ความคิดเห็นที่ 1 บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:47:16

ความคิดเห็นที่ 2 . จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:47:53

ความคิดเห็นที่ 3 .. จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:48:22

ความคิดเห็นที่ 4 แผนผังแสดงตำแหน่งของตอนปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในเรื่องจิต ๘๙ (ตอนที่ ๒๙) จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:49:46

ความคิดเห็นที่ 5 อ้างอิงจาก: คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๑ กระทู้ก่อนหน้านี้คือ: พระอภิธรรม3นาที - ตอนที่ 28 - มหากุศลจิต ๘ และ อรรถแห่งกุศล topicstock/Y11953816 link สารบัญกระทู้ พระอภิธรรม3นาที แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 20:38:29 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 19:47:05 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 05:52:55

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบพระคุณครับ ที่นำส่ิงดีๆมาเผยแพร่ จากคุณ : พล. เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 07:05:33

ความคิดเห็นที่ 7 รีบเปิดดูด้วยความยินดีว่าคุณครูชาวมหาวิหารกลับมาสอนแล้ว หลังจากที่ดิฉันได้สอบตกไป ในบทเรียนของสันตีรณจิต และเรื่องการทำหน้าที่มโนทวาราวัชชนจิตของจิตดวงที่  2 มาถึงบทเรียนนี้ตอนแรกก็คิดว่าจิตที่เป็นมหากุศลจิตขนาดนี้ แล้วยังประกอบบุญกิริยาวัตถุ 10 อีกต่างหาก จะนำไปเกิดเป็นอะไร ย้อนไปดูกระทู้ก่อนหน้าที่คุณลงไว้ พบว่าคุณได้อธิบายดิฉันไว้เองว่า กุศลแบบใดที่มีส่วนทำให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ ฉะนั้นสถานะของสัตว์ที่จะเข้าถึงธรรมได้ก็มีแต่มนุษย์และสูงกว่ามนุษย์...ใช่ไหม? แสดงว่ามหากุศลจิตส่งผลให้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในรูปนามขนาดไหน  ขึ้นอยู่กับเจตนา ในการทำกุศลทั้ง 3 กาล ที่คุณได้อธิบายไว้ และหมายรวมถึงปัญญาที่ประกอบในมหากุศลจิตอีก...ใช่ไหม? ขอถามในส่วนที่เกี่ยวกับกระทู้นี้เพียงเท่านี้ คุณชาวมหาวิหาร...ดิฉันได้มีโอกาสไปเปิดเจอเรื่องการทำงานของกรรมในยุคกาลวิปัตติ มันทำให้ดิฉันงงมาก เพราะแม้กระทั่งกรรมดีก็ยังมีโอกาสส่งผลแบบไม่แน่นอน (หรือเปล่า) แสดงว่ากุศลกรรมก็เป็นไตรลักษณ์ด้วย ยุคนี้ถือเป็นยุคกาลวิปัตติหรือยัง  รอบตัวเรามีแต่ความไม่แน่นอน  ทำให้นึกถึงคำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ดิฉันขอแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าจะขอรบกวนสอบถามคุณนอกรอบ หลังไมค์ ขอบพระคุณ จากคุณ : ning JFK. เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:27:00

ความคิดเห็นที่ 8 --------- ทำให้เกิดความรู้ เข้าใจได้โดยง่าย  ขอขอบพระคุณยิ่งนัก จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:38:30

ความคิดเห็นที่ 9 --------- เมื่อรู้ว่า อะไรทำให้เกิด กุศลจิต   ทำให้หาทางทำ กุศลจิต ให้เกิดขึ้น จึงได้คลิกลิงก์ที่ผ่านมา ของกระทุ้ท่านด้วย แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 09:41:37 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:40:48

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับ จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:54:23

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านแล้วทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่สอบพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจเลยว่า ท่องจำแบบนี้ไปทำไม ตอนนั้นก็เพียงท่องให้ทำข้อสอบได้ จนโตขึ้นได้มาอ่านหนังสือธรรมะจริงๆจังๆ จึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ....การให้ที่สมบูรณ์ คือ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ และวัตถุทานบริสุทธฺ์.... อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ จากคุณ : เม็ดฝนบนใบตอง เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 09:57:10

ความคิดเห็นที่ 12 สาธุครับ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 11:22:20

ความคิดเห็นที่ 13 ขอ อนุโมนทาบุญ....ด้วยครับ                        จงมีแก่สัพพสัตว์ทั้งหลายด้วยเถิด... จากคุณ : นะโม (กลุ่มพุทธบุตร) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:28:08

ความคิดเห็นที่ 15 อนุโมทนา จากคุณ : ใบมะพร้าว เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 18:51:50

ความคิดเห็นที่ 16 อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านเช่นกันนะครับ ------------------------------------------------------- ตอบ คุณ ning JFK.#7 - บุคคลที่จะมีโอกาสเข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ ก็ได้แก่ บุคคลใน    มนุษย์ภูมิ ๑, เทวภูมิ ๖ และ รูปภูมิ ๑๕  ที่เป็นติเหตุกบุคคล    คือ ปฏิสนธิมาด้วย ญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวงใดดวงหนึ่ง - ส่วน รูปภูมิที่เหลืออีกหนึ่งภูมิ คือ อสัญญีสัตตพรหม ไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าถึง มรรค ผล ได้   เพราะ ไม่มีจิตและนามขันธ์ มีแต่เพียงรูปขันธ์ - สำหรับ บุคคลใน อรูปภูมิ ๔ นั้น ท่านแสดงไว้ว่า ปุถุชนอรูปพรหม ไม่สามารถบรรลุโสดาปัตติมรรคได้   เว้นแต่ บุคคลที่เป็นพระอริยะแล้ว เมื่อจุติจิตดับลง และไปปฏิสนธิเกิดในอรูปภูมิ สามารถเข้าถึง มรรค ผล ได้ - ส่วน สัตว์บุคคล ใน ทุคติภูมิ ๔ มีสัตว์นรg เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน ที่ปฏิสนธิด้วย    อกุศลวิบากสันตีรณจิต เป็น อภัพพบุคคล คือ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินั้น  - การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ที่มีปฏิสนธิจิต และภวังคจิต ประกอบด้วย เหตุ ๓     คือ อโลภเหตุ องค์ธรรมได้แก่ อโลภเจตสิก        อโทสเหตุ     "      อโทสเจตสิก      และอโมหเหตุ    "      ปัญญาเจตสิก    ก็เนื่องจากได้ทำ กุศลกรรมชนิดที่เป็น        "ติเหตุกะ" (คือ ประกอบด้วยสามเหตุ)      และ "อุกกัฏฐะ" (คือ เป็นอุกฤษ มีเจตนาดีทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำไปแล้ว)   และกุศลกรรมเหล่านั้นมาให้ผลในปฏิสนธิกาล ------------------------------ ส่วนเรื่อง กาลวิปัตติ เป็นปัจจัยพิเศษอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยอุดหนุนหรือตัดรอน ให้ กุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม เกิดขึ้นได้ หรือเกิดขึ้นไม่ได้ ในมหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา ปริเฉทที่ ๕ แสดงถึง ปัจจัยพิเศษที่จะช่วยให้ กุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม เกิดขึ้นได้ เนื่องจากสัมปัตติ ๔  อย่าง  คือ  คติสัมปัตติ  กาลสัมปัตติ  อุปธิสัมปัตติ  ปโยคสัมปัตติ   แต่จะช่วยให้ไม่เกิดขึ้น เนื่องจาก วิปัตติ ๔ อย่าง คือ  คติวิปัตติ   กาลวิปัตติ  อุปธิวิปัตติ  ปโยควิปัตติ คำว่า "กาลสัมปัตติ"    หมายถึงสมัยใดที่บุคคลได้อยู่ในประเทศที่มีพระราชาเป็นสัมมาทิฐิบุคคลปกครองบ้านเมืองอยู่    และพระพุทธศาสนาก็ยังคงมีอยู่ยังไม่สิ้นสูญไป ส่วนคำว่า "กาลวิปัตติ  หมายถึงสมัยใดที่บุคคลได้อยู่ในประเทศที่มีพระราชาเป็นมิจฉาทิฐิบุคคล ปกครองบ้านเมืองอยู่  และพระพุทธศาสนาก็เสื่อมสิ้นไปแล้ว กุศลธรรม ก็เป็นสังขารธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งตกอยู่ภายใต้กฏแห่งพระไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นทุกขัง และเป็นอนัตตา ลักษณะอย่างหนึ่งของอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ จะให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ สังขารธรรมทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุและปัจจัยอันสมควร ถ้ามีคำถามหรือประเด็นสนทนา ก็สามารถสนทนาได้ตามสะดวกครับ ------------------------------ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 20:28:29

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนถามคุณชาวมหาวิหารด้วยเช่นกันค่ะ   "อตฺตาสมฺนาปณิธิ (ตั้งตนไว้ชอบ) " หมายถึง อย่างไรคะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 20:54:29

ความคิดเห็นที่ 18 ตอบ คุณเอิงเอย #17 ก่อนอื่นต้องขออภัยด้วยนะครับ  ขอแก้คำว่า สมฺนาปณิธิ เป็น สมฺมาปณิธิ (สัม-มา-ปณิธิ) --------------------------------------------------------------------- อตฺตสัมมาปณิธิ ก็หมายถึง การตั้งตนไว้ชอบ ก็คือการยังตนให้อยู่ในกุศลธรรมทั้งหลายนั่นเอง คำว่า ตน ในที่นี้ก็หมายถึง รูปนามกายใจของเรา ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้แก่       - ให้ตั้งอยู่ใน สุจริต ๓ มีกายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต       - ให้ตั้งอยู่ใน กุศลกรรมบท ๑๐       - ให้ตั้งอยู่ใน สัมปทา ๕ มี สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑                            สุตสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑       - ให้ตั้งอยู่ใน มหากุศลจิต ๘, มหัคคตจิต ๙, มรรคจิต ๔     เป็นต้น ________________________________________________________________ อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบนี้ ตรงกับ มงคล ข้อ ๖  ในมงคล ๓๘ ประการ (มงคลสูตร ใน ขุททกปาฐะ) http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=41&Z=72 (อรรถกถา มงคลสูตร) ......คนบางคนในโลกนี้ ย่อมทำตนที่ทุศีลให้ตั้งอยู่ในสุศีล ตนที่ไม่มีศรัทธาให้ตั้งอยู่ในสัทธาสัมปทา ตนที่ตระหนี่ให้ตั้งอยู่ในจาคสัมปทา การตั้งตนดังกล่าว ชื่อว่า ตั้งตนไว้ชอบ. การตั้งตนไว้ชอบนี้ เรียกว่า อัตตสัมมาปณิธิ. อัตตสัมมาปณิธินี้แล เป็นมงคล. เพราะเหตุไร. เพราะเป็นเหตุละเวรที่เป็นไปในปัจจุบันและภายภาคหน้า และประสบอานิสงส์ต่างๆ อย่าง. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=5&p=3#พรรณนาคาถาว่า_ปฏิรูปเทสวาโส_จ ________________________________________________________________ อนึ่ง ใน จักรมี ๕ ประการ คือ   ๑. จักรทำด้วยไม้   ๒. จักรทำด้วยแก้ว   ๓. จักรคือธรรม   ๔. จักรคืออิริยาบถ   ๕. จักรคือสมบัติ ในข้อ ๕ "จักรคือสมบัติ" นี้   เรียกอีกอย่างว่า "จักร ๔" จักร ๔ อย่างคืออะไร? คือ ปฏิรูปเทสวาสะ ๑ สัปปุริสูปัสสยะ ๑* อัตตสัมมาปณิธิ ๑ ปุพเพกตปุญญตา ๑*. นี้ชื่อว่าจักรคือสมบัติ. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=171&p=1 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=21&item=31#31 (*สัปปุริสูปัสสยะ *ปุพเพกตปุญญตา - ใช้ ป ในคำว่า ปุพเพ ตามรากศัพท์บาลี) ___________________________________________________ คำว่า  จักร 4 (พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม) http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%A8%D1%A1%C3_4 ___________________________________________________ (จักกสูตร) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้ เป็นเครื่องเป็นไปแก่ มนุษย์และเทวดาผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ว ย่อมถึง ความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนัก จักร ๔ ประการเป็นไฉน คือ ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๑ สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ ๑ อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ และ ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้แล เป็นเครื่องเป็นไปแก่เทวดาและมนุษย์ผู้ประกอบ เป็นเครื่องที่ มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ ในโภคะทั้งหลาย ต่อกาลไม่นานนัก ฯ                          นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงกระทำอริยชนให้เป็นมิตร                          ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีบุญได้กระทำไว้แล้วใน                          ปางก่อน ธัญชาติ ทรัพย์ ยศ ชื่อเสียง และความสุข                          ย่อมหลั่งไหลมาสู่นรชนนั้น ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=21&item=31#31 (อรรถกถาจักกสูตร) .... บริษัท ๔ ย่อมปรากฏพร้อมในถิ่นใด ความอยู่ในถิ่นอันสมควรเห็นปานนั้น ชื่อว่าปฏิรูปเทสวาสะ ความอยู่ในถิ่นที่เหมาะ. ความพึ่งพิงคบหาสัตบุรุษมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าสัปปุริสูปัสสยะ ความพึ่งพิงสัตบุรุษ. การตั้งตนไว้ชอบ คือ ถ้าเป็นคนประกอบด้วยความไม่มีสัทธาเป็นต้นมาก่อน การละความไม่มีสัทธาเหล่านั้นเสียแล้ว ตั้งอยู่ในสัทธาเป็นต้น ชื่อว่าอัตตสัมมาปณิธิ ความตั้งตนไว้ชอบ. ความเป็นผู้มีกุศลอันสั่งสมไว้ในกาลก่อน ชื่อว่า ปุพฺเพ จ กตปฺญฺญตา ความเป็นผู้ทำบุญมาก่อน. ข้อนี้แหละถือเอาเป็นประมาณในจักร ๔ นี้. เพราะว่า กุศลกรรมเท่านั้นอันคนใดทำด้วยจิต ที่สัมปยุตด้วยญาณอันใด กุศลจิตนั้นแหละย่อมนำคนนั้นเข้าไปอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ให้เขาคบหาสัตบุรุษ. ก็บุคคลนั้นชื่อว่าตั้งตนไว้ชอบด้วยอาการอย่างนี้. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=31 ________________________________________________________________ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 22:57:49 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 19:32:28 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 23:52:27 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 55 23:47:05 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 23:45:47

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณคุณชาวมหาวิหารมากค่ะ ธรรมแต่ละข้อ ถ้าศึกษาให้ดีจะพบว่าลึกซึ้งและมีลายละเอียดมากจริงๆ ค่ะ :) จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 01:17:49

ความคิดเห็นที่ 20 อนุโมทนาสาธุครับ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 10:37:06

ความคิดเห็นที่ 21 อนุโมทนาครับ จำง่ายดี แต่ทำยากแท้ ผมมันคนโง่อะ เห็นจะตามไปเรียนจนจบไม่ไหว ขอยึดบทเรียนเดียวไปทำมาหากินแล้วกันนะครับ จากคุณ : เจตวิมุติ เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 03:08:37

ความคิดเห็นที่ 22 (เพิ่มเติม เนื่องจากมีพระคุณเจ้าท่านหนึ่งได้มาอ่านพบและได้พบตัวอักษรตกหล่น) จากกระทู้ก่อน   ตอนที่ 28 ในความเห็นที่ #8(link) ซึ่งเข้าคลังกระทู้ไปแล้ว และไม่สามารถตามไปแก้ไขอักษรได้ จึงขอแก้ไว้ที่กระทู้นี้แทนนะครับ คือ คำว่า   ๒๒.  ตตฺถาปิ  ติเหตุกมฺกุกฏฐํ .....  ๒๓.  ติเหตุกโมมกํ  ทฺวิเหตุกมุกฺกฏฐญฺจ....  (ตรงใต้อักษร ฏ นี้ตกหล่นตัวอักษร พินทุ) จึงขอแก้ไขเป็น   ๒๒.  ตตฺถาปิ  ติเหตุกมุกฺกฏฺฐํ.....  (แก้จาก กมฺกุ เป็น กมุกฺ) ๒๓.  ติเหตุกโมมกํ  ทฺวิเหตุกมุกฺกฏฺฐญฺจ.... แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 22:56:16 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 19:53:57 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 19:53:36 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 19:49:02