หากจะถามว่า เป็นอาชีพสุจริตหรือไม่นั้น ก่อนอื่น ควรจะเข้าใจคำว่าโสเภณี ในยุคพุทธกาล ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาก่อนดีไหมครับ
เพราะในปัจจุบัน มีความหมายที่ต่างกัน และให้ความหมายที่ผิด และอาจจะสับสน เกี่ยวกับเรื่องศัพท์ ภาษาได้ เพราะภาษาโบราณ กับภาษาปัจจุบัน แตกต่างกัน
๑. โสเภณี คำคำนี้ แปลว่า หญิงงาม และมีตำแหน่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาด้วย ในสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้น เรียกหญิงตำแหน่งนี้ว่า "นครโสเภณี" หรือแปลว่า หญิงงามประจำเมือง
หญิงงามตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่แล้ว มิใช่หญิงขายตัวทั่ว ๆ ไปตามที่เราเข้าใจ แต่เป็นหญิงที่ พระราชามักเอาไว้ต้อนรับ แขกบ้านแขกเมือง หรือบุคคลระดับ V.I.P. จากต่างประเทศ ยามที่มาเยี่ยมเยือน เพื่อกระชับมิตร เลยทีเดียว
ดังเคยมีปรากฎว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ (ภายหลังเป็นแพทยืประจำพระพุทธองค์ และเป็นแพทย์พระราชสำนัก) นั้น เป็นลูกของ นครโสเภณี และการณ์กลายเป็นว่า ถูกทอดทิ้ง แล้วเจ้าชายพระองค์หนึ่ง ถึงกับรับมาเลี้ยงดู อุ้มชูเป็นลูกเลยทีเดียว ซึ่งหาก เป็นลูกของบุรุษทั่ว ๆ ไป ที่ต่างวรรณะกันกับเจ้าชายพระองค์นั้น มีหรือ ที่คนในราชวงศ์ ในยุคนั้น จะยอมให้เจ้าชายเอาเข้ามาในวังได้ เพราะในยุคนั้น เรื่องวรรณะ เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ถือเคร่งมาก ๆ
เรื่องนี้เป็นข้อน่าสังเกตว่า หญิงงามเมืองนั้น มักจะมีไว้ต้อนรับ บุคคลชั้นสูง วรรณะสูง ๆ นั่นเอง
๒. หญิงคณิกา หญิงเหล่านี้ เป็นหญิงที่จับกลุ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นพวก (คณิกา แปลว่า กลุ่มสาว ๆ หรือคณะสาว ๆ) เรียกว่า เพื่อการขายบริการโดยเฉพาะ เป็นอันรู้กัน ในหมู่นักเที่ยว นั่นเอง หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ก็อยู่กันในสำนัก มีแม่เล้าเป็นเรื่องเป็นราว ก็เรียกได้ว่า ไว้ต้อนรับ นักท่องเที่ยว อย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีถิ่นฐานพำนัก เป็นเรื่องเป็นราว หรือจับกลุ่มจับพวกกันชัดเจน
มีเรื่องเล่าว่า แม่เล้าคนหนึ่ง ในกรุงเทพ ทำธุรกิจนี้ จนมีผลกำไรมหาศาล ในยุคสงครามโลก ภายหลัง แกอยากจะนำเงินนี้มาทำบุญสร้างกุศล โดยมีเงินมากถึงขนาดสร้างวัดได้เลยทีเดียว เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว ก็ปรึกษากันว่า จะตั้งชื่อวัดว่าอย่างไร คณะสงฆ์ ก็บอกว่า ใช้ชื่อของโยมก็ได้ (ซึ่งมีวัดหลาย ๆ วัด ที่ตั้งตามชื่อของผู้ถวาย เช่นวัดใหม่ยายนุ้ย วัดใหม่ยายแป้น วัดสาภีอุทิศ ฯลฯ)
แต่แม่เล้าใจบุญท่านนี้ คิดว่า เงินนี้ เราได้มาจากการที่หญิงสาว ๆ จำนวนมาก พลีร่างขายบริการกันโดยเต็มใจ เรามีกำไรเพราะการนี้ และหญิงเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเมื่อรู้ว่า จะมีการทำบุญสร้างวัด ก็มีจิตใจเป็นกุศล นำเงินมาร่วมสมทบจำนวนมาก จึงขอให้ ท่านเจ้าอาวาสได้โปรดตั้งชื่ออะไรก็ได้ ให้เป็นอนุสรณ์สำหรับกลุ่มสาว ๆ เหล่านี้ด้วย
ท่านเจ้าอาวาส ผู้มีสติปัญญาเป็นกุศลยิ่ง เลยตั้งชื่อวัดนั้นเป็นอนุสรณ์ แก่หญิงเหล่านั้น โดยให้ชื่อว่า "วัดคณิกาผล" ปรากฎว่า ทั้งแม่เล้าท่านนั้น และหญิงเหล่านั้น พอใจมาก ก็ตกลงกันตามนั้น
วัดคณิกาผล อยู่ใน กรุงเทพ นี่เองครับ หากท่าน วิ่งมาจากแยกแม้นศรี ตรงไปจะขึ้นสะพานพระปกเกล้า เพื่อจะไปฝั่งธนนั้น ก่อนขึ้นสะพาน ก็จะเห็นทางขวามือ มีวัดที่ ชื่อว่า "วัดคณิกาผล" เด่นชัดครับ
เรื่องนี้ จริงเท็จเช่นไร ไม่ทราบเช่นกัน แต่ผมเคยอ่านมาจากหนังสือสารคดี ได้ความมาเช่นนี้จริง ๆ
๓. หญิงแพศยา แปลว่าหญิงขายตัว หญิงค้าขาย หรือเร่ขาย ไม่ปรากฎว่า มีหลักแหล่ง ที่แน่นอนใด ๆ ดังจะเห็นได้ว่า เวลามีการด่ากันอย่างเหยียดหยาม ดูถูกหยาบคาย ต่อผู้หญิง เขามักด่าทอกันว่า หญิงแพศยา
ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า อาชีพ ที่เจ้าของกระทู้ต้องการถาม น่าจะไม่ใช่ อาชีพ โสเภณี ในยุคพุทธกาลแน่ ๆ (เพราะคำถามต้องเกี่ยวเนื่องกับ บทบัญยัติ หรือข้อห้าม ในยุคพุทธกาล จึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน)
ท่านเจ้าของกระทู้ จะต้องหมายความถึง หญิงคณิกา และหญิงแพศยา มากกว่า ใช่ไหมครับ
ส่วนจะผิดหรือถูก ตามข้อห้ามทางพุทธนั้น ก็คงต้อง ขึ้นไปอ่าน ในความเห็น ของลุงโข ประกอบ บวกกับ ความเห็น ของท่านอื่น ๆ ที่จะมาตอบต่อไป
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 54 22:20:19