ความคิดเห็นที่ 1 พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีครับ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 18:27:54

ความคิดเห็นที่ 2 กุศล ก็ ดี อกุศลก็ ไม่ดี คะ จากคุณ : am_find เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 19:03:23

ความคิดเห็นที่ 3 คุณ จันทร์สะท้อนเงาครับ ผมก็ลอง หาแบบนั้นแล้วครับ แต่ทำไมผมยังไม่ชัดก็ไม่เข้าใจครับ ท่านแปลว่า กุศล คือ บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี ซึ่งทั้งห้าคำนี้ก็ ไม่เคลียร์ หรือเปล่าครับ เราใช้อะไรตัดสินอะครับว่า ลักษณะแบบไหน เป็นบุญ เป็นความดี เป็นความฉลาด รบกวนด้วยครับ จากคุณ : เธอคือโลก เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 19:22:49

ความคิดเห็นที่ 4 คำบาลีว่า กุสล มีอรรถะ หลายอย่าง การแปล คำว่า กุสลโดยใช้คำภาษาอังกฤษว่า skillful (หรือที่แปลไทยโดยใช้คำว่า ความฉลาด) เป็นเพียงหนึ่งในอรรถะหลาย ๆ อย่างของคำว่า กุสล  ------------------------------------------------------------------------ จาก(อัฏฐสาลินี)อรรถกถา  (การพรรณนาบทตามบทมาติกา ว่า กุสลา ธมฺมา ) กุศลศัพท์ใช้ในอรรถว่า  Connotations of the term "Kusala" according to Commentary (Atthasālini), are : of ความไม่มีโรค    -      good health,  wholesome                  ความไม่มีโทษ   -      blameless,     มีสุขเป็นวิบาก    -      productive of favourable karma-result,               ความฉลาด       -      skillful. -------------------------- จริงอยู่     กุศลศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่า ความไม่มีโรค  ดังในประโยคมีอาทิว่า  กจฺจิ  นุ  โภโต  กุสลํ  กจฺจิ  โภโต อนามยํ     (ความไม่มีโรค  มีแก่ท่านผู้เจริญบ้างหรือ  ความไม่ป่วยไข้   มีแก่ท่านผู้เจริญบ้างหรือ). -------------------------- ใช้ในอรรถว่า  ความไม่มีโทษ   ดังในประโยคมีอาทิว่า   กตโม  ปน   ภนฺเต    กายสมาจาโร   กุสโล  โย  โข   มหาราช กายสมาจาโร  อนวชฺโช...  (ข้าแต่ท่านพระอานนท์  กายสมาจารที่เป็นกุศลเป็นไฉน   ดูก่อนมหาบพิตร     กายสมาจารที่ไม่มีโทษแล    ข้าแต่ท่านผู้เจริญยังมีอีกข้อหนึ่ง   ซึ่งเป็นข้อธรรมที่เยี่ยม  คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม ในธรรมทั้งหลายอันไม่มีโทษ).     -------------------------- ใช้ในอรรถว่า  ความฉลาด (skillful)  ในประโยคมีอาทิว่า  กุสโล  ตฺวํ  รถสฺส  องฺคปจฺจงฺคานํ กุสลา  นจฺจคีตสฺส  สุสิกฺขตาจตุริตฺถิโย   (ท่านเป็นผู้ฉลาดในเครื่องประกอบของรถ  และคำว่า หญิง ๔ คนศึกษาดีแล้ว  เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง).     -------------------------- ใช้ในอรรถว่า  สุขวิบาก ดังในประโยคมีอาทิว่า   กุสลานํ  ภิกฺขเว  ธมฺมานํ  สมาทานเหตุ  กุสลสฺส กมฺมสฺส   กตตฺตา   (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เพราะสมาทานธรรมทั้งหลายที่เป็น สุขวิบาก  และคำว่า   เพราะทำกรรมที่เป็นสุขวิบาก)    -------------------------- ในที่นี้ (คือมาติกาว่า กุสลา ธมฺมา)  กุศลศัพท์ควรใช้ในอรรถว่า  ไม่มีโรคบ้าง  ไม่มีโทษบ้าง  ในสุขวิบากบ้าง. -------------------------- แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 20:37:38 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 19:48:17 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 19:45:40 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 19:40:38

ความคิดเห็นที่ 5 (เพิ่มข้อมูล ไว้สำหรับศึกษาเพิ่มเติมนะครับ) วิเคราะห์ศัพท์ว่า  กุศล  และธรรม  วจนตฺโถ  ปเนตฺถ ฯ  พึงทราบความหมายของคำว่า  กุศล   เป็นต้นในที่นี้. กุจฺฉิเต  ปาปเก  ธมฺเม  สลยนฺติ  จลยนฺติ  กมฺเปนฺติ  วิทฺธํเสนฺตีติ  กุสลา ฯ สภาวะที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า  ยังปาปกธรรมอันบัณฑิตเกลียด ให้ไหว  ให้เคลื่อนไป ให้หวั่นไหว คือให้พินาศ.  กุจฺฉิเตน  วา  อากาเรน  สยนฺตีติ กุสา ฯ อีกอย่างหนึ่ง สภาวธรรมใด  ย่อมผูกพันโดยอาการที่บัณฑิตเกลียด สภาวธรรมนั้น  ชื่อว่า กุสะ  เต อกุสลสงฺขาเต  กุเส  ลุนนฺติ  ฉินฺทนฺตีติ กุสลา ฯ  ธรรมที่ชื่อว่า   กุศล  เพราะอรรถว่า  ย่อมถอนขึ้น  คือย่อมตัดกุสะ  กล่าวคืออกุศล เหล่านั้น.   กุจฺฉิตานํ วาสานโต ตนุกรณโต ญ�าณํ  กุสํ  นาม  ฯ อีกอย่างหนึ่ง ญาณ ชื่อว่า กุสะ เพราะทำอกุศลอันบัณฑิตเกลียดให้สิ้นสุด หรือเบาบาง.     เตน กุเสน วา ลาตพฺพาติ  กุสลา ฯ คเหตพฺพา ปวตฺเตตพฺพาติ อตฺโถ ฯ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า  กุศล  เพราะอรรถว่า อันญาณชื่อกุสะนั้นพึงตัด คือ พึงถือเอา พึงให้เป็นไปทั่วด้วยกุสญาณนั้น.  ยถา  วา  กุสา  อุภยภาคคตํ  หตฺถปฺปเทสํ  ลุนนฺติ  ฯ  เอวมิเมปิ  อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนภาเวน  อุภยภาคคตํ   สงฺกิเลสปกฺขํ  ลุนนฺติ  กุสลา ฯ  อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า  กุศล  เพราะอรรถว่า  ธรรมแม้เหล่านี้    ย่อมตัดส่วนสังกิเลสที่ถึงส่วน ทั้งสอง   คือ   ที่เกิดขึ้นแล้ว และยังไม่เกิด    เหมือนหญ้าคาย่อมบาดส่วนแห่งมือที่ลูบคมหญ้าทั้งสอง    ตสฺมา  กุสา  วิย  ลุนนฺติ  ฉินฺทนฺตีติปิ  กุสลา ฯ  เพราะฉะนั้น  จึงชื่อว่า  กุศล   เพราะอรรถว่า   ย่อมตัด คือ   ย่อมทำลายอกุศลเหมือนหญ้าคา  ฉะนั้น.           อตฺตโน  ปน  สภาวํ  ธาเรนฺตีติ ธมฺมา ฯ ส่วนภาวะที่ชื่อว่า  ธรรม เพราะอรรถว่า ย่อมทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน. ธริยนฺติ วา  ปจฺจเยหิ ธารยนฺติ  วา  ยถาสภาวโตติ  ธมฺมา ฯ  อีกอย่างหนึ่ง  ชื่อว่า ธรรม  เพราะอรรถว่า  อันปัจจัยทั้งหลายทรงไว้หรือว่า ย่อมทรงไว้ตามสภาวะ     น  กุสลาติ  อกุสลา  ฯ  ธรรมที่ชื่อว่า   อกุศล   เพราะอรรถว่า  ไม่ใช่กุศล. มิตฺตปฏิปกฺขา  อมิตฺตา  วิย  โลภาทิปฏิปกฺขา  อโลภาทโย  วิย  จ กุสลปฏิปกฺขาติ อตฺโถ ฯ อธิบายว่า     ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกุศล     เหมือนอมิตรเป็นปฏิปักษ์ต่อมิตร อโลภะเป็นต้นเป็นปฏิปักษ์ต่อโลภะเป็นต้น.  ----------------------------------------------- (จาก อรรถสาลินีอรรถกถา  การพรรณนาบทตามบทมาติกา  มีคำว่า ในมาติกาว่า กุสลา ธมฺมา) แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 20:26:24 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 19:49:59 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 19:49:04

ความคิดเห็นที่ 6 หากว่า คุณ : เธอคือโลก จขกท. ยังสงสัยอยู่ ก็ขอให้ลองนำ ข้อความในพระสูตร หรือบอกชื่อ เล่ม ข้อของ พระสูตรนั้นมาด้วยก็ได้นะครับ จะได้นำภาษาบาลี และคำแปลไทย พร้อมทั้งอรรถกถามาแสดงเทียบให้ดู เพื่อทำความเข้าใจในอรรถะของบทนั้นๆได้ครับ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 19:55:19

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณมากครับ คุณชาวมหาวิหาร จริง ๆ ผมแค่อยากทำความเข้าใจ ธรรมะ ให้ถูกตรงอะครับ ที่ผ่านมา ผมศึกษาธรรมะ แบบบ่นเพ้อ มาเสียมาก ใช้คำโดยไม่รู้ความหมาย ก็เลยเข้าใจพระธรรมคลาดเคลื่อนจากความหมายเดิม ในช่วงแรก ๆ ของการศึกษา ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แค่รู้สึกว่า ทุกข์น้อยลง ทุกข์สั้นลงก็โอเคแล้ว แต่พอมาถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่า มันตัน ๆ ไปต่อไม่ถูก ก็เลย อยากจะศึกษาอย่างจริงจังมากขึ้นครับ ช่วงนี้มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ ก็เลยรู้ว่า คำแต่ละคำมีความหมายแค่ไหน ถ้าเราเกิดแปลผิด เพราะเราเข้าใจผิดมา ก็เป็นการทำให้พระธรรมคลาดเคลื่อนไป ขอบคุณที่ช่วยส่งเสริมในหนทางครับ จากคุณ : เธอคือโลก เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 20:28:25

ความคิดเห็นที่ 8 อนุโมทนาสาธุครับ คุณ เธอคือโลก การหมั่นสอบสวนค้นคว้าในอรรถะต่างๆนี้  ชื่อว่าเป็นการสร้างเหตุ แห่งการได้เฉพาะซึ่งปฏิสัมภิทา (ปัญญาเป็นเครื่องแตกฉาน) ต่อไปในภายภาคหน้า -------------------------------------------------------------- ปฏิสัมภิทาย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ เป็นไฉน?                 ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ด้วยอธิคม, ด้วยปริยัติ, ด้วยสวนะ, ด้วยปริปุจฉา, ด้วยปุพพโยคะ.                 ในเหตุ ๕ ประการเหล่านั้น การบรรลุพระอรหัต ชื่อว่าอธิคม. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บรรลุพระอรหัต ย่อมผ่องใส.                 พระพุทธพจน์ ชื่อว่าปริยัติ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้เรียนพระพุทธพจน์นั้น ย่อมผ่องใส.                  การฟังพระสัทธรรม ชื่อว่าสวนะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้สนใจเรียนธรรมโดยเคารพ ย่อมผ่องใส.                 กถาเป็นเครื่องวินิจฉัย คัณฐีบทและอรรถบท ในพระบาลีและอรรถกถาเป็นต้น ชื่อว่าปริปุจฉา. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้ที่สอบสวนอรรถในพระพุทธพจน์ทั้งหลายมีพระบาลีเป็นต้นที่ตนเรียนแล้ว ย่อมผ่องใส.                 การบำเพ็ญเพียรในวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนืองๆ จนกระทั่งถึงสังขารุเปกขาญาณอันเป็นที่ใกล้อนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เพราะความที่การบำเพ็ญวิปัสสนานั้น อันพระโยคาวจรเคยปฏิบัติแล้วปฏิบัติเล่ามาในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ชื่อว่าปุพพโยคะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วในปางก่อน ย่อมผ่องใส.                 ปฏิสัมภิทาย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.                 ก็ในบรรดาเหตุทั้ง ๕ เหล่านี้ เหตุ ๓ เหล่านี้ คือ ปริยัติ, สวนะ, ปริปุจฉา เป็นเหตุมีกำลังเพื่อความแตกฉานแล. ปุพพโยคะเป็นปัจจัยมีกำลังเพื่อการบรรลุพระอรหัต................. ---------------------------------- ยังมีอาจารย์พวกอื่นอีก ได้กล่าวไว้ว่า                                     ปุพพโยคะ ๑, พาหุสัจจะ ๑, เทศภาษา ๑,                           อาคม ๑, ปริปุจฉา ๑, อธิคม ๑, ครุสันนิสสัย ๑,                           และมิตตสมบัติ ๑ รวม ๘ ประการนี้ ล้วนเป็น                           ปัจจัยแก่ปฏิสัมภิทา ดังนี้.                 บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น นัยดังที่กล่าวแล้วแล ชื่อว่าปุพพโยคะ.                 ความฉลาดในศาสตร์นั้น ๆ และศิลปายตนะทั้งหลาย ชื่อว่าพาหุสัจจะ.                 ความฉลาดในภาษา ๑๐๑ ภาษา ความฉลาดในภาษามาคธีโดยวิเศษ ชื่อว่าเทศภาษา.                 การเรียนพระพุทธพจน์โดยที่สุดแม้เพียงโอปัมมวรรค ชื่อว่าอาคม.                 การวินิจฉัยไต่สวนอรรถะแม้ในคาถา ๑ ชื่อว่าปริปุจฉา.                 การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกทาคามีก็ดี การเป็นพระอนาคามีก็ดี การเป็นพระอรหันต์ก็ดี ชื่อว่าอธิคม.                 การอยู่ในสำนักครูผู้มากด้วยสุตะและปฏิภาณ ชื่อว่าครุสันนิสสัย.                 การได้มิตรเห็นปานนั้นนั่นแล ชื่อว่ามิตตสมบัติ                 บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย อาศัยปุพพโยคะและอธิคม แล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ส่วนพระสาวกทั้งหลายอาศัยเหตุเหล่านี้แม้ทั้งหมดแล้วจึงบรรลุปฏิสัมภิทา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=0&p=1#คันถารัมภกถา จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 21:09:28

ความคิดเห็นที่ 9 ขออธิบายความหมายในภาพรวมนะครับ ข้อ  1  คำว่า  กุศล  โดยทั่วไปพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงธรรม  ที่ชื่อว่า  กุศล  คู่กับ   คำว่า  ธรรม  รวมเรียกว่า  ธรรมเป็นกุศล  หรือ  กุศลธรรม ซึ่งหมายถึง  ธรรมที่ประกอบด้วยประโยชน์   ซึ่งไม่ก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ   เพื่อไปจากข้าศึกคือกิเลส  เป็นธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาอันยิ่ง  เพื่อความสงบระงับ   เพื่อความรู้ยิ่ง  เพื่อความรู้ดี  และเพื่อความดับทุกข์ เช่น  ความเมตตา  ความกรุณา  ความอดทน  ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป  ฯลฯ ข้อ  2  คำว่า  อกุศล  โดยทั่วไปพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงธรรม  ที่ชื่อว่า  อกุศล  คู่กับ   คำว่า  ธรรม  รวมเรียกว่า  ธรรมเป็นอกุศล  หรือ  อกุศลธรรม ซึ่งหมายถึง  ธรรมที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์   ซึ่งก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ   ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส  เป็นธรรมที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญาอันยิ่ง  ไม่เป็นไป เพื่อความสงบระงับ  ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง  ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ดี   และไม่เป็นไป เพื่อความดับทุกข์ เช่น  ความอิจฉา  ความริษยา  ความอาฆาต  ความพยาบาท  ความผูกเวร  ฯลฯ ขอให้เจริญในธรรมนะครับ   เป็นกำลังใจให้ครับ จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 21:11:11

ความคิดเห็นที่ 10 โมทนาครับ สำหรับความส่งเสริมในทุกทาง ใครพอจะรู้จัก เว็ปไซน์ธรรมะภาคภาษาอังกฤษบ้างป่าวครับ จากคุณ : เธอคือโลก เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 21:30:58

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าแปลแบบทั่วๆไป กุศล คือ ความดี ความสุข                            อกุศล คือ ความไม่ดี ความทุกข์ แต่ในทางธรรมจริงๆ กุศล คือ การลดละกิเลส                             อกุศล คือ การเพิ่มกิเลส เช่น การไปดูหนัง ไปเที่ยว มีความสุขแต่เป็นการเพิ่มกิเลส จึงเป็น อกุศล      การเป็นอาสาสมัคร เหนื่อยลำบาก เสียเวลา แต่เป็นการฝึกตน ลดละกิเลส จึงเป็นกุศล จากคุณ : ชนาธิป - พุทธแท้ เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 22:17:39

ความคิดเห็นที่ 12 อนุโมทนากับจขกท.ด้วยครับที่ใฝ่ใจศึกษากระทั่งพระสูตรภาษาอังกฤษ คำๆนึงอาจจะแปลได้หลายความหมายแต่จะต้องพิจารณาบริบทประกอบด้วยเพื่อจะได้ทราบว่าคำนั้นๆในป่ระโยคนั้นๆควรแปลในความหมายใด แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำๆนั้นควรจะสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกันแบบขาวกับดำ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 23:31:27

ความคิดเห็นที่ 13 ธรรมที่เป็นกุศล....คือ...องค์ธรรมที่จิตไม่ประกอบด้วย...ราคะ..โทสะ..โมหะ..โลภะ ธรรมที่เป็นอกุศล..คือ..องค์ธรรมที่จิตประกอบด้วย....ราคะ..โทสะ..โมหะ..โลภะ..ครับ เช่น...โสมนัสเวทนาที่เป็นอกุศลก็มี..ซึ่งก็คือ..เคหะสิกตะโสมนัสเวทนา โสมนัสเวทนาที่เป็นกุศลก็มี..ซึ่งก็คือ...เนกขัมะสิกตะโสมนัสเวทนา.. ฉันทะที่เป็นกุศลก็มี..ซึ่งก็คือ...เนกขัมมะฉันทะ..(ความยินดีในการออกจากกาม..ลดละกิเลส) ฉันทะที่เป็นอกุศลก็มี...ซึ่งก็คือ...กามฉันทะ(ความยินดีในกามคุณ ๕)...เป็นต้นครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 55 07:20:22 จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 07:19:27

ความคิดเห็นที่ 14 คุณเธอคือโลกครับ "ในช่วงแรก ๆ ของการศึกษา ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แค่รู้สึกว่า ทุกข์น้อยลง ทุกข์สั้นลงก็โอเคแล้ว แต่พอมาถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่า มันตัน ๆ ไปต่อไม่ถูก ก็เลย อยากจะศึกษาอย่างจริงจังมากขึ้นครับ" ที่เป็นเช่นนั้น ทางพระเขาเรียกว่า หาทางลงไม่เจอ คือปฏิบัติแบบไม่มีเป้าหมาย หรือเรียกง่ายๆว่า ไม่มีพระนิพพานเป็นเป้าหมาย ทำให้จับจุดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตัดกิเลสตัวไหนก่อนดี ตรงนี้มีการอธิบายและแนะนำไว้ว่าให้ดูที่สังโยชน์เป็นสำคัญ โดยเบื้องต้น ให้จับสังโยชน์สามตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลพตปรามาส สักกายทิฏฐิ เบื้องต้นให้คิดเสมอว่า เราจะต้องตาย ร่างกายนี้เรามาอาศัยอยู่ัชั่วคราว เราต้องตายแน่ๆ อันนี้ให้ไปศึกษาด้านมรณานุสสติกรรมฐาน ต่อมาเรื่องวิจิกิจฉา ก็คือ ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยปัญญา ขอให้ศึกษาเรื่อง พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ เรื่องสีลพตปรามาส ไม่ถือศีลแบบลูบคลำ ต้องถือศีลจริงจัง คือ ไม่ทำผิดเอง ไม่บอกให้คนอื่นทำผิด ไม่ยินดีเมื่อใครทำผิดศีล ตรงนี้ สีลานุสสติกรรมฐานจะช่วยได้ และให้ใช้ พรหมวิหาร4 คุมใจอีกทีหนึ่ง ศีลจะมั่นคงมากขึ้น เข้าสู่แดนพระโสดาบันได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายต้องจับจุดพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือคิดเสมอว่า ตายแล้วขอไปพระนิพพาน แต่อย่าเอาแต่คิดนะครับ ปฏิบัติอะไรก็ตาม เรามีพระนิพพานเป็นเป้าหมาย ไอ้สุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลงมันก็ดีนั่นแหละครับ แต่มีเป้าหมายซะ มันจะไปถึงเร็ว จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 09:53:06

ความคิดเห็นที่ 15 แปลง่ายๆ แบบชาวบ้าน ๆ เลยน่ะ.. กุศล คือ การทำความดีทั้งทางกาย วาจา ใจ(คิด) แล้วเกิดเป็นบุญ คือความสบายกายสบายใจจากการทำความดีนั้นๆ.. อกุศล คือ ตรงกันข้ามกับกุศลทุกอย่าง เพราะ อ แปลว่า "ไม่" (ทีนี้แปลเอาเองน่ะว่าอกุศลแปลว่าอะไร แปลให้ตรงข้ามหรือเป็นอริกับกุศลนั่นแหละ ไม่ต้องให้อธิบายน่ะ) ..หวังว่าคงไม่ต้องให้บอกน่ะ ว่าสิ่งใดทำแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าคุณแยกสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่วออก คุณก็เข้าใจ.. จากคุณ : ป.ธ.0 (มีดกรีดใจ) เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 17:11:41