ควันเผาศพ มลพิษและความตายอันน่ากลัว
พิธีกรรมการฌาปนกิจหรือเผาศพนั้น เป็นพิธีกรรมที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน และยังมีอีกหลายประเทศที่มีความเชื่อการส่งวิญญาณผู้ตายสู่สุคติด้วยการ เลือกที่จะเผาร่างอันไร้ลมหายใจนั้น นี่เองที่ทำให้หลายต่อหลายวัดในกรุงเทพมหานครและตลอดทั่วประเทศไทย จำต้องมีเมรุเผาศพเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าว แต่สิ่งที่อีกหลายคนยังไม่รู้ก็คือ ในการเผาศพแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดสารพิษจากการเผาไหม้ที่มีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว!!!
เมื่อเร็วๆ นี้ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมได้จัดการเสวนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจอย่างยิ่ง อันว่าด้วยเรื่อง ความตายและสิ่งแวดล้อม เตาเผาศพแหล่งมลพิษร้ายใกล้ตัว โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ดร.นิคม ไวยรัชพานิช ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และดร.จารุพงษ์ บุญหลง ผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมให้ความรู้
ดร.จารุพงษ์เปิดเผยถึงสารพิษตัวสำคัญที่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย อันเนื่องมาจากการเผาศพว่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไดออกซิน/ฟิวแรนส์ (Dioxins / Furans) ซึ่งเป็นสารเคมีอันเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจหรือที่เรียกว่า Unintentional Product ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ (ในช่วงอุณภูมิ 200-650 เซลเซียส)
ไดออกซิน/ฟิวแรนส์เป็นสารประกอบในกลุ่มคลอริเนตเตท อะโรมาติก (chlorinated aromatic compound) ที่มีออกซิเจนและคลอรีนเป็นองค์ประกอบ 1-8 อะตอม มีมากถึง 210 ชนิด แต่มีเพียง 17 ชนิดเท่านั้นที่มีรายงานว่ามีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อมนุษย์
สาเหตุของการเกิดไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ที่มาจากการเผาศพก็เพราะประการแรก นอกจากศพที่ส่งเข้าเตาเผาแล้ว ยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ถูกส่งเข้าไปยังเตาเผาด้วย เช่น อุปกรณ์ตกแต่งโรงศพที่เป็นวัสดุพลาสติก พวงหรีด กระดาษเงินกระดาษทอง เทพพนม หรือพลาสติกที่ห่อศพติดเชื้อจากโรงพยาบาล อย่างศพผู้ป่วยเอดส์ ก็จะส่งเข้าเตาเผาทั้งพลาสติกแบบนั้นเลย ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดขึ้นจะเกิดจากการเผาของดังกล่าว โดยการเผาจะเป็นการเผาที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงอุณหภูมิ 200-650 เซลเซียส
ดร.จารุพงษ์กล่าวต่อถึงพิษร้ายของไดออกซิน/ฟิวแรนส์ ว่าเพียงแค่0.0000000001 กรัม ก็มีผลต่อร่างกายมนุษย์แล้ว และหากได้รับพิษของมันสะสมเข้าไปร่างกายเป็นระยะเวลานานก็อาจจะส่งผลออกมาใน รูปของ น้ำหนักลด โรคผิวหนัง เป็นสิวแบบคลอแอคเน่ ตับอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อัณฑะมีรูปร่างผิดปกติ การสร้างอสุจิลดลง ตัวอ่อนหรือทารกผิดปกติ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น
อ่านต่อได้ที่...
http://sarahealth.blogspot.com/2009/06/blog-post_22.html