นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
======================================================
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน วันนี้ก็จะได้อธิบายต่อจากตอนที่แล้วนะครับ
_____________________________________________________________
(ความจาก คู่มือ อภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๑.....)
อกุศลวิบากจิต
เป็นจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรม เป็นผลของฝ่ายชั่วฝ่ายบาปอกุศล ที่ได้สั่งสมที่ได้กระทำมาแล้วแต่อดีต
จึงต้องมาได้รับผลเป็นอกุศลวิบากจิต อันเป็นผลที่ไม่ดี ๗ ดวงนี้
อเหตุกกุศลวิบากจิต
เป็นจิตที่เป็นผลของกุศลกรรม เป็นผลของฝ่ายดีฝ่ายบุญกุศล ที่ได้สั่งสมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต
จึงมาได้รับผลเป็นอเหตุกุกศลวิบากจิต อันเป็นผลที่ดี ๘ ดวง
จิตที่เป็นผลของอกุศลกรรม เรียก อกุศลวิบากจิต เท่านั้น
แต่จิตที่เป็นผลของกุศลกรรม เรียก อเหตุกกุศลวิบากจิต
ที่แตกต่างกันเพราะอกุศลวิบากจิตมีแต่ในประเภทอเหตุกจิต ซึ่งเป็นจิตที่ไม่มีสัมปยุตตแห่งเดียวเท่านั้น อกุศลวิบากจิตที่มีสัมปยุตตนั้นไม่มีเลย
ซึ่งผิดกับกุศลวิบากเหตุ เพราะกุศลวิบากจิตที่เป็นอเหตุก คือเป็นจิตไม่มีสัมปยุตตเหตุ เช่นที่กำลังกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ก็มี
และกุศลวิบากจิตที่มีสัมปยุตตเหตุ ซึ่งเรียกว่า สเหตุกจิตดังจะกล่าวต่อไปข้างหน้านี้ก็มีอีก
ดังนั้นจึงต้องเติมอเหตุกไว้ด้วย เพื่อจะได้ทราบโดยแจ้งชัดว่าเป็นกุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุหรือหาไม่
______________________
อเหตุกกริยาจิต
เป็นจิตไม่ใช่ผลของบาปอกุศลหรือบุญกุศลแต่อย่างใด ทั้งไม่ใช่เป็นจิตที่เป็นตัวกุศลหรืออกุศลด้วย
เป็นจิตที่สักแต่ว่ากระทำไปตามหน้าที่การงานของตนเท่านั้นเอง จึงไม่สามารถจะก่อให้เกิดผลบุญหรือบาปต่อไปด้วย
อเหตุกกริยาจิต ก็มีทั้งไม่ประกอบด้วยเหตุ ดังที่กล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ และมีทั้งที่ประกอบด้วยเหตุ คือสเหตุก
ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้าอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องเรียกให้ชัดเจนเพื่อจะได้ไม่ปะปนกัน ทำนองเดียวกับกุศลวิบากจิต
_____________________________________________________________
วันนี้ก็แสดงไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 06:29:24