ขออภัยๆ ผมก็ลืมเล่าวิธีปฏิบัติของผมครับ.... สิ่งที่ผมทำคือ (ยาวหน่อยนะครับ)
ในตอนแรกเลย ที่เริ่มบอกตัวเองว่าจะหยุดทำตัวแบบนี้แล้ว และเริ่มหันมาหาธรรมะ
ตอนนั้นก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงหรอกครับ [1]ก็เริ่มจากคุมตัวเราด้วยศีลครับ คือ
ห้ามการกระทำด้วยขอบเขตของศีล ที่เริ่มด้วยศีลเพราะมันเป็นอะไรที่เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เลยรู้ว่ามีอะไรบ้าง ก็ห้ามแบบหยาบๆ เน้นๆ ไปที่ข้อที่ผมเคยผิด (ข้อ 3) เหมือนเป็นกฏหมาย
ว่าห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้เจริญสติอะไรหรอกครับตอนนั้น
ผมก็ตัดขาดกับเหล่าคนที่ผมเคยไปล่วงเกินเขา เขาติดต่อมาผมก็หักดิบด้วยการไม่ติดต่อ
ไม่ไปพบ ไม่เจอกันในที่ลับตา ตอนนั้นยังไม่ได้อ่านมงคล 38 ประการนะครับ ก็ใช้วิธีบ้านๆ เท่าที่คิดได้
จากนั้นก็หันไปสวดมนต์ครับ [2] ผมใช้การสวดมนต์เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
เวลาที่สวดมนต์ใจมันจะไปจดจ่ออยู่ที่บทสวด ที่พยายามจะสวดให้ถูกจังหวะ
ถูกตัวสะกด มันเลยเป็นเครื่องมือที่ดีในการดึงสมาธิผมไปอยู่ที่การสวดมนต์
แล้ววัดที่ผมไปจะมีทั้งสวดมนต์ นั่งสมาธิ และให้ธรรมเทศนา เลยเห็นว่าได้ประโยชน์ดี
ที่ต้องเรียกสมาธิแบบนี้ เพราะตอนนั้นผมอยู่กับตัวเองไม่ได้เลยครับ เวลาอยู่คนเดียว
จิตใจมันจะฟุ้งซ่านไปหมด คิดไปต่างๆ นานา เคยลองนั่งสมาธิที่บ้านก็ทำไม่ได้ครับ
นั่งได้แป๊บเดียว เวลามีคนโทรฯ มาหา (เหล่าคนที่เคยทำผิดศีลด้วย) สมาธิผมก็หลุดแล้ว
ตอนนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยครับ รู้เลยว่าความทรมานใจมันเป็นยังไง ใจนึงมันก็อยากกลับไปหาคนเหล่านั้น
(คือ ผมแอบเป็นชู้กับสามี-แฟนชาวบ้าน ก็แอบๆ คบกันอะไรประมาณนี้แหละครับ)
อีกใจมันก็อยากจะตัดให้ขาด แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะทำยังไง ที่คิดได้คือ ... ไปสวดมนต์
ผมคิดว่า ถ้าปล่อยตัวเองว่างๆ อยู่แบบนี้ มันจะคอยคิดแต่เรื่องที่จะไปทำผิดศีลกัน
เลยหาอุบายดึงตัวเองออกมาด้วยการไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เพื่อให้ตัวเองดูยุ่งๆ เข้าไว้
ก็ได้ผลดีครับ การสวดมนต์ได้ผลดีเกินคาด นอกจากทำให้ผมลืมคิดถึงเรื่องของคนพวกนั้นไปได้ขณะหนึ่ง
ยังรู้สึกว่าอิ่มเอิบด้วย หรือประมาณว่าอุปมาไปเองว่าได้บุญ อะไรประมาณนั้นแหละครับ
ช่วงนั้นเลยขยันไปสวดมนต์ทุกอาทิตย์ๆ ครับ เป็นการดึงความสนใจของตัวเองออกมาจากปัญหา
ได้ดีในระดับหนึ่ง .... ในระหว่างทำแบบนี้ผมก็อ่านหนังสือธรรมะในบทธรรมที่สนใจไปด้วย
ช่วงนั้นอ่านเรื่องกรรมจากความรักก่อนครับ มันก็ไม่เชิงเป็นหนังสือธรรมะแบบเน้นพระธรรมคำสอน
จะออกเป็นแนวธรรมะประยุกต์มากกว่า เล่มแรกที่อ่าน จะเป็นเรื่อง love analysis ของท่านว. ครับอ่านทั้งสองเล่มเลย
เพราะที่ผ่านๆ มาไม่เคยคิดจะสนใจธรรมะเลยครับ คิดมาตลอดว่าที่ตัวเองทำมันไม่ได้เดือดร้อนใคร
แต่ลืมมองไปว่าถึงแม้ไม่ได้เดือดร้อนใคร มันก็เดือดร้อนตัวเอง [3] เลยเริ่มอ่านหนังสือธรรมะตั้งแต่นั้นมา
ตอนที่อ่านจบก็ยังไม่เข้าใจอีกหลายอย่างครับ แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ เรามีความเกรงกลัวต่อบาปมากขึ้น
เริ่มเห็นว่าการกระทำของเราในอดีต มันเลวร้ายขนาดไหน สร้างกรรมไม่ดีไว้มากมายเท่าไร
ทำให้เป็นการเสริมข้อศีลมากขึ้น คือ เริ่มกลัวการทำผิดศีลมากขึ้น และมีปณิธานแน่วแน่ว่า
จะไม่ทำผิดศีลข้อนี้อีกเป็นอันขาด และผมก็เริ่มอ่านหนังสือธรรมะเล่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
และเกี่ยวโยงในสิ่งที่ผมสงสัย คือ กรรมคืออะไร? บุญ/บาปคืออะไร? ความรักคืออะไร?
วิบากกรรมเกี่ยวกับความรักมันแก้ได้ไหม? ทำบาปไว้แล้วจะแก้ได้ไหม?
กฏแห่งกรรมเป็นยังไง? ฯลฯ ผมสงสัยในเรื่องไหน ผมก็จะหาหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาอ่าน
ไม่ก็มาถามเอาใน PANTIP.com ห้องศาสนานี่แหละครับ (คงจะเคยเห็นผมโพสถามคำถามหลายๆ อย่าง)
ก็อาศัยเอาจากการอ่านหนังสือ พอไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจ ก็มาถามในนี้ แล้วก็เอาไปเทียบกับในหนังสือ
แล้วก็สังเกตุเอาจากเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตของตัวเอง ก็ช่วยได้เยอะครับ ทำให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนมากขึ้น
การอ่านหนังสือธรรมะ ทำให้ผมมองเห็นสัจธรรมหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ถ้าสรุปเป็นธรรมหัวข้อต่างๆ ก็ตามที่หลายๆ คนยกขึ้นมานั่นแหละครับ ผมอ่านมาหมดแล้ว
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นแค่ความเข้าใจในทษฏี รู้ว่ามันคืออะไร แต่ยังไม่สามารถจับหลักปฏิบัติได้
และผมก็เริ่มทดลองปฏิบัติกับตัวเอง เป็นการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูก เอาความรู้ที่ได้อ่านมาลองๆ ทำดู
ผมมีหนังสือเรื่องการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ก็ลองอ่านเอาตามในนั้น ไม่เข้าใจก็มีมาถามในนี้เป็นระยะๆ
เป้าหมายแรก คือการไม่ทำผิดศีลข้อ 3 แบบสิ้นเชิงในชาตินี้อีกเป็นครั้งที่ 2 (หมายถึงหลังจากหันมาปฏิบัติธรรมอะนะ)
ก็เริ่มจากการนั่งสมาธิ ทีนี้นั่งได้นานแล้วครับ เป็นผลประโยชน์จากการไปทำวัตรสวดมนต์
ผมอ่านมาเรื่องการทำกรรมฐาน จะใช้สายไหนก็ขึ้นอยู่กับจริตของจิตตัวเอง บางคนชอบสงบนิ่งก็นั่งสงบนิ่งไป
แต่ถ้าบางคนมีจริตของจิตเป็นคนชอบคิด ก็ให้พิจารณาธรรมไป (ผมเป็นอย่างที่สองครับ)
ในระหว่างการนั่งสมาธิพอนั่งไปซักระยะ (ซัก 30 นาที) พอเริ่มรู้สึกว่าจิตมันสงบแล้ว
ก็เริ่มพิจารณาธรรมไปตามที่ได้อ่านมา เอาชีวิตที่ผ่านๆ มาของตัวเองลองมาพิจารณาเข้าตามหลักไตรลักษณ์
ตอนแรกๆ ที่ทำแบบนี้ก็ทำที่วัดก่อน ช่วงที่สวดมนต์เสร็จพระท่านจะมีการเทศนาธรรม
ก็ใช้ระหว่างนั้นนั่งสมาธิ แล้วก็ฟังสิ่งที่พระเทศนา จับใจความของธรรมนั้นๆ มาพิจารณา
เออ....จะว่ายังไงดี ผมได้มาแต่เนื้อหาอะครับ แต่ปฏิบัติไม่ผ่านเลย แรกๆ ก็คิดว่าตัวเองสามารถทำได้
รู้เท่าทันอารมณ์ได้ แต่เปล่าเลย โดนสิ่งที่เรียกว่าตัวเองหลอกตัวเองซะงั้น แรกๆ ที่ผมดูสงบๆ ได้เพราะมันไม่โดนสิ่งเล้ามาเล้า
ช่วงที่ผมไปวัดตลอดๆ มันได้การสวดมนต์มาเป็นตัวช่วยในเรื่องของการทำสมาธิ และอุบาย
ในการดึงความสนใจของตัวเองออกมาจากเรื่อง XXX ทำให้ช่วงนั้นผมเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่ปฏิบัติมานั้นมันได้ผล ทำให้กิเลสตัวตัวเองลดลง
เพราะช่วงนั้น...ขอโทษนะครับ...ผมแทบจะไม่ช่วยตัวเองเลย ไม่สนใจกับเรื่องพวกนั้นเลย
ก็ไม่ได้ตั้งใจจะละกามนะครับ ก็บอกตัวเองว่าถ้าหงี่ก็ช่วยตัวเองไปได้ไม่มีปัญหา แต่มันก็ไม่อยากจริงๆ ช่วงนั้น
เลยยิ่งทำให้ผมเข้าใจผิด คิดว่าการปฏิบัติที่ผ่านๆ มานั้นได้ผล
ถ้าถามว่าทุกวันนี้คิดจะทำผิดศีลข้อ 3 อีกไหม ... ก็ตอบได้เลยว่าไม่อะครับ ให้ตายก็จะไม่ขอทำผิดอีก
คนเก่าๆ (ชายที่ผมเคยมีความสัมพันธ์ด้วย) เขาก็พยายามติดต่อมาชวนไปกินข้าว ดูหนัง ก็ธรรมดาแบบคนทั่วไปอะครับ
สิ่งที่คิดในใจ คือ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับเขา ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ หรือโกรธแค้นอะไร
ถ้าเป็นที่ชุมชนก็ยินดีไปด้วย แต่ถ้าให้ไปในที่ลับตาคน ก็ไม่เคยไป เวลาเจอกับเขาเหล่านั้น
เราก็บอกอโหสิกรรม ... ไม่ใช่อยู่ๆ ไปบอกนะครับ ก็คุยกันต้นสายปลายเหตุก่อน ถึงบอก
หลายคนก็เข้าใจ และไม่ขยั้นขยอขอมีเพศสัมพันธ์กับผม ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ
บางก็ยังติดต่อคุยปรึกษาเรื่องต่างๆ บางก็หายไปเลย ผมก็มองว่านั่นคือธรรมดาของคน
เมื่อหมดกรรมต่อกัน มันก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้ายังมีกรรมต่อกันก็ยังคงต้องไปหาหาสู่กันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมไม่ดี
แต่ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจเจตนาของผม เคยไปพบคนคนนึงที่เป็นอดีตชู้ของผม ผมเคยชอบ จนถึงขั้นที่ว่าคิดว่าตัวเองรักคนนี้มาก
เคยพยายามทำให้เขาเลิกกับแฟนเพื่อมาคบกับผม สิ่งที่เห็นได้แตกต่างหลังจากหันมาศึกษาธรรมะคือ มุมมองต่อคนประเภทต่างๆ
มันเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คนคนนี้แต่ก่อนเราเคยรัก แต่มาวันนี้เราวางเฉยเสียแล้ว
พฤติกรรมที่เราเคยเห็นชอบ มาวันนี้เรากลับรู้สึกไม่เห็นชอบด้วยเสียแล้ว
วันนั้นเขาชวนผมไปที่บ้าน แรกๆ ผมก็ปฏิเสธ แต่ในใจก็อยากจะทดลองอะไรดูซะหน่อย ผมเลยยอมไปหาเขาที่บ้าน
พอไปถึงที่บ้านเขาก็ทักทายด้วยความเคยชิน ในฐานะคนเคยค้าม้าเคยขี่กันมาก่อน
เขาพยายามที่จะลวนลาม ปลุกเล้าอารมณ์แบบเมื่อก่อน นั่นยิ่งทำให้ผมเห็นถึงกรรมของตัวเองเมื่อก่อน
เมื่อก่อนเรานั้นทำตัวง่ายกับคนอื่น เขาก็เลยมองว่าถ้าทำแบบนี้ ก็จะได้ XXX กับเรา
ก็ไม่แปลกที่เขาจะทำแบบนี้กับเรา ผมเลยลองไม่ยินยอมให้เขาลวนลาม และปฏิเสธไป
ผลที่ได้ คือเขาก็ไม่ทำอะไรเรา เลยยิ่งเชื่อเรื่องของผลแห่งการกระทำมากขึ้น ว่าเราทำตัวอย่างไร คนอื่นก็จะทำกับเรากลับอย่างนั้น
วันนั้นเราก็คุยกันปกติ ไม่มีอะไรเกินเลย แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ไปหาเขาอีก เพราะดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจ
ยังคงพยายามชวนผมไปมีเพศสัมพันธ์กับเขาอยู่ ก็เลยตัดปัญหาไม่ไปพบซะเลยหมดเรื่อง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเหตุการณ์จริงครับ ผมไม่ได้มุสา และด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ มันเลยยิ่งทำให้ผมหลงคิดไปว่า
การปฏิบัติธรรมของตัวเองนั้นประสบผลสำเร็จ เพราะมันทำให้ผมสามารถควบคุมตัวเองได้
จนกระทั่งช่วงน้ำท่วมกรุงเทพปี 54 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นอีก คือช่วงต้นๆ ปี 55 ผมไม่ได้ไปวัดเลยครับ
ด้วยเพราะประมาทคิดไปเองว่าเรานั้นควบคุมสติเราได้แล้ว ที่ผ่านมามันก็ไม่มีเรื่องอะไรนะครับ
ผมก็ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆ ตลอด เที่ยวต่างจังหวัด เดิน shopping ฯลฯ ทำกิจวัตรเหมือนคนทั่วๆ ไป
ผมไม่แน่ใจว่านี่คือผลของการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า เวลาทำอะไรมันจะรู้ตัว และเห็นตัวเองชัดมากขึ้น
เรื่องที่ความกำหนัดมันเพิ่มขึ้นก็เช่นกัน ผมรู้สึกตัวได้ว่ามันเริ่มมีมากขึ้น กว่าแต่ก่อนในช่วงที่ไปวัดบ่อยๆ
ผมเลยตกใจครับ เพราะที่ผ่านมาคิดว่าเราควบคุมมันได้แล้ว แต่ทำไมอยู่ๆ มันกลับเพิ่มขึ้น
เลยคิดว่า ที่ผ่านๆ มาทำผิดมาตลอดเลย ก็เลยมาถามดูให้แน่ใจว่านี่มันปกติ หรือผิดปกติ
แต่เรื่องที่จะไปทำผิดศีล นั่นไม่มีแน่นอนครับ ก็ตั้งตัวเองให้อยู่ในกรอบของศีลมาตลอด เวลามีอารมณ์
ก็บำบัดความใคร่ด้วยตัวเอง แต่ที่มันไม่เข้าใจคือ ทำไมอยู่ๆ อารมณ์กำหนัดมันถึงกลับมาเหมือนเดิมอีก
เลยเกิดความสงสัย ก็เลยมาถามนี่แหละครับ ว่านี่มันเป็นปกติของคนที่ปฏิบัติธรรมไหม?
(ผมยังไม่เคยทำอสุภกรรมฐานนะครับ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้จะละกาม แบบพระอรหันต์ แค่จะทำให้มันอยู่ในระดับปกติของมนุษย์ที่มีศีล 5 ทั่วๆ ไปแค่นั้นเอง)
ก็ประมาณนี้แหละครับ
แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 55 19:26:09