#ความเห็นที่ 25
พูดถึง การสวดศพ บอกว่า บางคน ตายแล้ว ก็ไม่ต้องให้พระสวด ปล่อยให้เน่าหนอนกินเลยน่าจะมีประโยชน์กว่า..
ผมกลับเห็นด้วยนะ ว่า วิธีปล่อยให้หนอนกินนั้น มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์พอสมควร ในยุคโบราณ มนุษย์ ก็ใช้วิธีนี้มานับแสน ๆ ปีแล้วล่ะ เราเพิ่งมามีพิธีกรรม และวิธีการจัดการกับศพมนุษย์ หรือซากสัตว์ ที่ตาย เพื่อให้เรียบร้อย เป็นระบบที่ดี ต่อสุขอนามัยของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่นานมานี่เอง หากนับรวมชีวิตสัตว์ ที่เรียกตนเองว่า "มนุษย์" ตั้งแต่แรกเริ่ม บนโลกใบนี้
ว่ากันเรื่องสุขอนามัยนั้น ก็ควรทำให้ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยให้หนอนกัดกิน ส่งกลิ่นเหม็นเน่าหรอก ในข้อนี้ ญาติ ๆ และชุมชนเขาคงไม่ปล่อยให้มีสภาพแบบนั้นแน่ ๆ
ทีนี้มาว่ากันเรื่องพิธีกรรม การสวดศพ...
แน่ใจหรือว่า... การให้พระมาสวดศพนั้น เจ้าของศพ หรือคนที่ตายไปแล้ว กลายมาเป็นศพ จะได้ขึ้นสวรรค์?
แน่ใจหรือว่า... ในอดีตยุคพุทธกาล มีการสวดศพกันแบบที่ทำกันในปัจจุบันจริง ๆ ?
ชาวพุทธที่แท้จริง เขาไม่กลัวหรอกครับว่า ....เขาตายไปแล้ว ใครจะจัดงานสวดให้หรือไม่ การตายนั้น เป็นเพียง การเปลี่ยนไปในเวลา ของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะกับสิ่งมีชีวิต
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นถึงความสำคัญใด ๆ กับการสวด หรือไม่สวด ให้กับคนที่ตายไปแล้ว
แต่หากถามว่า ถ้าญาติผู้ใหญ่ หรือคนที่ผมรักตายไป ผมจะจัดงานให้ไหม ผมก็จะตอบว่า จัดให้ เพื่อความสบายใจกับทุกฝ่าย และเพื่อ ถือเป็นพลีกรรม การอุทิศส่วนบุญ ตามความเชื่อ
แต่การทำพลีกรรม หรือเปตพลี อุทิศต่อผู้วายชนม์นั้น ทำได้หลายวิธี หาใช่แค่ ให้พระมานั่งท่องคาถาบทสวดที่ พระเองก็ฟังไม่ออก โยมก็ฟังไม่ออก แต่ประการเดียวไม่
การทำพิธีที่ดี ๆ อีกหลาย ๆ อย่างก็มี เช่น นิมนต์พระมาแสดงธรรม พูดภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจได้ ก็จะเกิดประโยชน์
ดังนั้น โดยส่วนตัวผม หากวันหนึ่ง ถึงเวลาที่ผมมีธุระต้องตาย จากโลกนี้ไป ผมก็ไม่สนใจ ว่า เขาจะปล่อยให้ร่างการโดนหนอนชอนไช หรือ เขาจะเอาใส่โลงเย็น ยกให้พระสวดหรือไม่
แต่หากให้ผมเลือกได้ ผมก็จะทำอย่างที่ผมต้องการ หากเลือกไม่ได้ ก็สุดแท้แต่คนที่อยู่ ซึ่งคือ ญาติ พี่น้องลูกหลาน เพื่อนฝูง หรือคนที่เคารพนับถือเขาจะทำให้อย่างไร ผมไม่มีข้อแม้ เพราะผมไปปรโลกแล้วน่ะ
แต่หากสามารถมีข้อแม้ได้ ผมจะสั่งไว้ดังนี้....
๑.ผมจะสั่งให้ ลูกลาน ไม่ต้องนิมนต์พระมาสวด แต่หากขัดศรัทธากันไม่ได้จริง ๆ ก็ขอให้แค่พระมาแสดงธรรม หรือเทศนานั่นแหล่ะ และควรนิมนต์ พระที่แสดงแล้ว คนฟังเข้าใจง่ายด้วย ก็จะถือว่า ศพของผม ได้ทำประโยชน์ โดยเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้จริงต่อผู้ฟังแล้วล่ะ มีประโยชน์ไหม ได้บุญไหม ? วิญญูชนพึงตรองดู
๒. หากจำเป็นต้องสวด ก็ขอให้สวดมนต์บทอื่น ๆ บ้าง เช่น ชัยมงคลสูตร, มงคลสูตร หรือ อนัตลักขณสูตร หรือพระสูตรใด ๆ ก็ได้ ไม่ใช่จ้องแต่จะสวด อภิธรรม ตะพึด หากทำได้เช่นนั้นผมก็จะถือว่า ศพของผมได้ทำประโยชน์ ด้วยการ ส่งเสริมให้พระท่านได้มานั่งทบทวนพระสูตร ต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสสอน ถือซะว่า เป็นการ ช่วยกันรักษาพระธรรมของเดิมที่เป็นบาลี เป็นประโยชน์ไหม ได้บุญไหม? วิญญูชน พึงไตร่ตรอง
ผมไม่สนใจหรอกว่า การสวดครั้งนั้น จะถือเป็นการเพิ่มพลัง หรืออัดประจุพลัง เหมือนกับเพิ่มเติมเชื้อเพลิงบรรจุจรวด เพื่อส่งวิญญาณของผม ให้พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์... ผมไม่สนใจตรงนั้นเลย
๓. หากมีบทความใด ๆ หรือผลงานใด ๆ หรือแม้แต่ไฟล์เสียงใด ๆ ที่ผมเคยสนทนาธรรมกับพระสงฆ์องคเจ้า แล้วได้ประโยชน์ ก็ให้ลูกหลานนำมาอ่าน หรือแม้จะเปิดเสียงสนทนาของผมที่สนทนากับพระ ให้คนที่มางานศพได้ฟังบ้างก็ดี
หรือแม้แต่เสียงของผมเอง ที่อัดไว้ก่อนตาย บอกกล่าว อำลาลูกเมีย ลูกหลาน ญาติ และเพื่อน ๆ ตลอดจนถึง อำลาครูบาอาจารย์ เพื่อไปปรโลกแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมเชื่อว่าผมสบายดี แต่หากไม่สบายในปรโลก ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมก็คงจะต้องรับกรรมของผมเอง คนอื่น คงมาช่วยแชร์อะไรไม่ได้มั้ง ฯลฯ ก็ควรเอามาเปิดฟังกัน
หากมีการเตรียมได้ทัน ก็ควรเปิดให้ฟังกันในงานศพได้ (ผมไม่ประมาท เพราะผมเตรียมไว้เสมอ ในทุก ๆ สิ้นปี เพราะผมไม่รู้ว่า ปีต่อไป ผมจะอยู่ได้ถึงสิ้นปีหรือไม่)
จากนั้น หากมีไฟล์ภาพ ที่ผมเคยขึ้นเวทีร้องเพลง ในงานรื่นเริง หรือเคยขึ้นเวทีใด ๆ ก็ตาม หรือแม้จะเป็นการที่เคยเล่นละคร เล่นตลก ในงานเลี้ยงรุ่น งานโรงเรียนก็ตาม หากเป็นเรื่องที่ชวนระลึกถึง และเป็นไปในทางที่ดี ก็ยินดีให้นำมาฉายโชว์ ในงานศพได้ ไม่ขัดข้อง
งานศพผม ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องให้พระมานั่งสวดอย่างเดียว แล้วเลี้ยงข้าวต้ม แก่คนฟังหรอกครับ แต่ผมเตรียมการณ์ไว้นานแล้ว ผมคิดเตรียมการเรื่องงานศพผม และเขียนเอาไว้ทุก ๆ ก่อนสิ้นปี ตั้งแต่ผมอายุ 21 แล้วครับ
มาบัดนนี้ ผมอายุสี่สิบต้น ๆ แล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้จัดงานศพเป็นของตนเองเลย หวังว่า สักวันหนึ่งคงได้จัด โดยมีผมเป็นผู้กำกับการจัดงานศพของตนเอง และผมได้สั่งให้ ถือเอา คำสั่ง หรือ รูปแบที่บันทึกไว้ ในปีสุดท้าย ก่อนวันที่ผมมีธุระต้องไปปรโลก นั่นแหล่ะครับ ให้ถือเป็นสำคัญ ว่าจะจัดอย่างไร
ดังนั้น ใคร ๆ อย่าได้ลำบากใจเลย เรื่องว่า คนอย่างผม นายรถเรณู จะถูกปล่อยให้โดนหนอนชอนใช ในเวลาที่ตายแล้ว แม้หากผมต้องมีอันต้องไปตายในที่กันดารจริง ๆ ไม่มีใครเห็นจริง ๆ แล้วล่ะก็ ก่อนสิ้นใจตายผมก็คงจะระลึก และปวารณาตนว่า หนอนกลุ่มใดอยากชอนไช ก็จงชอนไช ถือซะว่า ผมได้เอาร่างกายของตนทำทานแก่สรรพสัตว์ ก็นับว่าเป็นบุญ ในการให้ทาน แม้ตนเอง ต้องตายแล้วก็ตาม มิใช่หรือ ? โดยหลังจาก ได้ระลึก มีสติ จิตใจก็คงสบายปล่อยวาง ดวงจิตสุดท้าย หวังจะไปสวรรค์ ก็คงได้ไป หากไม่หวังสิ่งได้ ไม่ต้องไปไหนเลย ก็ยิ่งดีล่ะ จะได้พับสิ้นกันที ไม่ต้องเกิดอีก ......แล้วคนอื่น ใครจะมารู้ดีไปกว่าผม ผู้ซึ่งกำลังจะต้องตายในเวลานั้นล่ะ เรื่องแบบนี้ ต้องพูดแบบนักเลงหน่อยว่า...ตัวใครตัวมัน (โว้ย) ...จริงไหม?
มองให้เห็นสัจจะธรรม ก็จะไม่เห็นเลยว่า อะไรมันจะแย่ แม้แต่ การที่จะทิ้งร่างที่เหลือไว้ให้หนอนชอนไช ก็ตาม มองแบบใช้ปัญญา กลับเห็นว่า เป็นเรื่องดีซะอีก แต่หากมองด้วย สายตาและสติปัญญาที่ โง่เขลา มืดบอด ด้วยอวิชชา ก็ช่วยไม่ได้ล่ะ คุณเอ๋ย....
... ก็คงทำได้ดี ที่สุด ก็แค่คอยบวงสรวงอ้อนวอน ยึดถือสัตว์ดิรัจฉาน เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นสรณะ กันไปตามเรื่อง ตามราว ตาม ยถากรรม กัน เทอญฯ