเองก็มีข้อห้ามมากมายที่อย่าว่าแต่ลงมือทำเลย  แม้แต่คิดก็ไม่ควรคิด   แต่ชาวพุทธหลายคนก็ยังฝ่าฝืนโดยมีข้ออ้างต่างๆ นานา.... คนเหล่านั้นเป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้านค่ะ ถ้าคุณยังอยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม ก็ควรทำตามข้อปฏิบัติของมุสลิมโดยไม่มีข้อแม้ ดิฉันเชื่อว่า ข้อปฏิบัติของทุกศาสนา มีไว้เพื่อยกระดับจิตใจของคนเรา   การหักห้ามอารมณ์ต่างๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งข้อปฏิบัติ จะทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น เข้มแข็งขึ้น หากคิดว่า ข้อปฏิบัติต่างๆ มีการตีความใหม่ได้  ลดหย่อนได้ตามใจผู้ปฏิบัติ ความหมายในการนับถือศาสนาก็คงไม่มี จากคุณ : reraith เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 06:23:04

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่เคร่ง เพราะไม่ได้อยู่ใกล้มิสยิด ไม่ได้เรียน ที่ผ่านมา ไม่เคยทราบเลยคะ ว่า ห้าม แต่งกับคนศาสนาอื่น รู้แต่ว่า ญาติๆแต่งกับคนพุทธแทบทั้งหมด ส่วนมาก อีกฝ่ายก็มาเข้าศาสนา เรานึกว่าเป็นเพราะว่า อยู่ศาสนาเดียวกันจะดีกว่าเลยเปลี่ยน แต่อิสลามกฏข้อบังคับเยอะกว่า เข้มงวดกว่า เลยเป็นอีกฝ่ายที่ต้องเปลี่ยนมาเข้า เราไม่ทราบก่อนหน้านี้คะ ว่า ห้ามแต่งงานกับคนศาสนาอื่น หากทราบคงเลี่ยง ความจริงอายุก็ไม่ได้เยอะมาก ยังไม่ถึงวัยในสังคมไทยมั้งคะ ที่จะแต่งงาน เลยไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้ ส่วนแฟน เจอกันที่ต่างประเทศคะ ตอนที่เจอ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วย พูดง่ายๆว่า ตอนที่คุยกันแล้ว ก็ยังไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ คุยไปจนคบถึงบอก พ่อกับแม่ก็ไม่ใช่คนเคร่งขนาดที่ว่า ลูกสาวคบคนพุทธ ก็สั่งให้เลิก ถ้าอ่านดีๆนะคะ มันบังเอิญด้วยว่าแฟนเคร่งศาสนาของเขาเช่นเดียวกัน หากไม่เคร่ง เขาคงโอเคหากจะต้องเปลี่ยน และเรื่องอนาคตขนาดแต่งงาน ไม่ได้คุยกันตั้งแต่แรกคะ เราไม่ได้นิสัยแบบนั้น ยังไม่ทันจะรู้จักกันดีถามเรื่องแต่งงานแล้ว มีเหตุผลเล็กๆหลายๆเรื่องรวมกันเยอะ ทำให้นาทีนี้ต้องหาทางออกยากค่ะ บางเรื่องเพิ่งมาทราบ จากคุณ : Beth-B เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 20:53:29

ความคิดเห็นที่ 77 ตอนนี้ชีวิตก็เดินมาถึงทางสองแพร่งอีกครั้งครับ  แต่ครั้งนี้มีความรู้มากกว่าเดิม เหตการณ์กำลังวัดใจคุณว่าคุณจะเลือกทางไหน และพระองค์ทรงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณจะเลือกทางไหน จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 22:10:08

ความคิดเห็นที่ 78 ถ้าพูดตามความเชื่อพุทธ ต้องบอกว่าถือเป็นบุญวาสนา ของคุณแล้วที่ได้เจอบุรุษที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะสิ่งที่เกิดได้ยากในโลกนี้ ประการที่ 1           การอุบัติเกิดขึ้นเป็น พระพุทธเจ้า  เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก ประการที่ 2           การอุบัติบังเกิดมาเป็น มนุษย์  พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ  การเกิดเป็นมนุษย์นี่ยากนัก  เปรียบเหมือนกับทะเลที่กว้างใหญ่  มีเต่าตาบอดจมอยู่ในทะเล  ร้อยปีจึงจะโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง  และมีบ่วงเล็ก ๆ ลอยอยู่บนผิวน้ำ  โอกาสที่เต่าจะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วเอาหัวลอดบ่วงขึ้นมาพอดี  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  แล้วร้อยปีจะได้โผล่มาสักที  และยังตาบอดด้วย  ห่วงเล็กด้วย  แม้กระนั้น  ก็ยังง่ายกว่า  การเกิดเป็นมนุษย์ ประการที่ 3           การมีศรัทธาเรื่อง  กรรม  เชื่อว่า กรรมมีจริง  เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง  เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  คนที่มีศรัทธาจะเป็นทางที่เปิดให้คุณงามความดีทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาสู่ตนเอง ประการที่ 4           การได้มีโอกาสบวช    เพราะหาก ไม่มีโอกาสบวช  ก็ไม่มีพุทธศาสนา ก็บวชไม่ได้  การจะบวชได้ต้องมีพระพุทธศานา  แล้วก็ต้องเป็นมนุษย์  และต้องมีศรัทธาด้วย ประการที่ 5  การได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม  หรือ หลักคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เรื่องของสัจธรรม  เรื่องของความจริงที่ชี้ให้รู้จักทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์  ความดับทุกข์  ข้อปฏิบัติเพื่อถึงความดับทุกข์ การที่คุณได้มาเจอแฟนคนนี้ ในศาสนาพุทธสอนว่าเป็นบุญเก่าที่คุณเคยสร้างมาในอดีตส่งผลให้มาเจอบุคคลที่จะช่วยค้ำจุนคุณให้เจอหลักธรรมที่ดีงามเพื่อเป็นนิสสัยติดตัวคุณไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าคุณจะเกิดมาเป็นพุทธสาสนิกชนเต็มตัว แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 54 14:37:01 จากคุณ : เจตบุตร เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 14:36:11

ความคิดเห็นที่ 79 ผมเข้าใจว่าประเด็นนี้คุณไม่รู้ คนไม่รู้คือคนไม่ผิด แต่คุณผิดก็ตรงที่คุณไม่รู้ ? และหากย้อนกลับไปถามต่อว่า  ทำไมคุณไม่รู้? ก็เพราะคุณไม่ได้ศึกษา  ทำไมคุณไม่ได้ศึกษา ?????????? ก็คงต้องหาคำตอบสุดท้ายได้    อีกเรื่องที่คุณต้องคำนึง คือ หากคุณได้แต่งงาน มีลูก หลาน ????????? อนาคตเขาจะเป็นยัง นับถือศาสนาอะไร ผมเข้าใจว่าคุณอายุยังไม่มาก ยังมีเวลาศึกษากันอีกมาก ลองทบทวนตัวเองไปเรื่อยๆ อีกประเด็น ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ จบวิทยาศาสตร์ นับถืออิสลาม เรื่องที่คุณกำลังคิดหรือหาคำตอบ อะไรก็แล้วแต่ ศาสนามีทุกคำตอบ เพียงแต่คุณต้องเปิดใจ และอย่าตั้งกำแพงขวางไว้ จากคุณ : yordzy เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 10:34:34

ความคิดเห็นที่ 80 http://www.islamthailand.com/thai521/romadon1430/question-2-marry.php จากคุณ : yordzy เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 11:20:52