ความคิดเห็นที่ 1 เนื่องจาก จขกท. เนี่ย ก็เคยรวบรวม นิทานเรื่องเล่าของหลวงปู่เทพโลกอุดรไว้มาก ทั้งที่มาจากตำราบ้าง จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์บ้าง รวมถึงเรื่องพระเครื่องของท่านบ้าง เรื่องราวนิทานเลยมีพอประมาณ หากมีผู้สนใจอ่านกันมาก โหวตกระทู้ขึ้นมา ก็จะพยายามเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นบันเทิงธรรมเช่นเคย แต่หากกระทู้ตกไปก็ดี เพราะจะได้ไปเที่ยว ดูฝายทดน้ำที่ดอนเมืองกับเค้าบ้างไรบ้าง ตกลง bb (bigbag) มันเป็นฝายทดน้ำจริงๆ แล้วใช่ไม๊เนี่ย -_-" อ่านจบแล้ว ก็แยกย้ายกันไปภาวนา อย่าเชื่อ ! จนกว่าจะได้พบท่านด้วยตัวเองนะจ๊ะ ตามนั้นแหละ 555+ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 14:54:54

ความคิดเห็นที่ 2 อยากฟังครับ เล่ามาได้เลย ถือเป็นการสร้างศรัทธาให้ปรารถนาความเพียร จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:05:58

ความคิดเห็นที่ 3 เฮ้....กำลังอยากรู้พอดีเลยค่ะ   งั้นเกาะจอ....รออ่าน  :-) จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:09:55

ความคิดเห็นที่ 4 ( นิยายธรรมะ ภาคแรก อ่านได้จากกระทู้นี้จ๊ะ ) http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11308603/Y11308603.html เริ่มเรื่องมาจาก นิทาน การ "ตามเก็บ" ลูกศิษย์ ในสายที่เคยปฏิบัติตามแบบครูบาอาจารย์เดียวกันมา ครูบาอาจารย์ท่านก็มักกล่าวว่า ในคณะของหลวงปู่เทพโลกอุดร มี ๕ รูป หลวงปู่เทพโลกอุดรเป็น ๑ ใน ๕ นั้น และในคณะของท่านเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิ หมายถึง ปรารถนาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า แต่ต่อมา หลวงปู่เทพโลกอุดรท่าน "ลาพุทธภูมิ" ไปเสียก่อน ลูกศิษย์ที่เคยปฏิบัติและตามท่านมา จึงตามไปด้วยไม่ทัน เพราะเมื่ออาจารย์ลาเข้าพุทธภูมิแล้ว บารมีท่านมาก ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย ! อาจารย์สำเร็จ แต่ลูกศิษย์ยังอยู่ แล้วทำไงหละ หลวงปู่ฯ ท่านเมตตา จึงได้อาศัย "อิทธิบาทสี่" ดำรงขันธ์อยู่ต่อไปเพื่อ "ตามเก็บ" ลูกศิษย์ของท่านนั่นเอง อันนี้เป็นเรื่องตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่า แต่อีกสายหนึ่งในตำราก็เล่ากันว่า " หลวงปู่ฯ ท่านมีปณิธานจะสืบสอดพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (องค์สมณโคดม) ให้ตั้งอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ท่านจึงอธิษฐานดำรงขันธ์อยู่ต่อ  " ที่จริงในห้องนี้ ก็มีพี่ๆ ตัวละครลับ (บางคน) แอบเคยพบท่านด้วยหละ แต่จขกท. ไม่บอกหรอกว่าใครยังไง ปล่อยให้งง กันต่อไปหุหุ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:15:45

ความคิดเห็นที่ 5 f5 รัวๆ : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:17:04

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องการ "ตามเก็บ" ลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์องค์ต่างๆ นี้ มีนิทาน นิยายมากมายแยกออกได้หลายลักษณะ โดยมากหากเป็นครูบาอาจารย์ที่ละสังขารไปแล้ว ท่านจะมาตามเก็บตามสอนเป็นนิมิต ในสมาธิ ความจริงการสอนกรรมฐานในสมาธินั้น สำหรับผู้ปฏิบัติ อย่างสายหลวงพ่อจรัญ ก็เห็นจะเป็นปกติไปด้วยซ้ำ ถ้าไปตามอ่าน "หนังสือกฎแห่งกรรม" ของวัดอัมพวัน ลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญที่เคยพบหลวงพ่อจรัญในสมาธิ ท่านมาสอนกรรมฐาน สอนธรรมะ ก็มีเยอะแยะมากมายนัก ( ไม่นับพวกที่อุปทานไปเองนะจ๊ะ พวกนี้ก็มีบ้างเหมือนกันแต่น้อย ) ในอีกรูปแบบหนึ่งคือ ท่านมาในกายเนื้อ จากที่อ่านตำนาน นิทานมามาก และที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่า ก็เห็นจะมีแต่ "หลวงปู่เทพโลกอุดร " นี่แหละ ที่ท่านมาในกายเนื้อเลย โอ้อออ ... เล่ากันว่า หากเคยปฏิบัติตามแบบฉบับครูบาอาจารย์องค์ใด ก็มักจะต้องปฏิบัติตามครูบาอาจารย์องค์ก่อนๆ ของตนในชาติที่ผ่านๆ มา การภาวนานั้น ก็จะเป็นไปได้เร็วและก้าวหน้าเร็วตามไปด้วย ตัวอย่างเช่นเรื่อง การฝึกสตินั้น หลวงพ่อปราโมทย์ท่านก็สอนว่า " ตอนเด็ก บางคนเวลามีเรื่องตกใจ สติจะตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพราะเคยทำมาในชาติก่อน แต่ก็จะลืมไปอีกตอนโตขึ้น " ในเรื่องนี้ก็มีเพื่อนของเพื่อน จขกท. (อีกละ) ประสบมาโดยตรง 555+ แต่เพื่อนของเพื่อนคนนี้ ได้ประสบตอนอยู่ประเทศญี่ปุ่นหละ (แม่เจ้า) ! จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:31:08

ความคิดเห็นที่ 7 ปาดๆๆๆ จากคุณ : abhirakk เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 15:40:44

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องก็มีอยู่ว่าประมาณ ๔ ปีก่อนเห็นจะได้ จขกท. ก็มีเพื่อนของเพื่อน เป็นผู้หญิง หุหุ เธอดูจะเป็นเด็กธรรมดา ไม่ได้สนใจธรรมะ หรือการปฏิบัติอะไรนัก อาจเนื่องด้วยวัย จขกท. เลยเอาเรื่องที่เพื่อนเล่า มาแต่งนิทานได้เรื่องนึง " ตอนเรียนอยู่ญี่ปุ่น มีหลายคราวที่จิตจะรวมเข้าสู่สมาธิเอง โดยปกติหากจิตทำสมถ พอถึงฌานที่ ๔ จิตจะตัดความรับรู้ภายนอกไปหมด ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เพื่อนคนนี้ มีอยู่หลายคราว ที่จิตรวมเข้าสมาธิอัติโนมัติ ทั้งที่ (ชาตินี้) ไม่เคยฝึกเลยนะ อยู่ๆ สัมผัสภายนอกก็จะดับไปหมดชั่วขณะหนึ่ง มีคราวนึง หนักข้อมาก เดินไปตรงที่กั้นทางรถไฟ แล้วเพื่อนคนอื่น ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนคนนี้จะหลบออกมาจากอาณาบริเวณนั้นเลย จึงรีบช่วยกันจับตัวไว้ด้วยความตกใจ เพราะเกรงจะเป็นอันตราย -_-" คราวที่ชัดเจน ก็คือ มีคราวนึง ฝันไป ในฝันเห็นพระรูปหนึ่งท่านเดินมา ( ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่า คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ในฝันนั้นพระท่านมาสอนกรรมฐาน แล้วสอนต่อว่า " ให้ฟื้นของเก่า ต่อยอดของใหม่ " เรื่องทำนองนี้ หลวงพ่อจรัญท่านเองก็เคยเล่าไว้ จขกท. ถอดออกมาจากไฟล์เสียงของท่านเองเลย ท่านเล่าว่า ... จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:02:10

ความคิดเห็นที่ 9 " ....  ตอนที่อาตมาก่อนที่คอจะหัก มีเด็กอายุ 11 ขวบ ทำวิปัสสนาเก่งมาก เป็นลูกคนจีนนะ เตี่ยจีน แม่จีนทีเดียว แล้วทีนี้ก็เค้าก็เล่าว่า ทำไมเด็กคนนี้อัศจรรย์มาก รู้เองโดยไม่ต้องไปหาพระ โดยไม่ต้องไปหาวัดใดเลย แล้วแม่มาเล่าให้อาตมาฟังก่อนว่า หลวงพ่อค่ะ ลูกชั้นแปลกมาก เค้าสวดมนต์เป็น หนูก็ไม่เคยเข้าวัดเข้าวา แล้วเมื่อวันหนึ่งเขาบอกว่าอาม้าจะตาย วันที่เท่านั้น  ถึงวันนั้นก็ตายจริง แล้วมาต่อมาอีกวันหนึ่ง เขามาบอกว่าคุณแม่บอกอาปาด้วย บอกอาปาด้วยว่าอากงจะตายวันที่เท่านั้นเตรียมได้ พอถึงวันนั้นอากงก็ตาย เป็นลมตาย แล้วมาอีกวันหนึ่ง เอ่อ อาปาเค้าจะไปชลบุรี เค้าก็บอกกับแม้ว่าคุณแม่ค่ะ คุณแม่ขา คุณแม่ต้องไปด้วยนะ ถ้าไม่ไปไม่ได้นะ แน๊ะ ลูกเราเคยพูดถูกตลอดมา ก็ลองไปดู ไอ้แม่ก็มีงาน ว่าแม่ไม่ไปไม่ได้ แม่ก็ไป ขากลับ อาปาขับรถคว่ำ ก็กระเด็นออกไป ประตูเปิด รถก็ไปทับเอาหน้าอก ทำท้องหายใจไม่ออก เลยแม่ก็ออกจากรถได้ ก็ไปเรียกรถสิบล้อมาช่วยกันงัด อาปาเขาจึงรอดจากช่วงอันตรายมาได้ นี่เห็นไหม " จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:06:35

ความคิดเห็นที่ 10 " ได้ความออกมาว่า เขาก็บอกกันว่าคุณแม่ค่ะคุณแม่ขา หนูอายุ 16 หนูจะต้องขอลานะค่ะ ขอลาจากคุณแม่ไป หนูจะมาอยู่กับคุณแม่เพียงอายุ 16 ปี นี่เด็กว่าอย่างงี้ เลยทีนี้ เขาก็บอกว่าไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องไปยกให้พระ เซี๊ยะ แล้วถามเค้าด้วยเค้าจะชอบพระที่ไหน เลยแม่ก็ไปหาหมอดูว่าต้องยกให้เป็นลูกพระเค้าจึงจะอยู่ได้ ตอนนั้นอายุ 11 แล้ว ถ้าอายุ 16 เค้าจะต้องตาย เรียนหนังสือเก่งเรื่อยมากตลอดเวลากาล เค้าก็บอกว่าเอาไปเป็นลูกหลวงพ่อวัดอัมพวันไม๊  โอเค " จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:09:01

ความคิดเห็นที่ 11 " เค้าก็มาเลย มาที่วัดนี้อายุ 11 อาตมาก็ถามนะ บอก หนู ไปนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานสมาธิกับใคร ที่วัดไหน อายุหนูยังเด็กนัก หนูคนนี้เล่าว่า " หลวงพ่อค่ะ หนูเวลา 2 ทุ่ม หลวงพ่อในป่าท่านมาสอนหนู คืนละ 15 นาที " สอนยังไงจ๊ะ " สอนสติปัฏฐาน 4 ค่ะ " รูปร่างหลวงพ่อองค์นั้นเป็นยังไง ถูกลักษณะหมดที่อาตมาไปอยู่กับท่านมา นี่บอกหนูมาสอนยังไง หนูไปสวดมนต์อยู่ที่ห้องพระท่านมาเลย มานั่งสอนบอกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไอ้เด็ก 11 ขวบมันจะไปเรียนธรรมะที่ไหน ว่าได้หมดเลย นี่เห็นไหมท่านทั้งหลาย อาตมาก็ยอมรับ อาตมาก็พูดต่อไปอีกคำหนึ่ง บอกหนูทำสมาธิมานานเท่าไหร่แล้ว ตั้งแต่ตอนไหน หลวงพ่อค่ะหนูทำมาก่อนหลวงพ่ออีกนะ คนหัวเราะครืนเลยที่กุฏิอาตมา ก็เด็กตัวอายุ 11 ขวบเท่านั้น จะทำมาก่อนยังไง อาตมาขอยอมรับเขา ก็ เขาทำมาครั้งอดีตชาติแล้ว มาในชาตินี้มีพระมาสอนวันละ 15 นาที เห็นไหมท่านทั้งหลายเอ๋ย เลยในที่สุดเขาก็ยอมมาเป็นลูกของอาตมาแล้วก็จากไป " จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:13:33

ความคิดเห็นที่ 12 ตะกี้ จขกท. พิมพ์เสร็จอีกความเห็นแล้ว อยู่ๆ คอมก็ back กลับ และข้อความหายไปเลย จขกท. คงจะเล่าต่อได้ใช่ม๊ายยยย  T T ชักหวาดหวั่นใจ เล่าต่อ ... หลวงพ่อจรัญท่านยังเล่าว่า สมัยที่หลวงพ่อฯ ไปตามหาหลวงพ่อในป่า ตอนไปพบผู้ใหญ่บ้าน (จ.ขอนแก่น) ตอนนั้นแก่แล้ว บอกหลวงพ่อว่า เมื่อตอนผู้ใหญ่บ้านเด็กๆ หลวงพ่อองค์นี้ ก็รูปร่างแบบนี้ พอผู้ใหญ่บ้านแก่แล้ว หลวงพ่อองค์นี้ก็รูปร่างเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลย จขกท. เลยเชื่อเอาเองว่า น่าจะเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรแน่ อีกอย่างที่วัดอัมพวัน ก็จะมีรูปเคารพหลวงปู่เทพโลกอุดรอยู่หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นในสวนป่า หิ้งพระที่กุฏิหลวงพ่อจรัญ จขกท. เลยศรัทธาและสนใจเรื่องของท่านมาก เพราะชอบอะไรที่ลึกลับซับซ้อน เลยไปตามหาประวัติท่านมาอ่าบ้าง พอไปซื้อหนังสือมาอ่านเนี่ย หลายๆ เล่มก็ดันเขียนเหมือนกันมากมาย ประหนึ่งว่าคนเขียนเป็นคนเดียวกัน ทั้งที่ชื่อคนเขียนคนละคนกัน งงมากมาย ในหนังสือที่เล่ากันก็มีสนุกๆ หลายเรื่อง แต่ที่จขกท. ได้ฟังมาจากพระ โอ้ววว น่าสนใจกว่านั้นมากกกกกก เด็วจะทยอยเล่ากันต่อไปแน่นอนจ๊ะ ( : ถ้าชอบกันช่วยกันโหวตได้ แต่ตอนนี้หมดเวลาละ ขอตัวไปสอนพิเศษเด็กก่อนจ๊ะ 555+ ในจังหวัดขอนแก่นที่หลวงพ่อจรัญไปพบหลวงพ่อในป่านั้น ไม่ต้องไปตามหาหรอก เพราะจขกท. ไปตามมาแล้ว เอ๊ะยังไง ที่ตรงนั้นน้ำท่วมไปแล้ว ถ้าสนใจก็ไปศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวันได้ หลวงพ่อจรัญท่านสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จ.ขอนแก่น เพื่อบูชาคุณหลวงพ่อในป่า สาธุ ... จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:38:05

ความคิดเห็นที่ 13 มาเล่าเรื่องสนุกทางธรรมของครูบาอาจารย์อยู่นี่เอง ..ติดจอ ณ บัดดล..แฮ่ม!! จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:48:38

ความคิดเห็นที่ 14 ตามหนังสือ ก็มักมีคำถามว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรท่าน ปรากฏองค์ขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ท่านเป็นใครกันแน่ และต่อมาก็พบว่ามีพระที่เป็นลูกศิษย์ของท่านจำนวนมาก เคยเรียนวิชาและปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านมากมาย ก็เล่าประสลการณ์ให้ฟังตามที่มีผู้มาถาม มีบางกลุ่มศรัทธาท่านมาก จนกระทั่งตั้งกลุ่มกันตามรอยท่าน เช่น ไปถ้ำวัวแดงบ้าง ฯลฯ ว่ากันว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเจ้าของวิชาหลายแขนงที่มีกันในปัจจุบัน รวมถึงตำราการเสกพระของท่านที่ไม่เหมือนใคร มีมาตั้งแต่ในสมัยกรมวังหน้า จนตอนนี้คนตามหากันมาก มีทั้งของจริงและปลอม แต่ของปลอมท่าพระจันทร์เยอะมากมาย ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่มาของ "ภาพถ่ายหลวงปู่เทพโลกอุดร" ก็คือ หลวงปู่วัย จัตตาลโย จังหวัดสระบุรี ในสายปฏิบัติของหลวงพ่อปราโมทย์ อาจารย์สุรวัฒน์ เอง ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่วัย เคยเล่าถึงเรื่องของท่านไว้ด้วยเหมือนกัน จบบทเกริ่นนำ รายละเอียดในเรื่องต่างๆ จะว่ากันต่อไป ภาพถ่ายหลวงปู่เทพโลกอุดร จาก หลวงปู่วัย จัตตาลโย จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 16:56:29

ความคิดเห็นที่ 15 กำลังอยากรู้เลยค่ะ ตามมาเกาะกระทู้ด้วยคน จากคุณ : I know who am i เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 17:37:18

ความคิดเห็นที่ 16 ปาดหน่อยค่ะ ...  แล้วท่านเท้าใหญ่แบบคนโบราณ จริงมั้ยคะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 17:38:52

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ฮี่ๆเด็กหญิงจัมมัยมาแล้ว ถามแต่ละอย่าง ทำให้เราหูผึ่งไปด้วย!   จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 17:54:00

ความคิดเห็นที่ 18  เรื่องนี้ มักแพร่หลายในกลุ่มทหาร นะครับ      ครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาส ได้เคยร่วมขบวนทอดผ้าป่า ขบวนเล็ก ๆ กับนายทหาร และกลุ่มแม่บ้านทหาร จำนวนหนึ่ง  นายทหารท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี ในการชักชวนผู้ร่วมทำบุญ (ยศนายพล และมีตำแหน่งการบังคับบัญชา ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง มิใช่น้อย) รับหน้าที่เป็นผู้เล่าเองเลย  ไม่น่าเชื่อว่า เมืองไทยเรานี้ (แสนดีหนักหนา ฯลฯ) จะยังคง มีเรื่องประหลาด มหัศจรรย์ พันลึก ดึกดำบรรพ์ ได้ขนาดนี้ ซึ่ง ท่าน ผบ. ท่านเล่าซะ ทำให้ผมนึกภาพ จินตนาการตามซะจน เกือบจะเห็นไดโนเสาร์ คลานอยู่ในเรื่องเลยทีเดียว ....     ก็ยัง งง งง อยู่ว่า ทำไม ท่านหลวงปู่ ท่านจึงอายุยืน ยาวนาน ซะขนาดน้าน.....   เวอร์ชั่น ของท่านนายพล ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับพระมหากัสสปะ ซะด้วยนะ แต่กลายเป็นว่า หลวงปู่เทพฯ มีอายุยาวนานมานับหมื่น ๆ ปีแล้ว.....และมีทีท่าว่า ผู้เล่า จะพยายาม ให้หลวงปู่กลายเป็นมนุษย์ยุคแรก ๆ ของการสร้างโลกไปซะนู่นแน่ะ ประมาณว่า เป็นรุ่น ๆ เดียวกับ พวกพรหม ที่ลงมากินง้วนดิน โน่นเลย...ซึ่งผมประเมิน เรื่องกาลเวลาและอวกาศแล้ว  นั่นมันยุคก่อนจูราสิคส์ ชัด ๆ เลยอ่ะ   แต่ท่านเล่าไปจบที่โลกไหน แกแล๊กซี่ไหน มิอาจทราบได้ เพราะผมตื่นมาอีกที รถปรับอากาศชั้นดี วิ่งนุ่มนวล... ก็วิ่งถึงวัดซะแล้ว....ก็เลย อดกัน      หันไปถามคนนั่งข้าง ๆ แกก็บอกว่า เรื่องนี้ อย่ามาพึ่งพาอาศัยกันเลย  เพราะแกหลับตั้งแต่ท่านนายพล เริ่มอารัมภกถา แล้วล่ะ....เลยไม่ได้ความ  ว่าเรื่องจริง มันยังไงกันแน่     เอ้า...งั้นผมก็ขอลุยน้ำ มาแอบกระแซะ ๆ นั่งใกล้ ๆ คุณท้าวสไมลี่     เพื่อที่จะได้ฟัง ผู้เชี่ยวชาญ ในเรื่องนี้ โดยตรง  ที่จะได้ ทะยอยญวน  มาเล่ากันต่อ ๆ ไป     หวังว่า น่าจะพอบันเทิง เริงสราญ เบิกบานใจ ได้ ตามสมควรแก่อัตภาพ ในยามน้ำท่วมทุ่ง ลัดคุ้งเข้าท่วมเมือง เช่นเวลานี้ นะครับ ... แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 54 18:57:21 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 18:51:52

ความคิดเห็นที่ 19 ยังงงอยู่ว่า  เทวดายิ่งชั้นสูงมากเท่าใด ยิ่งปรากฏร่างให้มนุษย์เห็นยิ่งยาก เพราะท่านละลายกายทิพย์แล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณซึ่งใสจนไม่มีอะไรจะเปรียบได้ เหมือนอยู่ในมิติที่ลึกมาก จะเห็นได้จากในสมาธิขั้นสูงเท่านั้น.......แต่ที่ว่ากัน หลวงปู่เทพโลกอุดร มีคนเห็นแปลงตัวเป็น พระ เป็นเณร อยู่แถวถ้ำวัวแดงบ่อยๆ เลยยิ่ง งง รู้มาแค่นี้......เอาไปคิดกันเอง เออ.....ลืมไป พวกลูกศิษย์เคยถาม วิญญาณสมเด็จโตที่สำนักปู่สวรรค์ว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรคือใคร  ท่านตอบสั้นๆว่า เป็นวิญญาณบำเพ็ญคนหนึ่ง อยู่แถวถ้ำวัวแดง อุดรธานี วันดีคืนดี ปรากฏร่างเป็นพระบ้าง เณรบ้าง ให้คนเห็น  ท่านตอบสั้นๆแค่นี้.......ฟังไว้เล่นๆ เดี๋ยวมีขาประจำออกมาด่า หาว่า หาว่า งมงาย  เขารับฟังกันเฉพาะ จากมนุษย์เท่านั้น ทั้งๆที่มนุษย์นั่นแหละตัวดี เข้าข้างตัวเองยิ่งกว่าอะไร จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 20:32:08

ความคิดเห็นที่ 20 รออ่านอยู่นะคะ ชอบมาก ขอบคุณค่ะ :) จากคุณ : ต้นไม้ในบ้านหลังเก่า เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 21:35:02

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาปูเสื่อรออ่าน...... เอาอีก ๆ น้องพล.... จากคุณ : ซำเหมาพเนจร เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 21:52:22

ความคิดเห็นที่ 22 ใครไม่ชอบก็ผ่านไปเถอะไม่ต้องอ่านคนอี่นชอบ สงสารคนพิมพ์ จากคุณ : sukijsa เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 22:09:05

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่ได้เข้าห้องศาสนามานาน มาเจอกระทู้นี้เข้า ขอปูเสื่อด้วยคนค่ะ จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 54 23:22:51

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณ จขกท. มากครับ ชอบมากครับ ติดตามครับ ศรัทธาในตัวหลวงปู่ครับ จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 00:33:03

ความคิดเห็นที่ 25 แวะมา ไม่มีกิ๊ปจะแจก จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 08:13:06

ความคิดเห็นที่ 26 พระอิเกสาโร  หนึ่งในคณะเทพโลกอุดร จากคุณ : เสี่ยวรำพึง (nopadolrayong19) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 08:25:13

ความคิดเห็นที่ 27 ภาพนี้ พระวัดป่าวัดหนึ่งท่านให้มา ท่านบอกว่าภาพนี้ไม่ค่อยแพร่หลาย รู้กันเฉพาะภายใน ท่านบอกว่า...ถ้าติดภาพนี้ไว้ที่บ้าน ผีเห็นกลัวหนักหนา  ภาพนี้ถ่ายที่ถํ้าแห่งหนึ่งที่ภาคเหนือ ที่ชาวเขาเผ่ามูเซอร์อยู่  และชาวมูเซอ จะห่วงถํ้านี้มาก ไม่ให้ใครต่างถิ่นไปที่แห่งนี้ได้         พระท่านว่าคณะเทพโลกอุดร มี 5 องค์ ลองอ่านใน กูเกิลดูนะครับ    ท่านใดอยากได้ไฟล์ใหญ่ หลังไมค์มานะครับ จากคุณ : เสี่ยวรำพึง (nopadolrayong19) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 08:30:54

ความคิดเห็นที่ 28 จขกท. ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ให้ความสนใจ แต่ขอแอบบอกว่า หากเรื่องราวหลวงปู่ฯ ที่มีในเวบบางส่วนนั้น จขกท. ก็ไม่ใคร่จะเชื่อนัก เพราะอะไรหนะหรือ เพราะว่า จขกท. ถามครูบาอาจารย์ หรือคนที่เจอมาจริงๆ หรือไม่ก็นำข้อความที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่ามาเขียนต่อมากกว่า มิฉะนั้น เรื่องจะกลายเป็นนิยายปรัมปราเกินไปจ๊ะ จขกท. แต่งนิทานบันเทิงธรรมะ แต่หากไปไกลจนไม่มี "แก่น" ธรรมคำสอนเสียบ้าง หรือหากออกจะดูขาดฐานข้อมูลไปเสียบ้าง จขกท.กลัวว่าจะกลายเป็น "นิทานอิสป"  ไม่นะ ! เด็วจขกท. ต้องถูกจับโยนจากหน้าผาหนะสิ ไม่อาววว T T ส่วนเรื่องราวที่มีเขียนในหนังสือขาย จะนำมาเล่าเพียงย่นย่อตามควร จขกท. กลัวจะซ้ำและผู้อ่านจะเบื่อ เพราะหาอ่านได้ไม่ยาก จุดประสงค์ของการเล่าเรื่องครูบาอาจารย์ เพราะเหตุว่า คนโดยมากที่ จขกท. ประสบ และหันมาสนใจธรรมะ มักมีกัน ๓ เหตุ หนึ่ง เจอทุกข์หนัก สอง ของเก่าในชาติก่อน auto back สาม เจอปาฏิหารย์กับตัวหรือศรัทธาในครูบาอาจารย์ แต่ไม่ว่าจะ "เริ่มต้น" หันมา "ศึกษาธรรมะ" ของพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใดก็ตาม สุดท้ายหากไป "ถูกทาง" เจอ "ครูบาอาจารย์ของจริง" ก็จะได้พบ "ธรรมะของพระพุทธเจ้า" เหมือนกัน หวังใจเช่นเคยว่า เรื่องราวครูบาอาจารย์ นิยายธรรมะนี้ อาจเป็นการ "จุดประกาย" ให้หลายท่าน หันมาสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง วัตถุประสงค์ของภาค ๒ จึงมีดังว่านี้ ( : ไม่เอาแบบงมงาย จนขาดปัญญาพิจารณาประกอบนะ เราชาวพุทธต้องมี พละ ๔ คือ ศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะ แล้ว จขกท. ก็จะเล่าเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร พอให้มีความแช่มชื่นใจ ในยามเกิดภัยพิบัติในประเทศนี้กันต่อไป ให้มีแรงใจภาวนาปฏิบัติธรรมกันทั่วหน้า จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 09:14:51

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เคยพบท่าน แต่รู้ว่ามีอยู่จริงแท้แน่นอน เพราะทุกครั้งที่อธิษฐานจิตถึงท่าน ขอให้ท่านช่วย จะสำเร็จสมความต้องการทุกครั้ง เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงเคารพท่านมาก จากคุณ : tks_th เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 10:02:01

ความคิดเห็นที่ 33 กลับมาที่จุดเริ่มต้น คำถามคลาสสิคที่สุด คือ หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านคือใคร มาจากไหน ทำไมข้อมูลหลายแหล่งแตกต่างกันมากจัง นิทานธรรมะที่ดูจะเป็นที่น่าสนใจ หรือได้รับการยืนยันจากครูบาอาจารย์มากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เล่าไปแล้วบ้างในตอนต้น พระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในการสนทนาเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ ณ บ้านอนุสาวรีย์ ท่านเล่าว่า " หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านปรารถนาพระโพธิญาณมาก่อน แล้วก็มาตัดเข้านิพพาน ทำให้บริวารท่านตามไทน ท่านเลยอธิษฐานตัวให้อยู่เพื่อเก็บบริวารของท่าน ก็เลยเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่แหละ เป็นผู้ที่ เป็นตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บุคคลที่ชำนาญในอิทธิบาท ๔ สามารถอธิษฐานร่างกายอยู่ได้เป็นกัป ท่านเป็นคนอินเดีย เป็นสมณฑูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเผยแพร่ธรรมะที่สุวรรณภูมิ คณะท่านมากัน ๕ รูป พระโสณเถระ พระอุตตรเถระ ฯลฯ รวมแล้ว ๕ รูปด้วยกัน รูปอื่นท่านก็นิพพานแล้ว แต่ท่านพระอุตรเถระ ท่านก็ยังเป็นร่มโพธิ์ เป็นหลวงปู่โลกอุดรเรื่อยมา " แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 14:26:40 จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 11:37:32

ความคิดเห็นที่ 34 " คนถามท่านว่าหลวงปู่อายุเท่าไร ท่านบอกข้าก็จำไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตอนที่สร้างพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ข้าไปยืนดูมันทำพระปรางค์สามยอดนั่น ประมาณพันกว่าปีแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่บุคคลที่เนื่องกับท่านมา เป็นบริวารของท่าน โอกาสพบตัวท่านน้อย เพราะภาระท่านเยอะอยู่แล้ว แต่ท่านก็เคยให้คาถาเอาไว้ บอกว่าถ้าต้องการจะพบท่าน ให้จัดอาสนะปูผ้าขาว ๕ ที่ เพราะคณะท่าน ๕ รูปด้วยกัน จุดธูปเทียนบูชา แล้วนึกถึงท่าน ภาวนาคาถา โลกกุตตะโร จะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา ว่าไปเรื่อยๆ ท่านบอกว่าถ้าท่านว่าง ท่านจะมาสงเคราะห์ ถ้าหากว่าไม่ว่าง จะมาพบในความฝัน " จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 11:43:16

ความคิดเห็นที่ 35 " ก่อนหน้านี้ก็รู้จักอยู่หลายรูป อย่างปู่โทน หลำแพร ที่ตาคลี ตอนที่เจอท่านก็อายุตั้ง ๘๐ ปี ๙๐ ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ถ้าอยู่ก็ ๑๐๐ กว่าปี ปู่โทนได้ยาอายุวัฒนะจากหลวงปู่มา คราวนี้มียาอายุวัฒนะอีกตัวหนึ่ง ถ้าหากว่ากินเข้าไปแล้วอายุต้องถึง ๑๘๐ ปีแน่ๆ แต่หลวงปู่ท่านว่ายังหาคนไว้ใจไม่ได้ เลยไม่กล้ากิน เพราะว่าถ้ากินแล้วร่างกายจะเหมือนกับคนตาย มันนอนนิ่งไปเฉยๆ ๗ วัน ท่านบอกว่า ต้องหาคนที่ไว้ใจได้คอยดูแล ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมดมันเจาะลูกตาไปกิน มันเหมือนกับศพดีๆ นี่เอง เย็นเฉียบแล้ว มดมันไม่กลัวหรอก มันกินแน่เลย " ทีนี้ก็มีปัญหาว่า แล้วใครเคยเจอท่านบ้าง เคยเจอท่านมาในแบบไหนอย่างไร แล้วลูกศิษย์หลวงปู่เจอท่านได้อย่างไร ในหนังสือหลายเล่มก็มีเขียนไว้บ้างรวมกับที่รับฟังมาโดยตรง จขกท. จะนำมาเล่าในมุมมองต่างๆ ดังต่อไปนี้ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 11:54:21

ความคิดเห็นที่ 36 ขอตามอ่านด้วยคนค่ะ จากคุณ : **หิมะใต้พระจันทร์** เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 12:58:19

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องของการได้พบเจอหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ในหนังสือหลายเล่มก็เล่ากันมา ยังกะนิทานชาดกก็มิปาน โดยมากเล่ากันว่าเจอกับท่านตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ รัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ ดูจะเยอะมากหน่อย โดยมากจะเล่าว่า คนที่จะไปเจอท่านบางคนเป็นคนรวย หนีออกจากบ้านก็มี บางคนท่านก็ตามมาถึงบ้านเองก็มี แล้วท่านก็จะถามว่าอยากเรียนวิชาวิชาไหม วิชาหายตัว เหาะได้ หรือถามว่าอยากไปป่าหิมพานต์ไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่าน "ตามเก็บ" ลูกศิษย์ท่าน โดยเอาเรื่องฤทธิ์มาก่อน เพราะสายของท่านชอบฤทธิ์กัน (จขกท. ก็ว่าจริงแหละ) ทีนี้ คนที่เจอหลวงปู่ตั้งแต่สมัยโบราณเนี่ย ส่วนมากก็จะยอมตามท่านไปเพราะอยากเรียนวิชา วิชาที่โด่งดังมาก คือ วิชานะหน้าทอง วิชานะหน้าทอง จขกท. ก็เคยเจอในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันเวลาจะส่งทองเข้าตัว ส่วนมากเอาแผ่นทองมา แล้ววางแผ่นทองที่มีกระดาษปิดอยู่บนหน้าผาก แล้วคนทำ จะเสกคาถาเอามือแตะทีนึง ทองจะหายเข้าไปในหน้าผาก วิชานี้แถวอยุธยายังมีอยู่ จขกท.เคยไปลองด้วย สนุกดี 555+ ทองหายเข้าไปในตัวได้จริง ถ้าไป x-ray จะเจอทองในหน้าผากด้วย แต่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่าน สุดยอดกว่านั้นมากกก คือ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 13:34:27

ความคิดเห็นที่ 38 วิชานะหน้าทองของท่าน ปิดทองผ่านอากาศ อยู่ใกล้ไกลแค่ไหนก็ส่งไปได้หมดเลย วิชาต่อมาคือ วิชาทำปรอท ปรอทเนี่ยมีทั้งตัวผู้ ตัวเมีย ต้องเอาตัวเมียมาล่อตัวผู้ แล้วเอาปรอทไปทำให้สุก เรียกว่า หุงปรอท จะได้ "ปรอทสำเร็จ" การทำปรอทสำเร็จก็จะมีกรรมวิธีมากมายนัก ปรอทสำเร็จ ที่ทำแล้วว่ากันว่าจะมีสรรพคุณพิเศษ และจะไม่เป็นอันตรายแล้ว สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ลูกศิษย์หลวงปู่หลายท่าน ก็ได้ฝังปรอทไว้กับตัวก็มี เรื่องปรอทนี้ ถือว่าเป็นมวลสารพิเศษมากในการทำวัตถุมงคล ถ้าไม่มีวิชา ไม่เก่งจริง ทำไม่ได้หรอก จขกท. ก็เจอของทำนองนี้เหมือนกัน อย่างเช่น เพื่อนจขกท. บอกว่าได้ปรอท มาจากพระสังฆราช (แพ) พระเจ้า! ไปได้มาได้ไงไม่รู้ แล้วจะเอามาสร้างพระรุ่นพิเศษ รวมกับมวลสารอื่น จขกท. จองแทบไม่ทัน จองกันหมดในพริบตา 555+ หรืออย่างพระเครื่องบางรุ่นของลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็มีมวลสารนี้ผสมอยู่ ฮั่นแน่! หลายคนที่อ่านมาต้องแอบรู้แน่ๆ แต่ จขกท. ไม่บอกหรอกนะ เด็วจะกลายเป็นขายนายหน้าพระเอา จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 13:43:55

ความคิดเห็นที่ 39 เรื่อง ของปรอทยังมีน่าสนใจอีก เช่น เป็นวัตถุอาถรรพ์ ป้องกันอันตราย คุณไสยบางประเภท และยังสามารถพาไปป่าหิมพานต์ได้ด้วย โดยอมไว้ในปาก หนังสือบางเล่มก็บอกว่าหลวงปู่มาพาลูกศิษย์ไปโดยมีข้อแม้ว่า ตอนไปกับท่านห้ามลืมตาเด็ดขาด จะลืมตาได้เมื่อถึงแล้วเท่านั้น เรื่องการไปป่าหิมพานต์นี้ มีเล่านิทานกันมานานมาก ที่โด่งกันก็เมื่อหลายปีก่อน ก็เรื่อง มักกะลีผล และช้างน้ำ จริงไม่จริง จขกท. no comment เพราะยังไม่เคยไปเอง ไว้ไปเอง เจอเอง แล้วจะเชื่อกะเค้าบ้าง 555+ เรื่องมักกะลีผล คนที่เขียนได้สนุกและน่าอ่านที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ ในหนังสือนิยายอิงธรรมะ เรื่อง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตอน มักกะลีผล จขกท. ไม่ได้โฆษณาให้เค้านะ เพียงแต่ (แอบ) รู้มาว่า นิยายอิงธรรมะนี้ ก็ดัดแปลงมาจาก ประวัติของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันนั่นแหละ ในหนังสือคือ วัดป่ามะม่วง หลายๆ คนมาสนใจเข้าหาธรรมะ เพราะหนังสือเล่มนี้เยอะเลย จขกท. เคยเจอ ต่อมาก็หันมาปฏิบัติธรรมจริงจัง แล้วปรอทเมื่อเกี่ยวกับป่าหิมพานต์นี้ จะเกี่ยวกับหลวงปู่ยังไง จะว่ากันต่อไป ตอนนี้มาพูดเรื่องวิชาต่างๆ รวมทั้งคุณไสยกันสักนิดดีกว่า จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 13:53:10

ความคิดเห็นที่ 40 # Radiant, Archangel ความเห็นที่ ๓๔ นี่ เขามีเรื่องลิขสิทธิ์นะครับ น่าจะต้องให้เครดิตด้วยว่านำมาจากไหน จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 14:00:53

ความคิดเห็นที่ 41 เรื่องนี้เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้ จขกท. ต้องเสาะหา หรือหาความรู้เกี่ยวกับคุณไสย อีกเหตุผลหนึ่งคือ เคยแอบชอบรุ่นพี่ เลยอยากลองหาแหล่งดูบ้างอะไรบ้าง 555+ ดีที่ได้คำเตือนจากครูบาอาจารย์มาก่อนว่า " คนที่ทำคุณไสยอวิชชา ลงนรกอเวจี " จริงไม่จริง ไม่รู้ละ รู้แต่ว่าถ้าผี เทวดามีจริง คุณไสยก็น่าจะจริงนะ จขกท. เลย ไม่เคยทำหรอก แต่รู้ เอาไว้ป้องกันบ้างตามสมควร วิชาในโลกนี้มี "สายขาว" กับ "สายดำ" ว่ากันว่า "พุทธคุณ" เป็นกำลังที่สูงที่สุดแล้ว (ก็จริงแหละ) ในวิชาชื่อเดียวกัน อาจถูกกำกับด้วยพลังสายขาว หรือสายดำก็ได้ เช่น วิชานะหน้าทอง สาริกาลิ้นทอง รวมถึงกุมารทอง คราวนึงไปบ้านน้อง น้องเปิดทีวีดูรายการเสือสั่งฟ้า จขกท. ดูไปแล้วก็เพลียมากมาย นั่นก็ดู over เกิน ดีไม่แปลงร่างได้ด้วย แต่ก็เกือบละ รู้สึกตอนจะจบจะมีถอดจิตย้ายวิญญาณได้ = =" เรื่องคุณไสยนี้จะไม่เชื่อ จขกท. ก็ลำบากใจ (อีกละ) เพราะเจอและประสบมาด้วยตนเอง และรู้ว่ามีดหมอแก้ได้จริง จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 14:20:54

ความคิดเห็นที่ 42 ความเห็นที่ 33 34 และ 35 ในตัวอักษรเอียง ในเครื่องหมายคำพูด เป็นบทสนทนาคำตอบ ของพระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในการสนทนาเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖ ณ บ้านอนุสาวรีย์ ขออภัยทุกท่านด้วยครับ สาเหตุที่ไม่ได้นำมาลงแต่แรกเพราะว่า เกรงคนจะไปรบกวนท่าน หรือหากไม่เชื่อแล้วจะปรามาส ตรงไหนเลี่ยงได้จึงพยายามเลี่ยงไว้ก่อนครับ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 14:25:27

ความคิดเห็นที่ 43 วิชาที่โด่งดังมากอีกวิชาหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร คือ เรื่องของเหล็กไหลนี่เอง เหล็กไหลไปไหนมาไหนได้เอง การตัดเหล็กไหล การกำกับทำได้ยากมาก ต้องเก่งจริงเท่านั้น คนที่วิชาไม่แน่จริง หากไปหาเหล็กไหล อาจได้รับอันตรายกลับมาแทน ในเรื่องนี้ คุณบาอาจารย์ที่ว่ากันว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน ก็เคยได้รับจากหลวงปู่ และนำมาเป็นมวลสารหล่อพระ เช่น ของวัดปากดุก เป็นต้น ทีนี้ วิชาต่างๆ ในโลกเนี่ยมันมีมากมาย หากไปอ่านหนังสือ เช่น ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ประวัติหลวงปู่ปาน หรือเรื่องสรรพวิชาที่หลวงพี่เล็กท่านเล่าไว้ก็ดี ก็จะพบว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด อยู่ที่ว่าจะเคยพบหรือไม่มากกว่า สุดท้ายของวิชาต่างๆ ที่เรียนมาก็ดี แม้แต่หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านสอนเองก็ดี ก็จะมาลงที่การสอนวิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ ดังที่ได้เขียนนำไว้ในหัวกระทู้ ที่ท่านสอนหลวงพ่อจรัญ วิชาต่างๆ ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ มีแต่ "ธรรมะ" ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ช่วยให้พ้นทุกไปถึง "พระนิพพาน" ได้จริง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่า วัตถุมงคลนั้น " ความประสงค์ที่จัดสร้าง เพื่อให้เป็นพุทธานุสติ เคารพเลื่อมในในคุณพระรัตนตรัย " แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 15:17:02 จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 14:43:07

ความคิดเห็นที่ 44 ขอขัดจังหวะอีกสักนิดนะครับ เห็นคุณ Radiant, Archangel เขียนมา ผมขออธิบายเพิ่มสักนิด ตามสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งสืบสายมาจาก พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดบางนมโค ท่านจะสอนเน้นในกรรมฐาน ๔๐ ซึ่งจัดเป็นสมถภาวนาอย่างหนึ่ง จากนั้นก็จะต่อยอดด้วยวิปัสสนาญาณอีกที การฝึกกสิณ ก็อยู่ในหมวดหนึ่งของกรรมฐาน ๔๐ ครับ ส่วน สติปัฏฐาน ๔ นั้นมีทั้งสมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา ควบคู่กันไป ไม่แตกต่างจากการฝึกกรรมฐาน ๔๐ แต่อย่างใดครับ เพราะ สติปัฏฐาน ๔ ก็ต้องเริ่มต้นด้วย อานาปานัสสติกรรมฐาน(ตามดูลม) อยู่ดี ต้องขออภัย ที่เบรกหัวทิ่มหลายรอบนะครับ แต่จำเป็นต้องอธิบาย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนที่ไ่ม่เข้าใจ จะยิ่งเข้าป่าเข้าพงไปกันอีก จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 15:08:27

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่เลยครับ ยินดีมากกกที่สุด เตะผมตกน้ำ (ท่วม) ไปเลยก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีก มีท่านที่รู้จริง มาช่วยกันแนะนำครับ (( : คุณผ้าพับไว้มีความรู้ต่างๆ มาก ขอบคุณมากครับ ส่วนความเห็น 43 เขียนในภาพรวมๆ เจตนาแท้จริง คือ จะบอกว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเล่าเรื่อง สรรพวิชาต่างๆ ไว้มาก สนใจไปอ่านทีท่านเล่าไว้ได้ ส่วนเรื่องสติปัฏฐาน ๔ นั้นอ้างที่หลวงพ่อจรัญท่านเคยเล่าไว้ จึงไม่ได้อธิบายการทำกรรมฐานตามสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปล. ถ้ามีเรื่องอื่นใด สมควรแก้ไขอีก ติติงได้เลยนะครับ ตอนนี้เขียนกระทู้ต่อไม่ถูกเลย -_-" เป็นกระทู้ที่เขียนยากมากๆ T T แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 15:23:00 จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 15:15:49

ความคิดเห็นที่ 46 ดีอ่ะ  ชอบความเห็นที่ 44-45   ช่วยกันบอก-ช่วยกันเล่า-ช่วยกันเตือน   คุณ จขกท ก็มีใจกุศลกว้างขวาง   วางทิฐิ (ไม่ว่าตนถูกอย่างเดียว  ห้ามโต้แย้ง) อิอิ    ........รออ่านต่ออย่างเพลิดเพลิน  เห็นด้วยบ้าง-โต้แย้งบ้าง-ถกประเด็นบ้าง   มีสีสันดี   : ) จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 16:02:44

ความคิดเห็นที่ 47 หลังจากตกน้ำ (ท่วม) ไปรอบนึง ก็พอจะขึ้นมาจากน้ำได้บ้างอะไรบ้าง เล่าต่อละกันนะ ><" (จะพยายามไม่แตะในส่วนกรรมฐานนะ อั๊ยยย่ะ) เพราะ จขกท. โง่มากที่สุดในเรื่องนี้ มาฟังนิทานกันต่อนะ T T ขอข้ามช๊อตไป ต่อตอนท้ายเลยว่า ต่อมาลูกศิษย์ท่าน ก็เรียนกรรมฐานตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อันเป็นจุดมุ่งหมายของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่หลวงปู่เทพท่านสอนฤทธิ์ก่อนนี้ มีในหนังสือนะ และมีครูบาอาจารย์ท่านพูดไว้เช่นนั้น เรื่องก็มีว่า ทีนี้ก็มีคนปรารถนาจะพบท่าน อยากเจอท่านบ้างจะทำอย่างไร ก็เป็นไปตามที่หลวงพี่เล็กท่านว่าไว้ในความเห็นด้านบน ในหนังสือต่างๆ ก็มักจะเล่าถึงการปรากฏตัวของท่านในรูปแบบต่างๆ มีเรื่องหนึ่งเล่าว่า ท่านช่วยเรื่องการซื้อบ้าน จึงตั้งชื่อว่า "บ้านโลกอุดร" จขกท. ก็มีมาเล่า ตามที่ฟังมาจากครูบาอาจารย์เรื่องนึง นำมาแต่งแข่งกับหนังสือที่เขาวางขายบ้าง ดังนี้ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 16:16:00

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ : Radiant, Archangel  มีประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก ขออนุโมทนาที่มาโพสเป็นวิทยาทานครับเรื่องฤทธ์เรื่องอำนาจ ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและไม่ได้อยู่นอกพุทธศาสนาแต่อย่างไร อัครสาวก แปลว่า สาวกผู้เลิศ, สาวกผู้ยอดเยี่ยม หมายถึง พระสารีบุตร (เป็นอัครสาวกเบื้องขวา) และพระมหาโมคคัลลานะ (เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย) อีกนัยหนึ่ง คำว่า "อัคร" มีความหมายถึง "ตุลา" แปลว่า ตราชู, ประมาณ, เกณฑ์วัด, มาตรฐาน, ตัวแบบ, แบบอย่าง สาวกหรือสาวิกา ที่พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่าเป็นตราชู หรือเป็นแบบอย่างในพุทธบริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาทั้งหลาย ควรใฝ่ปรารถนาจะดำเนินตาม หรือจะเป็นให้ได้ให้เหมือน คือ      ๑. ตุลา สำหรับภิกษุสาวกทั้งหลาย ได้แก่ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ      ๒. ตุลา สำหรับภิกษุณีสาวิกาทั้งหลาย ได้แก่ พระเขมา และพระอุบลวรรณา      ๓. ตุลา สำหรับอุบาสกสาวกทั้งหลาย ได้แก่ จิตตคฤหบดี และหัตถกะอาฬวกะ      ๔. ตุลา สำหรับอุบาสิกาสาวิกาทั้งหลาย ได้แก่ ขุชชุตตราอุปาสิกา และเวฬุกัณฏกี นันทมารดา พระสาวกและพระสาวิกา ที่พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่าเป็น “ตุลา” นี้ ในที่ทั่วไปมักเรียกกันว่า พระอัครสาวกและพระอัครสาวิกา เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าเองไม่ทรงใช้คำเรียกว่า “อัครสาวก” เป็นต้นนั้น โดยตรง แม้ว่าคำว่า “อัครสาวก” นั้นจะสืบเนื่องมาจากพระดำรัสครั้งแรกที่ตรัสถึงพระเถระทั้งสองท่านนั้น คือ เมื่อพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ออกจากสำนักของสัญชัยปริพาชกแล้ว นำปริพาชก ๒๕๐ คน มาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเวฬุวัน ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นทั้งสองท่านนั้นกำลังเข้ามาแต่ไกล ก็ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า (วินย.๔/๗๑/๗๗) “ภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนที่มานั่น คือ โกลิตะ และอุปติสสะ จักเป็นคู่สาวกของเรา เป็นคู่ที่ดีเลิศ ยอดเยี่ยม (สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุคํ)”, คำเรียกท่านผู้เป็น ตุลา ว่าเป็น “อัคร” ในพระไตรปิฎก ครบทั้ง ๔ คู่ มีแต่ในพุทธวงส์ โดยเฉพาะโคตมพุทธวงส์ (ขุ.พุทธ.๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กล่าวคือ      ๑. อัครสาวก ได้แก่ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ      ๒. อัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมา และพระอุบลวรรณา      ๓. อัครอุปัฏฺฐากอุบาสก ได้แก่ จิตตะ (คือ จิตตคฤหบดี) และหัตถาฬวกะ (คือ หัตถกะอาฬวกะ)      ๔. อัครอุปัฏฺฐิกาอุบาสิกา ได้แก่ (เวฬุกัณฏกี) นันทมารดา และอุตตรา (คือขุชชุตตรา) พระสาวกสาวิกาที่เป็น “อัคร” นั้นแทบทุกท่านเป็นเอตทัคคะในด้านใดด้านหนึ่งด้วย คือ พระสารีบุตร เป็นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก, พระมหาโมคคัลลานะ เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ อนุโมทนาครับ จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 16:21:08

ความคิดเห็นที่ 49 รอจบตอนแล้วค่อยแทรก แย้ง ดีไหมคะ เห็นกิฟที่หัวกระทู้เยอะเลย แสดงว่าคนตามอ่านกันเยอะ แต่ก็คงพยายามอดใจ ยังไม่ออกคคห นอกจากทักทายกันบ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่อย่างนั้น พอเริ่ม discuss กัน  ตามธรรมชาติห้องศาสนา มีผู้มีปัญญามาก ไม่มีความเห็นสั้นๆกันหรอก เดี๊ยวจะไม่ได้อ่านธรรมนิยายสนุกๆกัน ขอท้วงนิดหน่อย เห็นด้วยหรือไม่ แล้วแต่พิจารณา หวังแต่ว่าคงไม่โกรธเคืองกันนะคะ ปล. ที่เขียนเนี่ย เพราะอ่านบางคคห แล้ว อยากจะแย้งเป็นที่สุด แต่ก็อดทนดูความอยากไป คิดว่า คงมีคนอยากอยู่บ้างเหมือนกันละน๊า..แต่คงทนอยู่เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 17:03:34 จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 17:00:24

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นด้วยกับน้องต๋าว ธรรมนิยายสนุกๆ อยากเพิ่ง discuss เลยนะ จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 06:58:52

ความคิดเห็นที่ 51 หลังจากชาวบ้านฮือกันรื้อบิ๊กแบ๊กบ้างอะไรบ้าง จขกท. ก็มาเล่านิยายธรรมะต่อละ (เกี่ยวกันปะหละ) หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านปรากฏตัวได้หลายรูปแบบ ในหนังสือบางเล่มเคยมีภาพมาลง เป็นภาพคนอินเดียแก่ๆ แล้วอ้างว่าคนถ่าย ยืนยันว่านี่คือภาพหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ถ่ายแล้ว ท่านแปลงร่างจาก "พระ" เป็น "แขก เครายาว โพกหัว" (เอิ่ม ก็ไม่รู้ว่าจริง ไม่จริงเหมือนกันนะ) ภาพที่น่าเชื่อถือและยืนยันจากลูกศิษย์หลวงปู่ คือ ภาพถ่ายโดยหลวงปู่วัย จัตตาลโย ในความเห็นที่ 14 ในหนังสือเล่มหนึ่งของโลกทิพย์บอกว่า ต่อมามีวัดนึง อ้างว่านั่นเป็นภาพพระเถระ ในวัดของตนที่มรณภาพแล้ว คณะพิสูจน์จึงเดินทางไปหาหลวงปู่วัยเพื่อขอดูฟิล์ม แต่หลวงปู่วัยมรณภาพไปเสียก่อน จึงไม่สามารถดูฟิล์มได้ ส่วนจขกท. เชื่อหลวงปู่วัยอย่างแน่นอน เพราะ ครูบาอาจารย์ท่านอื่นก็ยืนยันในรูปลักษณะท่านคล้ายแบบนั้น นอกจากนี้ก็มีพี่ตัวละครลับ แอบบอกกับจขกท. ว่าหลวงปู่วัยท่านได้ยืนยัน ถ่ายด้วยตนเองจริง จขกท. ขอขอบคุณพี่ตัวละครลับมากมาย : ) หลวงปู่วัยท่านเล่าเรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรไว้มาก จขกท. อ่านมาแล้วรีบท่องใหญ่เลย >< เช่น คนที่อยากพบหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจะต้องมานมัสการ พระพุทธบาท จ.สระบุรี ทุกครั้งในวันวิสาขบูชา จขกท. ท่องไว้นาน มีปีนึงว่าจะไป ในวันวิสาขบูชาบ้าง แต่ไกลจัง เลยยังไม่ได้ไปสักที (จะบอกทำมะเขือไร งงตัวเอง) แต่ในหนังสืออีกเล่มนึงก็มีเล่าว่า มีคนเคยพบท่านในงาน วันวิสาขบูชา จ.สระบุรีด้วย ประมาณว่า พอเข้าไป เจอพระรูปหนึ่งท่านนั่งอยู่ ลักษณะคล้ายในรูป จึงเดินตามท่านไป แต่อยู่ๆ ท่านเดินไปทางป่าแล้วหายวับไปเลย (อ้าว งี้ก็อดเลยหนะสิ) มีอีกเรื่องนึงไม่ซ้ำที่ไหน เพราะไม่ได้ลอกใคร แต่ฟังมาจากพระ แล้วจขกท. ก็มาแต่งเติมเสริมต่อเองจ๊ะ หากบังเอิญ หากมีบางส่วนของนิทานจะคล้ายกับแหล่งอื่นบ้าง จขกท. ก็คงติ๊งต่างเอาเองว่า เป็นเรื่องจริงมั้งก็เลยเล่าเหมือนกัน เรื่องมีว่า... จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 09:24:46

ความคิดเห็นที่ 52 " สมัยก่อนบวช ตอนจะใส่บาตร ตอนเช้าก็มายืนรอเตรียมใส่ มีอยู่วันนึง เราก็เห็นเณรเดินมา เราก็มองแล้วรู้สึกว่า เณรองค์นี้น่าเลื่อมใสเหลือเกิน พริบตาเดียวเณรหายไปเลย แต่กลายเป็นมีพระอาวุโส เดินมารับบาตรข้างหน้าเรา เราก็เตรียมของถวายใส่บาตรไว้เยอะ เห็บบารตรท่านเล็กนิดเดียว ก็กลัวว่าจะใส่ไม่หมด ใส่ไปๆ ปรากฏว่าใส่ได้หมดเลย บาตรก็เล็กนิดเดียวเอง พอท่านรับบาตรเสร็จ ท่านก็เดินไป เราก็มองตามจะดูว่าท่านเดินไปทางไหน พอคลาดสายตาไปนิดเดียวเท่านั้น ท่านหายไปเลย หายไปทางไหนไม่รู้ ! เราก็เลยรอในวันต่อมาว่าจะถ้าเจอท่านจะใส่บาตรท่านอีก ปรากฏว่าเจอจริงๆ คราวนี้เป็นพระอาวุโสมาเลย องค์เดิม เราก็มองเท้าท่าน เท้าท่านโตกว่าคนปกติมาก เราก็ว่าแปลกดี เพราะตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้จักหลวงปู่เทพโลกอุดร พอท่านมาถึงก็ใส่บาตรท่าน คราวนี้คิดว่าจะมองจนสุดสายตา ดูว่าท่านจะไปวัดทางไหน ปรากฏว่า ท่านเดินไปนิดเดียว แว๊บเดียวหายไปเลต่อหน้า ต่อมาก็จึงรู้ว่า ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่เอง ท่านมาโปรด มีคราวนึงท่านมาจับมือ จะพาไปสอนวิชาเลย แต่ตอนนั้น เราเจอหลวงพ่อ .... แล้ว เราเลยไม่ได้ตามไปกับท่าน ถ้าตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ .... ก่อน เราคงตามท่านไปแล้ว " จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 09:54:54

ความคิดเห็นที่ 53 " เคยได้ยินคนเล่ามาเหมือนกัน เรื่องคนอยากใส่บาตรท่านมีเยอะ อยากใส่บาตรท่านไหมหละ ? ก็มีคุณป้าคนนึงแกอธิษฐานอยากใส่บาตรกับท่าน มีอยู่วันนึงไม่ได้เตรียมตัวเลย วันนั้นเตรียมของใส่บาตรไม่ค่อยดี บังเอิญจริงๆ มีพระรูปหนึ่งท่านเดินมาบิณฑบาตร คุณป้าแกใส่บาตรแถบนี้ประจำ จำพระได้หมด รู้จักหมด แต่พระที่มาวันนี้ไม่คุ้นหน้าเลย ก็แปลกใจ มองท่านอยู่แต่ไกล องค์ท่านใหญ่ น่าเลื่อมใสมาก ยังดูหนุ่มอยู่เลย (คล้ายกับในรูปคห.14) พอท่านเดินมาใกล้ ก็เห็นว่าเท้าท่านโตมากกว่าปกติ พระท่านมาถึงข้างหน้า ท่านก็เปิดบาตรเลย คุณป้าแกคิดว่าวันนี้ของใส่บาตรไม่ค่อยดี เลยลังเลใจไม่ค่อยอยากใส่ พระท่าน รอพักนึงเห็นคุณป้าไม่ใส่ ท่านก็ปิดบาตร แล้วท่านเดินไป เดินไปนิดเดียว แล้วก็หายวับไปเลยเหมือนกัน บางทีก็เป็นบุญวาสนาของคนนะ พระท่านมาโปรดถึงที่ แต่ก็ไม่ได้ทำบุญกับท่าน บางครั้งท่านเข้านิโรธมาเต็มกำลังเลย เป็นเพราะวาสนาไม่ถึง ก็เลยดลใจไม่ให้ทำบุญกับท่านก็มี " จขกท. ก็พลอยนึกถึงตำนาน หรือเรื่องราวของการทำบุญ กับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติไปด้วย เรื่องพระอุปคุตเองก็มีที่มาคล้ายๆ กัน ก็คือ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:14:33

ความคิดเห็นที่ 54 เล่าๆๆๆๆๆ  ต่อเรยครับ จากคุณ : ramai เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:18:12

ความคิดเห็นที่ 55 ในพระไตรปิฎกบอกว่า หากทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ จะต้องได้รับผลภายใน ๗ วัน ได้ผลอานิสงส์มหาศาล ตามพระไตรปิฎกเอง จึงมีเรื่องเทวดามาแย่งใส่บาตรกับพระมหากัสสป ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ เทวดาก็ปลอมตัวเป็นตา กับยายในกระท่อม ในเรื่องของพระอุปคุต (บางตำราเรียกพระบัวเข็ม) ท่านจำพรรษากลางสะดือทะเล พอท่านขึ้นมาจากน้ำทีหนึ่ง คือ ท่านออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ท่านเหาะมาจากน้ำ (รูปหล่อบูชาท่านบางแห่งจึงเห็นเป็นท่านมีใบบัวปิดที่ศีรษะ) เล่ากันว่าคนในภาคเหนือ มีคราวนึงตอนเที่ยงคืนในวันที่ ๑๕ ค่ำตรงกับวันพุธ เรียกว่า "วันเป็งปุ๊ด" มีคนใส่บาตรพระเวลานั้นแล้วต่อมากลายเป็นมหาเศรษฐี เชื่อกันว่าพระอุปคุตท่านมาโปรด ขึ้นมาจากน้ำด้วยนิโรธสมาบัติเต็มกำลัง กลายเป็นประเพณีตักบาตรในวันเป๊งปุ๊ดสืบทอดกันมาโดยเฉพาะในภาคเหนือ บางแห่งก็ทำรูปท่านจกบาตรแหงนมอง ว่ากันว่าในสมัยหนึ่งนั้น ท่านรับหน้าที่คอยขัดขวางพญามาร แต่พญามารนี้เคยถูกท่านปราบมาแล้ว เป็นคู่ปรับกันมาในหลายๆ ชาติ เป็นที่มาของตำนานเสกหมาเน่าแขวนคอ กำราบพญามาร 555+ เพราะเหตุที่ท่านต้องคอยสอดส่องพญามาร ตอนท่านจกบาตรฉัน ก็ต้องแหงนมองท้องฟ้าว่าพญามารมาหรือยังนั่นเอง - - และถือกันว่าท่าน คือ ๑ ใน ๓ พระอรหันต์ที่มีลาภมากด้วย พระอรหันต์ที่มีลาภมาก ได้แก่ พระสีวลี พระมหากัจจยนะ และพระอุปคุต จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:34:41

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็เชื่อกันว่า หากท่านมาโปรดและรับบาตรใคร คือ ท่านออกจากนิโรธสมาบัติมาเช่นเดียวกัน ซึ่งในหนังสือต่างๆ ก็มีเขียนไว้เหมือนกันนะ ว่ามีคนใส่บาตรท่านแล้วต่อมาร่ำรวยเป็นเศรษฐี จขกท. มีพักนึงก็เลยบ้าอยากใส่บาตร กับหลวงปู่เทพโลกอุดรกะเค้าบ้าง ในช่วงนั้น เวลาใส่บาตรพระองค์ไหน จะคอยมองเท้าท่านก่อนตลอดเลย ดูว่าเท้าท่านโตไหม เผื่อจะมีวาสนากะเค้าบ้าง -.-" พอตอนนับถือศรัทธาท่านมากเข้า ก็เลยอยากรู้ว่าจะบูชาท่านอย่างไร จะมีโอกาสได้เจอท่านได้ไหม ไปถ้ำวัวแดง หรือสถานที่ท่านเคยปรากฏตัว จะมีโอกาสวาสนาได้พบไหม จขกท. เลยไปหาคำตอบ นอกจากคำตอบในหนังสือที่เขียนเล่ากันแล้ว จขกท. ก็ได้นิทานแหวกแนวมาเรื่องนึง และแน่นอนว่าบางส่วนของนิทาน ก็อาจมีสอดคล้องกับหนังสือบ้างนะจ๊ะ (อีกแล้ว) 555+ จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:44:56

ความคิดเห็นที่ 57 ขอแทรกเรื่องหลวงปู่วัยนิดหนึ่ง  ก่อนหลวงปู่วัยบวชท่านเป็นลูกผู้ดี  พอบวชแล้วได้ไปเรียนวิชากับหลวงปู่เทพโลกอุดร  ท่านจึงมีโอกาสถ่ายรูปหลวงปู่  สมัยนั้นท่านเล่าว่าต้องใช้กล้องไม้ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศเยอรมันนี  พอถ่ายเสร็จก็ต้องส่งฟิล์ม (น่าจะเป็นฟิล์มกระจก) ไปล้างยังต่างประเทศ  ดังนั้นรูปถ่ายขาว-ดำของหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นเป็นของจริง  เพราะหลวงปู่วัยท่านยืนยันเองว่าท่านเป็นผู้ถ่ายกับมือ ส่วนรูปนั้นจะไปเหมือนกับรูปพระใบฎีกาองค์หนึ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่แปลกมหัศจรรย์เหมือนกัน  ผมก็ไม่รู้ว่ามีเหตุผลกลใดจึงได้เป็นเช่นนั้น (อาจมีเรื่องที่เรายังคาดเดาไม่ได้) สำหรับหลวงปู่วัยนั้นท่านก็มีดีของท่านสมกับที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร  เพราะมีวันหนึ่ง ลูกศิษยืที่อยู่ใกล้ชิดท่านบ่นว่าอยากทานอาหารอินเดียเพราะไม่เคยทานเลย  วันรุ่งขึ้นหลวงปู่วัยท่านกลับมาจากบิณฑบาตร  ลูกศิษย์ถามท่านว่าไปที่ไหนมาเพราะกลับมาเร็วกว่าทุกวัน  ท่านบอกว่าไปบิณฑบาตรที่อินเดียมา  ลูกศิษย์ไม่มีใครเชื่อ  ท่านเลยหยิบเอาอาหารอย่างหนึ่งส่งให้ลูกศิษย์เอาไปแบ่งกันกิน  ปรากฏว่าอาหารนั้นแปลกตามากไม่เหมือนอาหารไทยเลยเพราะมันมีลักษณะเป็นแผ่นแป้ง  รสชาติก็แปลกไปไม่เคยมีใครได้กินมาก่อน  ภายหลังจึงได้ทราบว่าอาหารนั้นเป็นของอินเดียที่เรียกกันว่า "มะตะบะ" นั่นเอง พวกลูกศิษย์จึงเชื่อว่าท่านไปอินเดียมาจริง  โดยท่านเหาะไปนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 13:07:06 จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:57:09

ความคิดเห็นที่ 58 ได้รับคำแนะนำว่า การบูชาที่ท่านโปรดมากที่สุด ก็คือ การบูชาด้วยการปฏิบัติ ยิ่งเป็นพระโสดาบันขึ้นไปได้ท่านยิ่งโปรด การบูชาด้วยอามิส ท่านโปรดดอกมะลิ แต่เป็นดอกมะลิโรยใส่พาน นะ แล้วตั้งถวายท่านทั้งพานได้เลย ตำรานี้ก็คงตรงกัน เพราะเห็นหลายๆ ที่ หรือในหนังสือบางเล่ม ก็มีการบูชาแบบนี้จริงๆ เรื่องการถวายอามิส ด้วยผ้าไตรจีวร ในวันออกพรรษา ก็มีเหมือนกันนะ เจอมากับตัว เรื่องนี้บังเอิญสุดๆ ไปเลย คราวนึงเพื่อนจขกท. ไปบวช ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แถวชลบุรี คราวนั้นก็เลยไปหาร้านสังฆภัณฑ์ ไปๆ มาๆ ไปลงตัว กับร้านตัดผ้าไตรแถวหน้าวัดอโศการามได้ไงไม่รู้ งงมาก พอแวะไปทำบุญในวัดเสร็จ ก็มาที่ร้านสังฆภัณฑ์รับตัดผ้าไตร เครื่องบวช ที่บริเวณหน้าวัดอโศการาม ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังหาประวัติหลวงปู่อ่านพอดี เข้าไปที่ร้านสั่งของอะไรเสร็จ รอร้านจัด อยู่ๆ ก็มีคุณน้าคนนึงเข้ามา มาขอรับผ้าไตรที่สังตัดไว้ จขกท. มองผ้าไตรก็พบว่า ... จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:00:34

ความคิดเห็นที่ 59 ขออนุญาตลบ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 16:58:47 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 14:11:19 จากคุณ : gho เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:14:07

ความคิดเห็นที่ 60 โมทนาสาธุ ความเห็นที่ 57 _/\_ ส่วนจขกท. เกิดช้าไป ไม่มีทันครูบาอาจารหลายรูปมากๆ เลย me // ซับน้ำตา เล่าต่อ ... พบว่าผ้าไตรที่เขาสั่งตัด ผืนใหญ่มากกกก จขกท. ตอนนั้นยังคงเป็นเจ้าหนูจัมมัยนั่นแหละ สงสัยมาก เลยถามคุณน้าไปว่า ทำไมผ้าไตรผืนใหญ่จังครับ คุณน้าบอกว่า สั่งตัดขนาดเท่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านองค์ใหญ่ ถ้าจขกท. จำไม่ผิดขนาดสั่งตัดประมาณ 2.5 - 2.8 เมตรมั้ง และยังบอกต่อไปว่า เอาไปถวายท่านช่วงวันออกพรรษาทุกปี เอาไปถวายที่ไหนครับ ? เอาไปถวายตรงถ้ำวัวแดงจ๊ะ ใส่พานไว้ แล้ววันต่อมาก็มาเก็บพาน ผ้าไตรไม่อยู่แล้ว o_O ถวายมาหลายปีละ จขกท. กับเพื่อนที่จะบวชเลยร่วมทำบุญถวายผ้าไตรหลวงปู่ไปด้วย แล้วขอเบอร์โทรคุณน้าไว้ บอกว่าจะร่วมถวายทุกปีด้วย ว่าละ ก็นึกได้ ลืมไปเลยเนี่ย เด็วกลับไปค้นเบอร์โทสับก่อน จำได้ว่าคุณน้ายังบอกเลยว่า ปกติไปถวาย เหมารถตู้กันไปทุกปี ถ้าปีไหนหนูอยากไปด้วย ก็โทรมาบอกนะ ! แล้วต่อมา จขกท. ก็พบว่า ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ อาคารเหนือ ที่ห้องพระชั้น ๑๕ มีผ้าไตรจีวรหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่วัย มอบไว้ให้แก่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ทำไมอะไรๆ ดูบังเอิญประจวบเหมาะดีแท้ ! จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:26:41

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรยังมีที่น่าสนใจอีกมากมาย หลายส่วนยังมีข้อถกเถียง ขัดแย้งกันบ้างอะไรบ้าง ซึ่งต้องสอบถาม สอบทานจากครูบาอาจารย์ผู้รู้จริง ในส่วนที่ยังไม่ได้เล่าค้างคาอยู่นั้น จขกท. ก็อยากเล่าต่อนะ แต่เพื่อนที่ภาวนาดีๆ บอกว่า ปล่อยไว้ให้คนมีวาสนาได้พบท่านและได้รู้เองดีกว่า ดังนั้น จขกท. จึงขออภัยอย่างยิ่งที่ต้องตัดจบปิดประทู้เอาดื้อๆ เลย T T เชื่อว่าหากมีบุพกรรม มีบุญวาสนาที่เกี่ยวเนื่อง ผู้อ่านจะมีโอกาสได้พบท่านแน่นอน ไม่ว่าจะกายเนื้อก็ดี หรือในนิมิตก็ดี ซึ่งก็มีพยานหลักฐาน ผู้พบเห็นท่านจริงจำนวนมาก แม้แต่ผู้อ่านในเวบหลายๆ ท่านที่ปราฏกตัวและไม่ปรากฎตัว ก็คงจะเป็นสิ่งยืนยันได้ ท้ายที่สุดต้องไม่ลืม คำสอนของท่าน ให้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน สำหรับนิยายธรรมะนี้ คงจะพอให้ผู้อ่านได้มีกำลังใจ มีแรงใจ ชุ่มชื่นใจ ในการปฏิบัติกัน จนกว่าจะเป็น ผู้ไม่ต้องศึกษากัน (อเสขบุคคล) อีกต่อไป ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมากๆ ครับ ( : จากคุณ : Radiant, Archangel เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:42:02

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณ จขกท. ครับ จากคุณ : modern alchemist เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:45:14

ความคิดเห็นที่ 63 เชื่อว่ากระทู้แรกของคุณเจ้าของกระทู้  อย่างน้อยก็คงทำให้ ผู้ที่ไม่เคยสวดมนต์ บท เมตตาใหญ่ หรือธัมมจัก หันมาสวดกันเป็นประจำมากขึ้น   เชื่อว่ากระทู้นี้ของคุณเจ้าของกระทู้ อย่างน้อยคงทำให้ หลายๆคนที่อ่าน และไม่ค่อยได้ตื่นเช้ามาใส่บาตร หันมาตื่นเช้าใส่บาตรมากขึ้น ขออนุโมทนาในกุศลของ ธรรมทาน บันเทิงนี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:51:08

ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อพูดถึงหลวงปู่เทพโลกอุดรก็น่าจะพูดถึงหลวงปู่ทองทิพย์ด้วย เพราะท่านทั้งสองนี้เชื่อกันว่าเป็นพี่น้องกันมาหลายชาติแล้ว  หลวงปู่ทองทิพย์มีนามเดิม ว่า "คำศรี รัตนโคตร" ท่านบวชได้ไม่นานก็ได้ไปเป็นลูกศิย์ของพระฤๅษีมาลัยเก้าโกฎิ  ซึ่ง อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งของภูเขาควาย ประเทศลาว เมื่อเรียนวิชาจนจบแล้ว หลวงปู่ทองทิพย์ก็อยู่ปฎิบัติที่ภูเขาควายจนผมเผ้ายาวเกือบถึงหลัง ดูเหมือนพวกฤๅษีชีไพร  ต่อมาหลวงปู่เทพโลกอุดรจึงได้มาขอให้หลวงปู่ทองทิพย์กลับเข้า มาในประเทศไทย  โดยพาท่านเหาะมาและให้หลวงปู่อยู่จำวัดที่วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตน โคตร อ.เมือง จ.หนองคาย  ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาเป็นอย่าง มาก  โดยเชื่อกันว่าที่แห่งนี้ก็คือที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ในอดีต  และ พระศรีอาริย์ก็จะมาบำเพ็ญที่นี่อีกเป็นองค์ที่ 5 ในอนาคต นอกจากนั้นหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านก็ยังไปมาระหว่างภูเขาควายและวัดป่าสีดาฯ เพื่อเยี่ยม เยียนหลวงปู่ทองทิพย์อยู่เสมอ จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:06:51

ความคิดเห็นที่ 65 อีกองค์หนึ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือหลวงตายี วัดดงตาก้อนทอง  เพราะองค์นี้ท่านกล้าพูดว่าท่านก็ คือลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร  โดยท่านสามารถที่จะแสดงการยืดเหรียญบาทได้ ดังภาพที่ถ่ายลงหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น ลูกศิษย์ของหลวงตายีมักจะปรารภว่าอยากมีโอกาสไปกราบพระศรีอาริย์เหลือเกิน  เพราะทุก คนต่างก็ปรารถนาที่จะเกิดในยุคพระศรีอาริย์ทั้งนั้น  หลวงตายีท่านทนรบเร้าไม่ไหว  ท่านจึงพา ลูกศิษย์เดินทางไปที่วัดป่าสีดาฯ  เมื่อลูกศิษย์เดินสำรวจในวัดก็พบว่าวัดแห่งนี้เป็นป่าอันสงบ เงียบ  เห็นมีเพียงพระแก่ๆ องค์หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่ได้สนใจ  หันไปถามหลวงตายีว่าไหนล่ะ พระศรีอาริย์อยู่ไหน  หลวงตายีจึงชี้ไปที่พระแก่องค์นั้นแล้วพูดว่า "ก็พวกเอ็งบอกว่าอยากไป กราบพระศรีอาริย์ไม่ใช่หรือ  ก็ท่านนั่งอยู่นั่นไง"  พวกลูกศิษย์จึงถึงบางอ้อว่าหลวงปู่ทองทิพย์ องค์นี้เองที่หลวงตายีเชื่อว่าท่านคือพระศรีอาริย์ในอนาคต จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 12:20:17

ความคิดเห็นที่ 66 หลวงตายี ท่านเป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อมหาถาวร วัดปทุมวนาราม กทม. ครับ เพราะฉะนั้น ที่มีท่านสมาชิกเขียนว่า เคยเห็นรูปหล่อของพระครูโลกอุดรในวัดปทุมวนาราม ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 18:20:50

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณครับ   ขอบคุณครับ   คุ้มค่าที่ปูเสื่อ  กอดเข่า  นั่งเฝ้ารอดู จากคุณ : pathomlak11 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 22:05:59

ความคิดเห็นที่ 68 สาธุ... ต่อเลยครับ จากคุณ : ^Ake^ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 09:18:31

ความคิดเห็นที่ 69 สำหรับผู้ที่ต้องการระลึกถึงหลวงปู่เทพโลกอุดร  หรือต้องการอธิษฐานเรื่องใดเรื่อง หนึ่งถึงหลวงปู่เป็นพิเศษ  ก็ขอให้ท่านจุดธูป 7 ดอก อธิษฐานแล้วปักลงบนพื้นดินกลางแจ้ง โดยขอต่อพระแม่ธรณีและพระพายให้ส่งกลิ่นธูปและควันธูปนี้เพื่อเป็นสื่อไปถึงหลวงปู่ ด้วย  แล้วคำอธิษฐานท่านก็จะไปถึงหลวงปู่เอง แต่คุณก็ต้องมั่นใจตนเองพอสมควรว่า คุณเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมอย่างแน่นแฟ้นแล้ว  เพราะ หลวงปู่ท่านจะมาโปรดก็แต่ผู้ที่สมควรจะโปรดเท่านั้น  เมื่อหลวงปู่มาพบท่านทางนิมิตท่านจะ มาในรูปของพระแก่บ้างหนุ่มบ้าง  บางครั้งท่านก็จะบอกคุณเองว่า "เราคือหลวงปู่เทพโลกอุดร" เพื่อให้คุณทราบ  และเป็นการสร้างศรัทธาให้คุณนั่นเอง แต่ถ้าท่านมาพบด้วยกายเนื้อ  ท่านอาจมาในร่างพระหรือบางครั้งก็เป็นคนธรรมดา  คุณไม่ อาจทราบได้  ยกเว้นท่านจะแปลงร่างมาเหมือนในรูปเท่านั้นคุณจึงจะทราบว่าเป็นหลวงปู่ ดังนั้นบางคนได้ใส่บาตรท่านแล้ว ก็ยังไม่ทราบเลยว่าเป็นองค์หลวงปู่  บางคนได้มีโอกาส รับใช้บีบนวดท่าน  ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหลวงปู่  ต่อเมื่อท่านกลับไปแล้วครูบาอาจารย์จึงมาบอก ว่าพระองค์นั้นก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง เร่งทำดีไปเถอะครับ  คนที่ต้องการพบท่านก็จะได้พบเอง  ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 12:28:50 จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 12:25:56

ความคิดเห็นที่ 70 เข้ามาลงชื่ออีกเช่นกันครับ ^ ^ จากคุณ : Pee Kay เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 15:01:28

ความคิดเห็นที่ 71 เข้าเรื่องพระครูโลกอุดรอีกสักนิด ผมไม่แน่ใจว่า ในภาค ๑ (ผมไม่ได้อ่าน) ได้พูดไปถึงลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ ของท่านพระครูฯ หรือยังนะครับ อย่างเช่น ปู่โทน หลำแพร(บ้านตาคลี ที่ปู่ท่านบอกว่า อาจารย์ของท่านจะมารับผ้าไตรที่ปู่ถวายให้ท่านทุกปี) , ปู่พันเอก ชม สุคันธรัตน์ ที่เปิดเผยตัวว่า เป็นศิษย์นอกดง ของพระครูโลกอุดร (ศิษย์นอกดง ตามที่วงการเขาว่ามาก็คือ เรียนจากพระครูโลกอุดรแล้ว ก็ออกมาอยู่ในเมือง ) บางแหล่งก็ว่า พระอาจารย์ของหลวงพ่อคูณท่านหนึ่ง ก็เป็นลูกศิษย์ในดงของพระครูโลกอุดร จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 15:20:58

ความคิดเห็นที่ 72 สำหรับท่านที่ต้องการพบหลวงปู่เทพโลกอุดร  โดยพยายามเดินทางไปตามหาท่านในที่ต่างๆ นั้น  ท่านบอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น  ทั้งยังอาจเกิดอันตรายกับตัวผู้นั้นเองอีกด้วย โดยถ้ำวัวแดงที่เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของหลวงปู่นั้น  ก็ยังไม่อาจเจาะจงลงไปได้ว่าอยู่ในที่ใด กันแน่   เพราะในความเป็นจริงนั้นน่าจะสามารถเข้าได้ในหลายทาง  สถานที่แห่งนั้นน่าจะเป็นดินแดน พิเศษคล้ายๆ กับเมืองลับแล  คือทางเข้านั้นถ้าผู้มีบุญก็เห็นแต่ผู้ไม่มีบุญพอก็จะถูกบดบังไว้ จากผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้านั่นเอง ถ้ำวัวแดงแห่งแรกที่คนเข้าใจกันก็คือถ้ำวัวแดง ที่อำเภอหนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ  หลายๆ ท่าน ก็มีโอกาสได้พบกับหลวงปู่ในถ้ำแห่งนี้  ถ้ำนี้ก็อยู่ในป่าเขาเป็นที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติ ถ้าใครมีโอกาสไปก็จะชื่นชอบในบรรยากาศของป่าเขาและความเงียบสงบ  ภายในถ้ำจะมีจีวร ของหลวงปู่ที่มีคนนำมาถวายท่านผืนใหญ่มาก  ทั้งยังมีเกศาของท่านให้คนกราบไหว้บูชาอีก ด้วย ถ้ำที่สองนั้นถ้าจำไม่ผิดจะเป็นถ้ำที่อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช  ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำอาถรรพ์ที่ หลวงตาอ๋อยย่ามแดง ได้เข้าไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจนสามารถเรียนจบได้ภายในระ ยะเวลาไม่กี่วัน  หลังจากนั้นหลวงตาอ๋อยท่านก็ได้นำวิชาแพทย์นี้ออกมาช่วยเหลือผู้คนเป็น อัศจรรย์  ทั้งการให้ยาทานและการผ่าตัดโดยไม่เสียเลือดซักหยดเดียว  ลองถามคนในแถบ จังหวัดสมุทรสงครามดูได้  เพราะหลวงตาอ๋อยท่านนี้ก็แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นไว้มากมาย ส่วนถ้ำวัวแดงที่น่าจะเป็นถ้ำจริงนั้น  คาดว่าจะอยู่ในเขตภูเขาควายในประเทศลาว  ซึ่งดินแดน แถบนั้นยังเป็นป่าอาถรรพ์ลึกลับ  เป็นที่อยู่ของเหล่าฤๅษีชีไพร  ยากแก่คนธรรมดาจะเข้าไป ได้  ดินแดนแถบนั้นอยู่เหนือเมืองเวียงจันท์เข้าไปใกล้เขตแดนของประเทศเวียดนาม  หาก ใครมีบุญวาสนาหลวงปู่ท่านจะพาเข้าไปเพื่อเรียนวิชากับท่านในถ้ำวัวแดงแห่งนี้  เมื่อสำเร็จ ออกมาก็มักจะเป็นพระผู้ทรงอภิญญา  หลายท่านก็ทำหน้าที่ค้ำชูรักษาพระพุทธศาสนา  โดย เฉพาะจะคอยช่วยเหลือพระที่ธุดงค์ที่กำลังอยู่ในอันตรายหรือป่วยไข้อยู่ในป่าลึก เชื่อกันว่าในยุค "ชาววิไล" ที่กำลังจะถึงนี้  หลวงปู่อาจจะออกมาโปรดพวกเราก็เป็นได้  เพราะ ในยุคชาววิไลจะเป็นยุคที่พระศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองมาก  คนจะเน้นอยู่กันอย่างพอเพียงเป็น ผู้มีศีลมีธรรม  เน้นสร้างบารมีเป็นคนดีมากกว่าเป็นผู้กอบโกยอย่างเช่นทุกวันนี้ หวังว่าพวกเราในห้องนี้จะได้อยู่ในยุคของชาววิไลกันทุกคนนะครับ จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 15:49:22

ความคิดเห็นที่ 73 ภูเขาควายตอนนี้ ไม่เหมือนภูเขาควายสมัยก่อนที่พระธุดงค์จากประเทศไทยเข้าไปบำเพ็ญเพียรแล้วนะครับ ที่เคยเห็นรูปมาเมื่อหลายปีก่อน มีทางรถวิ่งเข้าไปได้แล้ว ส่วนใหญ่ เมื่อความเจริญเข้าไปถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ สถานที่นั้นก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างเช่น ถ้ำเชียงดาว ถ้ำตับเต่า ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไป ภูเขาควายก็คงไม่ต่างกันครับ แต่ก็ไม่แน่ บางสถานที่ ที่คิดว่าธรรมดามาก ๆ อาจจะมี "มิติซ้อนมิติ" อยู่ก็ได้ ถ้ามีบุญ หรือวาระกรรมเนื่องกันมา อาจจะได้เข้าไปโดยบังเอิญ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 16:09:27

ความคิดเห็นที่ 74 ผมรู้จักกับพระองค์หนึ่ง  ท่านเพิ่งเข้าไปเรียนวิชาที่ภูเขาควายกลับมาเมื่อประมาณ 4-5 ปีมานี้ เอง  ท่านยังบอกว่าเป็นป่าทึบ  เดินทางด้วยเท้าหลายวันยังไม่เจอคนเลย  ตอนหลังไปเจอบ่อ น้ำใสแจ๋ว  เลยเข้าไปใกล้ๆ หวังจะดื่มน้ำกลับเห็นว่าที่ก้นบ่อมีทองคำลูกใหญ่ขนาดเท่าบาตรพระ ท่านเลยมีความคิดว่า  เอ...เราเข้าป่ามาตั้งนานยังไม่พบครูบาอาจารย์ที่หวังไว้เลย  อย่าให้เสีย เที่ยวในการธุดงค์ครั้งนี้เลย  ถ้าเรากลับไปมือเปล่าก็จะเสียเวลาเสียแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ สู้ลงไปงมเอาทองก้อนที่เห็นขึ้นมา  แล้วเอาไปขายเพื่อนำเงินไปทำบุญสร้างวัดสร้างพระดีกว่า ว่าแล้วก็เอาหัวจุ่มน้ำพุ่งลงไปเพื่อดำน้ำไปเอาทอง  ปรากฏว่าเกิดกระแสไฟฟ้าช็อตแปล๊บ ปล๊าบ  ตัวท่านถึงกับสลบไปเลย  นี่แหละเขาถึงว่าเข้าป่าไปในแดนอาถรรพ์เห็นอะไรเข้าอย่า ได้มีจิตคิดโลภเด็ดขาด  นี่ยังดีที่ท่านคิดว่าจะนำทองนี้ไปใช้ในพระศาสนาไม่ใช่เอาไปใช้ส่วน ตัว  ท่านเลยยังไม่ตายแต่สลบไปจนถึงเช้า ตื่นขึ้นมางงว่าเอ๊ะเราตายไปหรือยังนี่  ปรากฏว่าเห็นตัวเองนอนอยู่ริมบ่อไม่รู้ว่าขึ้นมาได้อย่างไร แต่ที่ตกใจก็คือ  เมื่อมองลงไปที่ก้นบ่อน้ำกลับไม่เห็นมีก้อนทอง  มีแต่หัวกระโหลกมนุษย์อยู่ มากมายเป็นที่น่าขนพองสยองเกล้า พอลุกขึ้นมาก็มองเห็นพระหรือฤๅษีก็ไม่รู้นั่งอยู่บนโขดหิน  ผมเผ้ายาวรุงรังครองผ้าขะมุกขมอม ดูไม่ออกว่าสีอะไร  ท่านจึงตะโกนถามไปว่า "นั่นคนหรือพระ"  ท่านนั้นตอบมาว่า "ก็เป็นพระ เหมือนคุณนั่นแหละ  คนหรือพระอย่ามาดูกันที่ภายนอก"  และพระองค์นั้นก็ถามว่าอยากได้ วิชาหรือไม่ล่ะ  ถ้าอยากเรียนวิชาก็ตามเข้ามาซิ  ท่านจึงพาท่านเลี้ยวเลาะตามป่าเขาจนเข้า ไปในถ้ำแห่งหนึ่ง  เป็นถ้ำที่กว้างใหญ่มากมีแบ่งเป็นห้องๆ (หลังจากนี้ผมขอไม่เล่าต่อนะครับ เพราะมีเรื่องที่ใครฟังแล้วอาจไม่เชื่อ  แล้วพูดดูหมิ่นจนอาจเกิดโทษตามมาได้) เมื่อท่านเรียนวิชาภายในถ้ำนั้น  ท่านเล่าว่ามันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก  ความจำในสมองของ เราทำไมมันปลอดโปร่งไปหมด  สามารถจดจำทั้งตัวอักษรและเสียงได้อย่างแม่นยำ  ไม่เหมือน กับที่เราเรียนหนังสือในกรุงเทพเลย การเลือกว่าจะเรียนวิชาอะไรมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ  เช่น เราอยากเรียนวิชาภาษาขอม  พระองค์ นั้นท่านก็จะพาไปในห้องแห่งหนึ่งที่มีกองคัมภีร์โบราณซึ่งมีกองรวมกันอยู่มากมาย  แล้วท่านก็ หยิบคัมภีร์ใบลานขึ้นมาปึกหนึ่ง  ส่งให้พระแล้วพาเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง  โดยให้อยู่เรียนเฉพาะ ในห้องนี้จนกว่าจะสำเร็จ  (วิธีเรียนผมก็จะไม่ขอเล่าอีกเหมือนกัน  เพราะมันเป็นเรื่องประหลาด มหัศจรรย์จนผมไม่กล้าเล่าในที่นี้  กลัวคนอื่นจะมาปรามาสว่าเป็นไปไม่ได้  เดี๋ยวก็จะเกิดโทษ กันไปอีก) เมื่อท่านเรียนจนจบแล้ว  ท่านอยากที่จะอยู่ในถ้ำต่อไปอีกแต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้  เพราะในถ้ำ นั้นไม่มีอาหารใดๆ  เนื่องจากพระที่จะอยู่ในถ้ำนี้ได้คงจะเป็นพระอภิญญาที่สามารถอดอาหาร ได้คราวละนานๆ หรือไม่ฉันอาหารเลยก็ไม่ทราบ  แต่ท่านองค์นี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับออกมา ก่อนที่ร่างกายจะทนไม่ไหว ทุกวันนี้ท่านจึงสามารถอ่านภาษาขอม  ภาษาธรรมโบราณของเชียงใหม่  ภาษาพม่า  เขียน ยันต์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ฯลฯ  และยังมีความรู้เรื่องแปลกๆ อีกมาก นี่เป็นเพียงเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับภูเขาควายที่ผมอยากแบ่งปันให้คนที่สนใจได้ทราบ ว่าสถานที่เรียนวิชาอันลึกลับนั้นยังอยู่  จะเป็นแดนอาถรรพ์ซ้อนภพหรือไม่ก็ไม่ทราบ  แต่ท่าน บอกว่ามันยังอยู่ในแถบป่ารกทึบชายแดนประเทศลาวและเวียดนามครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 20:12:34 จากคุณ : issarasena เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 17:36:27

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณ จขกท.มากครับ จากคุณ : ชินจัง..ชักจะชินแล้ว เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 03:54:32

ความคิดเห็นที่ 76 เรื่องราวในกระทู้นี้ดีมากๆเลยครับ แถมสนุกและความรู้อิกด้วย (แอบหวังเล็กๆว่าจะได้เจอท่าน ฮ่าๆๆ) ต้องขอขอบคุณ จขกท และผู้ที่เพิ่มเติมความคิดเห็นทุกท่านเลยนะครับ โดย เฉพาะคุณ issarasena และ คุณผ้าพับไว้ ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : กุญแจสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 54 21:09:02